คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : แล้วจะโทษใคร
1.
“ไป๊ นิสัยแบบนี้จะอยู่กับใครได้ จะไปตายไหนก็ไป เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ผู้หญิงอะไรนิสัยแย่ขนาดนี้”
เสียงตะโกนไล่หลังตามมา ฉันจับกระเป๋าเสื้อผ้าแน่น ได้แต่หวังจะเห็นแฟนวิ่งตามมา แต่เขาก็ยืนพิงประตูนิ่ง แม่แฟนก็บ่นด่าตามหลังมาไม่ได้หยุดหย่อน ฉันบอกกับตัวเองว่าพอกันที กับครอบครัวเฮงซวยแบบนี้ ฉันจะกลับไปหาพ่อแม่ คนที่รักและหวังดีกับฉันเสมอ
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันถูกคนอื่นไล่ออกจากบ้าน ตั้งแต่ก่อนอายุ 18 ปีด้วยซ้ำที่ฉันก็ถูกไล่แบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะอายุ 20 ปีแล้ว แต่เหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำๆ มันก็วนเวียนมาเสมอ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันเจ็บหรือรู้สึกอะไรเลย เพราะรู้ไม่ว่ายังไง พ่อแม่ก็อ้าแขนรับฉันกลับไปเสมอ
ฉันเป็นลูกสาวคนเล็ก พ่อแม่มีลูกสาวแค่สองคน ฉันชื่อ “บี” ส่วนพี่สาวชื่อ “เอ” ฉันกับพี่สาวห่างกันแค่สามปี เราเป็นเหมือนเพื่อนเล่นมากกว่าจะเป็นพี่น้อง ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็เห็นว่าครอบครัวเรายากจนขนาดไหน แต่ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะฉันไม่เคยลำบากเลย อยากได้อะไรพ่อแม่ต้องรีบหามาให้ อยากกินอะไรก็ต้องได้เดี๋ยวนั้น นั่นทำให้ฉันรู้ว่าพ่อแม่รักฉันมากแค่ไหน ครอบครัวเรามีกันสี่คน พ่อ แม่ พี่สาว แล้วก็ฉัน แม่เล่าให้ฟังว่าบ้านเก่าเราอยู่ที่กำแพงเพชร แม่ไม่ถูกกับแม่เลี้ยงมาก ก็เลยหนีตามพ่อมาอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่อายุได้สิบหกปีเท่านั้น พ่อเรียนจบแค่ป.6 อาชีพเดียวที่ทำได้ก็คือช่างก่อสร้าง ส่วนแม่ก็ทำอะไรไม่เป็นก็เลยอยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆ บางครั้งที่ไม่มีเงินจริงๆ ก็จะออกไปช่วยพ่อทำงานบ้างนี้ แต่ถึงจะจนยังไง ฉันกับพี่สาวก็ไม่เคยอด แถมมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายกว่าคนรวยบางคนด้วยซ้ำ
แม่รักฉันกับพี่สาวมาก แต่แม่คงไม่รู้หรอกว่า ความรักและการเลี้ยงดูที่ผิดๆ ของแม่ ทำให้ฉันกับพี่สาว ใช้ชีวิตในสังคมลำบากมากแค่ไหน แม่ไม่เคยดุด่า ไม่เคยต่อว่าพวกฉันตั้งแต่เกิด และทำให้ฉันเชื่อมาตลอดว่า สิ่งที่แม่ทำคือความถูกต้อง
“แม่ ไอ้ตาล มันไม่พูดกับบี มันว่าบีไปแย่งขนมมัน” ตอนเด็กๆ ฉันไปเล่นกับเพื่อน และแย่งขนมเพื่อน เพื่อนไม่ยอมพูดด้วย ฉันมาฟ้องให้แม่ฟัง ถ้าเป็นแม่ที่ดีควรจะสอนว่า อย่าไปแย่งของคนอื่นใช่มั้ย แต่แม่ของฉันกลับบอกว่า…
“ไม่ต้องไปคบกับมัน แค่ขนมทำเป็นหวง แม่ซื้อให้มากกว่ามันก็ได้” แม่รีบจูงฉันไปที่ร้านขายของ แล้วซื้อขนมให้หลายชิ้น มิหนำซ้ำยังพาฉันเอาขนมไปอวดเด็กคนนั้นด้วย
“อยากได้อะไรบอกแม่ ไม่มีอะไรที่แม่ให้บีไม่ได้” แม่พูดเสียงดัง แม่ของเด็กคนนั้นหันมามอง แม่ก็ไม่สนใจ และตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เชื่อมาตลอด ว่าที่แม่ทำ ถูกต้องที่สุด
พอฉันโตขึ้นมาสักหน่อย ฉันก็กลายเป็นคนไม่รู้จักข่มใจ ไม่ว่าอยากได้อะไร ฉันจะต้องเอาให้ได้ และแม่ก็ไม่เคยขัดด้วย แม้ว่าจะไม่พร้อม แต่แม่ไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่ฉันขอ
“แม่ วันนี้บีอยากกินราดหน้าจังเลย”
“อยากกินก็เอาเงินไปซื้อสิ” ทันทีที่ฉันเอ่ยปาก แม่จะรีบควักเงินให้ทันที
“อ้อ พี่ปวดหัวมาหลายวันแล้ว ไอ้แก่มันบอกว่าให้ไปหาหมอได้แล้ว มันบอกปวดบ่อยๆ แบบนี้ทิ้งไว้นานมันอันตราย” ฉันได้ยินเสียงพ่อบ่นกับแม่
“จะไปหาทำไม ซื้อยาแก้ปวดมากินก็หาย เงินก็ไม่ค่อยมี มีอยู่ร้อยเดียวลูกมันอยากกินราดหน้า” เสียงแม่ตอบกลับไป พ่อไม่ว่าอะไร เดินไปหยิบยาแก้ปวดมากิน ฉันก็คว้าจักรยานปั่นไปซื้อราดหน้าร้านอาหารกลางหมู่บ้าน
“บี เงินทอนล่ะลูก แม่จะเอาไปซื้อกับข้าว” แม่ถามหลังจากที่ฉันกลับมาจากกินราดหน้าเรียบร้อยแล้ว
“พอดีตอนกลับ มีตลาดนัด กางเกงบีเก่าๆ ทั้งนั้นเลยแม่ บีก็เลยซื้อกางเกงใหม่” ฉันชูกางเกงใหม่ให้แม่ดู กางเกงตัวนี้ 69 บาท รวมกับค่าราดหน้า 20 บาท อีกสิบบาท ฉันก็ซื้อน้ำอัดลมไปแล้ว ฉันยื่นเงินคืนแม่หนึ่งบาท
“บี วันนี้เราไม่มีข้าวกินนะ ทำไมทำแบบนี้” พี่เอพี่สาวของฉันพูดขึ้น แต่ฉันทำเป็นหูทวนลม แล้วเดินเข้าไปเปิดทีวีดู
“อีบี ข้าวไม่มีจะแดก มึงเอาเงินไปซื้อกางเกงนี่นะ มึงดูพ่อกับแม่สิ มีแต่เสื้อขาด” พี่เอ ตะโกนโวยวาย แต่ฉันไม่สนใจหรอก เพราะรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ถ้าเป็นละคร เรื่องนี้ก็ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งแล้ว
“มึงจะไปว่าน้องทำไม น้องมันกำลังโต มันก็อยากมีของเหมือนเพื่อนบ้างธรรมดา” แล้วแม่ก็เถียงแทนฉันเหมือนเดิม พี่สาวพูดอะไรไม่ออกได้แต่กระทืบเท้าตึงๆ ขึ้นไปบนบ้าน
“เอ มาหุงข้าวซิ”
“บีมันก็อยู่ แม่ก็ให้มันหุงสิ”
“น้องมันยังเด็ก ทำไม่เป็นหรอก”
“ไม่หัดเมื่อไหร่จะเป็น” พี่สาวตะโกนตอบ และไม่ยอมลงมาด้วย แม่ก็เลยต้องเป็นคนไปหุงแทน
“เอ มาล้างจานหน่อย แช่ไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว” แม่ตะโกนเรียกอีก แล้วพี่สาวก็เกี่ยงฉันเหมือนเดิม และจบลงด้วยการที่แม่เป็นคนล้างเองเหมือนเดิม
“ขี้เกียจใช้มัน ทำเองดีกว่า” เวลามีคนถามว่าทำไมแม่ต้องทำงานบ้านเอง ทั้งที่มีลูกสาวตั้งสองคน แม่ก็จะพูดแบบนี้ แม่คงไม่รู้หรอกว่าสายตาที่คนอื่นมองแม่น่าสมเพชเวทนาขนาดไหน ฉันก็เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงครอบครัวเราหลายครั้งแต่ฉันไม่สนใจหรอก ก็แค่ลมปากคนอื่น ขนาดพ่อแม่ฉันยังไม่บ่นเลย ทำไมฉันต้องไปแคร์ขี้ปากคนอื่นด้วย
พอฉันกับพี่เริ่มโตขึ้น แม่ก็ออกไปทำงานกับพ่อ ตอนนั้นฉันได้สิบขวบและพี่สาวอายุสิบสามแล้ว ฉันเรียนโรงเรียนประถมใกล้ๆ บ้าน ส่วนพี่สาวไปเรียนโรงเรียนมัธยมที่อยู่ในตำบล พ่อกับแม่จะเลิกงานตอนห้าโมงเย็น แต่ถ้าไปก่อสร้างไกลๆ บางทีกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม แต่ฉันไม่เคยกลัวเพราะแถวบ้านมีเพื่อนๆ ลูกคนงานเหมือนกัน แต่ที่น่าเบื่อเพราะพอถึงเวลาเย็นๆ พวกเพื่อนผู้หญิงก็จะหนีกลับบ้านกันหมด
“จะรีบกลับไปทำไม” ฉันเคยถาม
“เราต้องไปล้างจาน หุงข้าวไว้ให้พ่อกับแม่” คำตอบของเพื่อนทุกคนเหมือนกันหมด ฉันออกอาการเบื่อนิดๆ ตอนนี้พี่สาวของฉันก็เริ่มเป็นสาวแล้ว หลังจากอ้อนแม่ให้ซื้อโทรศัพท์มือถือให้แล้ว ก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง คุยโทรศัพท์และไล่ฉันออกมานอกห้อง
“แล้วบีไม่ทำเหรอ”
“ไม่ทำ แม่เราไม่ให้ทำ เดี๋ยวแม่กลับมาทำเอง”
“ดีเนอะ เหมือนคุณหนูเลย ถ้าเราไม่ทำ เราโดนแม่ตีแน่” เพื่อนๆ บอกเป็นเสียงเดียว ยิ่งทำให้ฉันได้ใจ รู้สึกว่าการไม่ต้องทำงานบ้านมันดูสูงส่งและมีค่ามากกว่าคนอื่น หลังจากวันนั้นฉันก็ตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะไม่แตะต้องงานบ้านให้เสียมือเด็ดขาด
“บี ล้างจานหน่อยลูก”
“แม่ก็ล้างเองดิ บีไม่ว่าง” ฉันจะตอบแค่นี้ แล้วแม่ก็ไม่เซ้าซี้อีก ไม่เหมือนแม่คนอื่น ที่จะต้องเคี่ยวเข็ญจนได้ บางครั้งเห็นลงไม้ลงมือกันก็มี ฉันได้แต่มองแล้วแอบขำในใจ แม่ของฉันแค่บอกว่าไม่ทำ แม่ก็จะทำเอง ไม่เคยมาบังคับแบบนี้เลย ฉันได้แต่คิดว่าเพื่อนๆ น่าสงสารมากจริงๆ ไม่มีใครสบายแบบฉันสักคนเลย
ทุกๆ วันระหว่างรอแม่กลับบ้าน ฉันก็จะไปบ้านเพื่อนคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง เงินที่แม่ให้ไปโรงเรียนแต่ละวันก็มากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าหิวอะไรฉันก็จะซื้อมากินและเผื่อแผ่ถึงเพื่อนๆ ด้วย พอเลิกเรียนทุกคนก็อยากให้ฉันไปที่บ้านกันทั้งนั้น เพราะฉันมีไอติมกับขนมฟรีให้กินเสมอ ฉันจะแวะเข้าบ้านนั้นที บ้านโน้นที รอจนกว่าจะได้ยินเสียงรถรับส่งคนงานกลับมา ฉันก็จะรีบวิ่งไปหาพ่อกับแม่ทันที เพราะรู้ว่าทั้งสองคนจะต้องมีของมาฝากแน่ๆ แต่ถ้าวันไหนพ่อแม่ลืมล่ะก็ ฉันจะงอนไม่พูดด้วยทันที และพอแม่รู้ว่าฉันงอนเรื่องอะไร แม่ก็ไม่เคยลืมของฝากอีกเลย
พอกลับมาถึงบ้าน แม่ก็จะรีบหุงข้าวและทำกับข้าวให้พวกเรากิน ส่วนพี่สาวนะเหรอ จะลุกจากที่นอนก็ตอนที่แม่เรียกมากินข้าวนั่นแหละ บางทีถ้ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ก็จะออกมาตักข้าวแล้วไปนั่งกินคนเดียว กินไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย แม่ก็ไม่ว่าอะไร บางทีฉันฟ้องแม่ว่าพี่พาผู้ชายมาเที่ยวที่บ้านตอนแม่ไม่อยู่ แม่ก็จะเอ็ดฉันว่าห้ามบอกพ่อ เพราะพ่อจะดุ เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะต้องมีเพื่อนผู้ชาย พอได้ยินแม่พูดแบบนี้ ฉันก็เลยไม่ยุ่งกับเรื่องของพี่อีก ฉันว่าแม่ของฉันใจดีที่สุดในโลกเลยล่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจพวกญาติๆ เลย มาทีไรก็ต้องมาว่าแม่ทุกที
“ลูกสาวน่ะ สอนให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนมั่ง เกิดแต่งงาน ออกไปอยู่กับคนอื่น จะได้ไม่อายเขา” คนแรกที่ฉันได้ยินพูดแบบนี้ ก็คือ ป้า พี่สาวของพ่อที่มักจะมาหาเราบ่อยๆ ฉันได้ยินว่าเอาเงินมาให้เวลาที่พ่อไม่มีเงิน แต่ฉันไม่ค่อยชอบป้ากับลูกๆ ของป้า เท่าไหร่ เพราะชอบมายุให้แม่ฉันบังคับฉันกับพี่อยู่เรื่อย
“ดูอย่างพี่จันทร์สิ ทำงานบ้านเป็นตั้งแต่ห้าหกขวบ ไปไหนมาไหน ใครก็ชม” แล้วก็ป้าก็มาชมลูกตัวเองให้ฟังอีกแล้ว
“คนไม่เหมือนกัน” แม่ไม่ยอมให้ใครว่าลูกตัวเองอยู่แล้ว
“ไม่เหมือนกันยังไง บีมันมีเขางอกออกมาเหรอ หรือเอมันมีสามแขนสามขา”
“เดี๋ยวมันโตขึ้นมา มันก็ทำเองแหละ” แม่เถียงอีก
“ไม่สอนตอนนี้แล้วตอนไหนมันจะเป็น” ป้าก็ไม่ยอมลดละเหมือนกัน
“ทำไม วันนี้ไม่ไปโรงเรียน” พี่จันทร์ ลูกสาวของป้าคงเบื่อ ก็เลยถามเรื่องอื่น แต่เป็นเรื่องที่ฉันไม่อยากให้ใครถามซะด้วย ฉันไม่ตอบเพราะรู้ว่าเดี๋ยวแม่ก็ตอบแทนอยู่แล้ว
“ก็ครูที่โรงเรียนน่ะสิ ชอบหาเรื่อง บีก็เลยไม่อยากไป” แม่เชื่ออย่างที่ฉันโกหก ความจริงแล้วฉันไม่ชอบเรียนเลย น่าเบื่อมากๆ ฉันชอบดูทีวีอยู่บ้านมากกว่า และแม่ก็ไม่ว่าอะไรด้วย
“ไม่มีครูที่ไหนหาเรื่องนักเรียนหรอกนะ นอกจากว่านักเรียนมันเหลือขอจริงๆ “ พี่จันทร์หันมามองหน้าฉัน แต่ฉันก็ทำเป็นหูทวนลม เดินหนีเข้าไปในบ้าน
ตอนนี้ฉันขอให้พ่อออกจากบ้านพักก่อสร้าง มาเช่าบ้านเป็นหลังอยู่ ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างแพง แต่พอฉันขอ แม่ก็ออกปากกับพ่อทันที และที่นี่ ทำให้ฉันกับพี่สาวมีห้องของตัวเองสมใจ ถึงจะเดินออกมาแล้วแต่ก็อดจะแอบดูไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่พี่จันทร์กับป้ามาจะต้องมีของดีๆ มาฝากพ่อเสมอ ครั้งหนึ่งป้าซื้อผลไม้มาถุงใหญ่มาก ฉันเอาไปแจกเพื่อนๆ จนหมด เพื่อนๆ ดีกับฉันกันใหญ่ พ่อแม่ก็แค่ถามว่าผลไม้ไปไหนหมด พอฉันบอกว่าเอาไปแจกเพื่อนแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร มีแต่พี่จันทร์ที่รู้แล้วก็โวยวายที่พ่อกับแม่ไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว
“จำไว้นะ เป็นลูก ต้องคิดถึงพ่อแม่ก่อน ไม่มีกิน เพื่อนเอามาให้กินหรือไง จะให้เพื่อนกินไม่ว่า แต่ให้พ่อแม่กินอิ่มก่อน” ตอนนั้นฉันโดนพี่จันทร์ด่าจนหูชา แต่แม่ก็ช่วยออกรับแทนว่าแม่บอกให้ฉันเอาไปให้เพื่อนๆ เอง พี่จันทร์ก็เลยหน้าจ๋อยไปเลย
พี่จันทร์เดินกลับไปที่รถแล้วยกถุงอะไรออกมา ฉันพยายามเพ่งดูว่ามันคืออะไร พอเห็นว่าเป็นอะไร ฉันก็ภาวนาให้ป้ากับพี่จันทร์รีบกลับบ้านไปซะที
“น้า จันทร์ซื้อกุนเชียงกับปลาหมึกมาฝาก” พี่จันทร์ยื่นถุงมาให้
“ซื้อมาทำไม เสียดายเงิน” ทำไมพ่อต้องทำเหมือนจะร้องไห้ด้วยก็ไม่รู้
“เห็นมันอร่อยดี อยู่แถวนี้คงไม่ค่อยมี” พี่จันทร์บอก
“อยู่ที่นี่ก็กินกันทุกวัน แค่ปลาหมึกกับกุนเชียง ทำไมจะไม่มี” แม่ไม่เคยยอมแพ้ใครอยู่แล้ว
“อันนี้อาหารเสริมนะ”
“โอ้ย เอามาทำไม ซื้อให้กินตั้งหลายที แต่เขาไม่กินเอง” แม่รีบตอบกลับไป ฉันแอบสะใจ สมน้ำหน้า มายุ่งเรื่องฉันดีนัก
“แล้วปวดหัวบ่อยๆ ไปหาหมอหรือยังล่ะ” พี่จันทร์ยังยุ่งไม่เลิก
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่นิดๆ หน่อยๆ เดี๋ยวก็หายแล้ว ไปหาหมอ หมอก็เลี้ยงไข้เฉยๆ ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา” แม่พูดแทน ฉันแอบมองแล้วหัวเราะ พี่จันทร์หน้าเสียไปเลย แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ฉันเห็นพี่จันทร์เอาเงินให้พ่อสองพัน กะว่าให้พวกจอมยุ่งไปก่อน แล้วฉันจะชวนแม่ไปเที่ยวตลาดแถวบ้าน จะได้ให้แม่ซื้อนาฬิกาสวยๆ ให้ด้วย
“เก็บไว้ซื้อข้าวนะน้า ตอนนี้จันทร์ก็ไม่ค่อยมีเงินหรอก เพิ่งกลางเดือนอยู่เลย เห็นว่าน้าเดือดร้อนจริงๆ”
“เดี๋ยวสิ้นเดือนน้าจะคืนให้” พ่อบอก แต่ไม่มีทางซะหรอก เพราะเงินเดือนของพ่อกับแม่เดือนนี้ ฉันขอโทรศัพท์เอาไว้แล้ว พี่เอยังได้ ฉันก็ต้องได้เหมือนกัน
“สิ้นเดือนไม่ได้หรอก เพราะต้องซื้อโทรศัพท์ให้บีก่อน เอาไว้เดือนโน้นนะ”
“จะเอาไปทำอะไร เพิ่งขึ้นมอหนึ่งต้องใช้โทรศัพท์แล้วเหรอ” พี่จันทร์โวยวาย
“เดี๋ยวนี้แค่ปอสี่ ปอห้า เขาก็มีกันทั้งนั้นแหละ จันทร์จะรีบใช้เงินเหรอ” แม่ถามกลับ พี่จันทร์ไม่ตอบแต่เห็นสะกิดชวนป้ากลับบ้าน ฉันแอบดีใจที่พวกจอมยุ่งจะไปกันซักที
“เลี้ยงลูกน่ะ เลี้ยงให้เป็น เลี้ยงไม่เป็น ก็จะเป็นพ่อแม่รังแกฉันนะ” ป้าบอกกับพ่อ แต่ใครจะไปสน ฉันกำลังรอว่าเมื่อไหร่พวกนี้จะไปสักที ฉันกับแม่จะได้ไปใช้เงินสองพันนี้ซะที
ฉันรอจนแน่ใจว่าแม่ลูกจอมยุ่งไปแล้ว ถึงได้ออกมาจากห้อง ฉันรีบไปบอกพี่สาวว่าพ่อได้เงินมาสองพัน พี่สาวก็ดีใจมาก บอกว่าเงินในโทรศัพท์ก็หมดพอดี เราสองพี่น้องรีบไปบอกแม่ แม่ก็รีบไปเอาเงินมาจากพ่อทันที
“พี่ว่าจะซื้อข้าวมาไว้สักถัง”
“โอ้ย ไม่ต้องซื้อเป็นถังหรอกพ่อ ซื้อทีละโลก็ได้” พี่เอออกความเห็น ถ้าซื้อเป็นถังเงินก็จะเหลือน้อย แต่ถ้าซื้อเป็นโล แค่ไม่กี่สิบบาท มีเงินเหลือตั้งเยอะ
“ไปตลาดซื้อหอมกับกระเทียมมาด้วยนะ หมดแล้ว ซื้ออย่างละโลก็ได้ จะได้ไม่ต้องซื้อบ่อย” พ่อยื่นเงินให้แม่ทั้งสองพัน ฉันกับพี่สาวยิ้มให้กันแล้วช่วยกันคิดรายการของที่อยากได้
แม่พาฉันกับพี่สาวมาที่ตลาด ฉันชี้เอาทุกอย่างที่อยากได้ กิ๊บติดผม นาฬิกา กำไล เสื้อผ้าสวยๆ แม่ก็ซื้อให้ แถมพอบอกว่าอยากกินอะไร แม่ก็ซื้อมาให้ทันที เพียงไม่ถึงชั่วโมงเราสามแม่ลูกก็ใช้เงินหมดไปเกือบพัน แม่ได้เสื้อใหม่ตัวนึงด้วย ฉันบอกให้ซื้อให้พ่อด้วย แม่บอกว่าไม่ต้องซื้อ เพราะพ่อไม่ได้ใส่ไปไหน
“แม่อย่าลืม กระเทียม หอม แล้วก็ข้าวนะ” พี่เอนึกออก แม่บอกว่าไม่ลืม แล้วพาเราเดินไปร้านขายของ แม่ซื้อข้าวหนึ่งกิโล หอมกับกระเทียมอย่างละห้าบาท และซื้อน้ำพริกไปเป็นกับข้าวเย็นให้พ่อ เพราะเราแม่ลูกกินก๋วยเตี๋ยวอิ่มแล้ว
“กางเกงยีนส์ตัวนี้สวยนะแม่” ฉันรีบพาแม่ไปดูกางเกงยีนส์ที่โชว์อยู่ พ่อค้าบอกว่าตัวละสองร้อยห้าสิบ ฉันอ้อนวอนขอให้แม่ซื้อให้ มีหรือแม่จะไม่ซื้อ แล้วแบ็งค์พัน ใบที่สองก็ปลิวออกจากมือแม่ในตอนนั้น ฉันกับพี่สาวได้กางเกงยีนส์คนละตัว ฉันเห็นเด็กคนอื่นที่พ่อแม่ไม่ยอมซื้อให้มองด้วยความอิจฉา รู้สึกว่ามีความสุขที่สุด
ฉันกลับมาถึงบ้าน เรียกเพื่อนๆ มาดูเสื้อผ้าที่ฉันซื้อมาใหม่ เสียงพ่อกำลังทะเลาะกับแม่ เรื่องที่แม่เอาเงินไปซื้อของให้พวกฉัน แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม แค่แม่พูดไม่กี่คำ พ่อก็ไม่กล้าพูดอะไร ก้มหน้าก้มตากินข้าวกับน้ำพริกจนหมด บางทีฉันได้กินอะไรดีๆ ก็นึกสงสารพ่อเหมือนกัน แต่พ่อก็บอกเองว่าไม่อยากกิน ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปรบเร้าอีก ฉันเพิ่งมาเข้าใจเมื่อได้เจอหลายๆ อย่างและโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ที่พ่อบอกว่าไม่อยากกิน เพราะอยากให้พวกฉันอิ่ม ฉันไม่เคยรู้เลย จนวันที่มันสายไปแล้ว
ความคิดเห็น