ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หรือเราเคยรักกัน

    ลำดับตอนที่ #16 : ความรัก…อากาศ ก็ไม่ต่างกัน

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 49


             เวลาที่น้ำนั้นได้ปรับทุกข์กับปอนนั้นได้ผ่านมาเป็นเวลานานพอสมควร  ฟ้าฝนก็เริ่มที่จะมืดครึ้มไปทุกที  น้ำก็เลยเงยหน้าดูนาฬิกาที่ติดที่ฝาผนังก็พบว่าตนนั้นถึงเวลาที่จะกลับบ้านเสียที  ก่อนที่ฝนนั้นจะตกหนักมากไปกว่านี้ 
     
                   “ปอน….”  น้ำเรียก
                   “อะไรหรอ”  ปอนถาม
                   “น้ำคิดว่าถึงเวลาที่น้ำต้องกลับบ้านแล้วล่ะ  ยังไงก็ต้องขอบใจปอนจริงๆนะ”  น้ำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น  เธอดูสบายใจขึ้นเยอะ
                   “ไม่เป็นไร…ไป…เดี๋ยวปอนไปส่งน้ำที่หน้าบ้านนะ”  ปอนพูดจบก็พาน้ำไปส่งที่หน้าบ้าน
     
              พอน้ำใส่รองเท้าเสร็จก็เงยหน้ามากล่าวกับปอนอีกครั้ง  “ไม่ต้องเดินออกไปหรอก  น้ำไปเองได้  ยังไงก็ขอบใจนะ”   ในขณะที่น้ำกล่าวขอบอกขอบใจกับน้ำอยู่นั้น  สายตาก็เหลือบไปมองเห็นหนังสืออยู่ 2-3 เล่มที่วางอยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อนด้านนอก  และฝนก็กำลังจะสาดใส่หนังสืออยู่แล้วจึงเกิดความสงสัยเลยถามขึ้น  “ปอน..”
     
                   “ทำไมอีกหรอ”  ปอนถามพร้อมขมวดปลายคิ้ว
                   “ทำไมเอาหนังสือมาวางข้างนอกล่ะ  ฝนมันก็กำลังจะตกนะ  แต่เอ๊ะ!  เมื่อตอนที่น้ำมาก็ไม่เห็นนิ”   น้ำถาม
                   “สงสัยเพิ่งมีคนมาคืนมั้ง”  ปอนตอบ
     
              พอน้ำได้ยินอย่างนั้นก็นึกชื่อคนที่ยืมหนังสือปอนได้เพียงคนเดียว  เพราะเธอเคยเห็นรัฐถือหนังสือ 2-3 เล่มนี้อยู่  “รัฐใช่ไหมปอน”  น้ำถามขึ้นทันที
     
                   “อือ…เปล่าหรอก  เพื่อนฉันมันมีตั้งเยอะแยะที่ชอบมายืมหนังสือของฉันน่ะ”  ปอนตอบและพยายามเลี่ยงไม่ให้พูดถึงรัฐอีก
                   “ไม่ใช่….ต้องเป็นรัฐ   รัฐแน่ๆ  แล้วถ้ารัฐเอามาคืนก็ยังต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ”   น้ำพูดเหมือนคนที่กำลังเพ้อหาอะไร   พอเธอเพ้อเพียงแค่นั้น  “รัฐ….รัฐ”  เธอก็รีบวิ่งออกไปนอกบ้าน  พยายามตะโกนเรียกหาแต่รัฐ  หวังเพียงว่ารัฐนั้นจะได้ยินเสียงจากที่เธอเรียกกลับคืนมาบ้าง
                   “รัฐ…ออกมาเถอะ   น้ำรู้ว่ารัฐอยู่แถวนี้  นะ..รัฐ  น้ำขอร้อง  ออกมาพูดกับน้ำหน่อย  น้ำขอโทษ….ขอโทษที่น้ำไม่เคยสนใจรัฐเลย”   น้ำตะโกนขณะที่เธอนั้นล้มลงไปกับพื้น  ฝนก็สาดกระหน่ำมาที่ตัวของน้ำเปียกปอนไปหมด  แต่น้ำใช่จะสนใจว่าตัวเธอนั้นจะเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนไปมากสักเพียง  หวังเพียงว่า  รัฐนั้นเดินออกมาคุยกับน้ำแค่นั้นน้ำก็พอใจและก็คุ้มค่ากับสิ่งที่เธอทำลงไปมากพอแล้ว
     
              ปอนเห็นน้ำทำท่าทางที่ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าดีดีนี่เอง  ก็อดสมเพศเพื่อนของตัวเองไม่ได้  ก็เลยเดินตามออกมาที่หน้าบ้านด้วย
     
                   “พอเถอะ”  ปอนพูดออกมาเบาๆ
     
              น้ำไม่ได้ยินเสียงของปอนแม้แต่น้อย  เพราะเธอเสียใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พลาดไป  เธอร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง  การตอบสนองต่ออารมณ์ก็รุนแรงมากขึ้นทุกที  จนปอนเองก็เริ่มอดทนไม่ไหว
     
                   “พอเถอะ….มันไปแล้ว  ไปไกลมาก  ไกลเสียจนแกเดินตามมันไม่ทัน  กลับมาเป็นตัวแกเถอะน้ำ  หยุด….ฉันบอกให้หยุดไง  เปรี้ยง!”  ปอนตะโกนกรอกหูของน้ำไปด้วยเสียงดัง  ปอนพูดไปก็อดร้องไห้ตามเพื่อนไปไม่ได้  ปอนพูดจบก็เดินไปหาน้ำ  เสียงฟ้าคำรามก็ดังกัมปนาถขึ้น
                   “ปอน…..”  น้ำเรียกชื่อของปอนพร้อมๆกับเข้าไปกอดกับปอนอย่างรัดแน่น  เธอยังคงร้องไห้   ตัวของน้ำนั้นก็ยังสั่นระริกที่เกิดจากความกลัว
                   “นอนบ้านฉันนะ”  ปอนพูดเพียงเบาๆ
                   “….”  ไม่มีคำพูดในที่หลุดออกมาจากปากของน้ำ  เพียงแต่พยักหน้ารับคำเชื้อเชิญเท่านั้น

    $$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
     
              ทางด้านของรัฐเองหลังจากที่เอาหนังสือของปอนไปคืนที่บ้านของปอนเองกลับต้องได้ยินสิ่งที่เคยได้ยินไปไม่นานมานี้อีกครั้ง  และดูท่ามันจะรุนแรงกว่าครั้งไหนๆของเขาไปเสียอีก  เขากำลังงงกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้นั่นก็คือ  เธอคือเพื่อนรัก  หรือ  เขายังคงรักเธออยู่  ถ้าหากมันยังคงเป็นตะกอนที่นองอยู่ที่ก้นแก้วของเขา  เพียงรอให้ใครมาคนมัน  ตะกอนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะฟุ้งไปทั่วแก้วอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
     
             พอรัฐเปิดประตูเข้ามาในบ้านก็พบภาพแม่ของเขากำลังนั่งทานข้าวกับคนรักคนปัจจุบันของเขาอยู่  เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่  ใจของเขามันหาจุดเสถียรจากตรงไหนได้บ้าง
     
                   “มารัฐ….มานั่งทานข้าวกันก่อนเร็ว  เดี๋ยวกับข้าวหมดนะ”  แม่ของรัฐเรียกให้รัฐได้มาทานข้าวด้วยกัน  ในขณะที่เชือกฟางนั่นเดินออกไปจากโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว
                   “ครับแม่”  รัฐตอบรับพร้อมทั้งเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารแต่โดยดี
     
              พอสักพักหนึ่ง  เชือกฟางหลังจากที่ลุกไปจากโต๊ะอาหาร ก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวของรัฐมาเช็ดตัวของรัฐที่เปียกปอนจอากฝนที่ตกปรอยๆนั่นเอง
     
                   “ไม่เป็นไร  เดี๋ยวรัฐเช็ดเองได้”  รัฐพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งๆ
                   “ตามใจนะ”  เชือกฟาง พูดพลางยื่นผ้าเช็ดตัวให้รัฐให้รัฐนั้นได้เช็ดตัวให้แห้งด้วยตัวของรัฐเอง  จากนั้นก็มาให้ความสนใจกับอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารแทน
     
              ตลอดเวลาในการรับประทานอาหารในมื้อนั้น  ดูทั่วไปแล้วก็เหมือนๆกับทุกวัน  รัฐเองก็ยังคงเอาอกเอาใจเชือกฟางทุกอย่าง  ก็เหมือนๆกับทุกวันแต่เชือกฟางนั้นกลับรู้ดีว่า  รัฐนั้นกำลังประสบกับปัญหาอะไรสักอย่าง  เพราะท่าทีของรัฐก่อนออกไปจากบ้านและตอนนี้นั่นช่างเปลี่ยนและแตกต่างไปจากเดิมมาก  ดูรัฐไม่มีชีวิตชีวา  ร่างกายที่มานั่งร่วมรับประทานอาหารด้วยกันนี้มันมีเพียงแต่ร่างกายนั้น  เหมือนกับว่า  รัฐนั้นได้สร้างโลกเล็กๆใบหนึ่งที่เชือกฟางนั้นไม่สามารถเข้าไปถึงในนั้นได้  เพียงแต่รอ…รอที่รัฐนั้นพร้อมและบอกกับเชือกฟางเองว่า  รัฐนั้นเป็นอะไรได้เพียงเท่านี้
     
                   “รัฐ…” เชือกฟางเรียกรัฐเบาๆแต่รัฐกลับไม่ได้ยินสิ่งที่เชือกฟางบอก  “รัฐ…”  เชือกฟางเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น
                   “หา…หา….มีอะไรหรอเชือกฟาง”  รัฐถามด้วยท่าทีที่ตกใจ
                   เชือกฟางขำเล็กๆกับท่าทีของรัฐแล้วที่จะบอก  “รัฐเป็นอะไรเปล่า   มีอะไรบอกเชือกฟางได้นะ”  เชือกฟางถามพร้อมกับรอยยิ้มที่แก้มของเธอมีสีชมพูอ่อนๆ
                   “ไม่มีไรหรอ…เออ…ดึกแล้ว  รัฐไปส่งเชือกฟางกลับบ้านนะ”  รัฐกล่าว
                   “จ๊ะ”  เชือกฟางตอบสั้นก่อนที่จะเดินไปร่ำลาแม่ของรัฐ  “แม่รัฐค่ะ  เชือกฟางไปก่อนนะค่ะ” 
                   “จ๊ะ  กลับบ้านดีดีนะ”  แม่ของรัฐกล่าว
                   “ค่ะ” เชือกฟางตอบรับอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปข้างนอกกัน
     
    *********************

              ตลอดทางที่รัฐนั้นได้เดินไปส่งเชือกฟางนั้น  เชือกฟางก็ต้องพบกับความเงียบงันที่หลุดออกมาจากรัฐเอง  เธอมีความรู้สึกว่า  ความเงียบสงัดในยามรัตนติกาลนั้นกำลังค่อยๆกลืนกินรัฐให้หายไปจากสิ่งที่รัฐเคยเป็นอยู่เข้าไปทุกทีๆ  เชือกฟางเองก็พยายามพูดคุยกับรัฐทุกวิถีทางแล้ว  แต่รัฐเองกลับมีการตอบสนองที่เหมือนเก่า  ถามคำตอบคำอยู่อย่างนั้น  รอยยิ้มที่ให้เป็นเพียงรอยยิ้มที่มุมปากของเขาเท่านั้น
     
                   “ถึงบ้านเชือกฟางแล้ว  รัฐเองก็กลับบ้านดีดีนะ  อย่าไปฉุดใครเขาล่ะ”  เชือกฟางพูดก่อนที่จะเหลียวหลัง  คำพูดของเธอนั้นยังคงเจือไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนนุ่มอยู่เสมอ  ทำให้รัฐนั้นก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำกับเธอแบบนี้
                   “เชือกฟาง”  รัฐเรียก
                   “มีอะไรหรอ”  เชือกฟางหันมาถามด้วยท่าทางที่สงสัย
                   “เออ…..”  รัฐลังเลที่จะบอกเรื่องของน้ำให้กับเชือกฟาง  “ฝันดีนะครับ”  รัฐเลือกที่จะไม่บอก  และเขาเองยังเลือกเอ๋ยพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขากลับมาถึงบ้านในช่วงหลังนี้
                   “จ๊ะ…รัฐเองก็เช่นกันนะ”  เชือกฟางกล่าวก่อนที่จะรีบวิ่งขึ้นบ้านไป
     
              หลังจากรับร่ำลาเชือกฟางเข้าบ้านไปแล้ว  เขาเองก็ต้องเดินกลับบ้านฝ่าลมหนาวจากที่ฝนที่เพิ่งตกใหม่ๆเพียงลำพัง  เขาเองก็รู้สึกเหงา  ยิ่งรู้สึกเหงามากเท่าไร  กลับคิดถึงน้ำมากเท่านั้น
     
    ~@@@@@@@@@@~

              ทางด้านของน้ำ   หลังจากที่อาบน้ำเสร็จก็ใส่ชุดนอนสีขาวของปอน  ซึ่งปอนเองก็เป็นคนชอบใส่เสื้อนอนตัวใหญ่ๆ  ทำให้น้ำก็ยิ่งดูเหมือนตัวตลก   เธอเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างกระจกบานหนึ่งบานหนึ่ง  เธอมองทะลุผ่านไปทางกระจก  พอมองเห็นฝนที่ยังตกปรอยๆ  และสายลมหลัง
    ฝนตกกำลังพัดโชยเอื่อย    มันทำให้จิตใจก็อดให้ปล่อยล่องลอยไปตามอากาศไปไม่ได้  เธอคงเหงาเสียยิ่งกว่าเหงา  มันบรรยายแทบไม่ถูกสำหรับสิ่งที่เธอเป็นในขณะนี้ได้  แต่เพียงขอมือของรัฐมากุมที่มือของเธอเพียงเท่านั้นมันก็ทำให้เธอนั้นหายไปจากสิ่งที่เธอเป็นอยู่แล้ว  เธอเองก็ขอในสิ่งที่ไม่มากมายแต่ก็รู้ว่าสิ่งที่เธอของนั้นเธอไม่สามารถได้มันอีกต่อไป  เป็นเพียงคำขอที่เลื่อนลอยของผู้หญิงคนหนึ่ง
    เท่านั้น  
     
                   “โอ๊ย!”  น้ำร้องด้วยเสียงดังเมื่อรู้สึกมีอะไรร้อนมาแตะที่แก้มของเธอ
                   “เอา….ดื่มซะ  เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็พากันเป็นไข้หรอก”  ปอนพูดพลางยื่นแก้วที่มีน้ำอุ่นอยู่เกือบเต็มแก้ว
                   “ขอบใจว่ะ”  น้ำตอบพร้อมกับหยิบแก้วมาซดดื่ม
                   “ค่อยๆดื่มก็ได้    แกเองตัดใจเสียเถอะนะ”   ปอนพูด
                   “แต่ว่า….”  น้ำอึกอัก
                   “ฉันรู้…ว่ามันยาก  แต่มันก็เป็นทางที่ดีสำหรับเธอนะ”  ปอนกล่าว
                   “ฉันเองไม่รู้เลยปอน  ว่าพรุ่งนี้ถ้าไปเจอกับมัน  แล้วฉันต้องตีหน้ายังไง”  น้ำกล่าวพร้อมซดน้ำอุ่นอีกครั้ง
                   “แล้วแกไม่คิดถึงมันหรือไง   ทำไมมันถึงตีหน้ากับแกอย่างไม่รู้สึกอะไรทั้งๆที่มันอยากจะบอกจะตาย  เพียงเพราะกลัวแกจะโกรธมันเท่านั้น  เพื่อแลกกับความสุขของตัวเอง  ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำ  ว่ามันจะไปในทิศทางไหนเสียด้วยซ้ำ”  ปอนกล่าว
                   “ใช่…ฉันเองนั่นแหละที่ผิดเอง”  น้ำกล่าว  พร้อมๆกลั่นน้ำตาของตัวเอง ปล่อยให้มันไหลอย่างช้าๆ  ค่อยๆกรีดบาดหัวใจของเธอทีละเล็กทีละน้อย
                   “เคยไหม  ในตอนเด็ก  ที่เรานั้นมีของเล่นสักชิ้นหนึ่ง  เล่นก็ไม่เก็บ  แม่เราก็จะแก้เผ็ดด้วยการเอาไปไว้ที่ที่สูงเรานั้นเอื้อมไม่ถึง  แรกๆก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก  เพียงนานไปเริ่มรู้สึก  ถึงวันนั้นของเล่นชิ้นนั้นก็หายไปจากบ้าน เราลืมไปด้วยซ้ำว่าแม่เรานั้นเก็บไว้ที่ตรงไหน”  ปอนกล่าว
                   “เคยดิ”  น้ำตอบพร้อมกลับปล่อยน้ำตาของเธอให้ไหลไปอีกครั้ง
                   “เขาว่ากันว่า  มีของ สอง สิ่ง ที่เราเอากลับคืนมาไม่ได้  นั่นคือ  วัน และ  เวลา  หากทำหายไปจากความทรงจำมันยากนะที่จะกู้คืนกลับมา”  ปอนกล่าว
                   “ใช่”  น้ำกล่าวก่อนที่จะเข้าไปกอดกับปอนอย่างแน่น  เพราะเธอกลับกลัวในทุกสิ่งทุกอย่างอีกครั้ง
     
                   จากนั้นปอนก็ค่อยๆพาน้ำที่อ่อนแอกว่าทุกๆวันไปนอนอยู่บนเตียง  เพียงใช้เวลาไม่นานนัก  น้ำนั้นก็ผล่อยหลับไปในที่สุด  อาจเป็นเพราะในวันนี้นั้นเธอเจออะไรต่ออะไรมากมายเสียเหลือเกินจนต้องใช้พลังงานไปมาก  ทำให้หลับไปอย่างรวดเร็ว
          
    *************************

              คิดเห็นกันอย่างไรก็บอกมาได้นะครับ  และใครจะลงโฆษณาไว้ก็ตามสบายนะครับ  แล้วว่างๆผมจะไปเยี่ยมละกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×