ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บนทางเดินที่ไม่สมหวัง

    ลำดับตอนที่ #5 : สามแยกรัก

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 49


              ในวันนั้นดูท่าอิทธิเองจะทานข้าวนานกว่าปกติร่วมเกือบชั่วโมงกับอาหารจานที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่อาหารตานี่สิช่างยากที่จะทานให้หมดลงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เขาอยากจะเก็บภาพนั้นไว้ให้นานๆ ไม่นานนักเวลาก็ล่วงเลยจนแสงแดดเริ่มลดกำลังการแผดเผาไปบ้างแล้ว
        
         “คุณค่ะ นี่มันบ่ายสองแล้วนะ คุณเริ่มทานอาหารตั้งแต่ยังไม่เที่ยงเลยจนตอนนี้ยังทานไม่หมดอีก” นิดกล่าวขึ้น
         “ครับ” อิทธิกล่าวเพียงสั้นพร้อมกับทอดสายตาที่หวานหยดเยิ้ม
         “ครับ…ครับ…ก็มันนานแล้วน่ะสิ ฉันไม่ได้ไล่คุณนะ แต่คุณไม่ได้มีธุระอื่นหรือไงค่ะ ถึงมานั่งทานข้าวกลางวันอยู่ร่วมสองชั่วโมงเนี๊ย” นิดพูด

    *****************************

              อิทธิยกมือข้างที่มีนาฬิกา แล้วก็มองดูเวลาที่มันบอกเวลาว่าบ่ายสองกว่าๆแล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะเขาออกจากบ้านโดยที่แม่เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนอยู่เกือบครึ่งค่อนวันแล้ว “เออ จริงด้วย ผมคงต้องไปก่อนนะครับ” อิทธิพูดพร้อมทั้งลุกพลุนพลันขึ้น

         “ค่ะ….งั้นโชคดีนะค่ะ” นิดกล่าว
         “ครับผม….ขอบคุณสำหรับที่คุณเลือกอาหารจานเด็ดให้ผมทานนะครับ” อิทธิพูดพร้อมรอยยิ้มที่มีเล่ห์นัย
         “ไม่เป็นไรค่ะ” นิดพูดพร้อมส่งรอยยิ้มแป้นแล๊นให้กับอิทธิก่อนที่อิทธิจะเหลียวหลังออกไปจากร้าน

    ******************************

              อิทธิเหลียวหลังให้กับกับนิดก็ต้องถึงกับยิ้มหน้าบานเดินออกจากบ้านและเขาคิดว่าเขาต้องมาเป็นลูกค้าที่นี่ประจำอย่างแน่ๆ เขาเดินออกไปจากบ้านก็เดินยิ้มไปจนสุดทางมองดูเวลาที่เครื่องมือที่บอกเวลาที่แขวนอยู่ที่มือก็รู้ว่าเขาถึงเวลาแล้วที่จะกลับบ้านเพราะเขาเป็นนกที่ยังไงก็ต้องกลับไปที่รังทองจนได้ ด้านนิดหลังจากที่อิทธิเองเหลียวหลังออกจากร้านไปเธอเดินมาพิงกระจกบานใหญ่ที่เป็นเสมือนที่รองรับเธอได้ขณะนี้ เธอรู้สึกเหนื่อยกว่าทุกวันเมื่อเธอดันรู้สึกที่ดีถึงดีมากกับลูกค้าที่เข้ามาบริการเพียงครั้งเดียว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า แต่ที่เธอรู้แน่ๆถ้าไม่อยากสานต่อความสัมพันธ์นั้นอีก เพราะเธอรู้ตัวเธอเองว่าเธอนั้นเป็นใครมีอาชีพอะไรในเบื้อกลึกที่เขาไม่รู้ มีผู้ชายกี่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอ คนอย่างเธอนั้นจะมีใครล่ะที่คิดจะจริงจัง ถ้าคนนั้นไม่ได้เป็นบ้าไปเสียก่อน
     
              อิทธิเดินจนมาถึงบ้านหลังโตของเขามองดูท่าทางบ้านจะเงียบสงสัยแม่ขอเขาคงออกไปพบปะเพื่อนฝูงกับเพื่อนๆ เขาจึงค่อยๆเดินย่องเข้าไปในบ้านเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเขาเพิ่งกลับมา

         “ว่าไง ตะอิทธิไปถึงไหนล่ะ ถึงกลับมาป่านนี้” กฤษฎีพูดขึ้นมาหลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องครัว 
         
    อิทธิสะดุ้งตัวโหยงเมื่อได้ยินเสียงของแม่ของเขาในน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก เขาจึงหยุดเดินแล้วหันมาตอบแม่ของเขาแต่โดยดี “ไปเดินเล่นมาครับ” อิทธิตอบด้วยเสียงอ่อยๆ
         “ที่บอกว่าเดินเล่นน่ะแม่ก็รู้ แต่บอกให้แม่ขอรู้หน่อยไม่ได้หรือไงว่าลูกจะไปตรงไหนของกรุงเทพฯ” กฤษฎีพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
         อิทธิเดินเข้าที่ที่ข้างหลังของแม่แล้วก็สวมกอดรัดอย่างแน่นก่อนที่จะพูดอะไรออกมา “โธ่…แม่ครับ ตัวของผมเองทุกครั้งที่จะออกไปใช่ว่าผมจะรู้จุดหมายปลายทางของตัวเองเลยนิ”
         “อืม…” กฤษฎีตอบเลี่ยงไปเพราะทนการกระล่อนของลูกของเธอไม่ได้
         “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” อิทธิพูดจบก็รีบเดินแต่ก็ไม่ทันกี่ก้าว
         “อิทธิ เดี๋ยวก่อนลูก” กฤษฎีเรียก ทำให้อิทธิเองต้องหยุดชะงัก
         “มีอะไรหรือครับ” อิทธิถาม
         “แม่จะให้ลูกช่วยอะไรแม่หน่อย” กฤษฎีกล่าว
         อิทธิเดินเข้ามาใกล้ๆแม่ของเขา พยายามตั้งใจฟังในสิ่งที่แม่ของเขาจะให้ช่วย “ได้สิครับ…แล้วอะไรล่ะครับที่แม่จะให้ผมช่วย”
         “คือแม่จะให้ลูกเอาของไปให้คุณนายละเอียดหน่อยน่ะจ๊ะ” กฤษฎีกล่าว (คุณนายละเอียดเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของกฤษฎี ไม่แปลกที่เธอจะเอาของไปเยี่ยมเยียนกันบ้าง)
         “ได้สิครับ เมื่อไรล่ะครับ” อิทธิถาม
         “เย็นนี้น่ะ” กฤษฎีกล่าว
         “งั้น ห้าโมงเย็นผมลงมาเอาของละกันนะครับ” อิทธิพูดก่อนที่จะเดินขึ้นห้องไปได้จริงๆเสียที

    *****************************

              มาทางด้านของนิดกันบ้าง เธอเองเลิกงานจากที่ร้านอาหารอยู่ประมาณบ่ายสามโมงเย็น ก่อนที่จะไปกลับสู่รังนอนของเธอ เป็นห้องที่ดูแคบๆ แต่ก็ราคาถูก เธอทำทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์เดียวจริงๆ นั่นก็คือ การหลุดพ้นกับขุมนรกเหล่านั้น ที่มีแต่สิ่งกามาน่ารังเกลียดน่าขยะแขยงทุกครั้งที่เธอเริ่มปฏิบัติทำงาน เธออยากออกมาหางานทำที่ดีดีเหมือนกับผู้อื่นเขาบ้างแต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะเธอก็อยากมีใครดูแลเธอเป็นตัวเป็นตนอยู่จนแก่จนเฒ่าแต่เธอก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากได้ศรีภรรยาที่มีอดีตเป็นคนขายตัวมาก่อนนักหรอก เธออยากออกจากที่นั่น สังคมแบบนั้นและให้ความลับอันนี้ให้มันตายตามเธอไป ความรักของเธอในตอนนี้นั้นมันทำให้เธอสับสนและว้าวุ่นใจไปไม่น้อย มันไม่ต่างอะไรกับทางแยกระหว่าง ทางหนึ่งที่สดใสสุกสกาวสดใสสำหรับเธอ แต่อีกทางหนึ่งก็เป็นเหมือนที่นอนนุ่มๆที่คอยโอบอุ้มร่างเธออยู่ตลอดมาและที่นอนนี้มันจะเก่าแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดจะทิ้งมันเลย มันยากนักที่เธอต้องเลือกทางเดินที่มันแยกไปคนละสายเมื่อเธอต้องยืนอยู่ที่จุดที่เธอเองต้องเลือก

              เธอนอนเหยียดกายเต็มร่างของเธอเพื่อเป็นการพักผ่อนเพียงชั่วครู่ชั่วยาม เธอเหนื่อยกับหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง อยากจะพักผ่อนบ้างแม้เพียง ห้าถึงสิบนาทีก็อาจทำให้เธอนั้นมีเรี่ยวแรงที่จะไปต่อสู้ และจะเดินในวันต่อๆไป ในเส้นทางที่เธอไม่ได้ตั้งใจเลือกมัน แต่เธอก็ต้องรับผิดชอบมันในเวลาเดียวกัน สักพักเธอค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นเบาๆ เพ่งเล็งไปที่นาฬิกาเรือนน้อย มันแสดงเวลา บ่ายสามโมงครึ่ง เธอก็รีบลุกออกจากที่นอน และเตรียมตัวที่จะไปเรียน กศน. และกว่าจะเลิกเรียนก็ประมาณ ทุ่มกว่าๆ แล้วสามทุ่มเธอก็ต้องตรียมตัวไปในที่ที่เธอเองไม่อยากไปแล้วก็เลิกงานก็เกือบๆตีสองแปดโมงก็ตื่นไปทำงานที่ร้านอาหารอีก ชีวิตที่วนเวียนอยู่เพียงแค่นี้จริงๆ 
     
              อิทธิ จากที่รับปากแม่ของเขาเอาไว้ว่าจะนำของบางอย่างไปฝากให้กับคุณนายละเอียด ผู้เป็นเพื่อนสนิทของแม่ของเขา กว่าจะเสร็จธุระให้แม่ของเขาก็เกือบจะทุ่มเต็มที แต่เขาเองยังไม่อยากกลับบ้าน ก็เลยได้แต่ตระเวนหาที่ที่มีบรรยากาศร่มรื่นและเงียบ เขาขับรถลัดเลาะไปตามซอยเล็กๆ จนเห็นอยู่ที่ที่หนึ่ง มันเป็นโรงเรียนที่สอน กศน. โดยเฉพาะ บรรยากาศภายในพอใช้ได้ เขาเลยไม่ลังเลที่จะตัดสินใจที่จะเข้าไปเยี่ยมชมมัน จอดรถอยู่ไต้ต้นไม้ต้นใหญ่และไขกระจกลงเล็กน้อยเพื่อรับลมจากธรรมชาติมันกำลังเย็นใช้ได้เลยทีเดียว อิทธิค่อยๆปรับเบอะให้เอนลงเพื่อที่จะทอดกายลงไปในเบอะนุ่มๆรับลมเย็นๆไม่มีอะไรจะสบายไปกว่านี้อีกแล้ว สายตาก็กวาดเข้าไปในกระจกหลัง ภาพที่พบบนกระจกนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าคุ้นมากๆ เลยเพ่งให้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้งก็รู้แล้วว่า เธอคือคนเดียวกันกับสาวเสิร์ฟที่เขาตกหลุมรักหลุมเบ่อเร่อจากที่ต้องนอกพักรับลมก็เลยต้องเปลี่ยนโปรแกรมทันที

              อิทธิค่อยๆถอยรถไปเทียบข้างฟุตบาตตรงที่นิดยืนอยู่ เมื่อนิดเห็นรถคันหนึ่งมาจอดเทียบข้างเธอก็สงสัยว่าใครจะเข้ามาทักเธอเพราะตรงนั่นไม่มีใครแม้แต่เธอยืนอยู่หรือเขาจะแค่เข้ามาจอดรถตรงนี้เฉยๆ แต่บริเวณตรงนี้ก็ห้ามจอดรถอยู่ด้วย จากนั้นรถคันนั้นก็ค่อยๆไขกระจกลงอย่างช้าๆ ทำให้เห็นหน้าคนขับอย่างชัดเจน

         “สวัสดีครับ” อิทธิทักทายก่อน
         “เอ๊ะ! คุณนี่” นิด กล่าวด้วยท่าทางที่สงสัย
         “อิทธิครับ…อิทธิรงค์ครับ” อิทธิ พูดพร้อมรอยยิ้มแล้วก็กล่าวต่อไป “โลกกลมนะครับ”
         “ค่ะ…ว่าแต่คุณเองเถอะมาทำอะไรค่ะ” นิดถาม
         “ผมมาทำธุระอะไรนิดหน่อยแถวนี้…ให้แม่ผมน่ะครับ ก็เลยขับรถผ่านมาตรงนี้เห็นตรงนี้ดูร่มรื่นดีเลยมาแวะเวียนหน่อย ว่าแต่คุณ….เอ๊ะ!ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยนิ” อิทธิกล่าว
         “นิดค่ะ” นิดกล่าว
         “ครับ…คุณนิดคุณมาทำอะไรล่ะครับ” อิทธิเป็นฝ่ายถามบ้าง
         “ฉันเรียน กศน. ที่นี่ค่ะ” นิดกล่าว
         “ครับ…แล้วเรียนไปถึงไหนแล้ว” อิทธิพูดออกมาโดยไม่มีท่าทีรังเกียจรังงอนผู้หญิงคนนี้เลย
         “ใกล้จบ ม.6 แล้วค่ะ” นิดกล่าว
         “อย่างงั้นคงต้องแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยละกันนะครับ” อิทธิกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่แป้นยิ้ม ทำให้คนอื่นภายนอกรู้ทันทีว่า เขาเป็นคนคิดอย่างไรก็จะแสดงออกอย่างนั้น
         “ขอบคุณค่ะ” นิดพูดด้วยรอยยิ้มกลับ
         “เออ…แล้วคุณนิดกำลังจะไปไหนล่ะครับ” อิทธิถาม
         “ก็กลับบ้านสิค่ะ…เพราะนี่ก็เลิกเรียนแล้วค่ะ” นิดพูด
         “งั้น…มาครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง” อิทธิ พร้อมเปิดล็อคประตู
         “ไม่ดีกว่าค่ะ เกรงใจน่ะค่ะเป็นอะไรกันทำไมต้องไปส่งกันด้วย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านคุณกับบ้านฉันอยู่ห่างกันหรือเปล่า ถ้าห่างกันขึ้นมาคุณต้องตีรถกลับไกลเลยนะ เปลืองค่าน้ำมันคุณด้วย” นิดกล่าวอะไรได้ก็กล่าวแบบคนซื่อๆ
         “มาเถอะครับ อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนกันนิครับ เพื่อนไปส่งเพื่อนถึงจะไกลเท่าไหร่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเลยนิครับ” อิทธิพูดเชิงชักแม่น้ำทั้งห้า
         “ถ้าอย่างนั้น ก็ได้ค่ะ” นิดพูดจบก็รีบวิ่งขึ้นรถของอิทธิ ก่อนที่อิทธิเองจะขับรถออกไปจากที่ที่ตรงนั้น

    ******************************

              หลังจากที่รถเคลื่อนไปจากที่บริเวณนั้น อิทธิก็ไม่ลืมที่จะชวนนิดคุยไปในเรื่องสัพเพเหระ อิทธิไม่กล้าจะเข้าไปล้วงชีวิตส่วนตัวของนิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาให้เกียรติกับผู้หญิงคนนี้มากๆ ถึงอิทธิถามชีวิตส่วนตัวของนิดก็ตามทีใช่ว่านิดเองจะยอมที่จะเอื่อนเอ่ยตอบเลยด้วยซ้ำ เพราะคำตอบของเธอไม่น่าอภิรมย์เท่าที่ควร คนที่รอฟังคำตอบอาจมีท่าทีที่เปลี่ยนไปก็ได้ จากคนที่รักจนฟ้าดินทลายก็อาจกลายเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงในความน่ารังเกียจของเธอกับสิ่งที่เธอไม่ตั้งใจสร้างมัน
      
              ช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆที่บนท้องถนนระยะไม่ไกลนักจากที่เรียนของนิดไปยังที่พัก สลับกับการจอดรถหยุดนิ่งชั่วคราวเพราะไปแดงที่เป็นเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้วเมื่ออยากเข้ามาในเมืองฟ้าอมร ก็ทำให้เขาและเธอต่างก็รู้สึกดีต่อกันและอยากให้รถนั้นติดไฟแดงให้นานๆกว่าทุกวัน เพื่อที่ทั้งคู่จะเก็บเกี่ยวความสุขเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่พักของนิดจนได้

         “ถึงแล้วครับ” อิทธิหันมาพูด
         “ค่ะ” นิดพูดพลางปลดเข็มขัดนิรภัยอยู่ด้วย
         “ความจริง…ที่พักของคุณก็ไม่ไกลจากที่ที่เรียนคุณเรียนเลยนิ ทำไมแค่นี้ผมจะมาส่งคุณไม่ได้” อิทธิพูดพร้อมกระพริบตาปริบๆเหมือนจะน่ารัก
         “เอาล่ะค่ะ ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากๆนะค่ะคุณ…อิทธิ” นิดกล่าว
         “ถ้าอย่างนั้นผมมาส่งคุณทุกวันเลยนะ” อิทธิกล่าว
         “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ฉันต้องไปก่อนนะค่ะ บายคะ” นิดกล่าวพร้อมเดินลงออกจากรถไป ทำให้อิทธิเองได้แต่ยิ้มอย่างไร้จุดหมาย แล้วถึงค่อยขับรถออกไปจากบริเวณนั้น หลังจากที่อิทธิขับรถพ้นไปจากร่มเงาของที่พักของนิด นิดจึงค่อยๆเดินออกมาจากมุมมืด แล้วถอนหายใจกับตัวเอง พร้อมทั้งพูดในใจกับเธอว่า “เราอย่าได้เจอกันอีกเลยนะค่ะ คุณไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกะฉันอีก ขอให้จบๆกันเพียงแค่นี้เถอะ” เธอถอนหายใจเหือกใหญ่อีกหนึ่งครั้งก่อนที่จะกล่าวต่อไปอีกว่า “กลับสู่โลกแห่งความจริงนะนิด” เธอกล่าวก่อนที่จะก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องเพื่อที่จะเตรียมตัวไปทำงานประจำของเธอ

    *********************************

              เมื่อเธอย่างก้าวเข้ามาในสถานที่ที่เธอรังเกียจมันเธอเองก็ต้องจำใจที่จะเข้าไปอยู่ในตู้กระจกขนาดใหญ่ มันไม่ต่างอะไรกับปลาทองหรือปลาสวยงามประเภทต่างๆ ที่ว่ายไปว่ายมาอยู่ในพื้นที่แคบๆแต่เธอเองไม่มีทางเลือกที่จะออกไปยังตู้ปลาขนาดใหญ่นี้ได้ เพราะออกไปคงไม่ต่างอะไรการถูกบังคับให้ตายเหมือนกับปลาพวกนั้นที่จะขาดน้ำ เธอจึงยินยอมที่จะทำมันด้วยอาการจำใจ เธอลำบากใจไปไม่น้อยที่ต้องคอยอวดรูปร่างของเธอเพื่อให้มีคนมาสนใจในเบอร์ของเธอที่ติดอยู่กับหน้าอก สักพักนิดก็เดินออกมาจากตู้กระจกเพราะมันถึงเวลาที่พวกเหล่าเสือๆแห่กันมาเพื่อยลร่างบางๆของพวกเธอ เพื่อความปลอดภัยสำหรับเธอเธอจึงเลือกเดินออกมาและมันก็เป็นเวลาที่พินิจจะมารับตัวเธอไปเที่ยวเหมือนทุกๆวัน

         “เสี่ยเห็นคุณพินิจไหม นี่ก็สามทุ่มแล้วนะ” นิดพูดไปก็คอยชะเง้อมองหาไปเรื่อยเพื่อที่เธอจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้หิวผู้หญิงเหล่านั้น
         “ลื้อมีตาหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีก็มองหาเองสิทำไมต้องมาถามอั๊วด้วยล่ะ” เสี่ยโกพูดไปก็รำคาญนิดไป
         “โธ่เสี่ย…ถามแค่นิดเดียวเอง” นิดพูดอย่างไม่พอใจนัก
         “อั๊วถามจริงเถอะ…ว่าลื้อหัดรู้จักทำงานเหมือนคนอื่นเค้าบ้างไหม” เสี่ยโกถามพร้อมทั้งชี้นิ้งไปที่ตู้กระจกที่ที่เพื่อนของนิดทำงานอยู่
         “โธ่เสี่ยฉันมีคนที่จะเหมาตัวฉันอย่างเต็มใจ แล้วทำไมฉันต้องคอยไปบำเรอคนอื่นด้วยล่ะ” นิดพูดยังไม่ทันจบก็เห็นพินิจเดินมาแต่ไกล “นั่นไง…คุณพินิจ ไปก่อนนะเสี่ย” นิดพูดไปก็เดินไปหาพินิจโดยทันที
         “สวัสดีค่ะ คุณพินิจ” นิดกล่าวทัก
         “ครับ เราจะไปกันหรือยังครับ” พินิจถาม
         “ก็ไปกันสิค่ะ จะรออะไรอีกล่ะ” นิดพูดจบก็เดินควงออกไป

    ******************************

              เมื่อพินิจพานิดมาที่ร้านสุดหรูแห่งหนึ่ง บรรยากาศต่างๆเป็นใจให้มาทานข้าวยามดึกดื่นค่ำคืน แสงไปสีชาสาดส่องไปทั่ว มันไม่ถึงกับมืดมากแต่ก็ไม่สว่างด้วยเช่นกัน ทุกโต๊ะปูด้วยสีชมพูอ่อนๆ บนโต๊ะมีเพียงเทียนที่มีขนาดยาวเท่าไม้เมตรวางอยู่ พินิจรู้มาอยู่ว่าที่นี่เพิ่งเปิดได้ไม่นานและคนต่างพากันมาทานข้าวกันที่นี่แต่ละวันไม่น้อยกว่าร้อยกว่าคน พินิจสั่งอาหารหลายต่อหลายอย่าง ทุกอย่างก็ล้วนเป็นของโปรดของนิด พินิจสังเกตในความผิดปกติของนิดที่เปลี่ยนไปดูนิดจะชินชากว่าทุกๆวัน ไร้ความรู้สึก เหมือนเธอคิดเรื่องอะไรสักอย่างภายในจิตใจ ความจริงแล้วนิดมัวแต่นั่งนึกถึงเรื่องของเธอในวันนี้ที่มีผู้ขายชื่ออิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเธอนั่นเอง พินิจพยายามเรียกเธอหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเพียงความเงียบงันเท่านั้น

        
    นิดครับ” พินิจเรียกนิดด้วยเสียงดังหลังจากที่ เขาเรียกมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
         “ค่ะ” นิดกล่าวรับพร้อมกับท่าทางที่เล่อหลา
         “ผมเรียกคุณตั้งนานแล้ว คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” พินิจพูดไปก็คอยลูบผมของเธอไปอย่างนิ่มนวล
         “ขอโทษค่ะ สงสัยวันนี้ฉันคงเหนื่อยกว่าทุกวันน่ะค่ะ” นิดตอบกลับไปอย่างไม่สดชื่นนัก
         “คุณคงเรียนมากไปแน่เลย” พินิจพูดด้วยอาการที่เป็นห่วงเป็นใย
         “สงสัยมั้งค่ะ” นิดตอบ
         “คุณเองก็อย่าเครียดมาก ผมเป็นห่วงนะ” พินิจกล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เขาพยายามจับมือของนิดและใช้ปากสัมผัสที่มือของนิดเบาๆ
         “ขอบคุณค่ะ” นิดกล่าวกลับ พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากบางๆ

    ******************************

              พ้นผ่านข้ามคืนนั้น นิดเดินกลับบ้านกับป้าก่ออย่างเช่นเคย แต่เหมือนไม่ใช่นิดอย่างที่เคยเป็น เธอดูเหม่อลอยสายตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ครุ่นคิดหาทางออกที่ดีสำหรับเธอแต่มันก็หาไม่เจอสักเธอ

              เช้าวันรุ่งขึ้นนิดได้ลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าอย่างเร่งรีบเหมือนทุกๆวันเพราะถนนในเมืองกรุงยามเช้าชวนให้คนอารมณ์ดีดียามออกจากบ้านก็กลายเป็นคนอารมณ์บูดก็เป็นได้เมื่อเจอรถที่จอดเรียงรายไม่ขยับเขยื้อนเหมือนกับจอดแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อนิดมาถึงสถานที่ทำงานก็เร่งรีบทำงานแต่มันมากกว่าทุกวัน ดูเธอกระตือรือร้น เพื่อจะใช้เวลาว่างมายืนรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าของร้านซึ่งมีอยู่ทางเดียว

             ลูกค้าผู้หนึ่งสั่งอาหารชุดหนึ่ง เธอเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อไปบอกพ่อครัวถึงเรื่องอาหารที่ลูกค้าผู้นั้นต้องการอาหาร แล้วเธอก็เดินออกมาจากห้องครัวแล้วก็มาประจำการอยู่ที่เดิม วันนั้นเธอกลายเป็นพนักงานต้อนรับและเรียกลูกค้าไปโดยปริยาย เธอชำเลืองมองเห็นลูกค้าในร้านคนหนึ่งนั่งหันหลังให้กับเธออยู่ บนโต๊ะของเขายังไม่สั่งอาหาร ดูท่าทางแล้วก็เหมือนคนที่เธอกำลังรออยู่เธอเดินเข้าไปเพราะมั่นใจว่าต้องเป็นอิทธิแน่ๆ

         “คุณอิทธิ” นิดเรียกอย่างถ้อยคำที่ชัดเจน ผู้ชายคนนั้นรีบหันหน้ามาตามเสียงที่เรียกอย่างรวดเร็ว เมื่อนิดเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นอย่างเต็มตา จากหน้าที่บานๆก็เหลือเพียงแค่สองนิ้วเมื่อผู้ชายคนนั้นไม่ใช่อิทธิ “ขอโทษค่ะ”
         “ไม่เป็นไรครับ” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมา

              จากนั้นนิดก็หันหลังกลับมาเพื่อที่จะไปยืนรออยู่ที่หน้าร้านอย่างตามเดิม แต่เธอจะสามารถย่างเท้าสักก้าวได้เสียเมื่อไหร่เมื่อมีผู้ชายคนที่เธอรอเกือบครึ่งคนวันมายืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างที่เธอสามารถหายใจรดหน้าเขาได้อย่างสบาย หน้าของเขาแทบจะแนบหน้านิดอยู่แล้ว

         “ทักคนผิดไม่ดีนะครับ” อิทธิพูดในระยะใกล้มากๆ บนใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้มแป้นแล้นอยู่
         “ใครทักใครผิดค่ะ” นิดพูด
         “ก็คุณไง จะเข้าไปทักผมแต่ไม่ใช่” อิทธิพูดด้วยเสียงที่เบาๆเพื่อให้นิดได้ยินเพียงคนเดียว
         “หรอ เมื่อไหร่” นิดพูดเชิงไม่รู้ไม่ชี้อยู่อีก
         “ผู้ร้ายปากแข็ง” อิทธิพูด
         “ได้ยอมก็ยอม แล้วคุณจะทานอะไรล่ะ…วันนี้” นิดถาม
         “เอาคุณผัดฉ่าล่ะกัน” อิทธิกล่าวจบนิดก็เปลี่ยนอกรรมกริยาเป็นอาการที่เขินอาย
         “เดี๋ยวฉันไปเลือกอะไรอร่อยๆให้คุณกินดีกว่า” นิดพูด
         “ตามใจสิครับ” อิทธิพูดก่อนที่นิดจะเดินเข้าไปในห้องครัว

              ในวันนั้นทั้งเขาและเธอก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในอาหารจานใหม่กับความรู้สึกเก่าๆที่มันเพิ่งเริ่มก่อตัวก็ค่อยๆพัฒนามันไปเรื่อยๆจนมันกัดกินหัวใจของเขาและเธอจนยากแล้วที่จะดึงออกไปแล้ว
     
    **************************

         ใครอยากคอมเม้นก็เชิญเลยนะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×