ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บนทางเดินที่ไม่สมหวัง

    ลำดับตอนที่ #2 : ใบสูติบัตรที่มีแต่รอยยับ

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 49


    นิด  เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง  ที่อาศัยอยู่กับหญิงชราผู้คนหนึ่งที่อายุร่วมเกือบ 84 ปี  เธอเรียกหญิงชราคนนี้ว่า “ยาย” และดูเหมือนว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เธอนั้นจะหลงเหลือให้เธอนั้นได้พักพิง  ชะตาชีวิตของเธอนั้นก็ไม่รู้เลยว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกับตัวเธอเมื่อไหร่  แต่เธอนั้นก็รู้เพียงว่า  อีกไม่นานนักหรอก  เพราะร่มเงาที่เธอพักพิงอยู่นั้นใกล้ที่จะโรยราเต็มที่แล้ว  

              ในทุกๆวันนั้นหลังจากที่นิดาคล้อยหลังไปโรงเรียน  ยายของเธอก็มักจะแอบไปรับจ้างเล็กๆน้อยๆเรื่อยเปื่อย  ค่าเงินของมันอาจดูจะไม่มากมายอะไรมากนัก  แต่มันก็พอจะประทั่งชีวิตของยายหลานคู่นี้ได้อยู่พอสมควร  และดูเหมือนมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่หญิงชราวัยขนาดนั้นจะต้องอดทนสู้งานต่างๆ  พ่วงด้วยโรคจิปาถะที่ตามมาอีกมากมายเสียเหลือเกิน  พอหลังจากที่นิดกลับมาจากโรงเรียนเธอก็ไม่เคยที่จะรู้เลยว่า  ช่วงที่เธอไปโรงเรียนนั้นยายของเธอแอบไปทำงานมาเพื่อเธอมากสักแค่ไหน  เพราะว่าในช่วงเย็นนั้นเธอมักจะไปรับจ้างในแบบที่ยายของเธอทำในช่วงเธอไปโรงเรียนเช่นกัน  และนิดก็ไม่เคยจะทิ้งเรื่องการเรียนเลย  แถมเธอนั้นยังเรียนเก่งไม่แพ้ใครเลยอีกด้วย  เพราะในช่วงกลางดึกก่อนนอนของทุกวันเธอก็มักจะมาทบทวนตำหรับตำรา  ก็หวังเพียงแค่ให้หลุดพ้นจากคำว่า “จน” เพียงเท่านั้น

              จนแล้วจนรอด  วันที่ท้องฟ้ามีวันมืดครึ้มก็เกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงวัยเพียงสิบสี่  ถ้ามองในเรื่องของความเป็นจริงมันอาจจะดูโหดร้ายเสียเกินไป  หากพูดถึงเรื่องของธรรมชาติ  มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะธรรมชาตินั้นไม่คำนึงถึงเรื่องความโหดร้ายหรือไม่โหดร้ายเลย  เพียงแต่ว่าเรานั้นต้องหัดยอมรับมันก็เท่านั้นเอง

              เย็นวันหนึ่ง  ในช่วงแสงแดดกำลังโรยรา  และพร้อมที่จะปลดปล่อยให้แสงจันทร์นั้นได้มายืนอยู่แทนที่  สายฝนที่โปรยปรายจากฟากฟ้าพร่ำๆ  เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่คำนึงถึงเรื่องฟ้าฝนเอาเสียเลย  เสียงชาวบ้านกำลังเอะอะโวยวายแทรกเสียงของกบร้อง  เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ  เม็ดเหงื่อที่แลกกับเงินไหลอาบจากแก้มลงสู่ลู่หญ้าลงดิน  เธอรู้สึกถึงว่ามีสัญญาณอะไรบางอย่างบอกกับเธอ  และมันดูท่าจะชัดเจนเสียเหลือเกิน

                   “นิด...ไอ้นิดเอ๊ย อยู่ไหน.....”  เสียงชาวบ้านจำนวนสามถึงสี่คนร้องเรียกหาเธอและเข้ามาใกล้เธอมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  เปรียบเหมือนเพชฌฆาตกำลังลงดาบกับเธอก็ไม่ปาน
                   “จ๊ะ...อยู่นี่  มีอะไรกันหรอ  ถึงส่งเสียงร้องซะตกอกตกใจกันเชียว” 
                   “เอ็งรีบไปดูยายของแกที่โรงพยาบาลเถอะ  ยายแกล้มหัวชนขอบบันได  ตอนนี้พวกฉันพายายแกไปส่งโรงพยาบาลแล้ว” 

                   นิดเมื่อได้รับข่าวร้ายนั้น  ก็ยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง  เพียงสติกลับมาเพียงเสี้ยวเดียว  เธอก็รีบเร่งที่จะไปหายายของเธอเพียงทันที  “ขอบใจมากนะจ๊ะ”  นั่นอาจจะเป็นคำพูดที่นิดนั้นพูดออกมาอย่างไม่ได้สติเสียด้วยซ้ำ  แต่ด้วยนิสัยของเธอนั้นเป็นเด็กดีอยู่แล้ว

    **************************

              พอนิดรู้อยู่เพียงแค่นั้น  มันก็ทำให้หัวใจของเด็กผู้หญิงวัยเพียงสิบสี่นั้นต้องแตกสลาย  ความสับสนและว้าวุ่นใจมันประดังเข้ามาหาเธออย่างไม่ขาดสาย  แต่ในช่วงเวลาในตอนนั้นเธอไม่มีเวลาจะกลับมานั่งนึกถึงเรื่องอนาคต  ตอนนี้เธอคิดได้แค่เพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือ  ยายของเธอที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล  ยายของเธอนั้นยังคงรอเธออยู่  และเธอต้องไปดูใจยายของเธอให้ได้ถึงแม้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตนี้ก็ตามที  แต่เงินที่ติดตัวในตอนนี้ไม่มีเลยแม้สักบาทเดียว  หนทางเดียวที่จะไปถึงได้นั้นก็คือเท้าของเธอนั่นเอง

              สายฝนที่หล่นร่วงอย่างไม่ปรานีปราศรัยกับเธอเสียเลย  น้ำฝนเมื่อหล่นลงมาจากฟ้าสัมผัสกับพื้นทรายที่เคยแห้งแล้ง  ก็กลับกลายเป็นโคลนเหลวๆ  ที่เท้าของนิดนั้นย้ำลงไปเท่าไหร่ก็จะก้าวต่อไปแทบไม่ได้และเธอนั้นก็ต้องล้มลงกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า  เมื่อเธอล้มลงก็ไม่คิดท้อเพราะชีวิตของเธออยู่ที่นั่นอยู่ที่โรงพยาบาลเธอต้องไปถึงมันให้ได้  ความดื้อดึงขัดขืนต่อโคลนที่ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มความยากต่อการก้าวเดิน  อุปสรรคมันช่างมากมายเสียเหลือกเกิน  ดูเหมือนการล้มของนิดนั้นจะเริ่มทำเธอนั้นท้อขึ้นมาบ้างแล้ว

              ครั้งหนึ่งที่นิดนั้นล้มลงกองกับพื้นเหมือนกับทุกครั้งด้วยความดื้อดึงต่อดินโคลน  เธอเงยหน้ามองไปที่บนฟ้า  เหมือนจะเพียงวิงวอนอะไรบางอย่าง  “ยาย....ยายจ๋า  หนูรู้ว่ายายรอหนูอยู่  รอหนูด้วยนะ  หนูไม่อยากให้ยายต้องอยู่กับคำว่าลำพัง”  เม็ดฝนเม็ดหนึ่งหยดลงบนใบหน้าของเธอแต่ไม่รู้ว่าอะไรคือเม็ดฝนอะไรคือหยดน้ำตา  เพราะมันผสมกันไปหมด  เธอรู้ว่าถึงเธอวิงวอนฟากฟ้าไปมากสักเท่าไรมันก็ดูจะไม่มีประโยชน์สักเท่าไร  เพราะตราบใดเธอนั้นยังไปไม่ถึงโรงพยาบาล  เมื่อนั้นเธอก็ไม่เชื่อว่าฟ้านั้นมีจริง  จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง  และตั้งใจว่าต้องไปให้ถึงเสียให้ได้

              โบราณว่า  “ความพยายามอยู่ที่ไหน  ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”  ดูท่าจะให้ได้ดีทุกยุคทุกสมัยจริงๆ  เมื่อนิดได้เดินมาจนถึงโรงพยาบาล  โรงพยาบาลช่างดูกว้างใหญ่เหลือเกินในสายตาของเธอในตอนนั้น  บรรยากาศมันยิ่งทำให้รู้สึกถึงการพลัดพรากอย่างเข้มข้น    นิดมองไปรอบๆพบเห็นเค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลจนได้  เธอจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปถาม

                   “ขอโทษนะคะ...ไม่ทราบว่าคุณยายที่เมื่อช่วงเย็นชาวบ้านพามาส่ง  ที่ล้มหัวฟาดพื้นน่ะค่ะ  ไม่ทราบว่าพักอยู่ห้องไหนอ่ะคะ”  ในตอนนั้นนิดรีบถามจนแทบไม่เป็นภาษา  แต่ด้วยความโชคดีที่ประชาสัมพันธ์ก็ฟังเธอทัน
                   “สักครู่คะ” 
                   “ตกลง  ห้องไหนคะ”  นิดเร่งพยาบาลอีกครั้ง
                   “ไอ...ซี....ยู  คะ” คำพูดของประชาสัมพันธ์ดังก้องอยู่ภายในหูของเธอ  เพราะว่าเธอนั้นไม่เชื่อว่ายายของเธอจะเกิดเป็นอะไรร้ายแรงถึงเพียงนี้  ในใจของเธอปลอบกับตัวเองว่ายายของเธอไม่เป็นอะไรหรอกนะ  แต่เธอนั้นก็รู้ดีว่า  ยายของเธอก็เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ผุผังไปหมด  ไม่ต้องรอให้ใครมาโค่นเลยก็พร้อมที่จะโรยราไปเอง  อาจเป็นเพราะถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่ของแกแล้ว  นิดปาดน้ำตาอีกครั้งหนึ่ง  แล้วถามต่ออีกว่า “ไม่ทราบว่าห้องไอ.ซี.ยู ไปทางไหนคะ”
                   “ทางซ้ายมือนี้นะคะ”  ประชาสัมพันธ์บอกเส้นทางไปยังห้องที่มียายของนิดนั้นพักผ่อนอยู่
                   “ขอบคุณคะ”  คิดกล่าวสั้นๆ  และเดินไปยังห้อง ไอ.ซี.ยู.  สายตาที่มองเหม่อ  หัวใจที่ว่างเปล่าปราศจากอะไรที่เติมแต่ง  ก้าวเดินไปยังห้องไอ.ซี.ยู. อย่างเชื่องช้ากว่าปกติ  หากใครมักพูดว่าเสียใจเหมือนกับคนที่ไร้วิญญาณ  ประโยคนี้ใช้กับเธอได้อีกเช่นเดียวกัน  

              นิดยืนรออยู่ที่หน้าห้องไอ.ซี.ยู ห้องที่รู้เพียงว่ามียายของเธอนั้นพักผ่อนอยู่ชั่วคราวอีกเพียงครู่หนึ่งยายของเธอก็จะตื่นมา  ตื่นมาอยู่เป็นร่มเงาแก่เธอ  เธอทำได้แต่เพียงภาวนาอย่างนี้เท่านั้น  คำที่คิดว่าสรรหามาทำให้เธอนั้นรู้สึกดีนั้น  เธอก็ไม่ลืมที่จะหยิบมาฉุดคิดเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เรียกว่าบนบานศาลกล่าวมันอาจน้อยเกินไปสำหรับเธอทำอยู่ในขณะนี้  สิ่งที่นิดนั้นทำได้อยู่ในตอนนี้นั้นก็คืดเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าห้องโรงพยาบาล  เพียงครู่หนึ่งคุณหมอที่ดูอาการของยายเธอก็เดินออกมาจากห้อง

                   “หมอ...หมอ  ตกลงยายของหนูเป็นไงบ้าง”
                   “.......”  คุณหมอเองก็ลำบากใจสียเหลือเกินที่จะตอบออกมาได้
                   “ตกลงว่าไงจ๊ะ  ยายหนูหายดีแล้วใช่ไหมจ๊ะ  พรุ่งนี้กลับได้เลยใช่ไหม”  นิดพูดไป  น้ำตาก็ไป  แต่ใบหน้าของเธอนั้นก็มีแต่รอยยิ้มทั้งๆที่คำตอบยังไม่ออกมาเลยเสียด้วยซ้ำ
                   “หมอขอโทษนะ  หมอเองก็ทำดีที่สุดแล้ว  สภาพร่างกายของยายหนูไม่สามารถทนต่อไปได้  ยายของหนูเสียชีวิตลงแล้ว  หมอเสียใจด้วยนะ”
     
              นิดเองไม่ต้องฟังให้จบประโยคครบถ้วนแต่ก็พอรู้ว่ายายของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว  ความตั้งใจของนิดดูท่าจะเสียเปล่า  เมื่อเพียงแค่ดูใจยายของเธอในครั้งสุดท้ายยังทำไม่ได้เลย  แล้วต่อไปจะทำอะไรได้  นิดรู้ถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นทั้งหมดก็ถึงกับทรุดลงกับพื้น  น้ำตาเธอปล่อยให้ไหลไปอย่างธรรมชาติ  แต่ไม่มีแม้แต่เสียงที่โวยวายเหมือนเด็กๆในยามเวลาร้องไห้เลย  เธอมองไปโดยรอบเห็นหมอที่นั่งอยู่ข้างๆเธอและไม่ไปไหน  เส้นทางข้างหน้าที่เธอนั้นคิดว่ามันจะดูยางไกลนั้น  ในตอนนี้มันกลับมืดสนิท  มันไม่มีแม้แต่แสงอาทิตย์  ให้เป็นแสงที่ทำให้เธอเดินต่อไปได้  ไม่มีแม้แต่กิ่งไม้สักกิ่งในยามที่เธอล้มลง  และต่อไปเธอจะเดินต่อไปเพื่ออะไร 
     
    *******************************

              มืออุ่นๆมาแตะที่ไหล่ของนิดเบาๆ  นิดเงยหน้าขึ้นนั่นเป็นมือของหมอ  เหมือนหมอเองนั้นก็อยากจะบอกอะไรกับนิดสักอย่าง  แต่ดูเขานั้นไม่กล้าพอเพราะในตอนนั้นนิดกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอย่างเงียบๆ
     
                   “มีอะไรหรือคะ  คุณหมอ”
                   “หนูอยากจะไปเยี่ยมท่านหรือเปล่า” 
                   “คะ  อยากคะ” 
     
              จากนั้นหมอจึงพยุงตัวของนิดไปที่ห้องๆหนึ่ง  นิดหันหลังมาหาหมอ  สายตาบ่งถามว่าใช่ห้องนี้จริงหรือ  หมอพยักหน้าเบาๆเหมือนเป็นการขานรับแทนคำว่า “ใช่”  นิดสูดลมหายใจให้เต็มปอด  เพราะคราวนี้เป็นการมาหายายของเธอนั้นมันต่างกว่าทุกครั้งก็ตรงที่ว่า  ในตอนนี้ยายของเธอสิ้นลมหายใจเสียแล้ว  เธอผลักประตูบานใหญ่เข้าไป  ภายในห้องช่างดูกว้างใหญ่พอดู  เมื่อเดินเข้าไปก็รู้สึกถึงความเย็นที่มาสัมผัสผิวหนังของเธอ  ขนลุกซู่ความรู้สึกของเธอในตอนนั้นมันบ่งบอกได้ชัดถึงความหดหู่  ความจริงที่อีกไม่นานนักที่เธอต้องรับมันให้ได้อย่างปฏิเสธไม่ได้เลย  นิดหันหลังไปหาหมอซึ่งเดินตามมาอยู่ไม่ห่างนั้น  ผายมือชี้ไปยังเตียงๆหนึ่ง  นิดจึงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไป  แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าออก  เมื่อเธอพบกับความจริงเธอต้องรีบเอามือมาปิดปากของตัวเองเองไว้อย่างรวดเร็วใช่ว่าเธอนั้นจะรังเกียจ  แต่เพราะเธอรับกับความจริงที่อยู่ข้างหน้าเธอไม่ได้เอาเสียเลย  ก่อนที่เธอนั้นจะปล่อยโฮออกมาเงียบสักพัก  นิดเพ่งพิจารณาที่ใบหน้าของยายเธอก็เหมือนว่า  ยายของเธอนั้นเพียงแค่หลับไปตามธรรมดา  เพราะว่ายายของเธอนั้นปากก็อมยิ้ม  หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข  ไม่เหมือนกับคนที่เสียชีวิตไปเสียเลย
     
              พอนิดคิดได้ว่าสิ่งที่เธอยืนอยู่ตรงนี้  สิ่งที่เธอประสบอยู่ตอนนี้ก็ต้องรู้ว่าความล้มเหลวในชีวิตคืออะไร  นิดทรุดตัวลงข้างๆเตียงอีกครั้งหนึ่ง  ความมืดมนเป็นอย่างไรในตอนนี้เธอสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน  และไม่นานเธอก็แข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และยอมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้บ้าง  ถึงมันจะไม่ทั้งหมดก็ตามที
     
              เธอลุกขึ้นและกำลังเอื้อมหยิบผ้ามาคลุมที่หน้าดั่งเดิม    ครู่หนึ่งก็มีกระดาษชิ้นเล็กๆหล่นลงมาจากบริเวณใกล้ๆหัวไหล่  มันเป็นกระดาษที่ฉีกมาจากซองใส่เอกสารที่มีสีน้ำตาล  นิดหยิบมันมาอ่านและก็รู้ว่านี่เป็นคำสั่งเสียก่อนที่ยายของนิดนั้นจะเสียชีวิต  และก็รู้อีกว่านี่คงไม่ใช่ลายมือของยายเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าเธอรู้ว่าแค่อ่านหนังสือยายเธอยังอ่านไม่ได้เลย เธอเลยสงสัยว่ายายของเธอวานให้พยาบาลเขียนตามคำพูดของยาย

                        @@@  นิด….นี่ยายเองน่ะ  ถ้านิดได้อ่านข้อความจากยายในครั้งนี้
                                       ยายอาจไม่ได้อยู่ดูแลหลานอีกแล้ว ….
     
              เธออ่านไปได้สักพักก็หยุดอ่านเพราะน้ำตาของเธอนั้นมันชั่งเป็นอุปสรรคต่อการอ่าน  เสียจริง   รอเวลาสักพักรอให้น้ำตานั้นเริ่มแห้งแล้วค่อยเริ่มอ่านมันใหม่อีกครั้ง
                                        สิ่งที่ยายห่วงมากที่สุดนั่นก็คือหลาน 
                                        รักปากกับยายอะไรบางอย่างนะ
                                        ว่า…จะเป็นเด็กดี   และจะตั้งใจเรียนไปจนจบ
                                         ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น@@@

              ข้อความเพียงสั้นๆมันก็ทำให้นิดนั่นต้องสั่นเหมือนคนหนาวเหน็บแต่มันยิ่งกว่าความหนาว  แต่ถ้าหากเป็นเพียงแค่ความหนาวมันก็คงจะแทรกแทรงไปถึงขั้วของหัวใจของเธอเป็นแน่  นิดพับกระดาษชิ้นนั้นเป็นครั้งหนึ่งหลังจากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋า  เธอเดินมายังปลายเท้าของยายของเธอ  เธอบรรจงกราบลงไปที่ปลายเท้าของยาย  แล้วเดินมากอดที่อกของยาย  พร้อมกับพูดเบาๆแต่ซ้ำไปซ้ำมาว่า  “จ๊ะ  หนูจะทำตามอย่างที่ยายสั่งทุกอย่างเลยจ๊ะ”    เธอก็อยากจะขอให้มีปาฏิหาริย์ให้เกิดกับเธอบ้าง  แต่ดูถ้ามันจะเกิด  การเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็คงไม่มีจริงบนโลกนี้  บางทียายของเธอก็หมดห่วงจริงๆก็ได้  หลังต่อไปนี้  นิดเองจะทำอย่างไร  เงินทองก็ไม่มีเลยแม้สักบาทเดียว  แล้วจะต้องรักษาคำมั่นสัญญาในเรื่องที่เธอจะเรียนให้จบ  ให้สูงอย่างที่เธอเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ 
     
              “ยาย....ถ้าหนูเรียนจบ  หนูจะสร้างบ้านหลังใหญ่ๆ  ไม่มาอยู่บ้านหลังอย่างนี้กันนะ  ยายไปอยู่กับหนูด้วยนะ”  ประโยคนี้ที่นิดเคยพร่ำบอกกับยายอยู่หลายครั้งหลายหน  มันยิ่งทำให้นิดปลดปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจออกมาอย่างไม่หยั่ง 

    **************************

              ครับ....วันนี้กลับมาแก้เรื่องเก่าที่เขียนจบไปนานแล้ว  แก้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วแหละ  ดีไม่ดีอย่างไรก็คอมเม้นท์กันมานะครับ  จะนำเอาไปปรับปรุงในเรื่องต่อไปครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×