คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ใบสูติบัตรที่มีแต่รอยยับ
นิด เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่กับหญิงชราผู้คนหนึ่งที่อายุร่วมเกือบ 84 ปี เธอเรียกหญิงชราคนนี้ว่า “ยาย” และดูเหมือนว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เธอนั้นจะหลงเหลือให้เธอนั้นได้พักพิง ชะตาชีวิตของเธอนั้นก็ไม่รู้เลยว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกับตัวเธอเมื่อไหร่ แต่เธอนั้นก็รู้เพียงว่า อีกไม่นานนักหรอก เพราะร่มเงาที่เธอพักพิงอยู่นั้นใกล้ที่จะโรยราเต็มที่แล้ว
ในทุกๆวันนั้นหลังจากที่นิดาคล้อยหลังไปโรงเรียน ยายของเธอก็มักจะแอบไปรับจ้างเล็กๆน้อยๆเรื่อยเปื่อย ค่าเงินของมันอาจดูจะไม่มากมายอะไรมากนัก แต่มันก็พอจะประทั่งชีวิตของยายหลานคู่นี้ได้อยู่พอสมควร และดูเหมือนมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่หญิงชราวัยขนาดนั้นจะต้องอดทนสู้งานต่างๆ พ่วงด้วยโรคจิปาถะที่ตามมาอีกมากมายเสียเหลือเกิน พอหลังจากที่นิดกลับมาจากโรงเรียนเธอก็ไม่เคยที่จะรู้เลยว่า ช่วงที่เธอไปโรงเรียนนั้นยายของเธอแอบไปทำงานมาเพื่อเธอมากสักแค่ไหน เพราะว่าในช่วงเย็นนั้นเธอมักจะไปรับจ้างในแบบที่ยายของเธอทำในช่วงเธอไปโรงเรียนเช่นกัน และนิดก็ไม่เคยจะทิ้งเรื่องการเรียนเลย แถมเธอนั้นยังเรียนเก่งไม่แพ้ใครเลยอีกด้วย เพราะในช่วงกลางดึกก่อนนอนของทุกวันเธอก็มักจะมาทบทวนตำหรับตำรา ก็หวังเพียงแค่ให้หลุดพ้นจากคำว่า “จน” เพียงเท่านั้น
จนแล้วจนรอด วันที่ท้องฟ้ามีวันมืดครึ้มก็เกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงวัยเพียงสิบสี่ ถ้ามองในเรื่องของความเป็นจริงมันอาจจะดูโหดร้ายเสียเกินไป หากพูดถึงเรื่องของธรรมชาติ มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะธรรมชาตินั้นไม่คำนึงถึงเรื่องความโหดร้ายหรือไม่โหดร้ายเลย เพียงแต่ว่าเรานั้นต้องหัดยอมรับมันก็เท่านั้นเอง
เย็นวันหนึ่ง ในช่วงแสงแดดกำลังโรยรา และพร้อมที่จะปลดปล่อยให้แสงจันทร์นั้นได้มายืนอยู่แทนที่ สายฝนที่โปรยปรายจากฟากฟ้าพร่ำๆ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่คำนึงถึงเรื่องฟ้าฝนเอาเสียเลย เสียงชาวบ้านกำลังเอะอะโวยวายแทรกเสียงของกบร้อง เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ เม็ดเหงื่อที่แลกกับเงินไหลอาบจากแก้มลงสู่ลู่หญ้าลงดิน เธอรู้สึกถึงว่ามีสัญญาณอะไรบางอย่างบอกกับเธอ และมันดูท่าจะชัดเจนเสียเหลือเกิน
“นิด...ไอ้นิดเอ๊ย อยู่ไหน.....” เสียงชาวบ้านจำนวนสามถึงสี่คนร้องเรียกหาเธอและเข้ามาใกล้เธอมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือนเพชฌฆาตกำลังลงดาบกับเธอก็ไม่ปาน
“จ๊ะ...อยู่นี่ มีอะไรกันหรอ ถึงส่งเสียงร้องซะตกอกตกใจกันเชียว”
“เอ็งรีบไปดูยายของแกที่โรงพยาบาลเถอะ ยายแกล้มหัวชนขอบบันได ตอนนี้พวกฉันพายายแกไปส่งโรงพยาบาลแล้ว”
นิดเมื่อได้รับข่าวร้ายนั้น ก็ยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง เพียงสติกลับมาเพียงเสี้ยวเดียว เธอก็รีบเร่งที่จะไปหายายของเธอเพียงทันที “ขอบใจมากนะจ๊ะ” นั่นอาจจะเป็นคำพูดที่นิดนั้นพูดออกมาอย่างไม่ได้สติเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยนิสัยของเธอนั้นเป็นเด็กดีอยู่แล้ว
**************************
พอนิดรู้อยู่เพียงแค่นั้น มันก็ทำให้หัวใจของเด็กผู้หญิงวัยเพียงสิบสี่นั้นต้องแตกสลาย ความสับสนและว้าวุ่นใจมันประดังเข้ามาหาเธออย่างไม่ขาดสาย แต่ในช่วงเวลาในตอนนั้นเธอไม่มีเวลาจะกลับมานั่งนึกถึงเรื่องอนาคต ตอนนี้เธอคิดได้แค่เพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือ ยายของเธอที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ยายของเธอนั้นยังคงรอเธออยู่ และเธอต้องไปดูใจยายของเธอให้ได้ถึงแม้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตนี้ก็ตามที แต่เงินที่ติดตัวในตอนนี้ไม่มีเลยแม้สักบาทเดียว หนทางเดียวที่จะไปถึงได้นั้นก็คือเท้าของเธอนั่นเอง
สายฝนที่หล่นร่วงอย่างไม่ปรานีปราศรัยกับเธอเสียเลย น้ำฝนเมื่อหล่นลงมาจากฟ้าสัมผัสกับพื้นทรายที่เคยแห้งแล้ง ก็กลับกลายเป็นโคลนเหลวๆ ที่เท้าของนิดนั้นย้ำลงไปเท่าไหร่ก็จะก้าวต่อไปแทบไม่ได้และเธอนั้นก็ต้องล้มลงกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า เมื่อเธอล้มลงก็ไม่คิดท้อเพราะชีวิตของเธออยู่ที่นั่นอยู่ที่โรงพยาบาลเธอต้องไปถึงมันให้ได้ ความดื้อดึงขัดขืนต่อโคลนที่ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มความยากต่อการก้าวเดิน อุปสรรคมันช่างมากมายเสียเหลือกเกิน ดูเหมือนการล้มของนิดนั้นจะเริ่มทำเธอนั้นท้อขึ้นมาบ้างแล้ว
ครั้งหนึ่งที่นิดนั้นล้มลงกองกับพื้นเหมือนกับทุกครั้งด้วยความดื้อดึงต่อดินโคลน เธอเงยหน้ามองไปที่บนฟ้า เหมือนจะเพียงวิงวอนอะไรบางอย่าง “ยาย....ยายจ๋า หนูรู้ว่ายายรอหนูอยู่ รอหนูด้วยนะ หนูไม่อยากให้ยายต้องอยู่กับคำว่าลำพัง” เม็ดฝนเม็ดหนึ่งหยดลงบนใบหน้าของเธอแต่ไม่รู้ว่าอะไรคือเม็ดฝนอะไรคือหยดน้ำตา เพราะมันผสมกันไปหมด เธอรู้ว่าถึงเธอวิงวอนฟากฟ้าไปมากสักเท่าไรมันก็ดูจะไม่มีประโยชน์สักเท่าไร เพราะตราบใดเธอนั้นยังไปไม่ถึงโรงพยาบาล เมื่อนั้นเธอก็ไม่เชื่อว่าฟ้านั้นมีจริง จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และตั้งใจว่าต้องไปให้ถึงเสียให้ได้
โบราณว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ดูท่าจะให้ได้ดีทุกยุคทุกสมัยจริงๆ เมื่อนิดได้เดินมาจนถึงโรงพยาบาล โรงพยาบาลช่างดูกว้างใหญ่เหลือเกินในสายตาของเธอในตอนนั้น บรรยากาศมันยิ่งทำให้รู้สึกถึงการพลัดพรากอย่างเข้มข้น นิดมองไปรอบๆพบเห็นเค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลจนได้ เธอจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปถาม
“ขอโทษนะคะ...ไม่ทราบว่าคุณยายที่เมื่อช่วงเย็นชาวบ้านพามาส่ง ที่ล้มหัวฟาดพื้นน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพักอยู่ห้องไหนอ่ะคะ” ในตอนนั้นนิดรีบถามจนแทบไม่เป็นภาษา แต่ด้วยความโชคดีที่ประชาสัมพันธ์ก็ฟังเธอทัน
“สักครู่คะ”
“ตกลง ห้องไหนคะ” นิดเร่งพยาบาลอีกครั้ง
“ไอ...ซี....ยู คะ” คำพูดของประชาสัมพันธ์ดังก้องอยู่ภายในหูของเธอ เพราะว่าเธอนั้นไม่เชื่อว่ายายของเธอจะเกิดเป็นอะไรร้ายแรงถึงเพียงนี้ ในใจของเธอปลอบกับตัวเองว่ายายของเธอไม่เป็นอะไรหรอกนะ แต่เธอนั้นก็รู้ดีว่า ยายของเธอก็เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ผุผังไปหมด ไม่ต้องรอให้ใครมาโค่นเลยก็พร้อมที่จะโรยราไปเอง อาจเป็นเพราะถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่ของแกแล้ว นิดปาดน้ำตาอีกครั้งหนึ่ง แล้วถามต่ออีกว่า “ไม่ทราบว่าห้องไอ.ซี.ยู ไปทางไหนคะ”
“ทางซ้ายมือนี้นะคะ” ประชาสัมพันธ์บอกเส้นทางไปยังห้องที่มียายของนิดนั้นพักผ่อนอยู่
“ขอบคุณคะ” คิดกล่าวสั้นๆ และเดินไปยังห้อง ไอ.ซี.ยู. สายตาที่มองเหม่อ หัวใจที่ว่างเปล่าปราศจากอะไรที่เติมแต่ง ก้าวเดินไปยังห้องไอ.ซี.ยู. อย่างเชื่องช้ากว่าปกติ หากใครมักพูดว่าเสียใจเหมือนกับคนที่ไร้วิญญาณ ประโยคนี้ใช้กับเธอได้อีกเช่นเดียวกัน
นิดยืนรออยู่ที่หน้าห้องไอ.ซี.ยู ห้องที่รู้เพียงว่ามียายของเธอนั้นพักผ่อนอยู่ชั่วคราวอีกเพียงครู่หนึ่งยายของเธอก็จะตื่นมา ตื่นมาอยู่เป็นร่มเงาแก่เธอ เธอทำได้แต่เพียงภาวนาอย่างนี้เท่านั้น คำที่คิดว่าสรรหามาทำให้เธอนั้นรู้สึกดีนั้น เธอก็ไม่ลืมที่จะหยิบมาฉุดคิดเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เรียกว่าบนบานศาลกล่าวมันอาจน้อยเกินไปสำหรับเธอทำอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่นิดนั้นทำได้อยู่ในตอนนี้นั้นก็คืดเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าห้องโรงพยาบาล เพียงครู่หนึ่งคุณหมอที่ดูอาการของยายเธอก็เดินออกมาจากห้อง
“หมอ...หมอ ตกลงยายของหนูเป็นไงบ้าง”
“.......” คุณหมอเองก็ลำบากใจสียเหลือเกินที่จะตอบออกมาได้
“ตกลงว่าไงจ๊ะ ยายหนูหายดีแล้วใช่ไหมจ๊ะ พรุ่งนี้กลับได้เลยใช่ไหม” นิดพูดไป น้ำตาก็ไป แต่ใบหน้าของเธอนั้นก็มีแต่รอยยิ้มทั้งๆที่คำตอบยังไม่ออกมาเลยเสียด้วยซ้ำ
“หมอขอโทษนะ หมอเองก็ทำดีที่สุดแล้ว สภาพร่างกายของยายหนูไม่สามารถทนต่อไปได้ ยายของหนูเสียชีวิตลงแล้ว หมอเสียใจด้วยนะ”
นิดเองไม่ต้องฟังให้จบประโยคครบถ้วนแต่ก็พอรู้ว่ายายของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว ความตั้งใจของนิดดูท่าจะเสียเปล่า เมื่อเพียงแค่ดูใจยายของเธอในครั้งสุดท้ายยังทำไม่ได้เลย แล้วต่อไปจะทำอะไรได้ นิดรู้ถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นทั้งหมดก็ถึงกับทรุดลงกับพื้น น้ำตาเธอปล่อยให้ไหลไปอย่างธรรมชาติ แต่ไม่มีแม้แต่เสียงที่โวยวายเหมือนเด็กๆในยามเวลาร้องไห้เลย เธอมองไปโดยรอบเห็นหมอที่นั่งอยู่ข้างๆเธอและไม่ไปไหน เส้นทางข้างหน้าที่เธอนั้นคิดว่ามันจะดูยางไกลนั้น ในตอนนี้มันกลับมืดสนิท มันไม่มีแม้แต่แสงอาทิตย์ ให้เป็นแสงที่ทำให้เธอเดินต่อไปได้ ไม่มีแม้แต่กิ่งไม้สักกิ่งในยามที่เธอล้มลง และต่อไปเธอจะเดินต่อไปเพื่ออะไร
*******************************
มืออุ่นๆมาแตะที่ไหล่ของนิดเบาๆ นิดเงยหน้าขึ้นนั่นเป็นมือของหมอ เหมือนหมอเองนั้นก็อยากจะบอกอะไรกับนิดสักอย่าง แต่ดูเขานั้นไม่กล้าพอเพราะในตอนนั้นนิดกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอย่างเงียบๆ
“มีอะไรหรือคะ คุณหมอ”
“หนูอยากจะไปเยี่ยมท่านหรือเปล่า”
“คะ อยากคะ”
จากนั้นหมอจึงพยุงตัวของนิดไปที่ห้องๆหนึ่ง นิดหันหลังมาหาหมอ สายตาบ่งถามว่าใช่ห้องนี้จริงหรือ หมอพยักหน้าเบาๆเหมือนเป็นการขานรับแทนคำว่า “ใช่” นิดสูดลมหายใจให้เต็มปอด เพราะคราวนี้เป็นการมาหายายของเธอนั้นมันต่างกว่าทุกครั้งก็ตรงที่ว่า ในตอนนี้ยายของเธอสิ้นลมหายใจเสียแล้ว เธอผลักประตูบานใหญ่เข้าไป ภายในห้องช่างดูกว้างใหญ่พอดู เมื่อเดินเข้าไปก็รู้สึกถึงความเย็นที่มาสัมผัสผิวหนังของเธอ ขนลุกซู่ความรู้สึกของเธอในตอนนั้นมันบ่งบอกได้ชัดถึงความหดหู่ ความจริงที่อีกไม่นานนักที่เธอต้องรับมันให้ได้อย่างปฏิเสธไม่ได้เลย นิดหันหลังไปหาหมอซึ่งเดินตามมาอยู่ไม่ห่างนั้น ผายมือชี้ไปยังเตียงๆหนึ่ง นิดจึงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไป แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าออก เมื่อเธอพบกับความจริงเธอต้องรีบเอามือมาปิดปากของตัวเองเองไว้อย่างรวดเร็วใช่ว่าเธอนั้นจะรังเกียจ แต่เพราะเธอรับกับความจริงที่อยู่ข้างหน้าเธอไม่ได้เอาเสียเลย ก่อนที่เธอนั้นจะปล่อยโฮออกมาเงียบสักพัก นิดเพ่งพิจารณาที่ใบหน้าของยายเธอก็เหมือนว่า ยายของเธอนั้นเพียงแค่หลับไปตามธรรมดา เพราะว่ายายของเธอนั้นปากก็อมยิ้ม หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ไม่เหมือนกับคนที่เสียชีวิตไปเสียเลย
พอนิดคิดได้ว่าสิ่งที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ สิ่งที่เธอประสบอยู่ตอนนี้ก็ต้องรู้ว่าความล้มเหลวในชีวิตคืออะไร นิดทรุดตัวลงข้างๆเตียงอีกครั้งหนึ่ง ความมืดมนเป็นอย่างไรในตอนนี้เธอสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน และไม่นานเธอก็แข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และยอมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้บ้าง ถึงมันจะไม่ทั้งหมดก็ตามที
เธอลุกขึ้นและกำลังเอื้อมหยิบผ้ามาคลุมที่หน้าดั่งเดิม ครู่หนึ่งก็มีกระดาษชิ้นเล็กๆหล่นลงมาจากบริเวณใกล้ๆหัวไหล่ มันเป็นกระดาษที่ฉีกมาจากซองใส่เอกสารที่มีสีน้ำตาล นิดหยิบมันมาอ่านและก็รู้ว่านี่เป็นคำสั่งเสียก่อนที่ยายของนิดนั้นจะเสียชีวิต และก็รู้อีกว่านี่คงไม่ใช่ลายมือของยายเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าเธอรู้ว่าแค่อ่านหนังสือยายเธอยังอ่านไม่ได้เลย เธอเลยสงสัยว่ายายของเธอวานให้พยาบาลเขียนตามคำพูดของยาย
@@@ นิด
.นี่ยายเองน่ะ ถ้านิดได้อ่านข้อความจากยายในครั้งนี้
ยายอาจไม่ได้อยู่ดูแลหลานอีกแล้ว
.
เธออ่านไปได้สักพักก็หยุดอ่านเพราะน้ำตาของเธอนั้นมันชั่งเป็นอุปสรรคต่อการอ่าน เสียจริง รอเวลาสักพักรอให้น้ำตานั้นเริ่มแห้งแล้วค่อยเริ่มอ่านมันใหม่อีกครั้ง
สิ่งที่ยายห่วงมากที่สุดนั่นก็คือหลาน
รักปากกับยายอะไรบางอย่างนะ
ว่า
จะเป็นเด็กดี และจะตั้งใจเรียนไปจนจบ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น@@@
ข้อความเพียงสั้นๆมันก็ทำให้นิดนั่นต้องสั่นเหมือนคนหนาวเหน็บแต่มันยิ่งกว่าความหนาว แต่ถ้าหากเป็นเพียงแค่ความหนาวมันก็คงจะแทรกแทรงไปถึงขั้วของหัวใจของเธอเป็นแน่ นิดพับกระดาษชิ้นนั้นเป็นครั้งหนึ่งหลังจากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋า เธอเดินมายังปลายเท้าของยายของเธอ เธอบรรจงกราบลงไปที่ปลายเท้าของยาย แล้วเดินมากอดที่อกของยาย พร้อมกับพูดเบาๆแต่ซ้ำไปซ้ำมาว่า “จ๊ะ หนูจะทำตามอย่างที่ยายสั่งทุกอย่างเลยจ๊ะ” เธอก็อยากจะขอให้มีปาฏิหาริย์ให้เกิดกับเธอบ้าง แต่ดูถ้ามันจะเกิด การเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็คงไม่มีจริงบนโลกนี้ บางทียายของเธอก็หมดห่วงจริงๆก็ได้ หลังต่อไปนี้ นิดเองจะทำอย่างไร เงินทองก็ไม่มีเลยแม้สักบาทเดียว แล้วจะต้องรักษาคำมั่นสัญญาในเรื่องที่เธอจะเรียนให้จบ ให้สูงอย่างที่เธอเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้
“ยาย....ถ้าหนูเรียนจบ หนูจะสร้างบ้านหลังใหญ่ๆ ไม่มาอยู่บ้านหลังอย่างนี้กันนะ ยายไปอยู่กับหนูด้วยนะ” ประโยคนี้ที่นิดเคยพร่ำบอกกับยายอยู่หลายครั้งหลายหน มันยิ่งทำให้นิดปลดปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจออกมาอย่างไม่หยั่ง
**************************
ครับ....วันนี้กลับมาแก้เรื่องเก่าที่เขียนจบไปนานแล้ว แก้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วแหละ ดีไม่ดีอย่างไรก็คอมเม้นท์กันมานะครับ จะนำเอาไปปรับปรุงในเรื่องต่อไปครับ
ความคิดเห็น