ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หรือเราเคยรักกัน

    ลำดับตอนที่ #3 : เที่ยวครั้งนี้ มีความหมาย

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 49


              เช้าของวันรุ่งขึ้น  รัฐเองก็ได้ลุกขึ้นมาจากเตียงของเขาตั้งแต่ท้องฟ้ายังคงปกคลุมไปด้วยความมืดมิด  หาที่แสงสว่างเล็ดลอดออกมา   จะมีก็จะมีแต่แสงไฟที่มาจากหลอดไฟนีออนตามข้างถนนที่ผ่านมาเป็นระยะๆเท่านั้น  ในช่วงที่รัฐเรียนในระดับมัธยมเขามักจะมาเรียนในตอนเช้าตรู่อย่างนี้อยู่เป็นประจำ  ส่วนนางเอกของเรา  หากวันไหนช่วงที่เธอเดินอยู่ข้างโรงเรียนแล้วไม่ได้ยินเสียงอ๊อดเข้าแถวแรกก็คงจะไม่ใช่เธอเป็นแน่

              พอรัฐตื่นและลุกจากที่นอนเขาก็มักจะไม่รอช้าก็จะเก็บที่นอน  ล้างหน้าล้างตาแปลงฟันอาบน้ำแล้วก็เตรียมพร้อมที่จะไปโรงเรียน  ส่วนเรื่องการจัดตารางสอนนั้นเขามักจะทำก่อนที่เขานอนเป็นประจำอยู่แล้ว  พอเขาแต่งตัวเสร็จก็แทบจะออกไปเผชิญกับโลกภายนอกเหมือนๆกับเด็กนักเรียนกรุงเทพฯ ควรจะเป็นนั่นเอง

               ในช่วงหนึ่งของรัฐที่กำลังนั่งรถไปโรงเรียนอยู่นั่น  เขาก็ได้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง  มองดูว่าทำไมบรรยากาศในกรุงเทพยามเงียบสงบนั้นเป็นอย่างไรกัน  ร้านค้าต่างปิดทำการ  บ้างก็เริ่มที่ที่เปิดทำการกันบ้างแล้ว  แต่มันก็ยังดูไม่วุ่นวายอย่างที่เป็นภาพชินตา  เขานั่งมองไปก็ยิ้มไป  คงคิดว่าถ้ากรุงเทพเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาก็คงจะดีสินะ  แต่มันคงไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้หรอกตราบใดที่ผู้คนยังคงคิดว่ากรุงเทพเป็นเหมือนเมืองที่ทำเงินทำทองให้กับคนในประเทศไทยทั้งหมด  ตราบนั้นก็ยังไม่มีวันที่จะเงียบสงบได้  แต่เขาก็ยังนึกยิ้มว่าอย่างน้อยเขาก็ได้เห็นว่าเวลากรุงเทพไม่เดือดเป็นอย่างไร  แล้วจะมีสักคนกันที่จะมาเห็นภาพอย่างนี้เหมือนกับเขา

                   เคร็กๆ ๆ  
                   “น้องคะ  ค่ารถด้วยคะ”  กระเป๋ารถเมล์ผู้หญิงเรียกเก็บเงินจากเขาอยู่ครู่ใหญ่  จนเธอนั้นต้องเรียกเขาด้วยเสียงดัง  เลยทำให้เขาตื่นจากอาการภวังค์ทันที
                   “อ๋อ..ครับ  โทษทีครับ”  เมื่อรัฐพูดจบเขาก็ยื่นเงินแบบครบจำนวนไม่ต้องทอน  ก็เพราะว่าเขานั้นนั่งรถจนแทบจะหลับตาให้เงินค่ารถได้หมดแล้วน่ะสิ
     
              พอจ่ายเงินค่ารถเสร็จก็หันกลับมามองหน้าต่างในแบบเดิม  แต่ความคิดที่แล่นเข้ามานั้นต่างไปจากครั้งแรก  เขานึกถึงเพื่อนใหม่ที่มีลักษณะนิสัยที่ต่างสุดขั้วกับเขา  พอนึกเห็นหน้าเธอ  เขาก็อดยิ้มไม่ได้เสียทุกที  และเพราะเหตุอะไรมันจึงทำให้เขาเป็นได้ถึงเพียงนี้กัน

    -------------------------------------------

              ในช่วงบ่ายของวันนั้น  รัฐนั่งอยู่ใต้ต้นราชาวดี  เหมือนเค้าพักผ่อนจากสิ่งที่วุ่นวายต่างๆ  และเขาก็นั่งอยู่ตรงข้างของฝากหนึ่งของสนามบาสนั่นก็มีน้ำนั่นคุยนั่งเล่นกันอยู่เป็นประจำ  และน้ำเองก็ดันสังเกตเห็นรัฐเข้าพอดี  ทำให้เธอนั้นลุกออกมาจากกลุ่มแล้ววิ่งมาหารัฐอีกครั้ง
     
                   ก๊อก!!
                   “นี่นาย...”
                   “โอ๊ย..ซู้ด!!   อะไรล่ะ”
                   น้ำกระโดดมานั่งข้างๆรัฐโดยทันที  “นายมานั่งอมทุกข์อะไรที่นี่ล่ะ”
                   “อืม....เธอมาทักเราทีไร  เราต้องเจ็บตัวทุกครั้งเลยจริงเชียว”
                   “เอาน่า...แล้วนายมานั่งอะไรตรงนี้ด้วยล่ะ  คิดเรื่องอะไรล่ะ  บอกเราก็ได้นะ”
                   “ไม่ล่ะ...ขอบคุณ”
                   “บอกมาเถอะ....เพื่อนคนนี้พร้อมแล้วที่จะฟังเรื่องของนายแล้ว”  น้ำพูดจบก็ยืดอกเหมือนท่าทีของทหาร  ทำให้รัฐต้องอดหัสเราะคำโตออกมาไม่ได้
                   “ทำไม...หัวเราะอะไร  เดี๋ยวก็โดนหรอก”  น้ำไม่พูดเปล่าพร้อมเตรียมง้างมือแล้ว
                   “โอ๊ยๆ อย่าทำอะไรเราอีกเลยนะ  เราไม่อยากเจ็บตัว”
                   “ห้าๆ ๆ”
                   “หัวเราะอะไรล่ะ”
                   “ก็หัวเราะที่เธอกลัวฉันน่ะสิ”
                   “เออนะ  ทีตัวเองหัวเราะคนอื่นได้นะ”
                   “เอาน่า  ถือว่าหายกันก็ละกัน  แล้วตกลงเรื่องที่นายเครียด...เนี่ย  คงเป็น..เรื่องรายงานใช่ไหมล่ะ”
                   “ก็ใช่น่ะสิ  เราไม่รู้  ว่าจะทำได้หรือเปล่าน่ะสิ”
                   “เอาเถอะ  เรารู้ว่าแต่ก่อนนายมาจากห้องแบบไหน  ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะ  และที่สำคัญเวลาอีกถมเถออก  ใจเย็นๆน่า”
                   “เวลาอีกเยอะก็จริงอยู่นะ  แน่เรา...”  รัฐพูดค้างเพียงเท่านั้นเขาก็ใช้มือของเขาขยี้หัวตัวเองด้วยความแรง  เพราะเขาคงกลุ้มมากเหลือเกินในเวลานั้น
                   น้ำตกใจมากในน่าทีของรัฐ  ดูท่ารัฐเองคงจะเครียดมากจริงๆ  “เราทำไมหรอ...”
                   รัฐหันหน้ามาหาน้ำ  แล้วเอ่ยปากบอกว่า  “ก็เรายังมองภาพถึงรายงานเล่มนี้ไม่ออกเลย”
                   “รัฐ  ฟังน้ำนะ  ถ้ารัฐไม่ผ่านวิชานี้ไป  พวกเราพร้อมที่จะไม่ผ่านร่วมกับรัฐนะ  เราเป็นเพื่อนกัน  เราไม่ทิ้งกันหรอก  รัฐ  เชื่อน้ำนะ”
     
              รัฐยิ้มอุ่นๆให้กับน้ำ  แสดงถึงความมิตรภาพแรกที่เขานั้นได้รับจากผู้หญิงคนหนึ่ง  ที่เธอพร้อมจะให้แก่เขาอยู่เสมอๆ
     
                   แต่เพียงพักหนึ่ง  รัฐหัวเราะร่าขึ้น  “ห้าๆๆ”
                   “หัวเราะอะไรล่ะนายรัฐ  เดี๋ยวจะโดนดีมิใช่น้อยนะ”
                   “ก็..ก็  หัวเราะที่เธอทำเลียนแบบเราน่ะซิ”
                   “ห้าๆ ๆ  แล้วไป  ห้าๆ ๆ”
                   “สรุปแล้ว  นายก็หายเครียดแล้วล่ะซิ”
                   “อืม..ขอบใจมากนะน้ำ”  ช่วงหนึ่งที่เขาเอื่อนเอ่ยขอบใจผู้หญิงตรงหน้าเขานั้น  เขาดันเผลอมองตาเข้าเต็มเปา  ดวงตาที่กลมโต  และดูรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเขานี้  มองโลกแต่แง่ดีเสียเหลือเกิน 
                   “งั้นเอาอย่างนี้!!”
                   คำพูดของน้ำมันทำให้ให้เขานั้นตื่นจากฝันกลางวันมาทันที  “อะไรล่ะ”
                   “ก็ปกติ  หลังเลิกเรียนกลุ่มฉันก็มักจะไปเดินเล่นห้างข้างโรงเรียนเป็นประจำ  นายก็ไปด้วยกันสิ  ไปเยอะๆก็สนุกดี”
                   “เอางั้นหรอ”
                   “ไม่ต้องมีลังเลหรอก  งั้นตกลงตามนี้ละกัน  เจอกันเย็นนี้นะ”
                   “ก็ได้...ก็ได้”  รัฐพูดปิดประโยคพร้อมยิ้มอุ่นๆอย่างที่เขายิ้มให้เมื่อไม่นานเป็นการตลบหลังแห่งความมิตรภาพ

              หลังจากที่น้ำพูดนัดแนะกับรัฐเสียเป็นหมั่นเป็นเหมาะก็ลืมชวนเพื่อนในกลุ่มของเธอแต่เธอนั้นก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด  แต่เพียงพอไปถามก็พบกับคำตอบที่ว่าเพื่อนของเธอล้วนมีธุระกันหมด  ตายละหว่า!  คราวนี้เธอจะทำอย่างไรดีดันไปบอกเสียดิบดีว่าจะไปกันเยอะแยะ  จะให้ไปบอกเลื่อนนัดก็เห็นว่าเธอนั้นจะผิดคำพูดอีก  ความรับผิดชอบบนปากเธอต้องรับเพียงคนเดียวเสียแล้ว  เธอเองจึงต้องไปที่ห้างข้างโรงเรียนเพียงสองคนกับรัฐ  ทั้งที่เธอยังไม่รู้นิสัยใจคอของรัฐดีเสียเลยด้วยซ้ำ  แต่ก็ดันสัญญาไปแล้วก็สำคัญอีก
     
                   อ๊อด!!  เสียงอ๊อดเลิกเรียนในคาบเรียนสุดท้าย
     
              น้ำ  เธอรีบวิ่งลงมาเลยอย่างไม่สนใจใคร  ก็เธอนั้นดันเตรียมเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋าตั้งแต่ 10 นาทีก่อนมีเสียงสวรรค์เสียแล้ว    ส่วน  รัฐ  เขายังคงนั่งจดในส่วนที่อาจารย์ให้จดอยู่เลย  กว่าจะจดเสร็จ  ก็เก็บของแต่ละชิ้นก็นานแสนนาน  พอจดเสร็จเขาก็ไปรอน้ำอยู่ที่หน้าโรงเรียน  แต่เป็นที่น่าแปลกอย่าง  เขาลงมาช้ากว่าน้ำก็จริงก็ไม่ยักเห็นน้ำรออยู่เลย  จนเขารออยู่ตรงนั้นร่วมเกือบครึ่งชั่วโมง  สักพักหนึ่งเขาก็เห็นน้ำเดินมา  หน้าของเธอยังคงเปื้อนรอยยิ้มอยู่ดี  ดูท่าเหมือนเธอไปเข้าห้องน้ำไปจัดการแต่งตัวมาใหม่เสียด้วย

                   “โห...รอตั้งนาน”
                   “จะไปกันยังล่ะ”  น้ำพูดมาด้วยเสียงที่เรียบนิ่ง
                   “อ้าว! แล้วไหนล่ะเพื่อนกลุ่มเธอที่บอก” 
                   น้ำหันกลับมาตีหน้ายักษ์ใส่รัฐ  พร้อมทั้งพูดเสียงเข้มใส่รัฐ  “ติดธุระ  แล้วนายจะไปไหม  ถ้าไม่ไป  ฉันจะได้ไปคนเดียว  เพราะยังไงฉันก็ต้องไปซื้อของเข้าบ้านอยู่แล้ว”
                   “อืม  ก็ไปดิ”
                   “ไปก็ตามมา  อย่าถามมาก  ...   รำคาญ”  แล้วน้ำก็เดินนำหน้าเขาไป  เพราะเธอนั้นต้องหลุดอมยิ้มออกมาเพราะเธอดันกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองได้สำเร็จนี่น่า
     
              ในระยะเวลาที่โรงเรียนไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นเป็นระยะที่ไม่ไกลมากนัก  และที่สำคัญยังมีซอยเล็กที่สามารถลัดเลอะไปได้  การเดินทางที่ประหยัดที่สุดจึงเริ่มขึ้น  ในตลอดการเดินทางทั้งคู่ชินทางกับถนนสายเล็กๆนี้เหลือเกินจนแทบจะหลับตาเดินกันได้และก็รู้ดีว่าจะต้องใช้ระยะเวลามากน้อยสักเพียงใด  แต่เขาและเธอต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติมาก  แต่ตลอดการเดินทางมีแต่ความเงียบงัน  ไม่มีใครที่จะกล้าเริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อน  จนเขารู้สึกว่าคำว่า “ห่างเหิน” เข้ามาแทรกแทนที่ระหว่างเขาและเธอมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ 
     
                   จนแล้วจนรอดเขาก็เหยียบถึงห้างสรรพสินค้าเข้าจนได้  “กว่าจะมาถึง”
                   “อืมใช่...ฉันว่ามันนานๆผิดปกติหรือเปล่ารัฐ”
                   “เอาเถอะ  ยังไงก็มาถึงแล้ว  เข้าไปกันเถอะ”
                   “อืม”
     
              แล้วก้าวแรกที่เท้าของทั้งคู่เหยียบย้ำมันลงไปในห้าง  ความหนาวเย็นแทรกเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว  จนทั้งคู่รู้สึกว่าห้างแห่งนี้ใช้เครื่องปรับอากาศได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ  และเครื่องปรับอากาศที่นี่ทุกเครื่องก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเสียเหลือเกิน  ก็แต่ละเครื่องต่างก็แสดงศักย์ภาพในการปลดปล่อยความเย็นนั่นสิ   จนคนที่เดินเล่นห้างแทบจะแข็งตายอยู่แล้ว
     
                   “อึ๊ย!  ทำไมมันหนาวอย่างนี้ล่ะ”
                   ทำยังกับเธอไม่เคยมาที่นี่อย่างนั้นแหละน้ำ”  พอรัฐพูดจบก็หันไปหาน้ำ  ก็เห็นน้ำทำหน้ายักษ์ใส่เสียแล้ว  เห็นทีเขาต้องโดนเจ็บตัวแน่  “ขอโทษ  แล้วให้ทำยังไงล่ะ”
                   “ก็ไม่ทำยังไงหรอก  ก็ขึ้นไปดิ  ฉันจะรีบไปซื้อของด้วย  หยิบรถเข็นให้ฉันด้วย  เข้าใจ”
                   “ครับ...คุณนาย”
                   “เดี๋ยวเถอะ  ว่ามาคุณนายเนี่ย”
                   “อืม...ไม่พูดล่ะ”
                   “ดีมาก  อย่างนั้นแหละคือสิ่งที่ถูกต้อง”
     
              ในเย็นวันนั้นรัฐก็คอยเข็นรถเข็นตามน้ำไปติดๆ  ดูเหมือนว่าเขาไม่ต่างอะไรกับสารถีคอยรับใช้น้ำ  แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาก็ดันเต็มใจทำเสียด้วยสิ  ช่วงที่ทั้งคู่ต่างเลือกซื้อของ  น้ำ เริ่มพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเธอในปัจจุบัน  รวมไปถึงปัญหาภายในบ้านของเธอแต่มันก็ไม่มากมายอะไรนัก  ปนกับความตลกขบขันของเธอ  ทำให้เขาได้เรียนรู้กับผู้หญิงคนนี้อย่างหนึ่งว่า  หากคนเรามองเป็นว่าเรื่องทุกอย่างที่อยู่รอบตัวในนั้น  ถ้าเรามัวแต่มองว่ามันเลวร้ายไปหมดทุกสิ่ง  มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น  หัดมองไปในแง่ดี  ในแง่ของตลกขบขัน  เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้เรามองภาพในมุมบวกขึ้นแล้ว  พอน้ำเล่าเรื่องของเธอเสร็จเธอก็คะยั้นคะยอให้รัฐเล่าเรื่องของเขาบ้าง  จนในที่สุดเขาก็ได้เล่า  ในส่วนที่มีปัญหาของรัฐถึงแม้มันจะเบาบางกว่าน้ำเยอะมาก  แต่น้ำก็ยังสอนในการมองโลกให้กับรัฐ  คำว่า “อิ่ม” ของรัฐในวันนั้นก็คงจะหมายถึงอิ่มใจที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก  เขาตัดสินใจไม่ผิดเลยจริงๆที่เลือกที่จะมาเที่ยวกับน้ำ  ก็ถือว่าการเที่ยวครั้งนี้ ช่างมีความหมายสำหรับเขาเหลือเกิน  ในช่วงที่เขาพูดคุยกับน้ำ  เห็นรอยยิ้มของเธอที่ไม่เคยจะมีทีท่าลดน้อยลง  ทำให้เขานั้นลืมไปถึงงานที่อยู่ข้างหลังเขาเป็นกองพะเนินเทินทึก  เพื่อนคนนี้เหมือนเป็นสิ่งที่เขานั้นเรียกร้องหามานานเสียเหลือเกิน  เวลาที่เขานั้นอยู่ด้วยมีความสุขและไม่คิดเรื่องอื่นใด
     
              จนครั้งหนึ่งน้ำหยุดเดิน  เธอยิงคำถามกลับมาคำถามหนึ่ง  คำถามนี้มันทำให้เขาต้องกลับไปคิดทั้งคืนและมันทำให้เขานั้นสะอึกขึ้นมา  สิ่งที่ดีงามทั้งหมดมันจะเริ่มจากคำถามนี้  หรือคำถามนี้มันจะทำลายในสิ่งดีงามที่เขาสร้างขึ้นมากันแน่  แล้วทำไมเขาต้องมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ยินคำถามนี้ด้วยล่ะ...

    *************************

              มาลงแล้วนะครับ  ฉบับแก้ใหม่อีก หนึ่งตอน  พิมพ์ก็เอามาลงเลย  ก็กลัวอยู่ว่า  ถ้าวันไหนไม่ได้อยู่หน้าคอมสงสัย  คงต้องรอไปหน่อยแหละ  555+  คอมเม้นท์กันหน่อยนะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×