ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หรือเราเคยรักกัน

    ลำดับตอนที่ #15 : ความจริง….สายไปหรือเปล่าที่ถามคำถามนี้

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 49


              เมื่อน้ำนั้นเห็นภาพรัฐกำลังควงหญิงที่ไหนก็ไม่รู้แต่ดูท่าทีเขาและเธอคนนั้นดูสนิทสนมกันมากอยู่การโกหกของรัฐอาจเป็นเพื่อเธอคนนั้นก็เป็นได้  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดนั้นเธอนั้นมีความรู้สึกเย็นชาต่อทุกสิ่งเมื่อเห็นภาพเหล่านี้  เพราะในเมื่อคืนนี้วันที่ทั้งคู่ต่างบอกความลับของกันและกันและตรงกันนั้น  เธอรู้เพียงว่าตอนนี้รัฐไม่ได้คิดกับเธออย่างนั้นแล้ว  รัฐคิดกับเธอเพียงแค่ในอดีตเท่านั้น  แต่เธอแทบไม่ได้ยินเลยว่ารัฐนั้นมีคนใหม่แล้ว…แต่กว่าจะรู้นั้นเธอก็มาเห็นภาพนี้เสียแล้วแต่ยังไงเธอก็หวังไว้ลึกๆว่าคนนั้นไม่ใช่คนที่รัฐนั้นคิดจริงจัง  เพราะเธอยังไม่ทันถอนใจจากเขาเลย
     
              ทางด้านของรัฐ  วันนี้รัฐพาเชือกฟางนั้นมาทานข้าวเย็นที่บ้านของเขาอีกแล้ว  นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เชือกฟางนั้นมาบ้านของเขา  แต่แทบเป็นปกติวิสัยไปเสียแล้วนั่นสิ  แม่ของรัฐนั้นก็เฝ้าดูพฤติกรรมของเด็กผู้หญิงที่รัฐพามาที่บ้านบ่อยๆอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้นั้นเธอก็วางใจให้รัฐได้คบหากับเชือกฟางได้  ตามสบายนั่นเอง
     
                   “แม่ครับ…แม่ครับ  วันนี้ผมพาเชือกฟางมาบ้านนะครับ”  รัฐพูดลอยๆเพราะเขายังไม่เห็นแม่ของเขาแต่รู้เพียงว่าแม่ของเขาอยู่ในบ้านแน่นอน
                   แม่ของรัฐกำลังเดินออกมาจากห้องครัวพอดิบพอดีเมื่อได้ยินเสียงของรัฐอีกก็ได้ขานตอบรัฐไป  “จ๊ะ…ตามสบายนะเชือกฟาง” 
                   “แม่….สวัสดีค่ะ”  เชือกฟางกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้อย่างงดงาม
                   “จ๊ะ…วันนี้เชือกฟางอยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านด้วยกันสิ  วันนี้แม่ทำกับข้าวไว้เยอะเลยเนี่ย”  แม่ของรัฐกล่าวเชื้อเชิญเชือกฟาง  และเชือกฟางก็ยิ้มตอบกลับแม่ของรัฐนั่นหมายถึงเชือกฟางตอบตกลงที่จะอยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านของรัฐนั่นเอง
                   “งั้น…เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับเดี๋ยวจะออกมาทานข้าวเย็นนะครับ”  รัฐพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องของรัฐ  และสักพักเชือกฟางก็เดินตามเข้าไปในห้องของรัฐด้วย
     
              มันเป็นภาพที่ชินตาสำหรับคนที่ได้ชื่อว่าแม่เมื่อเห็นหญิงสาวอื่นเข้าไปในห้องของลูกชายของตัวเอง  ในระยะแรกๆ  เธอนั้นก็ไม่พอใจเท่าไรที่ทั้งคู่ทำแบบนี้  แต่นี่ระยะเวลามันผ่านไปนานพอดูแล้ว  การห่วงที่จะเกิดเรื่องราวอันเลวร้ายที่เธอคิดนั้นก็วางใจได้  และเธอนั้นก็เชื่อมั่นในตัวของทั้งคู่ด้วย  ภายในห้องของรัฐ  รัฐเดินเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอนของเขาและมีเชือกฟางนั้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียงของเขาและทั้งคู่ก็มักจะมีเรื่องอะไรก็จะคุยช่วงเวลาอย่างนี้ซะส่วนใหญ่
     
                   “รัฐ…รัฐจ๊ะ”  เชือกฟางตะโกนผ่านเข้าไปในห้องน้ำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานพอดู
                   “อะไรจ๊ะ…มีเรื่องอะไรหรอ”  รัฐถาม
                   “ก็ปิดเทอมนี้ล่ะซิ”  เชือกฟางเริ่มเปรยๆมาบ้างแล้ว
                   “ปิดเทอม ? … ทำไมหรอ  รัฐไม่เห็นจะเข้าใจ”  รัฐถาม
                   “ก็อาทิตย์หน้านี้  รัฐเองก็รู้นิว่าชมรมของเรานั้นจะไปออกค่ายแถวเชียงรายใช่ไหม”  เชือกฟางพูดด้วยเสียงอ๋อยเสียงหวาน
                   “ก็ใช่…ทำไมหรอ  อยากจะไปล่ะซิ”  รัฐพูด
                   “แหม..รัฐนี่รู้ใจจริง  ใช่…ไปกับเชือกฟางเถอะนะ”  เชือกฟางพูดเชิญชวนให้รัฐไปกับเธออย่างเต็มที่
                   “อ้าว!!  ทำไมปีนี้ถึงอยากไปล่ะ  ปกติรัฐชวนยังไงเชือกฟางก็ไม่เห็นจะยอมไปเลย  รัฐก็เลยไม่ได้ไปด้วย  ที่คราวนี้รัฐปฏิเสธเค้าไปแล้วทำเป็นอยากจะไปซะอีก”  รัฐพูด
                   “ก็เอาเป็นว่า  เชือกฟางอยากไปละกัน   มันไม่มีเหตุผลหรอก  รัฐไปได้เปล่า”  เชือกฟางถาม
                   “อืม…ก็ได้ดิ”  รัฐตอบรับกับเชือกฟางทำให้เธอนั้นเริ่มยิ้มออกมาด้วยความดีใจ  แล้วรัฐนั้นก็เหลือบไปมองเห็นหนังสือของปอนที่เค้านั้นยืมมาเป็นเวลานานแล้ว  ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าปอนต้องการใช้มันเร็วๆนี้  ก็เลยคิดว่าจะเอาไปคืนวันนี้ เพราะบ้านของปอนนั้นก็ซอยถัดไปจากบ้านของเขา  มันอยู่ใกล้ๆว่าจะเดินไปสักแปบหนึ่งแล้วรีบมาทานข้าวที่บ้าน “เออ….เชือกฟาง” รัฐเรียกเธอ
                   “อะไรหรอ”  เชือกฟางถาม
                   “เดี๋ยวรัฐเดินไปบ้านปอนแปบหนึ่งนะ”  รัฐพูด
                   “ไปทำไมหรอ…เชือกฟางไปด้วยดินะ”  เชือกฟางพูด
                   “ก็รัฐจะเดินเอาหนังสือของมันไปคืนน่ะ  เชือกฟางไม่ต้องไปกับรัฐหรอก  รัฐไปแปบเดียวเท่านั้น  อยู่รอทานข้าวเย็นที่นี่แหละนะ”  รัฐพูด
                   “งั้น…ก็ได้  รัฐรีบมาละกัน  ระวังรถด้วยล่ะ”  เชือกฟางกล่าวด้วยความเป็นห่วงจากนั้นรัฐก็เดินออกไปจากบ้านไปทันที
     
    ฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿

              ทางด้านของน้ำนั้น  ภาพที่เธอเห็นเมื่อตอนเย็นของวันนี้นั้นมันมีอิทธิพลทำให้เธอนั้นเดินไปไหนต่อไหนเรื่อยเปื่อย  เธอไม่ต่างอะไรกับคนที่ไร้วิญญาณ  แต่เพียงเงยหน้ามาดูสิ่งแวดล้อมอีกทีก็นึกขึ้นได้ว่านี่มันระแวกบ้านของปอน  เธอนั้นก็แปลกใจเหมือนกันว่าเธอเดินมาถึงที่นี่ได้อย่างไร  หรือเธอนั้นคิดถึงรัฐมากจนเกินไปทำให้เดินมาถึงแถวนี้ได้  เธอเองก็คิดว่าดีเหมือนกันที่เธอนั้นมาถึงแถวนี้  เธอจะได้เข้าไปถามกับปอนว่าหญิงสาวนางนั้นเป็นใคร  ใช่สิ่งที่เธอนั้นคิดตลอดเวลาหรือไม่  เพราะเธอนั้นมั่นใจว่า  ปอนนั้นน่าจะรู้อะไรต่ออะไรมากมายที่เกี่ยวของกับรัฐอย่างแน่นอน  เพราะคณะที่รัฐเรียนกับคณะที่ปอนเรียนนั้นอยู่ห่างไกลกันไม่มากนัก  แถมทั้งคู่ยังอยู่ในชมรมพิเศษเดียวกันอีก  ดังนั้นปอนนั้นแหละจะเป็นกุญแจที่สำคัญที่จะไขข้อสงสัยให้กับเธอได้อย่างแน่นอน
     
              ติ๊ง..หน่อง   ติ้ง….หน่อง  เสียงอ๊อตประตูบ้านของปอนดังขึ้น ปอนเองได้ยินเสียงเหมือนคนมาเรียกก็เดินออกมาดูว่าใครกันที่มาหาเธอในยามหัวค่ำ  ภาพที่เธอเห็นมาแต่ไกลนั้นนั่นคือ  น้ำ ที่มีสีหน้าที่ไม่ดีเอาเสียเลย  ไม่แปลกที่เธอนั้นจะสงสัยในท่าทีของน้ำ
     
                   “อ้าว…น้ำ  มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า”  ปอนทักกับน้ำมาแต่ไกล
                   “อืม…ไปคณะมาแล้วยังไม่อยากกลับบ้านน่ะ  เลยเดินมาเรื่อยเปื่อยแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาถึงที่นี่ได้ไง”  น้ำตอบกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาเหมือนจิตใจของเธอนั้นล่องลอยไปตามอากาศ
                   “อืม…ไม่รู้เนอะ  ลมอะไรถึงกล้าหอบเธอมาถึงบ้านฉันได้เนี่ย”  ปอนพูดเชิงบ่นแต่ก็เปิดประตูบ้านให้น้ำนั้นเข้ามาในบ้านอยู่ดี  และก็พาน้ำนั้นเข้ามาในบ้าน  ตลอดการเดินทางเข้าไปในตัวบ้านของนั้นต้องผ่านทางเดินที่ยาวพอดู  แต่ก็ไม่การพูดคุยที่ออกมาจากของน้ำเลย  “อือ..อืม….อืม”  เสียงเบาๆที่ผิวเผ่นออกมาจากริมฝีปากบางๆของน้ำพ่นออกมาด้วยเสียงดัง  จะถามเรื่องนั้นแต่ก็กระอักกระอ่อนที่จะถาม  และไม่กล้าได้รับความจริงถ้ามันเป็นจริง
                   “นั่งก่อนละกัน เดี่ยวฉันไปเอาน้ำมาให้แกดื่มก่อน”  ปอนพูดพร้อมเดินไปเอาน้ำมาให้น้ำได้ดื่มเพราะเห็นเธอนั้นเหนื่อยผิดปกติ
                   “ปอน!!”  น้ำเรียกชื่อของคนที่เธอต้องการคุยด้วยด้วยเสียงดังฟังชัด  เสียงของน้ำนั้นทำให้ปอนตกใจรีบเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับน้ำหนึ่งแก้ว  แล้วถามน้ำกลับไปพร้อมๆกับวางน้ำที่เธอเอามาให้เพื่อนของเธอได้ดื่มไว้ที่โต๊ะรับแขก  “มีไร  เรียกซะเสียงดัง”
                   “นี่ปอน…ถ้าฉันถามไรแกไป  แกต้องตอบฉันตามตรงนะ”  น้ำพูด
                   “เออ…ว่ามาดิ”  ปอนพูด
                   “ไอ้รัฐ…มันมีแฟนแล้วหรือยัง”  น้ำพูดออกมาแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาฟังคำตอบของปอนด้วยใจที่จดจ่อ
                   “ทำไม..แกถึงอยากรู้ว่ะ”  ปอนถามกลับ
                   “ก็วันนี้ฉันเห็นมันเดินควงกับผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง  แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า  เลยมาถามแกนี่ไง”  น้ำกล่าว
                   “แล้วทำไมไม่ไปถามมันเสียล่ะ”  ปอนย้อนกลับ
                   “แกเองยังไม่ตอบฉันเลยว่าใช่หรือไม่ใช่  กับสิ่งที่ฉันเห็นในวันนี้น่ะ”  น้ำคะยั้นคะยอให้ปอนตอบคำถามของเธอให้ได้
                   “ที่แกถามเพราะอะไร  แกเห็นถามอย่างนั้นรู้สึกเสียดายหรือไง”  ปอนย้อนกลับไปอีกรอบ
                   “ใช่มั้ง…ฉันเองก็ยังไม่รู้เลย”  น้ำไม่กล้าแม้จะบอกความจริง
                   “แกเนี่ยนะ…พอตอนที่มันทำทุกอย่างเพื่อแกเนี่ยนะ  แกกลับไม่เห็นค่ามันเลยสักนิด  แต่ที่คิดว่ามันให้ความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่แก  แกก็กลับเสียดายมัน”  ปอนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องเหมือนเธอจะไปหยิบอะไรสักอย่าง
                   “แกรู้หรอ”  น้ำถาม
                   เป็นช่วงพอดีที่ปอนเดินออกมาจากห้องพอดี   เลยได้ตอบกับเธอ  “รู้สิ  เค้ารู้กันทั้งห้องนั่นแหละ  มีคนเดียวที่ไม่เห็นนั่นก็คือแกเองนั่นแหละ  …  อ่ะนี่ ลองไปอ่านดู”  ปอนพูดพร้อมกับโยนจดหมายกองหนึ่ง  เป็นจดหมายที่รัฐนั้นฝากไว้กับปอนโดยรัฐบอกไม่ให้ปอนให้กับน้ำเพราะกลัวน้ำจะโกรธเขา  มันเป็นจดหมายของรัฐที่มีความรู้สึกต่อน้ำจนวันสิ้นสุดของการเรียน  และเขาเองก็นึกไม่ถึงด้วยว่าจะเป็นวันสิ้นสุดความรักของเขาไปด้วยเช่นกัน  ถึงแม้ปอนนั้นจะไม่เคยคิดที่จะแกะอ่านจดหมายเหล่านี้เลย  แต่ก็พอรู้ว่ารัฐนั้นรักน้ำมากถึงเพียงไหน แต่เขาไม่มีเพียงโอกาสได้บอกกับน้ำ  เพราะน้ำคอยปิดกั้นเขาอยู่ตลอด
     
              เมื่อน้ำนั้นค่อยๆอ่านจดหมายที่ไม่ส่งไปถึงยังปลายทางทีละฉบับก็ต้องถึงกลับรินน้ำตาของตัวเองอย่างช้าๆให้มันไหลอาบแก้มของตัวเอง  และรู้สึกว่าตัวเองนั้นผิด  ผิดมาโดยตลอดที่ปิดกั้นสิ่งเหล่านั้น  คนอื่นมองเธอนั้นว่ากล้าหาญชาญชัยมากสักเพียงไหน  แต่ในใจเธอนั้นบอกได้คำเดียวได้เลยว่า    เธอนั้นขี้ขลาดและไม่กล้าเผชิญหน้าต่อความจริงเป็นอย่างมาก  และเธอเองยังมาคอยมาคิดรั้งรัฐอยู่อย่างนี้อีก  ถึงรัฐจะมีหรือไม่มีใครนั้น  เธอก็คิดว่าเธอนั้นก็ไม่มีสิทธิในตัวของเขาอีกต่อไป

                   “ขอบใจมากนะปอน   ทำให้น้ำรู้อะไรอีกเยอะเลย”  น้ำพูดพร้อมปาดน้ำตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว   ทันทีที่เธอนั้นอ่านจดหมายตัวอักษรของรัฐตัวสุดท้าย
                   “อืม…เออ เอางี้   อาทิตย์นี้ไปเที่ยวกับชมรมฉันกัน  เชียงรายโน่นแหนะ  ฉันขอให้แกจะไปเปล่า”  ปอนถาม
                   “ไอ้รัฐ….”  น้ำจะถามแต่ก็ไม่กล้าถาม
                   “โอ๊ย…มันไม่เคยไปสักครั้ง  แกก็รู้นิว่าแม่มันหวงแค่ไหน”  ปอนพูด
                   “ไปก็ได้”  น้ำตอบ
                   “เดี๋ยวฉันโทรไปหาพี่ปลั๊กก่อนละกัน”  ปอนรีบโทรศัพท์ไปหาพี่ปลั๊กโดยทันทีโดยขอให้พี่ปลั๊กนั้นได้สำรองที่นั่งให้กับน้ำนั่นเอง

    ^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

                   เมื่อสายโทรศัพท์ต่อติดไปยังพี่ปลั๊กปอนก็รีบพูดแทรกขึ้นไปทันที  “ฮัลโหล..พี่ปลั๊ก  ปอนเองนะ”
                   “ว่าไง   เจ้าตัวแสบ”  พี่ปลั๊กทักกลับมา  ทำให้ปอนนั้นหัวเราะเล็กๆ
                   “พี่ปลั๊กยังพอมีที่ว่างที่จะไปเชียงรายเหลืออยู่เปล่า”  ปอนถาม
                   “ก็ยังพอมีอยู่ทำไม”  พี่ปลั๊กถามกลับไปทันที
                   “ปอนอยากพาเพื่อนไปเที่ยวหน่อยน่ะ  ไม่รู้จะได้เปล่า”  ปอนกล่าวกลับ
                   “ได้ดิ  เดี่ยวสักครู่….อ่ะพี่สำรองที่นั่งให้แล้วนะ”   พี่ปลั๊กตอบกลับมา
                   “งั้นแค่นี้นะ”  ปอนพยายามจะวางหู  แต่ก็มีเสียงจากพี่ปลั๊กแทรกขึ้นมา
                   “เดี๋ยวก่อน  ทำไมไม่ไปบอกเจ้ารัฐล่ะ  เค้าทำเรื่องนี้ไปแล้วนะ”  พี่ปลั๊กพูด
                   จากที่พี่ปลั๊กพูดนั้นทำให้ปอนถึงกลับชะงักทันที  “ก็ไอ้รัฐปกติก็ไม่เคยไปนิ  ถึงมันจะเป็นรองประธานก็จริงอยู่  แต่มันไม่ไปก็ต้องไปดูแลเรื่องอื่นสิ”  ปอนพูด
                   “ใครว่ามันไม่ไป”  พี่ปลั๊กพูดลอยๆ
                   “หา…อะไรนะพี่”  ปอนอุทานด้วยความตกใจ
                   “ก็เมื่อสักครู่นี้เชือกฟางเพิ่งโทรมาบอกพี่เองว่าเปลี่ยนใจว่าจะไป  แล้วเห็นว่าจะไปทั้งคู่ด้วยนะ”  พี่ปลั๊กพูดจบสายอยู่ก็ก็ตัดขาดไป

              เมื่อสายอยู่ๆก็ตัดขาดไป  ปอนก็ทำหน้าแห้งๆเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ปลั๊กนั้นบอกมา  การหวังดีของเธอนั้น  อาจไม่ใช่สิ่งที่เธอนั้นคิดก็ได้ 
     
                   “ว่าไง..ฉันไปได้เปล่า”  น้ำถามแทรกขึ้นมาทันที
                   “ได้”  ปอนตอบสั้นๆ
                   “ได้..แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”  น้ำถาม
                   “ก็…ก็…ไม่มีอะไรหรอก  อย่าไปสนใจเลยนะ”
                   “อืม”  น้ำตอบรับกับปอน

              แต่เพียงปอนนั้นจะพูดเรื่องต่อไปกับน้ำนั้น  ก็เงยหน้าไปมองที่หน้าต่าง  ก็พบว่ารัฐนั้นยืนอยู่ตรงนั้นดูท่าเค้านั้นได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว  ดูสีหน้าของรัฐนั้นไม่ต่างกับน้ำในตอนนี้เสียเท่าไร เพราะเห็นน้ำต้องมีน้ำตาเพราะเขา  รัฐตัดสินใจที่จะไม่ไปร่วมเสวนากับปอนและน้ำ  และทำสัญลักษณ์ว่าเขาได้ว่าหนังสือที่โต๊ะหินอ่อนด้านนอก  แล้วก็เดินจากไปทันที  เมื่อปอนเห็นรัฐมายืนตรงนั้นก็ยิ่งหน้าซีดเข้าไปอีก  แล้วก็อุทานออกมาเสียงเบาๆ  “น้ำ”
     
                   “มีไร”  น้ำทักกลับไป  พร้อมกับมองไปทางที่ปอนมองอยู่ด้วยแต่พบกับความว่างเปล่าเพราะรัฐนั้นได้เดินจากไปครู่ใหญ่แล้ว
                   “เออ….ไม่มีอะไรหรอก”  ปอนพูดกลบเกลื่อน
                   “ทำหน้ายังกับเห็นผีอย่างนั้นแหละ”  น้ำพูด
                   “ไม่มีไรหรอก”   ปอนกล่าวเสริมอีกครั้ง

    ****************
              หากใครคิดเห็นอยากไรกับเรื่องนี้ก็บอกมาได้เลยนะครับ  หากจะฝากเรื่องก็ตามสบายเลยครับ  แล้วว่างๆผมจะไปเยี่ยมครับ  และหากเยี่ยมช้าไปหน่อยก็อย่าน้อยใจไปล่ะเพราะว่าช่วงนี้งานยุ่ง เรียนหนักอยู่น่ะครับ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×