ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หรือเราเคยรักกัน

    ลำดับตอนที่ #17 : ฉันเผลอ หรือ เพ้อ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 49



              และแล้ววันที่ชมรมที่รัฐและปอนอยู่นั้นก็ต้องเดินทางไปเชียงรายเพื่อไปพัฒนาท้องถิ่นแห่งนั้นก็มาถึง  โดยรถที่จะเดินทางไปนั้นมีอยู่สองคัน  นั่นก็คือรถเบอร์หนึ่งและรถเบอร์สอง  โดยรถเบอร์หนึ่งมีรัฐกับเชือกฟางและเพื่อนในชมรมส่วนหนึ่งต้องเดินทางไปกับรถคันนี้  ส่วนคนที่เหลือรวมไปถึงน้ำและปอนนั้นก็ต้องอาศัยรถเบอร์สองในการเดินทางไป
     
              รัฐเองก็มาถึงตั้งแต่เช้าเพราะเขานั้นเป็นถึงรองประธานชมรมอีกทั้งยังต้องมารอเชือกฟางอีกด้วย   แต่นี่ก็ใกล้เวลาที่จะเดินทางอยู่แล้วกลับไม่พบแม้แต่เงาของเชือกฟางเลย
     
                   กรี๊ง……โทรศัพท์ส่วนตัวของรัฐดังขึ้นในขณะที่รัฐกำลังนั่งบนเบอะๆหนึ่ง
                   “ฮัลโหล…ครับ”  รัฐกล่าวทักอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใครที่โทรมา
                   “โหลๆ  รัฐ  เชือกฟางเอง”  เชือกฟางพูด
                   “อ้าวเชือกฟางทำไมยังไม่มาอีกล่ะ  นี่รถก็จะออกอยู่แล้วนะ  รีบมาเร็วๆ”  รัฐพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่แล้ว
                   “คือรัฐ….คือว่า….”  เชือกฟางเหมือนจะบอกอะไรกับรัฐสักอย่าง
                   “ทำไมหรอเชือกฟาง  หรือว่ามาไม่ได้เสียแล้ว”  รัฐถาม
                   “รัฐใจเย็นๆนะ  ยังไงเชือกฟางก็ต้องไป  แต่เพียงเชือกฟางต้องไปพรุ่งนี้น่ะ”  เชือกฟางพยายามอธิบาย
                   “ทำไมหรอ”  รัฐถามขึ้นอีกครั้ง
                   “ก็เชือกฟางติดธุระกับทางที่บ้านเอาไว้  ยังไงพรุ่งนี้เชือกฟางค่อยตามไปนะ”  เชือกฟางพูดด้วยเสียงอ๋อยเสียงหวาน
                   “ก็ได้  พรุ่งนี้จะมาก็ระมัดระวังด้วยล่ะ”  รัฐพูด
                   “จ๊ะ”  เชือกฟางพูดก่อนที่จะวางสายไป

              หลังจากรัฐวางสายโทรศัพท์ไป  รัฐเองก็ลงจากรัฐไปช่วยคนอื่นยกสิ่งของที่จำเป็น  ส่วนทางด้านปอนนั้นก็มัวแต่ชะเง้อมองหาน้ำ  เพราะเธอนั้นไม่อยากให้น้ำรู้แม่แต่นิดว่ารัฐมาด้วย  แถมยังมากับคนพิเศษด้วยอย่างนี้  การมาพักผ่อนของน้ำนั้นอาจไม่เป็นผลแน่ๆ  แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะทำอย่างนั้นได้
     
                   น้ำเดินมาแต่ไกล  ปอนก็ตะโกนไปทัก  “กว่าจะมาได้”
                   “โอ๊ย….ฉันจะบ้าตายกับกรุงเทพที่รถติดแบบสุดๆ”  น้ำบ่นพึมพัมเหมือนหมีกินผึ้ง
                   “ไปรีบขึ้นรถเถอะเดี๋ยวเกะกะคนอื่นเค้า”  ปอนพูดพลางลากน้ำขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็วก่อนที่รัฐจะลงมาขนของเพียงนิดเดียวเท่านั้น
     
    **************************

              ตลอดการเดินทางรถทั้งสองคันนั้นก็แข่งกันเปิดที่สนุกสนานเพื่อให้คนรถนั้นได้ออกมาเต้นกันอย่างสนุกสนานกันอย่างบันเทิงเริงใจ   แต่รถทั้งสองคันยังมีความแตกต่างตรงที่  รถของน้ำนั้นเต้นกันอย่างสนุกสนานไม่เว้นแต่น้ำที่ถูกปอนและคนอื่นๆชักชวนให้ออกมาเต้นกัน  ซึ่งน้ำก็รับคำเชื้อเชิญนั้น  แต่แววตาของน้ำนั้นยังคงซ่อนเร้นถึงความเศร้าปนความคิดถึง  ส่วนทางรัฐกับนั่งบนเบอะเพียงลำพังถึงแม้เพลงที่เปิดจะเสียงดังและสนุกสนานมากแค่ไหน  เขาก็ไม่มีแรงตอบสนองต่อเสียงที่เร่งเร้าเขาแม้แต่น้อย  เขายังคงคิดในเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชือกฟางหรือแม้กระทั่งเรื่องของน้ำก็ตามทีที่เขานั้นยังเก็บมาครุ่นคิดอยู่
     
              ทุกคนมาถึงยังที่นัดหมายในวันเดียวกันในช่วงเวลาของบ่ายแก่ๆทุกคนที่มานั้นต่างกุลีกุจรลงมาจากรถเพื่อมาขนข้าวของที่จะมาใช้ในงาน  เพื่อจะได้ใช้เวลาที่ควรพักผ่อนนั้นมากขึ้นเพื่อพรุ่งนี้จะได้ลุยกับงานที่หนักต่อไป    แต่ต่างกับปอนที่กุลีกุจรลงมาจากรถเหมือนกันแต่เขามีจุดประสงค์ที่ต่างจากผู้อื่นนั่นก็คือการเล่นซ่อนแอบกับรัฐนั่นเอง 
     
                   “นี่…แกจะพาฉันไปไหน”  น้ำถามปอนในขณะที่ปอนก็พยายามดึงดันน้ำสุดฤทธิ์
                   “เออน่ะ”  ปอนไม่ให้คำตอบแก่น้ำเลย
     
    ****************************

              จนมาถึงเวลาที่ทุกคนจะจับสลากหาคู่เมท  ซึ่งปอนก็บังเอิญจับคู่กับพี่ปลั๊กเข้า  และยังเหลือเศษอีกตั้งหนึ่งคนนั่นก็คือ  น้ำ นั่นเอง
     
                   “อุ่ย!  เหลือเพื่อนของปอนอีกหนึ่งคน”  พี่ปลั๊กพูดขึ้น
                   “ชื่อ  น้ำค่ะ”  น้ำแนะนำตัว
                   “เออ…น้ำนั่นแหละ  ยังไม่มีคู่นอนด้วยเลย  ทำไงดีล่ะ”  พี่ปลั๊กกำลังนึกหาทางออก
                   “ก็นอนกับปอนไง”  ปอนตอบขึ้น
                   “โอ๊ย! ไม่ได้หรอก  นอนกันสามคน อึดอัดตายเลย  พี่เองก็ตัวใหญ่อยู่” พี่ปลั๊กพูด
                   “ไม่เป็นไรหรอก  อึดอัดแหละอบอุ่นดี”  ปอนพูด ในขณะที่น้ำยิ้มในคำพูดของปอนที่พยายามออกตัวเพื่อช่วยหาที่นอนให้กับเธอ  แต่เหตุผลกลับไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
                   “ยังไงก็อึดอัดน่า…เออไปนอนกับรัฐสิ  วันนี้รัฐมันต้องนอนคนเดียว”  พี่ปลั๊กพูด  น้ำยิ่งได้ยินชื่อผู้ชายคนนี้ต้องถึงกับสะดุ้ง  แต่ก็ภาวนาว่าจะเป็นคนละคนกับคนที่เธอนั้นรู้จัก
                   “ไม่!!”  ปอนพูดแทรกขึ้นเสียงดัง  มันยิ่งตอกย้ำว่าอาจเป็นคนเดียวกันก็ได้
                   “อะไรอีกล่ะเจ้าตัวแสบ”  พี่ปลั๊กถาม
                   “พี่…ชายหญิงนอนห้องเดียวกัน  มันน่าเกลียด”  ปอนพูด
                   “อะไรกัน ดูหนังจีนมากเกินไปเปล่า  อีกอย่างอย่าลืมสิ  พี่กะเราก็นอนห้องเดียวกันนะ  และพี่ไม่ทำอะไรแกแน่”  พี่ปลั๊กพูดพร้อมเสียงหัวเราะของเขาเอง
                   “ก็นั่นมันคนละกรณี  ปอนกับพี่ปลั๊กรู้จักกัน  แต่รัฐกับน้ำไม่เคยรู้จักกันเลย”  ปอนพูดมันทำให้พี่ปลั๊กต้องกลับมาคิดทบทวน
                   แต่ก็ยังมีเสียงที่ทำให้พี่ปลั๊กนั้นแน่ใจว่า รัฐและน้ำนั้นสามารถนอนห้องเดียวกันได้แบบไม่มีข้อกังขา  “ได้สิ  ทำไมจะนอนห้องเดียวกันไม่ได้”   มันเป็นเสียงที่ทำให้น้ำนั้นต้องกลัวสุดขีดเพราะมันเป็นเสียงที่เธอมักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้ง  “น้ำนอนกับรัฐได้นะ  อย่าห่วง”  จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับพี่ปลั๊กต่อว่า “พี่ปลั๊กครับ…ผมกับน้ำนั้นเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากครับ   ถ้าหากมีเรื่องแบบนั้น  ผมเองก็ทรยศตัวเองเกินทนแล้ว”  แต่กลับไม่ได้ยินคำตอบใดของน้ำ
                   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีไป  …  ถึงเชือกฟางจะตามมาก็นอนได้สบายเพราะห้องรัฐนั้นใหญ่สุดเลย”
                   พี่ปลั๊กพูด  แล้วก็หันมาเอ็ดปอนต่อ  “ว่ายังไงเจ้าตัวแสบ  จะแก้ตัวว่าไง”  พี่ปลั๊กพูดไม่พูดเปล่าเอาแฟ้มรายชื่อสมาชิกในชมรมตัวหัวปอนจนผมยุ่งไปหมด
                   “ถ้าเรียบร้อยแล้ว  เข้าห้องไปพักผ่อนได้แล้ว”  สิ้นเสียงประโยคสุดท้ายทุกคนก็ต่างดีใจที่ได้ไปพักผ่อนเสียที  แต่การพักผ่อนของรัฐนั้นอาจแปลกไปจากคนอื่นๆสักหน่อย  หลังจากเขาโยนกระเป๋าใบใหญ่เข้าไปในห้องเขาก็รีบวิ่งออกมาจากห้องทันที  และปล่อยให้น้ำนั้นต้องอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง
     
              จวบจนถึงเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ  รัฐถึงได้เดินกลับมายังห้องพักแต่เขานั้นกลับใช้เวลาที่นานกว่าปกติกว่าที่เป็นเพราะฤทธิ์สุราที่เขากรอกปากตัวเองอย่างไม่ยั้ง  พอเดินเปิดประตูเข้ามาในห้องเสียงประตูแทบไม่ได้ยินให้น้ำนั้นรู้ตัวเลย 
     
              รัฐยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง  เขาเองก็แทบจะสร่างเมาเพราะเห็นภาพที่น้ำนั้นค่อยๆบรรจงพับเสื้อผ้าของเขา  และเอามาอังที่จมูกของเธอเพื่อให้รู้ว่าเธอนั้นจำแม้กระทั่งกลิ่นตัวเขาได้  แล้วถึงจะเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า  น้ำไม่รู้เลยว่ารัฐนั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างของน้ำทุกอย่าง  นั่นแสดงถึงตลอดมานั้นเธอพยายามปิดบังความรู้สึกตัวเองมากแค่ไหน
     
                   โคร่ม!!   เสียงรัฐล้มลงพื้น  มันดังจนน้ำต้องหันมาดู
                   “รัฐ!!”  น้ำทัก  แต่รัฐแสดงแววตาว่าเขานั้นสามารถลุกขึ้นมาได้  แล้วเขาเองก็พยายามเดินมาหาน้ำอยู่เหมือนกัน
                   “ทำไม…?”  น้ำเองพยายามกับสภาพของรัฐในที่เธอเห็น ณ วินาทีนี้  เพราะเธอนั้นไม่เคยเห็นเขาที่เป็นสภาพไม่ต่างกับไอ้ขี้เมาแถวบ้านเธอสักเท่าไรเลย
     
              น้ำเองก็อยากจะว่าในสภาพของรัฐเหมือนกับแต่ปากของเธอนั้นก็แทบพูดไม่ออก  เมื่อไปสะดุดกับสายตาของรัฐที่แสดงถึงอาวร  แววตานี้มันไม่ต่างอะไรกับเธอที่แสดงออกอยู่ตลอดเวลาที่มาเจอกับเขาอยู่เสมอๆ
     
              รัฐเดินมาถึงเตียงซึ่งมาน้ำนั้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียงของอีกฝั่งหนึ่ง  รัฐค่อยๆเคลือบคลานเข้ามาจนใบหน้าแทบจะชิดติดกัน  รัฐเข้าไปโอบกอดน้ำอย่างแนบแน่นอย่างที่สุด  ถึงแม้น้ำนั้นไม่ต้องการในตอนนั้น  แต่มันก็เป็นสิ่งที่เธอบอกกับตัวเองว่าต้องการ  หลังจากการสวมกอดของรัฐเขาก็ค่อยๆคลายแรงกอดของเขา  เขามองนัยน์ตาของน้ำและเขานั่นก็มั่นใจว่าบทเพลงที่เค้าร่วมแต่งกับเธอมาเป็นเวลานานแสนนาน  วันนี้ควรเปิดมันออกมาให้เธอได้รับรู้บ้าง  ทางฝ่ายของน้ำเองได้สัมผัสลมอุ่นๆที่แผ่วผ่านทางปากตามทำนองเสียงของลมหายใจ  ก็ยากที่เธอจะสลัดตัวออกไปได้
     
                   เหตุการณ์ล่วงเลยไปนาน  และรัฐเองก็รู้สึกเสียที  เสื้อผ้าของน้ำนั้นแทบไม่ปกปิดร่างกายอยู่แล้ว  “รัฐ…เออ..รัฐขอโทษ…รัฐดื่มหนักไปหน่อย”  รัฐก้มหน้าก้มตาพูด
                   น้ำตาของน้ำนั้นค่อยๆคัดกรองออกมา  แล้วพูดกลับไป  “ไม่เป็นไรหรอกรัฐ  ถ้าหากรัฐอยากทำมันจริงๆ…ความจริงแล้วน้ำต่างหากที่เป็นฝ่ายขอโทษ  ที่ตลอดมานั้น….” 
                   “ชู่!!  (เสียงลมผ่านริมฝีปากของรัฐจนเกิดเสียงขึ้น)  นอนเถอะ…เรื่องเก่าๆ  อย่าไปใส่ใจเลย”  รับตัดบทกลางการพรรณนาของน้ำ
     
              เช้าวันต่อมา  อาจเป็นเช้าที่สดใสแต่หากยังคงเป็นฟ้าที่มีแต่ความมืดครึ้ม  งานที่ต้องทำของชมรมนี้ก็จะเริ่มขึ้น  แต่หากฤทธิ์สุราของรัฐนั้นทำให้เขาต้องถึงกับตื่นสายกว่าทุกวัน  เพียงเขานั้นได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกที่ตัวเองคิดว่าสดใสเหมือนกับทุกๆวัน  ต้องพบกับความเดียวดายเมื่อเขานอนอยู่บนเตียงตามลำพัง  ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการหายไปของน้ำเลยแม้แต่น้อย
      
              รัฐเองก็รีบอาบน้ำอาบท่าและรีบลงไปตามหาข้างล่างไปตามหาน้ำ  เขาเดินไปจนถึงสวนกล้วยไม้ของชาวบ้านในละแวกนั้น  ก็พบน้ำนั้นกำลังชมกล้วยไม้ของชาวบ้านด้วยอารมณ์ที่ท่าทางจะผ่อนคลายมากกว่าเดิม 
     
              รัฐยืนดูอยู่ห่างๆก็ยิ้มให้กับอิริยาบทที่น้ำนั้นแสดงออกมา  มันเป็นภาพที่รัฐเองไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในตัวของผู้หญิงคนนี้  แต่ความคิดของเขาที่ปลดปล่อยออกมานั้นก็ต้องหยุดชะงัก  เมื่อพบงูตัวเล็กกำลังเลื้อยมาและกำลังจะตกมาสู่เธอ  รัฐก็วิ่งเข้าไปผลักแบบไม่คิดชีวิตของเขา  ทำให้ทั้งรัฐและน้ำนั้นต้องล้มถลาลงกับพื้น  รัฐเองต้องถึงกับคร่อมตัวของน้ำอย่างที่ตัวเขานั้นก็เลี่ยงไม่ได้
     
              สายตาของน้ำเพ็งมองดูรัฐอย่างอาลัยอาวร  หัวใจเดิมๆของรัฐที่เคยโดยรถประจำทางสายหนึ่งเหยียบย้ำลงไปเมื่อตอนวันสุดท้ายของการเรียนมัธยม  มันก็ค่อยๆกลับมาฟูกลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง  แต่เพียงแวบเดียวเขาก็นึกถึงงูตัวนั้นก็ต้องกลัวเป็นขี้ขึ้นสมอง
     
                   “งู!!!!”  รัฐพูดด้วยความกลัว  เพราะมีอะไรมาไต่ขาเขาอยู่
                   น้ำคว้าท่อนไม้ท่อนหนึ่งเขี่ยงูที่อยู่ตรงนั้นให้ไปไกลๆ  “มันไปแล้ว”  น้ำพูดหลังจากเมื่อเธอเขี่ยงูให้พ้นทางไปอย่างสำเร็จ
                   รัฐยืนขึ้น  ตัวของเขายังคงซีดเผือดแสดงให้รู้ว่าเขานั้นกลัวสัตว์จำพวกนี้มากแค่ไหน  “ขอบใจ  แต่รัฐก็ไม่ได้กลัวมันหรอกนะ” 
                   “รู้!  แกน่ะไม่กลัวเลยดูจากหน้าแกตอนนี้ก็รู้”  น้ำพูด รัฐเองก็ยิ้ม
                   “แต่ยังไงก็ขอบใจแกล่ะ”  น้ำพูดอีกครั้ง
                   “ไม่เป็นไร”  รัฐพูดพร้อมสีหน้าที่ครั้งเคยทำบ่อยๆเมื่อน้ำไม่เห็น
     
              เพียงชั่วครู่ชั่วยามที่น้ำนั้นจะมีความสุขกับรัฐนั้นมันหมดลงอีกไม่นานต่อจากนี้  เมื่อเธอนั้นได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพยายามเรียกชื่อของรัฐมาแต่ไกล
     
                   “รัฐ…เชือกฟางมาแล้วนะ”  ผู้หญิงคนนั้นพยายามเรียกหารัฐอยู่
                   “รัฐอยู่นี่เชือกฟาง….”  รัฐพูดไม่พูดเปล่า  และยังเดินไปโอบหลังเธอ
     
              การกระทำของรัฐนั้นมันฟ้องว่า  รัฐนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่เธอนั้นจะสัมผัสเขาได้  เรื่องเมื่อคืนกับเรื่องเมื่อสักครู่นี้  เป็นเพียงภาพในอดีตที่เธอคิดว่ามันควรเป็นเสียมากกว่า
     
                   “ตกลง  ..  แก  ..  จะไม่แนะนำให้รู้จักเลยหรอ”  น้ำพูดแบบไม่รู้สึกอะไร  แต่รัฐกลับเห็นแววตาที่ปิดบังด้วยน้ำใสๆ
                   “เออ…..ลืมไปเลย  นี่เชือกฟาง  แฟนรัฐ  เชือกฟาง  นี่น้ำนะ  เพื่อนสนิทของรัฐเอง”  รัฐพูดมันออกมาโดยที่เขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจน้ำมากแค่ไหน  แต่ความจำเป็นต้องมาก่อน  รัฐเองเป็นน้ำยิ้ม  รอยยิ้มแห่งความเป็นมิตร  แต่สัญชาตญาณของเขามันพยายามบอกว่า  อีกไม่กี่นาที  น้ำนั้นต้องร้องไห้แบบไม่รู้ตัวแน่  ที่เขารู้นั้นเพราะเขานั้นรู้จักผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างดีต่างหาก
                   “ไปเถอะ  เชือกฟาง”  รัฐพูดพร้อมทั้งเลี่ยงเดินออกไปจากสวนกล้วยไม้นั้น
     
              รัฐทิ้งให้น้ำนั้นอยู่เพียงลำพัง  เธอยิ้มเหมือนกับเธอนั้นเห็นความจริงทุกอย่างกระจ่างก็วันนี้  อะไรที่คลุมเครือก็คลี่คลายวันนี้   เสียงของรัฐดังก้องอยู่ภายในหูของเธอ  “นี่เชือกฟาง  แฟนรัฐ ๆ ๆ ๆ”  มันดังอยู่หลายๆรอบและบ่อยๆ  พยายามตอกและย้ำหัวใจของเธอ  น้ำใสๆถูกคัดกลั่นออกมาผ่านดวงตาคู่งาม  หยดน้ำของมนุษย์คนหนึ่งถูกปล่อยให้ลงสู่พื้นแบบไม่เสียดายมัน  ลมพัดที่โชยเอื่อยผ่านใบไม้แถวนั้นดูมันสั่นไหว  แต่ก็ไม่เท่าหัวใจของเธอนักหรอก

    *************************

              เอามาลงแล้วนะครับ  ...  แต่ว่าจะมีการรีไรท์อีกครั้งอ่านะครับ  ครั้งใหม่จะแก้ในเรื่องคำพูดด้วย  บางที  อันนี้กับอันที่รีไรท์ใหม่อีกครั้งอาจให้อารมณ์ที่ต่างกันก็ได้นะครับ
      
              ก็อยากให้คอมเม้นท์กันมาละกันว่าพอใจหรือเปล่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×