ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ::ฮาหัวเกรียน...นักเรียนนายร้อยตำรวจ::

    ลำดับตอนที่ #1 : ก้าวแรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.6K
      4
      1 มิ.ย. 52

    ก้าวแรก

    ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาภายในเล่ม ผมต้องขออนุญาตท่านทั้งลาย ณ ที่นี้ไว้ก่อนนะครับว่า เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเขียนขึ้นนี้มันจะออกมาในลักษณะกึ่งๆอัตชีวประวัติเล็กน้อย เนื้อหาทั้งหมดเขียนขึ้นจากมุมมองส่วนตัวของผมเอง บางเรื่องราวนั้นอาจจะไม่ถูกต้องในหลักการและเหตุผลเสมอไป ยังไงก็ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ อย่าหลงเชื่อผมซะหมดล่ะ

    ส่วนตัวผมเองนั้น เข้าสู่การเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.)ด้วยวิธีที่ไม่ค่อยจะปกติซักเท่าไหร่นัก

    คือการที่เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งจะได้เข้ามาเป็น นรต.นั้น มันมีขั้นตอนดังนี้ครับ

    อันดับแรกคือ พวกที่เรียนจบ ม.3 อายุไม่เกิน 17 ปี สอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อสอบติดก็จะต้องไปเรียนรวมกับนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของเหล่าทัพอื่น ณ โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นเวลา 3 ปี ก่อนแยกย้ายกันไปศึกษาต่อในโรงเรียนเหล่าทัพของตนต่ออีก 4 ปี จึงจะสำเร็จการศึกษา

    เท่าที่ทราบ ตอนนี้มีทั้งหมด 5 เหล่า ก็คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และก็ตำรวจน้ำครับ

    อันดับต่อมาคือ พวกที่เป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน วุฒิขั้นต่ำ ม.6 อายุไม่เกิน 25 ปี อายุราชการไม่ต่ำกว่า 1 ปี สอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจโดยตรง เมื่อสอบติดก็จะได้เรียนพร้อมกับนักเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจที่ขึ้นเหล่ามาในปีนั้นๆ

    พอจะมองภาพออกมั้ยครับ

    พวกที่มาจากเตรียมทหารจะมีประมาณ 180 นาย ส่วนพวกที่มาจากนายสิบจะมีรุ่นหนึ่งประมาณ 40 นาย

    ด้วยช่วงอายุที่ต่างกันประมาณ 2-5 ปี พวกหลังมักจะถูกเพื่อนๆเรียกว่า “ป๋า” ครับ

    แต่ในโรงเรียนนี้จะเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “ตำรวจเก่า”

    ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่ผมก็เป็น 1 ใน 40 ผู้เฒ่านี้ด้วย

    ((อยากจะกระซิบดังๆว่าถึงจะเป็นป๋า แต่ก็เด็กสุดนะคร๊าบ))

    สำหรับผมแล้ว ก็ถือว่าอายุยังไม่ห่างจากเพื่อนเตรียมฯมากนัก เพราะผมเกิดธันวา 28 เกณฑ์มาตรฐานของเพื่อนเตรียมฯจะอยู่ที่ประมาณปี 30-31 มี 32 โผล่มาบ้างคนสองคนครับ

    เอาล่ะ...พอแค่นี้ละกัน สำหรับเรื่องแก่ๆ มาเข้าเนื้อหากันดีกว่า ((ฟังดูช่างเคร่งเครียด))

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    คิดยังไงถึงเป็นตำรวจ?

    คำถามนี้ค่อนข้างอมตะครับสำหรับ นรต.อย่างพวกผมที่มักจะถูกตั้งคำถามนี้อยู่บ่อยๆ แม้แต่ตัวเอง อยู่ว่างๆ คิดท้อแท้น้อยใจในโชคชะตา คำถามบ้าๆนี่มันก็มักจะผุดขึ้นมาเสมอ

    สำหรับผมแล้ว...ผมไม่เคยคิดเลยครับว่า “อยากจะเป็นตำรวจ”

    ผมเกิดมาและผูกพันกับทหารมากกว่าอาชีพไหน พ่อผมเป็นทหารเสือราชินี ส่วนแม่เป็นเมียทหารเสือ(???)

    จำได้ว่าตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ...ทุกครั้งที่ผมแอบได้ยินพ่อคุยกับใครๆเรื่องรบราฆ่าฟัน ผมจะสนใจเป็นพิเศษ บางครั้งก็จะค่อยๆกระดื๊บ...กระดื๊บเข้าไปนั่งฟังใกล้ๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนา

    พ่อเป็นวีรบุรุษในใจผมเสมอ ผมภูมิใจมากครับที่มีพ่อเป็น“นักรบ”

    เขาค้อ หล่มสัก หินร่องกล้า ตาพระยา ร่มเกล้า และอีกหลายๆสมรภูมิที่ผมจดจำชื่อได้ไม่มีวันลืม ซึ่งพ่อผมล้วนผ่านการรบมาอย่างโชกโชน

    เวลาที่พ่อคุยกับเพื่อนหรือลูกน้อง ก็มักจะอวดแผลที่ต้นขาบ้าง กลางหลังบ้าง ซึ่งล้วนเป็นร่องรอยจารึกแห่งความกล้าหาญ

    “เอ็งเห็นรอยนี่มั้ย?” พ่อผมถามลูกน้อง พร้อมถลกขากางเกงด้านซ้ายขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดเท่ารูกระสุนปืน

    “โห...โดนอะไรมาครับพี่” ลูกน้องพ่อสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นร่องรอยเป็นประจักษ์พยานในความกล้าหาญของชายชาตินักรบ

    “จำเมื่อปี 22 ได้มั้ย? ยุทธการผาเมืองเผด็จศึก…ปราบผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์” พ่อยิ้มมุมปาก หน้าตาจริงจัง กำลังจะเล่าถึงประสบการณ์การรบครั้งสำคัญ

    “นี่พี่ปะทะกับข้าศึกแล้วโดนยิงมาเหรอพี่!” ลูกน้องพ่อกล่าวอย่างตื่นเต้นปนยกย่องในความทรหด

    “ป่าว!” พ่อผมตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ท่ามกลางความมึนงงของคู่สนทนา

    จ่าโมทย์ค่อยๆเล่าที่มาของแผลแห่งสงครามอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “กูเมา...แล้วเพื่อนกูเอาบุหรี่จี้”

    !!!

    จบข่าวครับ...นี่แหล่ะสไตล์พ่อผม

    ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ว่าถ้าหนังสือเล่มนี้อ่านไปอ่านมาชักกวนประสาท มันเกิดจากอะไร

    เชื้อพ่อแรงครับ...

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    ครับ...ด้วยความที่ผมเป็นลูกทหาร ภูมิใจในตัวพ่อที่เป็นนักรบผู้กล้าหาญ เป็นทหารองครักษ์ของสมเด็จพระราชินีฯ

    ผมเห็นเครื่องแบบทหารมาตั้งแต่เล็กๆ แน่นอนครับว่า เด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างผมก็ย่อมต้องมีความใฝ่ฝันที่จะเป็น “ทหาร” ตามอย่างพ่อ

    เวลานั่งรถไปกับพ่อผมชอบให้พ่อเล่าเรื่องที่ไปรบมาให้ฟัง

    ตอนเด็กๆ ใครเล่าอะไรให้ฟังเราก็เชื่อไปหมด

    เชื่อกระทั่งว่าสมัยโบราณเต่ากับกระต่ายคุยกันรู้เรื่อง...

    พอโตมา เริ่มมีสมอง เริ่มแยกแยะได้ เรื่องที่ใครต่อใครพูดกรอกหูเรา อะไรจริง อะไรโกหก

    แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามการเจริญเติบโตของผม ก็คือ...

    เรื่องที่พ่อเล่า ยังคงเหมือนเดิมทุกฉากทุกตอน ยังมีสีสันและตื่นเต้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    นี่แหล่ะครับ...ที่ทำให้ผมเชื่อสนิทใจ...ว่าพ่อผมเป็นนักรบตัวจริง ผ่านการรบมาจริง เล่าเรื่องจริง ไม่อิงนิยาย

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    ช่วงประมาณ ม.4-ม.5 ผมไปติวกวดวิชาเข้าโรงเรียนเตรียมทหารอยู่ 2 ปีเต็มๆ แต่ก็พลาดโอกาส สอบไม่ติดหมดสิทธิ์เป็นทหาร ((ก็ได้แต่แอบปลอบใจตัวเองว่า “โรงเรียนเตรียมทหารเค้าคงไม่รับคนหน้าตาดี...))

    ผมเรียนต่อจนจบ ม.6 ช่วงนั้นชีวิตเคว้งคว้างและสับสนมากครับ มีหลายทางให้เลือกเดิน ผมเรียนสายวิทย์มา แต่ก็เพื่อใช้สอบเตรียมทหาร ไม่ได้เรียนวิทย์เพื่อที่จะไปเป็นหมอ เป็นวิศวกร

    ตอนสอบ Entrance ผมก็ลงสอบแต่วิชาของสายศิลป์ เพราะไม่อยากปวดหัวกับสูตรฟิสิกส์ สัญลักษณ์ทางเคมี และทฤษฎีทางชีววิทยา

    ช่วง Ent เพื่อนๆผมเคร่งเครียดกับการอ่านตำราเตรียมสอบวิชาจำพวกอธิบายกฎธรรมชาติ

    โยนอีนี่ขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเร็วต้นเท่านี้ มีความเร่งเท่านี้ ค่าความโน้มถ่วงเท่านี้ อยากทราบว่าอีนี่จะตกถึงพื้นเมื่อไหร่

    มึงจะรู้ไปทำไมครับ!?!?

    ในขณะที่เพื่อนกำลังใช้สูตร v2=u2+2as ผมก็นั่งอ่านภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทย์กายภาพ และก็สังคม ซึ่งล้วนแล้วแต่เรื่องง่ายๆใกล้ๆตัว

    ผมยังจำได้อยู่เลยครับ วันที่ไปสอบวิชาภาษาไทย ผมถามเพื่อนผมคนนึงว่าได้เตรียมตัวสอบวิชานี้มาแค่ไหน

    เพื่อนผมตอบทันควัน “อ่านทำไมภาษาไทย ภาษาพ่อ ภาษาแม่”

    พออีกวัน สอบภาษาอังกฤษ ผมก็ไปถามเพื่อนคนเดิม เรื่องเดิม มันก็ตอบว่า

    “อ่านทำไมภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่”

    อืม...

    ภาษาพ่อมึงก็ไม่อ่าน ภาษาแม่มึงก็ไม่อ่าน ขอให้เจริญๆนะครับ

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    ผลสอบ Ent ออกมาเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง ผมสามารถเลือกคณะดีๆ มหาวิทยาลัยดีๆได้หลายที่

    ในขณะที่เพื่อนผมหลายๆคนที่ไปมุ่งมั่นกับวิชาทางวิทย์มากเกินไป ต้องเศร้าสลดไปตามๆกัน เมื่อคะแนนออกมา วิทย์ก็ไม่ดี ศิลป์ก็ไม่ได้เรื่อง

    ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากครับสำหรับเด็กไทยเรา

    เด็กไทยจำนวนมาก ค้นหาความฝันของตนเองไม่เจอ

    ช่วงชีวิตหลังจากจบ ม.3 เป็นช่วงที่สำคัญมากครับ ถ้าใครคิดไม่ออก หรือค้นหาความฝันของตัวเองไม่เจอก่อน จบ ม.3 ว่าอยากเป็นอะไร อยากเรียนอะไร เด็กคนนั้นจะเข้าสู่วงจรอุบาทว์ทันที

    จะเริ่มถูกสังคมและสิ่งแวดล้อมหัดให้จำกัดความคิดของตนเองทันที

    เห็นคนอื่นเรียนอะไรกันก็แห่ไปเรียนกับเขา ทั้งๆที่ตัวเองไม่ถนัด

    เห็นคนอื่นสอบอะไรก็แห่ไปสอบกับเขา ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีความรู้

    อันนี้ผมเห็นมากับตา...

    เพื่อนผมหลายคนเรียนสายวิทย์เพราะมีคนบอกว่าเรียนสายวิทย์มันไปได้กว้างกว่า บ้างก็บอกว่าเรียนสายวิทย์แล้วจะเก่งกว่าสายศิลป์

    ก็ทนกล้ำกลืนฝืนเรียนกันไปจนจบ ม.6 สายวิทย์ด้วยเกรดเฉลี่ยกระท่อนกระแท่น

    เห็นบรรดาเพื่อนเก่งๆจะ Ent เข้าหมอ เข้าวิศวะ ก็ไป Ent ตามเขา

    เพราะตอนนี้เริ่มเกิดความคิดขึ้นมาแล้วว่า “กูเรียนสายวิทย์มา กูก็ต้อง Ent สายวิทย์สิวะ”

    หารู้ไม่...นั่นแหล่ะ สูตรสำเร็จของวงจรอุบาทว์...วงจรแห่งคนไม่รู้จักค้นหาตัวเอง

    ผลสรุปสุดท้าย คะแนนวิทย์ก็ไม่ดี คะแนนศิลป์ก็ไม่ได้เรื่อง เข้าที่ไหนก็ไม่ได้

    แล้วก็มานั่งเสียใจว่า “ทำไมกู Ent ไม่ติด”

    มึงจะติดได้ยังไง มึงอยากเรียนตามคนอื่น มึงไม่ได้อยากเรียนตามความฝันที่แท้จริงของมึง

    เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องของความคิด ความฝัน จินตนาการนี่สำคัญมากครับ

    ต้องค้นหาตัวเองให้เจอก่อนที่จะเลือกดำเนินชีวิต

    ต้องคิดถึงผลลัพธ์ก่อน แล้วค่อยควบคุมชีวิตให้มันมุ่งไปหาผลลัพธ์

    อันนี้ฝากไว้ครับ

    ((จะเปลี่ยนแนวหนังสือไปเป็นแนวจิตวิทยา+ปลุกระดมดีมั้ยครับ แฮ่ะๆ))

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    ชีวิตนักศึกษาของผมเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ครับ

    ที่นี่บรรยากาศดีมาก เป็นที่ตั้งของพระราชวังสนามจันทร์ ที่ประทับของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6

    ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนมา 12 ปีเต็มๆ ตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.3 เรียนที่อัสสัมชัญสำโรง ม.ปลายเรียนที่ปทุมคงคา ไม่เคยเรียนกับผู้หญิงเลย

    แล้วตอนนี้ต้องมาเรียนคณะผู้หญิง พูดถึงชื่อคณะก็รู้ทันทีว่าเป็นคณะของผู้หญิง

    อักษรศาสตร์!!

    การปรับตัวเข้ากับเพื่อนผู้หญิงช่วงแรกนี่ลำบากมากครับ เพราะเราไม่เคยเห็น ไม่เคยนั่งเรียนด้วย ไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิง

    เห็นเพื่อนขยับตัวนิดหน่อยเป็นต้องมอง สมาธิเตลิดเปิดเปิงหมด แต่ไม่ได้คิดอะไรลามกจกเปรตนะครับ อารมณ์ตอนนั้นมันเขินๆปนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แล้วก็มักจะเผลอทำอะไรเปิ่นๆออกมาบ่อยๆด้วย

    แต่อยู่ไปอยู่มา พอเริ่มปรับตัวได้ คราวนี้ล่ะครับ สาวแตก!

    กิริยาท่าทางของเพื่อนๆผมมันซึมซับเข้ามาในตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเพื่อนเรียก “เจ๊”
    ไม่ได้ครับ...แบบนี้เสียหาย...

    ช่วงแรกๆเพื่อนในกลุ่มผมมีประมาณ 30 กว่าคน มีผู้ชายแค่ 3 คน ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด พออยู่ไปอยู่มา เริ่มมีอาการที่เค้าเรียกกันเชิงชีววิทยาว่า “ติดสัด”

    เริ่มมีข้าศึกเข้าตี เพื่อนสวยๆหน้าตาดีๆเริ่มมีคู่ ค่อยๆหายไปทีละคนสองคน

    ว่าแต่คนอื่นล่ะ...ผมก็ติดสัดเหมือนกัน

    ก็แหม...สาวเหนือนี่มันงามบาดใจ ผมเป็นประเภทเห็นสาวเหนือไม่ได้ครับ ไม่รู้เป็นอะไร สงสัยชาติก่อนจะเป็นขุนศึกกรุงศรี ไปตีได้เมืองเหนือ ชาตินี้ก็เลยรู้สึกผูกพันกับภาคเหนือเป็นพิเศษ

    แต่ท้ายที่สุดก็แห้วครับ...

    เพราะแสดงความจริงใจออกนอกหน้านอกตาไปนิดส์นึง

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    ชีวิตเด็กมหาลัยสอนอะไรผมหลายเรื่องครับ

    สอนการใช้ชีวิต การให้เกียรติ สอนจิตวิทยา สอนศิลปะด้วยในบางครั้ง
    ตอนที่ผมนั่งดู “เดี่ยว 7” ของพี่โน้ส อุดม

    อีตอน “อาร์ตตัวแม่” เนี่ยครับ เห็นสัจธรรมเลย ผู้หญิงเป็นอย่างนั้นทุกคน

    พวกเธอดำรงอยู่เหนือจินตนาการและเหตุผลเสมอ…

    บางครั้งการที่เราพูดอะไรลอยๆ ก็ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ศิลปินบางคน เก็บเอาคำพูดของเราไปจินตนาการ ไปตีความเข้าข้างตัวเอง แล้วก็มาทำยิ้มพริ้มพราย เพ้อเจ้อไปตามเรื่องตามราว

    พอรู้ว่าที่เราพูดไม่ได้หมายถึงตัวเอง ก็มาโกรธมาเคือง พาลเกลียดขี้หน้ากันไปอีก

    อะไรของมึ๊ง?!?

    คิดเอง เออเอง แล้วยังมีหน้ามาโกรธกูอีก

    ครับ...หลากหลายเรื่องราว หลากหลายประสบการณ์ที่ได้จากการเป็นนักศึกษามันทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจ มันทำให้ผมได้รู้อะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่เคยได้รู้ และที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ผมได้ skill มาจากการเป็นนักศึกษาก็คือ

    “จิตวิทยาเพศ” ครับ

    มันทำให้ผมค่อนข้างเดาทางคนได้ถูกในหลายๆสถานการณ์ และได้รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ชนะใจคน

    อูยยยยย...ฟังดูลึกลับ

    ถึงกระนั้นก็ตามครับ แม้ชีวิตเด็กอักษรจะทำให้ผมมีความสุข จนลืมความฝันตัวเองไปชั่วขณะ แอบคิดอยากไปเรียนต่อให้จบๆไปแล้วก็หางานทำตามแบบฉบับของสังคม
    แต่ผมก็ยังอดนึกไม่ได้ครับว่า “จริงๆแล้วผมอยากทำอะไร”

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    หลังจากที่ผมพลาดโอกาสการเป็นนักเรียนนายร้อยทหารดังที่ได้เคยตั้งใจไว้เมื่อ 2-3 ปีก่อน

    ช่วง ม.6 ผมหาข่าวเกี่ยวกับการสอบนายสิบทหารอีก

    เพราะยังไง๊ ยังไงก็อยากเป็นทหารอยู่ดี

    แต่บังเอิญจริงๆครับ เมื่อได้ไปรู้ว่ามา “นักเรียนพลตำรวจ” สามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจได้จนอายุ 25 ปี แล้วก็รับจำนวนหลายสิบคนในแต่ละปี

    ไม่เหมือนนายสิบเหล่าทหารที่สอบเป็นนักเรียนนายร้อยได้ครั้งเดียว เอาแค่ไม่กี่คนเองด้วย

    ซ้ำร้าย...เหล่าทหารบกนี่ถ้าสอบได้แล้ว ต้องกลับไปเรียนเตรียมทหารใหม่อีก 3 ปี

    แม่เจ้า...ลองนึกดูสิครับ เสียเวลาชีวิตไปเท่าไหร่

    ช่วงนั้นก็เลยเริ่มเบนความคิดจากทหารเป็นตำรวจทีละนิด ทีละนิด เพราะถึงแม้จะอยากเป็นนักเรียนนายร้อยทหารแค่ไหน แต่ก็เสี่ยงเกินไป

    พลาดแล้ว พลาดเลย เกษียณจ่าสิบเอกเหมือนพ่อแน่ๆ
    ช่วง ม.6 ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับตำรวจ เริ่มรู้อะไรดีๆของการเป็นตำรวจ เริ่มรู้ว่านอกจากตำรวจที่เราเห็นตามสี่แยก ก็ยังมีตำรวจอีกมากมายหลายหน่วยงานที่น่าเข้าไปสัมผัส น่าเข้าไปทำงาน

    ตำรวจนี่หน้าที่เยอะมากครับ เหมือนเป็นสหวิชาชีพในอาชีพเดียว...

    ทำหน้าที่ทหารบก ก็ ตำรวจตระเวนชายแดน
    ทำหน้าที่ทหารเรือ ก็ ตำรวจน้ำ
    ทำหน้าที่ทหารอากาศ ก็ กองบินตำรวจ
    ทำหน้าที่หมอ ก็ แพทย์-พยาบาลตำรวจ
    ทำหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ ก็ กองพิสูจน์หลักฐาน
    ทำหน้าที่ครู ก็ อาจารย์โรงเรียนนายร้อย โรงเรียนนายสิบ
    ทำหน้าที่นักกฎหมาย ก็ พนักงานสอบสวน
    ทำหน้าที่นักสืบ ก็ ตำรวจสายสืบ
    ทำหน้าที่สัตวแพทย์ ก็ ตำรวจหมา
    ทำหน้าที่คาวบอย ก็ ตำรวจม้า
    ฯลฯ
    เยอะแยะมากมายจริงๆครับ

    ศึกษาเรื่องของตำรวจมากเข้า มากเข้า ก็เริ่มชักจะอยากเป็นตำรวจขึ้นมา

    ความคิดอยากเป็นทหารก็ค่อยๆหมดไป...

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    จนกระทั่งเดือนตุลา 2549 ขณะที่ผมเพิ่งสอบปลายภาคเทอม 1 ที่คณะเสร็จ

    โรงเรียนตำรวจนครบาลก็เปิดรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจ หลักสูตร 1 ปี

    ผมก็ไปสมัคร สอบข้อเขียน สอบวิ่ง-ว่ายน้ำ ตรวจร่างกาย ตรวจประวัติ

    ก่อนสอบข้อเขียน หนังสือไม่อ่าน นั่งสวดมนต์อย่างเดียว

    จุดธูปบอกเสด็จพ่อ ร.5 กับเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯว่า “ถ้าเส้นทางตำรวจเป็นเส้นทางของลูกจริงๆ ขอให้สอบติดโดยที่ไม่ต้องอ่านหนังสือเลย”

    ประกาศผลสอบ...

    ได้คะแนนอันดับที่ 4 จากคนสอบทั้งหมด 4,000 กว่าคน

    อืม...ของท่านแรงจริงๆ

    พอประกาศผลสอบปุ๊บ ก็ร่ำลาเพื่อนๆอักษร

    เพื่อนบางคนเคือง ไม่พูดด้วยก็มี

    บางคนยินดีสรรเสริญ “มึงน่าจะไปได้ตั้งนานแล้ว”

    สาวๆร้องไห้ทั้งคณะ ((เว่อร์ปายยยยย))

    ครับ...ตัดสินใจทิ้งชีวิตเด็กมหาลัย ก้าวเข้าสู่การเป็นนักเรียนตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นับตั้งแต่นั้น...

    หนึ่งปีผ่านไป ผมติดยศสิบตำรวจตรีบรรจุรับราชการที่กองบินตำรวจในตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ มีโอกาสได้ไปอยู่หน่วยบินตำรวจที่ต่างจังหวัดหลายครั้ง ทั้งลำปาง ทั้งนครสวรรค์

    เป็นตำรวจเด็กน้อย พกปืนตั้งแต่อายุยี่สิบ ตอนนั้นคิดว่าโลกของเรานี้ช่างยิ่งใหญ่...

    เด็กอายุเท่าเราคงไม่มีใครต้องมารับผิดชอบชีวิตประชาชนเหมือนอย่างเรา คงไม่มีใครได้มาเดินพกปืนหราอยู่แบบนี้...แหม...คิดไปคิดมา ข้านี่โก้จริงๆ

    โถ...ไอ้ตำรวจเด็ก รอดตีนจิ๋กโก๋มาได้ก็บุญแล้วมึง...

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    http://benzcadet.hi5.com
    http://benzcadet64.blogspot.com


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×