ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หรือเราเคยรักกัน

    ลำดับตอนที่ #20 : น้ำ…ในวันแต่งงานของเธอ

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 49


     

              กาลเวลาข้ามผ่านไปถึงปีครึ่ง  คราวนี้คงถึงคราวที่น้ำนั้นต้องมีฝั่งมีฝาเป็นของตัวเองเสียที    หลังจากที่เธอนั้นตัดสินใจเลือกผู้ชายที่ชื่อ โย นั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ  แต่เธอนั้นไม่แน่ใจมากนักว่ามันจะยาวนานนักแค่ไหน  ส่วนรัฐนั้นก็กำลังมีข่าวที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อผลิตผลที่เค้านั้นตั้งใจก็กำเนิดออกมาได้  เมื่อเชือกฟางศรีภรรยาของเขาได้ตั้งท้อง 3เดือนแล้ว  ทำให้งานแต่งงานของน้ำนั้นไม่สามารถมาร่วมงานได้  และรัฐก็ยังมางานแต่งงานของน้ำช้ากว่าปกติ  แต่ว่างานที่น้ำมันดูราบรื่นกว่างานอื่นๆนั้นก็อาจเป็นเพราะมีรัฐคอยแอบมาช่วยงานของเธอโดยตลอดโดยที่เธอนั้นก็ไม่รู้  แถมพี่โยของเธอแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในงานนี้เลยด้วยซ้ำ
     
                   “มางานฉันซะสายเชียวนะแก”  น้ำพูดประชดประชันรัฐสุดฤทธิ์
                   “เชือกฟางเค้าท้อง  ต้องดูแลเค้าก่อนสิ”  รัฐแก้ตัว
                   “เออ…รู้แล้วน่ะ”  น้ำพูด
                   “ยินดีด้วยล่ะกัน…ฉันหิวล่ะ  ไปหาไรกระแทกปากก่อนนะ”  รัฐพูดเสร็จก็เดินเข้าไปในงานปล่อยให้น้ำนั้นยืนงงอยู่อย่างนั้น
     
              งานเลี้ยงในวันแต่งงานของน้ำนั้นจบไปได้ด้วยดี  ทางด้านน้ำนั้นก็มัวแต่ส่งแขกภายในงานจนเกือบหมด  เธอก็มองผ่านเข้าไปในงานเธอเห็นผู้ชายอยู่คนเดียวนั่งอยู่  นั่นคือรัฐนั่นเอง
     
                   “กลับบ้านไปหาลูกเมียได้แล้ว”  น้ำเดินเข้ามาซักถาม
                   “ยังหรอก”  รัฐตอบกลับ
                   “ทำไมล่ะ”  น้ำถามต่อ
                   “ก็อยู่รอขโมยตัวเจ้าสาวอยู่ไง”  รัฐพูดแล้วหัวมายิ้มให้กับน้ำ  พร้อมทั้งจับข้อมือของเธอแล้วลากออกไปจากงานอย่างรีบร้อน 
                   “นี่….แกจะพาฉันไปไหน  โอ๊ย…อีบ้า  นี่มันงานแต่งงานฉันนะย่ะ”  น้ำตะโกนโหวกเวกโวยวายแต่รัฐเองก็ไม่สนใจในคำของน้ำ  กลับยังคงลากไปที่ไหนสักแห่ง
     
              คำโวยวายของน้ำสิ้นสุดลงหลังจากเธอนั้นเหยียบบนพื้นดาษฟ้าของอาคารแห่งนี้  น้ำมองไปรอบตัวเธอนั้นไหลสุดลูกหูลูกตามีรั้วคอยกั้นเอาไว้เท่านั้น  เธอมองไปนั้นโดยอาศัยแสงไฟจากไฟข้างถนนเท่านั้นมันพอเห็นอยู่บ้างแตกไม่ชัดเจนนัก  รัฐเดินเข้าไปพิงอยู่ที่รั่วเหล็กปล่อนให้น้ำนั้นเผชิญต่อกระแสลมในฤดูหนาวที่ยิ่งแรงก็ยิ่งหนาวเหน็บ
     
                   “นี่…แกพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย  ลมก็แรง เอ๊ย! ดูซิชุดฉันซื้อมาแพงนะยะ”  น้ำบ่นจนดูเหมือนจะอาละวาดรัฐ  แต่รัฐกลับมีท่าทีที่ตรงกันข้าม  เขามองดูท่าทางของน้ำนั้นก็หัวเราะอยู่อย่างนั้น
                   จนน้ำนั้นเดินมาถึงรั้วเหล็ก  เธอยืนอยู่ข้างๆรัฐ  แล้วเขาพูดกับน้ำว่า  “แล้วชอบเปล่า”
                   “ความจริงก็ชอบ  ว่าแต่แกรู้ได้ไง  ฉันเป็นคนจัดงานแท้ๆ ฉันยังไม่รู้เลย”  น้ำพูดพร้อมทั้งสูดเอาอากาศในยามเย็นแห่งรัตน์ติกาลนี้ให้เต็มปอดของเธฮมากที่สุดเท่าที่เธอนั้นจะทำได้
                   “ฉันทำธุรกิจกับที่นี่อยู่  และที่สำคัญคืออะไรรู้หรือเปล่า”  รัฐถาม
                   “อะไรล่ะ”  น้ำกล่าวถามกลับ
                   “ก็ฉันน่ะ…เป็นคนจัดงานนี้ด้วยตัวของฉันเอง”  รัฐพูด
                   “รัฐ….”  น้ำพูดแบบอึ้งๆ
                   “ไม่ใช่อะไรหรอก  น้ำคิดว่างานแต่งงานหนึ่งงานเค้าจัดกันง่ายๆหรอ”  รัฐถามกลับไป
                   “ขอบใจนะรัฐ…ขอบใจจริงๆ”  น้ำกล่าว  น้ำมองหน้ารัฐเห็นถึงรัฐนั้นส่งสายตาให้กับเธอนั้นเหมือนว่าเธอเอื้อถึงแล้ว  เธอและต้องพูดอะไรออกไป  “แกอย่ามาทำสายตาแบบนี้”
                   “คิดมากไป…แล้วน้ำรู้ไหม  รัฐพามาที่นี่ทำไม”  รัฐพูด
                   “จะไปรู้กับแกหรอ” น้ำตอกกลับไป
                   “ของขวัญไง”  รัฐพูด
                   “เออ..ใช่  ถ้าไม่พูดแทบลืมเลย  แกจะมาตัวเปล่าหรือไง”  น้ำพูด
                   และแล้วรัฐของล้วงของขวัญนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาพร้อมทั้งยื่นให้กับน้ำ  “นี่ไง” 
                   เมื่อน้ำนั้นเห็นของขวัญที่รัฐนั้นตั้งใจจะมอบกับเธอ  มันเป็นภาพในอดีตที่เธอเคยถ่ายรวมกับรัฐนั่นเอง  “เพื่ออะไร”  น้ำถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าไหร่
                   รัฐได้ยินคำถามของน้ำนั้นก็แทบหุบยิ้มของตัวเองแทบไม่ทัน  “น้ำก็รู้รัฐไม่ใช่คนที่ถ่ายรูป  และคิดว่านี่คงเป็นสิ่งเดียวแหละที่ดีที่สุด  มันแพงกว่าแหวนเพชรที่น้ำสวมใส่มันเสียอีกนะ”
                   “….”  น้ำเงียบเธอหลับหน้าหนีเอามาอังที่ลูกตาทั้งสองข้าง
                   “คงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว”  รัฐพูดมันยิ่งทำให้น้ำนั้นยิ่งอาการหนักขึ้น  จึงทำให้รัฐนั้นต้องเปลี่ยนเรื่อง  “ดูรูปนี่ดิ  น้ำหน้าดำมาก  น่าเกลียดที่สุดเลย”  รัฐพยายามตะโกนเสียงดังๆเพื่อเรียกความสนใจของน้ำ  ซึ่งมันก็ได้ผล
                   “เอามานี่”  น้ำรีบดึงรูปในมือของรัฐไปทันที  แล้วก็บ่นไปด้วย  “ใช่ดูสิ  ทำไมฉันน่าเกลียดอย่างนี้ว่ะ  อี๊!!”
                   “พอใจไหม”  รัฐถาม
                   “พอใจสิ”  น้ำพูดพร้อมพยักหน้าประงกๆ  “งั้นขอกอดเพื่อนรักคนนี้ของฉันได้ไหม”  น้ำพูดจบก็โผเข้าไปโอบกอดรัฐอย่างแนบแน่น
     
              ในค่ำคืนนั้นทั้งรัฐและน้ำยืนคุยถึงเรื่องในอดีตกันอย่างออกรส  โดยมีแสงแห่งรัตน์ติกาลให้พวกเขานั้นไม่เกิดความเหงานั่นเอง

    ฿๑฿๑฿๑฿๑฿๑฿๑฿๑฿๑฿๑฿๑

              วันคืนผันผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน  คนทั้งคู่ก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตต่อไป  แต่รัฐและน้ำนั้นยังติดต่อหากันโดยตลอดถึงจะไม่บ่อยมากนัก  แต่ก็ไม่ขาดสายเลย  ทั้งคู่ยังคงเป็นกำลังใจของกันและกันเพื่อการดำรงชีวิตต่อไป
     
              รัฐ  กับการอยู่ตามลำพัง  ปัจจุบันนั้นเขามีลูกอยู่หนึ่งคน  นั่นเป็นลูกชายของเขาและได้ใช้ชีวิตในต่างประเทศกับของครัวของเขาไป  แต่ก็ยังพอติดต่อหารัฐตลอด  แต่อาจยังสงสัยว่า  เชือกฟางหายไปไหน  เชือกฟางได้เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งไปนานเกือบสิบปีแล้ว  แน่นอนว่ารัฐนั้นย่อยโกรธแค้นกับโรคๆนี้เพราะมันพรากคนรักของเขาไปโดยที่คนรักของเขานั้นไม่ได้ไปทำอะไรเลย  มันดูน่ากลัวและรวดเร็ว

              น้ำกับความครัวที่ดูอบอุ่น  เธอนั้นมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนและเธอนั้นก็ได้แต่งงานมีลูกสาวน่ารักหนึ่งคน  อยู่กับในบ้านกับลูกเขยของเธอด้วย  ส่วนพี่โยของน้ำนั้นกลายเป็นคนละคนเมื่อเธอมีลูกคนนี้  และในที่สุดเขาก็ตีห่างออกจากเธอไปในที่สุด  เธอไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย  และทุ่มชีวิตที่เหลืออยู่นั้นให้กับลูกสาวของเธอผู้นี้  และรอดูการเติบโตของเธอด้วยเช่นกัน
     
              จวบจนวันนี้  รัฐได้ข่าวมาจากปอนว่าลูกสาวสุดที่รักของน้ำนั้นได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปพร้อมๆกับลูกเขยของเธอ  สิ่งนี้ทำให้น้ำนั้นอาจรับไม่ได้  ปอนนั้นอยากไปปลอบโยนน้ำแต่เธอก็ทำไม่ได้เพราะเธอนั้นกำลังจะย้ายไปอยู่กับลูกของเธอที่นอร์เวย์นั่นเอง  ทำให้รัฐนั้นต้องรับปากว่าจะทำหน้าที่นี้  และปอนนั้นก็มั่นใจเสียเหลือเกินว่ารัฐทำได้ดี  ทำได้ดีกว่าตัวเธอเสียอีก
     
              หลังจากที่รัฐนั้นรับปากปอนว่าจะมาเป็นธุระให้  เขาก็รีบขับรถมาหาภายในงานทันที  เขาจอดรถและเดินเข้ามาภายในภายในศาลา  ดูผู้คนโล่งตาเหลือเกินเขามองไปที่คนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด  ก็พบหญิงชราผู้หนึ่ง  ผมหงอกทั้งหัว  ใส่ชุดดำ  ตัวกำลังสั่นดูก็รู้ว่าเธอคนนั้นกำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่งมิใช่น้อย  เมื่อเขาเดินไปใกล้เพื่อจะถามหาว่าน้ำอยู่แถวไหน  เมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็เห็นใบหน้าหญิงชราคนนั้นอย่างชัดเจน  เขาต้องถึงกลับตะลึงกับสิ่งที่เขาเพิ่งมองอยู่  หญิงชราคนนั้นไม่ใช่ใครที่ใครเธอคือน้ำเพื่อนที่เขารักนั่นเอง  เขายืนอยู่ตรงนั้นก่อนที่จะตัดสินใจตัดสินใจแตะไหล่เบาๆเหมือนเป็นการเรียกเธอว่าเขามาอยู่ตรงนี้แล้ว  เหมือนเขาเคยยืนอยู่เคียงข้างเธอในวัยเด็กนั่นเอง
     
                   น้ำค่อยๆหันหลังมาดูว่าใครกันที่มาแตะไหล่เขา   ก็พบชายที่เธอคุ้นตายืนยิ้มให้เธออยู่  เธอโผเข้าไปกอดอย่างคนหมดที่พึ่ง  “รัฐ…..ลูกฉัน…ลูกฉัน”  น้ำพูดมันซ้ำไปซ้ำมาด้วยอาการที่ตระหนกมาก
                   รัฐลูบไปที่ผมของน้ำอย่างช้าๆขณะที่เขายังสวมกอดกับเธออยู่  “ผมรู้แล้ว”
                   “แล้วฉันจะทำอย่างไรต่อไป…ลูกฉันมาตายอะไรกันตอนนี้”  น้ำพูดไปก็ยังปล่อยโฮอีก
                   “ไม่เป็นไรนะ  มันเป็นธรรมชาติของคนนะ”  รัฐพยายามปลอบใจอย่างที่เขาจะสามารถทำได้
                   “…..”  น้ำยังร่ำไห้แบบไม่หยุด
                   “รัฐอยู่ตรงนี้แล้ว  อย่ากลัวนะ”  รัฐพูดพร้อมจับให้น้ำลืมตาดูเขาให้ชัดๆ
                   “ขอบใจมากนะรัฐ”  น้ำพูดพร้อมเช็ดน้ำตาไปด้วย
                   “น้ำมองไปข้างนอกสิ”  รัฐพูดน้ำก็มองไปก็เห็นแนนนี่  “เธอเองยังมีหลานที่น่ารักอีกนะ”
                   “ใช่…ฉันมันไม่น่าโง่เลย” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยและเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยากสนุกสนานตามประสาเด็ก
                   “ไม่ใช่ว่าน้ำโง่หรอก…แต่น้ำเองต้องเริ่มตั้งความหวังครั้งใหม่ให้กับหลานต่างหาก”  รัฐพูดพร้อมกับยิ้มให้น้ำ
     
              ในวันนั้นรัฐอยู่เป็นเพื่อนน้ำจนงานเลิกอยู่ร่วมประมาณ  2-3 ชั่วโมงก็ต้องถึงเวลาที่เขาเองเห็นว่าควรจะกลับบ้านเสียที
     
                   “อดทนนะน้ำ  ไม่มีอะไรที่แย่และดีเสมอไปหรอก  งั้นรัฐขอตัวกลับบ้านก่อนละกัน  มีอะไรก็โทรมาได้นะ”    รัฐกล่าวลากลับบ้านแต่ก็รู้ว่าคนอย่างน้ำจะโทรมาหาเขาเนื่องด้วยความลำบากทั้งทางกายและใจนั้นยากมาก
                   “ขอบคุณมากนะรัฐ”  น้ำพูดทั้งโอบกอดรัฐอีกครั้ง 
     
              รัฐรู้ว่าถ้าน้ำเกิดปัญหาอะไรคงไม่โทรมาหาเขาง่ายๆแน่  ไหนจะไม่มีปอนอยู่เป็นเพื่อนอีกด้วย  เธอเองก็ต้องลำบากมิใช่น้อย   ช่วงที่เขาจะกลับบ้านเขาเลยไปพูดคุยอะไรกับแนนนี่สักหน่อยเพราะเขารู้ว่าแนนนี่เองเป็นเด็กฉลาด
     
                   รัฐเดินเข้าไปหาแนนนี่  “แนนนี่ เอาเงินนี้เก็บไว้กินขนมนะ”  เขานำเงินจำนวน 1,000 บาทให้กับแนนนี่เพื่อมีอะไรฉุกเฉินจริงๆ  และแนนนี่ก็ฉลาดมากพอที่จะใช้เงินอีกด้วย
                   “ขอบคุณค่ะ  คุณตาใจดีจังเลย”  แนนนี่กล่าวมันพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ารัก
                   “เออ…เอาเบอร์ตาเก็บไว้นะ…ถ้ายายเขาเป็นอะไรให้โทรมาที่เบอร์นี้นะ”  รัฐพูดพร้อมยื่นกระดาษให้
                   “ค่ะ”  แนนนี่ตอบพร้อมกับรับกระดาษแผ่นนั้นและเก็บไว้เป็นอย่างดี
     
              จากนั้นเขาจึงเดินไปที่รถแล้วขับออกไปจากวัดกลับไปสู่เส้นทางที่ไปบ้านเขานั่นเอง

    = = = = = = = = = = = = = = =

              ผมลงให้อีกตอนหนึ่งนะครับ  สรุปแล้วผมลงให้ทีเดียวเลย 2 ตอน  เหลืออีกตอนเดียวเท่านั้นก็จะจบ  แล้วถ้าไม่ขี้เกียจเสียก่อนก็คงได้แก้ไขในบทความอีกนิด  แล้วจะทยายเอามาลงในตอนหลังนะครับ  ส่วนเรื่องต่อไปในโคลงการร้อยรัก 1 ของผมนั้น  คอยพบกับเรื่อง  "คนละคนเวลานะครับ"  เร็วๆนี้  แต่ตอนนี้ต้องช่วยผมเม้นท์หน่อยละว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง  ชอบตรงไหนไม่ชอบตรงไหน  นะครับ...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×