ตอนที่ 2 : (SF) Nice to meet you : Han Jisung & Lee Felix 1/2
Incheon South Korea, 2009
บรรยากาศเงียบงันหน้าห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งสร้างความรู้สึกหม่นหมองให้กับคนที่นั่งรอฟังข่าวดีมาตั้งแต่ช่วงบ่าย ฝ่ามือบอบบางถูกบีบเข้าหากันเบาๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเม้มเล็กน้อยเมื่อความคิดไม่ดีเริ่มแทรกซึมเข้ามาทำให้เขารู้สึกใจหาย
“นายน้อยจะรับอาหารเย็นเลยไหมคะ?”
น้ำเสียงนอบน้อมดังมาจากแม่บ้านอาวุโสของตระกูล ปลุกคนที่ถูกเรียกว่า นายน้อย ให้หลุดออกจากภวังค์ความคิดทั้งหมด เขายกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ผมยังไม่หิว คุณป้าไปทานก่อนเถอะครับเดี๋ยวผมจะกลับไปพร้อมคุณพ่อ”
“แต่นายน้อยยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เที่ยงนะคะ ถ้าคุณคิมรู้เข้า...”
“ผมจะบอกพี่ซึงมินเองครับว่าคุณป้าพยายามบอกให้ผมทานข้าวแล้วแต่ผมไม่ยอมทานเอง” ฟิลิกซ์ยิ้มกว้างหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมองจนหญิงชราอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปด้วยสายตาเป็นห่วงปนสงสาร
“ไปเถอะครับผมอยู่คนเดียวได้ เดี๋ยวอีกสักพักพี่ซึงมินคงมาถึง”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะเรียนคุณคิมให้นะคะว่านายน้อยยังไม่ได้ทานอาหารเย็น”
ดวงหน้าหวานพยักรับเบาๆ อีกฝ่ายโค้งให้ฟิลิกซ์ก่อนจะยอมเดินกลับไปยังห้องพักผู้ป่วย เด็กหนุ่มถอนหายใจพร้อมกับหลับตาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามานั่งอยู่ตรงนี้บ่อยแค่ไหนแต่ก็หวังว่าครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายแม้โอกาสจะริบหรี่มากเพียงใดก็ตาม ขอแค่คุณพ่อมีเรี่ยวแรงลืมตาขึ้นมาคุยกับเขาบ้างก็ยังดี
ความเย็นวาบบริเวณข้างแก้มทำให้คนเหนื่อยล้าสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มร่างสูงยืนมองฟิลิกซ์ด้วยสายตาดุน้อยๆมือเรียวยื่นกระป๋องน้ำอัดลมมาแปะไว้ข้างแก้มของเขา ฟิลิกซ์หยัดตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรงก่อนจะเอื้อมมือคว้ากระป๋องเครื่องดื่มแต่อีกฝ่ายกลับเก็บมันลงถุงผ้าเสียก่อน
“มันไม่ดีต่อกระเพาะของคนที่ยังไม่ได้ทานข้าวหรอกนะครับ”
ซึงมินว่า เขานั่งลงข้างๆฟิลิกซ์ สองแขนยกขึ้นมากอดอกสายตาก็จับจ้องอีกฝ่ายอย่างที่ฟิลิกซ์รู้ดีว่านี่คือการดุโดยไม่ใช้คำพูดใดใดตามแบบฉบับคิมซึงมิน ซึ่งคนที่เห็นเป็นประจำเช่นเขาเริ่มชินกับมันจนไม่รู้สึกหวาดกลัวไปแล้ว
“ก็ผมยังไม่หิวจริงๆนี่ครับ”
“เข้าใจครับ แต่นายน้อยต้องฝืนทานบ้างไม่อย่างนั้นคงได้ล้มป่วยอีกคน”
คนอายุมากกว่ายิ้มบางบาง มือเรียวหยิบห่อคิมบับขึ้นมาแกะและส่งให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มมองมันด้วยสีหน้าปลงตก เขารู้ดีว่าถ้าปฏิเสธคราวนี้คงต้องถูกซึงมินดุจริงๆแน่ฟิลิกซ์จึงรับมันมาทานอย่างช่วยไม่ได้ ร่างสูงนั่งมองอีกคนกินอย่างเงียบๆอันที่จริงต้องเรียกว่าเป็นการบังคับทางอ้อมเสียมากกว่า แต่นั่นก็ดีแล้วเพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ฟิลิกซ์คงกินแค่ชิ้นเดียวแล้วโยนมันทิ้งลงถังขยะไป
“ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างครับ” เมื่อคำถามนี้ถูกเอ่ยออกมาสีหน้าของคิมซึงมินก็เปลี่ยนไปทันที เขาก้มหน้าถอนหายใจพลางส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ค่อยดี จดหมายจากเอชอิเล็กทรอนิกส์เพิ่งส่งมาถึงเราเมื่อช่วงบ่าย... ข่าวไม่ดีน่ะ”
ได้ยินแบบนั้นฟิลิกซ์ก็ขมวดคิ้วทันที ดูจากสีหน้าของซึงมินแล้วมันคงจะเป็นข่าวร้ายมากๆอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ
“ตระกูลฮันไม่เคยมีปัญหากับเราเลยนี่ครับ”
“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้ประธานฮันสละเก้าอี้ให้ลูกชายคนเดียวขึ้นนั่งแทน ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะไม่พอใจเราหลายอย่าง”
ทั้งคู่นิ่งเงียบได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆของซึงมินเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาหันมองคนอายุน้อยกว่า ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดไว้ออกมา
“บางทีผมว่าเราควรส่งข่าวบอกมินโฮ...”
สายตาของฟิลิกซ์วูบไหวทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น จากที่ดูเศร้าอยู่แล้วเขายิ่งเศร้าหมองลงไปอีกนั่นทำให้ซึงมินอยากจะตบปากตัวเองแรงๆสักร้อยทีเพราะดันพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมาในสถานการณ์แบบนี้
“พี่มินโฮอยู่ญี่ปุ่นคงกลับมาไม่ทันหรอกครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปคุยกับประธานฮันคนใหม่ด้วยตัวเอง ขอจดหมายที่เขาส่งมาด้วยครับ”
“แต่ว่านายน้อย...”
“ไม่เป็นไรครับพี่ซึงมิน ลีทรานสปอร์ทเทชั่นเป็นสิ่งเดียวที่คุณพ่อรักมาก ผมคงจะยอมให้มันพังลงแบบนี้ไม่ได้”
คิมซึงมินจ้องมองสายตาแน่วแน่ของอีกฝ่าย เขาถอนหายใจเบาๆก่อนจะยอมยื่นจดหมายขอยกเลิกสัญญาให้ แม้ว่าฟิลิกซ์จะเป็นทายาทของประธานบริษัทขนส่งทางเรือที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเจรจาติดต่อธุรกิจกับบริษัทใหญ่ๆมาก่อนเนื่องจากยังขาดประสบการณ์อยู่มากแถมยังไม่ได้รู้จักกับใครในแวดวงนี้เลย นั่นจึงทำให้ผู้ที่นั่งตำแหน่งรองประธานอย่างเขารู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างไรก็ตาม ลีฟิลิกซ์ก็ยังเป็นคนที่ถูกวางให้ได้รับตำแหน่งประธานต่อจากพ่อของเขา เพราะฉะนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่างเทียบเท่ากับท่านประธานและมีความน่าเชื่อถือมากกว่าทุกคน การที่คนตัวเล็กไปเจรจาด้วยตนเองมันจึงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วก็ได้
“พรุ่งนี้ผมคงไปด้วยไม่ได้นะครับ แต่ถ้านายน้อยมีปัญหาอะไรผมจะรีบไปหาทันที”
“ขอบคุณมากครับ” รอยยิ้มปนเศร้าถูกส่งไปให้คนอายุมากกว่า ซึงมินมองมันด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เขากับฟิลิกซ์รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็กอยู่ด้วยกันมาแทบจะทุกช่วงชีวิตเว้นแค่ตอนที่ซึงมินไปเรียนต่อต่างประเทศ เขาจึงกล้าพูดได้เลยว่าเด็กคนนี้ผ่านเรื่องสะเทือนใจมาเยอะพอสมควรแต่คงไม่มีครั้งไหนที่จะหนักหนาสาหัสเท่ากับช่วงนี้ มรสุมชีวิตกระหน่ำเข้ามาหาเด็กหนุ่มตัวเล็กตั้งแต่สองปีก่อน เมื่อประธานลีตรวจพบว่าป่วยด้วยโรคร้าย อาการที่ทรุดหนักลงเรื่อยๆมาพร้อมกับปัญหาทางธุรกิจมากมายเกินกว่าเด็กหนุ่มอายุยี่สิบห้าที่เพิ่งเรียนจบปริญญาโทบริหารมาหมาดๆจะรับมือไหว คิมซึงมินจึงต้องยอมรับตำแหน่งรองประธานต่อจากพ่อของเขาทั้งที่กำลังวางแผนก่อตั้งบริษัทผลิตสิ่งทอเป็นของตัวเอง
เป็นเพราะตระกูลลีดูแลและช่วยเหลือตระกูลคิมราวกับเป็นญาติสนิทกันมาแสนนาน รวมถึงซึงมินไม่อยากให้คนตัวเล็กต้องเผชิญปัญหาอยู่เพียงลำพังเขาจึงเข้ามาบริหารบริษัทแทนเป็นเวลาสองปีเต็มโดยมีฟิลิกซ์คอยอยู่เบื้องหลังเนื่องจากเจ้าตัวต้องคอยดูแลพ่อตลอดเวลา
สองปีที่ผ่านมามันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ทั้งอาการของประธานลีและบริษัทของเขา..
“พี่หมอ!”
ฟิลิกซ์ผุดลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาคนที่เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด แววตาเป็นประกายของเด็กหนุ่มทำให้นายแพทย์บังชานยังไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา เขาหันไปโค้งรับการทักทายของซึงมินก่อนเป็นลำดับแรก
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ” น้ำเสียงสั่นเครือสร้างความกดดันให้ศัลยแพทย์หนุ่มมากขึ้นกว่าเดิม เขายิ้มเล็กน้อยแล้วจึงส่ายหน้าเบาๆ
“พี่ยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้ คงต้องรอวันพฤหัสอีกที”
“ว... วันพฤหัสเหรอครับ?”
“อื้ม อาจารย์หมอนิชิซาว่าจะมารับคุณอาไปดูแลต่อ ไม่ต้องเป็นห่วงนะฟิลิกซ์อาจารย์ท่านเชียวชาญเรื่องนี้มากกว่าพี่เยอะเลย”
“แล้วคุณพ่อจะดีขึ้นไหมครับ?” ซึงมินเดินเข้ามาบีบไหล่เล็กเบาๆเมื่อสังเกตเห็นน้ำตาบนใบหน้าของฟิลิกซ์
“ทุกคนก็หวังให้มันเป็นแบบนั้นนะ แต่พี่อยากให้นายเตรียมใจไว้หน่อย คือ... เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มก้มหน้าเช็ดน้ำตาก่อนจะพยักหน้ารับสองสามที
“หลังจากนี้คงต้องย้ายคุณอาไปห้องICUเพื่อที่จะได้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด นายกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะเดี๋ยวทางนี้พี่ดูแลให้เอง”
“ครับ รบกวนด้วยนะครับพี่หมอ” ฟิลิกซ์โค้งให้อีกคน เขาบอกลาชานแล้วจึงโทรศัพท์บอกให้คุณป้าแม่บ้านเก็บของกลับบ้านโดยมีซึงมินอาสาขับรถมาส่ง ตลอดทางดวงตากลมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างนึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นและพยายามคิดหาทางแก้ไขมันแต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะเขาคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง รู้เพียงแค่หลังจากนี้เขาต้องเข้มแข็งให้มากขึ้นและก้าวเดินต่อไปโดยไม่ทำให้คุณพ่อหรือใครต้องเป็นห่วง
ก้าวเดินต่อไป ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ของตระกูลลี...
“ขอบคุณมากครับ” ฟิลิกซ์เอ่ยขอบคุณแม่บ้านสองคนที่เข้ามาช่วยเก็บของและจัดห้องให้เขา ร่างบอบบางทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียงครุ่นคิดอะไรต่อมิอะไรอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเดินไปหยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาคนที่เขาอยากเล่าทุกเรื่องราวให้ฟังมากที่สุด
[โทรมาทำไม] คนปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่เด็กหนุ่มตัวเล็กกลับยิ้มกว้างเพราะไม่คิดว่าเจ้าของเสียงนุ่มจะยอมรับสาย
“วันนี้คุณพ่อผ่าตัดอีกแล้วนะครับ อาการยังไม่ดีขึ้นเลยพี่ชานบอกว่าเดี๋ยววันพฤหัสต้องผ่าตัดอีกรอบ พี่มินโฮจะมาหรือเปล่าครับ?”
มินโฮเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแม้ว่าฟิลิกซ์จะเว้นช่วงให้เขาตอบนานพอสมควร
“คงไม่สะดวกสินะครับ ฟังจากเสียงแล้วพี่น่าจะสบายดีแต่ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”
เสียงถอนหายใจดังมาจากคนปลายสายทำให้หัวใจของฟิลิกซ์เต้นแรงขึ้นเพราะอย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่ามินโฮยังคงฟังเขาพูดอยู่
“ที่บริษัทยุ่งมากเลยล่ะครับ มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นขนาดพี่ซึงมินยังรับมือไม่ไหวแต่ถ้าเป็นพี่มินโฮล่ะก็…”
[…..]
“พี่มินโฮจะกลับมาไหมครับ” ฝ่ามือบางกำโทรศัพท์แน่นเมื่อเสียงของเขาเริ่มสั่นจากการกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มินโฮเงียบไปพักใหญ่แต่ฟิลิกซ์ก็ยังไม่ยอมถอดใจเขายังคงถือสายรออยู่อย่างนั้น
[ที่ผ่านมานายก็จัดการได้ตลอดนี่]
“แต่ว่าพี่ครับ...”
[ฉันไม่ใช่พี่นาย! ไม่ต้องโทรมาหาฉันอีก รำคาญ]
มินโฮวางสายไปแล้วเหลือไว้เพียงคำพูดของเขาที่ยังดังวนเวียนสร้างความรู้สึกเจ็บปวดให้กับคนที่ได้ฟัง ฟิลิกซ์เช็ดน้ำตาบนใบหน้าลวกๆแม้จะอยู่คนเดียวแต่เขาก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอแบบนี้ออกมา ตลอดสิบห้าปีก่อนฟิลิกซ์เขียนจดหมายบอกเล่าทุกเรื่องราวส่งให้มินโฮเสมอ มีหลายครั้งที่เขาติดต่อไปทางโทรศัพท์แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายเพราะฉะนั้นครั้งนี้แค่มินโฮยอมรับสายเขามันก็ดีมากที่สุดแล้วไม่เห็นมีอะไรให้น่าเสียใจเลยสักนิด เด็กหนุ่มคิดหาคำปลอบใจตัวเองไปต่างๆนาๆก่อนจะเก็บอุปกรณ์สื่อสารและเข้านอน เพราะพรุ่งนี้เขามีธุระสำคัญที่จะต้องไปจัดการให้เสร็จสิ้นก่อนถึงวันผ่าตัดครั้งสุดท้ายของคุณพ่อ ฉะนั้นการปล่อยให้ตนเองคิดมากจนนอนไม่หลับดังเช่นหลายคืนก่อนคงไม่ใช่เรื่องที่ดี ยานอนหลับในตู้จึงถูกหยิบออกมาใช้งานอีกครั้ง
*****
ชุดสูทสีดำที่ถูกตัดมาไว้นานพอสมควรสวมลงบนร่างของนายน้อยตระกูลลี ฟิลิกซ์ติดกระดุมให้เรียบร้อยโดยมีแม่บ้านคอยช่วยจัดให้มันเข้าที่เข้าทางอีกแรง แม้จะถูกวางให้รับตำแหน่งประธานคนต่อไปแต่เขาก็ไม่เคยออกงานสังคมหรือพบปะผู้คนในแวดวงธุรกิจมาก่อนจึงเป็นเหตุให้ใบหน้าสวยฉาบทับด้วยความเครียดจนสังเกตเห็นได้ไม่ยาก ในหัวสมองของเขากำลังเรียบเรียงคำพูดที่จะต้องใช้เจรจากับประธานฮันคนใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดมากที่สุด และฟิลิกซ์คงจดจ่ออยู่กับมันมากไปจนไม่ทันรู้ตัวว่าคนที่ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตและผูกเนกไทด์ให้เขาในตอนนี้ไม่ใช่แม่บ้านของเขา
“ให้ผมไปแทนดีกว่าไหมครับ?” น้ำเสียงคุ้นเคยดึงคนตัวเล็กออกจากความกังวล ซึงมินส่งยิ้มพร้อมกับบีบไหล่ฟิลิกซ์เบาๆ
“มีประชุมกับบอร์ดบริหารไม่ใช่เหรอครับ พี่กำลังจะสายนะ”
“ผมเป็นห่วง สีหน้านายน้อยดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”
“ผมโอเคครับ รับรองว่าจะไม่ทำให้พี่ซึงมินผิดหวังแน่นอน”
มือบางยื่นออกไปวางบนบ่าอีกฝ่ายและส่งรอยยิ้มมั่นใจให้หนึ่งที คิมซึงมินหัวเราะเบาๆ เขาพยักหน้ารับและผายมือเชิญฟิลิกซ์ออกจากห้องแต่งตัว รถเก๋งสีดำถูกเช็ดทำความสะอาดจนเงาวับต้อนรับการออกไปทำงานครั้งแรกของนายน้อยตระกูลลี คนขับรถโค้งให้เขาก่อนจะขึ้นไปนั่งประจำที่ ซึงมินเปิดประตูด้านหลังไว้รอและยื่นกระเป๋าเอกสารส่งให้เมื่อฟิลิกซ์ขึ้นรถแล้ว
“ถ้านายน้อยมีปัญหาอะไรรีบโทรฯหาผมทันทีเลยนะครับ”
“ครับ ขอให้การประชุมผ่านไปได้ด้วยดีนะครับพี่ซึงมิน”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น เดินทางปลอดภัยครับ”
ซึงมินยืนมองจนรถยนต์เคลื่อนไปไกลสุดสายตา เขาถอนหายใจเบาๆเพราะความกังวลและความเป็นห่วงมันอัดอั้นจนหยุดคิดมากไม่ได้ ซึงมินเองก็ยังไม่เคยพบเจอกับประธานฮันคนใหม่เพียงแค่เคยเห็นผ่านๆตามหนังสือพิมพ์ธุรกิจจึงไม่สามารถเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายมีนิสัยใจคออย่างไร บางทีอาจจะใจร้ายถึงขั้นไล่ตะเพิดหรือฉีกสัญญาต่อหน้าฟิลิกซ์ไปเลยก็ได้
“คงไม่หรอกมั้ง” พึมพำออกมาแผ่วเบาก่อนจะขึ้นรถเพื่อเดินทางไปประชุมที่บริษัท ซึงมินได้แต่หวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพราะเขาไม่อยากเห็นฟิลิกซ์ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มฝืนๆอีกต่อไปแล้ว...
Seoul, South Korea
บรรยากาศตรึงเครียดในห้องทำงานประธานบริษัทส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่โด่งดังไปทั่วเอเชียทำให้สองชีวิตที่นั่งอยู่ในนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย มือเรียวคว้าหมากบนกระดานเคลื่อนไปวางบนตำแหน่งที่เขาคิดมาดีแล้ว รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายอีกคน เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะเป็นฝ่ายเคลื่อนหมากบ้าง
“รุกฆาต” เสียงจิ๊ปากขัดใจดังมาจากผู้ที่แพ้ติดกันสามตารวด
“อีกแล้วเหรอ พี่โกงหรือเปล่าเนี่ย”
“อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีนะ เล่นอ่อนก็ต้องยอมรับ”
ซอชางบินหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อชายหนุ่มอีกคนชูนิ้วกลางใส่เขา
“เอาใหม่อีกรอบ คราวนี้ผมไม่พลาดแน่”
“กะจะไม่ทำงานทำการเลยหรือไงครับท่านประธาน” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ชางบินก็จัดเรียงตัวหมากไว้แล้วเรียบร้อย
“ไม่มีงานไหนสำคัญเท่าการเอาชนะพี่หรอก” ฮันจีซองว่า เขาขยับตัวบิดขี้เกียจนิดๆก่อนจะตั้งสมาธิพยายามอ่านเกมของอีกฝ่าย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ท่านประธานคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
“ใคร ฉันไม่ได้นัดใครไว้ไม่ใช่เหรอ” จีซองตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่
“เอ่อ... เขาบอกว่าด่วนมากต้องพบท่านประธานวันนี้ให้ได้ค่ะ”
“ไล่กลับไป บอกว่าฉันไม่ว่างรับแขก” คิ้วได้รูปขมวดติดกันเพราะเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว มีอย่างที่ไหนมาขอพบเขากะทันหันโดยไม่นัดล่วงหน้าแบบนี้
“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้นัดไว้ก่อน แต่ผมมีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับคุณจริงๆ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังไม่คุ้นหูทำให้สองคนที่กำลังสนใจกระดานหมากรุกเงยหน้าขึ้นมอง เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนไม่ใช่คนเกาหลีโค้งให้จีซองแล้วจึงเดินดุ่มๆเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจเลขาสาวที่พยายามห้ามปรามเขา
“ดูเหมือนว่านายจะมีแขกนะ งั้นฉันกลับก่อนก็แล้วกัน” จีซองไม่ได้ห้ามแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ดวงตาจ้องมองไปยังคนที่เขามั่นใจว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนจึงเกิดความสงสัยว่าผู้ชายหน้าสวยคนนี้มีธุระอะไรกับเขา
“ผมลีฟิลิกซ์จากลีทรานสปอร์ทเทชั่นครับ”
จีซองขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อของอีกฝ่าย มือเรียวคว้านาฬิกาทรายคริสตัลบนโต๊ะมาหมุนเล่นขณะกำลังใช้ความคิด
“ลี ฟิลิกซ์?” เขาทวนชื่อซ้ำอีกครั้ง จีซองนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหยุดหมุนนาฬิกาทรายในมือแล้วดีดนิ้วดังเปาะ
“อ้อ! ลูกเมียน้อยประธานลี”
คำพูดไร้มารยาทถูกเอ่ยออกมาเสียงดังพร้อมท่าทางตื่นเต้นของชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา ฟิลิกซ์กัดฟันและกำหมัดแน่น เขามองสีหน้าไม่รู้สึกทุกข์ร้อนของอีกฝ่ายก่อนจะสูดลมหายใจเข้าพยายามระงับความรู้สึกโกรธ
“โทษทีนะ ผมแค่เรียกตามที่คนอื่นพูดกัน ไม่โกรธใช่ไหม?” แม้จะเป็นคำพูดขอโทษแต่ฮันจีซองกลับเอ่ยมันออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เท้าสองข้างถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะสร้างความโมโหให้นายน้อยตระกูลลีมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรครับ เพราะมันเป็นเรื่องจริง” คนตัวเล็กพยายามปั้นหน้ายิ้มและตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“เยี่ยมเลย! แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ”
จีซองถาม เขายังคงให้ความสนใจกับนาฬิกาทรายในมือทำเหมือนฟิลิกซ์ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ราวกับอยากยั่วโมโหอีกฝ่าย
“ผมจะมาคุยเรื่องจดหมายที่คุณส่งมาเมื่อวานครับ”
“เรื่องยกเลิกสัญญาน่ะเหรอ?”
“ครับ”
ประธานฮันหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะชายตามองอีกฝ่าย
“ถ้าจะคุยเรื่องสัญญา ผมอยากคุยกับทายาท ตัวจริง มากกว่านะ”
ปัง!
เพล้ง
“ผมนี่แหละครับทายาทตัวจริง” มือที่กำจดหมายไว้แน่นตบลงบนโต๊ะอย่างแรงจนประธานจอมกวนประสาทสะดุ้งตกใจเผลอปล่อยนาฬิกาทรายคริสตัลหล่นแตก
ฮันจีซองมองแววตาไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่ายก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก ที่บอกว่าไม่โกรธเมื่อกี้คงเป็นเพียงคำพูดโกหกสินะ เขาวางขาลงบนพื้นและเตะเศษซากนาฬิกาทรายไปกองไว้มุมโต๊ะ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” แผ่นหลังกว้างทิ้งลงบนเก้าอี้นวมและหมุนตัวเล่นไปมาอย่างคนอารมณ์ดี
“แล้วคุณมีปัญหาอะไรกับจดหมายของผมเหรอครับ”
“ผมไม่เข้าใจเหตุผลที่คุณจะไม่ต่อสัญญากับเรา” ฟิลิกซ์สงบสติอารมณ์ก่อนจะตอบกลับไป
“ผมเขียนเหตุผลไว้ชัดเจนแล้วนี่ครับ หรือว่าคุณอ่านภาษาเกาหลีไม่ออก?”
“ผมอ่านมันออกชัดเจนทุกข้อความทุกประโยคครับ คุณบอกว่าเพราะการขนส่งสินค้าของเราไม่มีประสิทธิภาพ ผมต้องการคำอธิบาย”
“จะต้องให้ผมอธิบายอะไรอีกงั้นเหรอครับในเมื่อบริษัทของคุณทำให้สินค้าของผมเสียหายไปตั้งหลายร้อยล้านวอน” ประธานฮันหยุดหมุนเก้าอี้และหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย หัวใจของฟิลิกซ์ตกลงไปอยู่ตาตุ่มทันทีเพราะสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของจีซองมันจริงจังแถมยังน่ากลัวจนเขาแทบลืมหายใจ
“ถ้าคุณหมายถึงสินค้าล็อตล่าสุดเราได้จ่ายชดเชยค่าเสียหายทั้งหมดไปแล้วนี่ครับ และถ้าคุณมองมากกว่านั้นคุณจะเห็นว่ากัปตันและลูกเรือของเราพยายามกันอย่างสุดความสามารถจนต้องสละชีวิตไปตั้งหลายคน”
“ว่าที่ประธานลี ถ้ากัปตันของคุณเก่งจริงคงไม่เอาเรือออกจากฝั่งทั้งที่มีพายุแบบนั้นหรอกครับ”
“มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่ากับเรือลำไหน คุณควรให้โอกาสเรา เอชอิเล็กทรอนิกส์และลีทรานสปอร์ทเทชั่นเป็นพาร์ทเนอร์กันมานานมากกว่าอายุของพวกเราซะอีก”
“นั่นแหละที่ผมเกลียด” รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าจีซอง เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบเอกสารบางอย่างมากางต่อหน้าฟิลิกซ์
“ก่อนหน้าที่ผมจะรับตำแหน่งประธานมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง พอผมรับตำแหน่งประธานก็ยังเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกสามครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่าล้านล้านวอนและผมต้องวิ่งเต้นขอโทษขอโพยลูกค้าของผมไปตั้งเท่าไหร่ รู้หรือเปล่า?”
คนตัวเล็กนั่งเงียบ จ้องมองข้อมูลความผิดพลาดทั้งหมดของบริษัทตนเองที่ถูกรวมรวมไว้ในแฟ้มเอกสารที่หนาพอสมควรด้วยความรู้สึกยากจะอธิบายเพราะส่วนใหญ่มันเกิดขึ้นในช่วงที่เขากับซึงมินเป็นผู้บริหารทั้งนั้น
“ดูเหมือนว่าพวกคุณจะได้ใจมากเกินไปสินะที่มีสัญญาระยะยาวกับความเป็นพาร์ทเนอร์กันมานานเกือบสามสิบปีนั่นคุ้มกะลาหัวอยู่ ถึงได้ทำงานชุ่ยลงทุกวันแบบนี้!”
ฟันคมกัดลงบนริมฝีปากล่างอย่างแรง หัวสมองของฟิลิกซ์ว่างเปล่าไปหมดเขาคิดคำพูดอะไรไม่ออกสักอย่างในตอนนี้ แน่นอนว่าคำขอโทษคงไม่ใช่สิ่งที่ประธานฮันอยากฟัง
“ที่ผ่านมาผมให้โอกาสพวกคุณครั้งแล้วครั้งเล่า พ่อของผมน่ะใจอ่อนแถมยังสนิทกับพ่อของคุณจนไม่กล้าทำอะไรเลยสักอย่าง แต่กับผมมันไม่ใช่ ถ้าบริษัทของคุณทำงานไม่ดีก็ไม่ได้ไปต่อกับผม จบกันแค่นี้ จะแก้ตัวอะไรอีกไหม?”
จีซองทิ้งตัวลงนั่ง ดวงตาคมจ้องมองสีหน้าเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออกของอีกฝ่าย ลีฟิลิกซ์เหมือนคนสติหลุดไปไกลแล้วด้วยซ้ำ
“ผมคงไม่มีคำแก้ตัวอะไรเพราะทั้งหมดมันเป็นความผิดของเราเอง” นิ่งเงียบไปพักใหญ่กว่านายน้อยตระกูลลีจะเอ่ยออกมาเบาๆ เขากลับมารักษากิริยาสุภาพได้เป็นอย่างดีแม้จีซองจะทำหน้าตาเหมือนเบื่อเขาเต็มทน
“เข้าใจก็ไปได้แล้ว” ประธานฮันถอนหายใจก่อนจะหยิบเอกสารขอเบิกงบประมาณบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน
“บริษัทที่คุณจะเซ็นสัญญาด้วยคงเป็นฮวังชิปปิ้งสินะครับ?”
จีซองเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย คนตัวเล็กส่งยิ้มให้เขาและตวัดสายตามองแฟ้มเอกสารที่สกรีนด้วยโลโก้ของฮวังกรุ๊ป
“ก็ไม่เชิง มีหลายบริษัทที่พร้อมจะเป็นพาร์ทเนอร์กับผม”
ฟิลิกซ์ลุกขึ้น เขาเดินอ้อมไปหยิบซากนาฬิกาทรายบนพื้นมาถือไว้ ร่างเล็กถือวิสาสะเอนตัวยืนพิงโต๊ะทำงานของจีซองทำให้สายตาคมละจากเอกสารตรงหน้ามามองเขาแทน
“น่าแปลกใจนะครับ ทั้งที่ฮวังกรุ๊ปเองก็มีข่าวไม่ดีโผล่มาให้เห็นอยู่บ่อยๆแต่คุณกลับให้โอกาสเขามากกว่าผมซะอีก” รอยยิ้มหวานถูกส่งไปให้จีซอง นายน้อยตระกูลลีเอียงคอมองอีกคนนิดๆเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ไม่ได้จัดทรงมากนักปลิวไหวตามการขยับร่างกายของเจ้าตัว มือบางสองข้างค้ำยันโต๊ะก่อนเจ้าของมือนั้นจะเขยิบขึ้นไปนั่งบนโต๊ะและแกว่งขาไปมา
จีซองปิดเอกสารในมือ เขาขยับเก้าอี้เข้าไปหาอีกฝ่าย มองรอยยิ้มหวานบนใบหน้าสมบูรณ์แบบนั่นพยายามอ่านความคิดของอีกฝ่าย
“ต้องการจะพูดอะไรกันแน่?” ดูเหมือนว่าฟิลิกซ์จะเดาออกว่าจริงๆแล้วผู้ชายคนนี้มีนิสัยขี้เล่นมากพอจะรับมุกของเขา แม้น้ำเสียงจะยังจริงจังแต่ฝ่ามือเรียวก็เอื้อมมาจับใบหน้าหวานเบาๆฟิลิกซ์จึงโน้มตัวลงไปหาอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“ผมแค่อยากได้โอกาสแบบนั้นบ้าง” น้ำเสียงทุ้มฟังดูออดอ้อนเช่นเดียวกันกับสีหน้าที่คนตัวเล็กแสดงออก จะดูยังไงก็เหมือนลูกแมวกำลังอ้อนขอปลาทูไม่มีผิด จีซองหัวเราะเบาๆ เขาขยับตัวให้แนบชิดฟิลิกซ์มากขึ้นมือขวาที่เคยแปะอยู่บนหน้าอีกฝ่ายขยับลงมาโอบเอวเล็กไว้หลวมๆ
“คุณคงจะนัดเจรจาฟังแผนการตลาดของเขาก่อนใช่ไหมครับ?”
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอโอกาสครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ถ้าคุณยังไม่ได้ตกลงปลงใจจะเซ็นสัญญากับใครได้โปรดฟังแผนการแก้เกมที่จะพลิกโฉมบริษัทครั้งใหญ่ของเราด้วยได้ไหมครับ ถึงตอนนั้นถ้าคุณยังยืนยันที่จะยกเลิกสัญญากับผมและเซ็นสัญญากับฮวังกรุ๊ป ผมจะยอมรับการตัดสินใจทั้งหมดของคุณโดยไม่มีข้อแม้ใดใดอีก”
มุมปากได้รูปกระตุกยิ้ม จีซองคิดไว้อยู่แล้วว่าฟิลิกซ์จะต้องพูดแบบนี้เพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองและเรียกความน่าเชื่อถือกลับมา เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหลังจากนั้นอันที่จริงต้องบอกว่าตอนนี้พวกเราสองคนกำลังเล่นเกมจ้องตากันอยู่ต่างหาก ฟิลิกซ์ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอในขณะที่จีซองเพียงแค่มองอีกฝ่ายนิ่งๆ
“ได้ ถ้าคุณมั่นใจขนาดนั้น วันพฤหัสนี้เตรียมตัวมาเจรจากับผมอีกรอบก็แล้วกัน”
คนตัวเล็กนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ริมฝีปากที่เคยฉีกยิ้มเปลี่ยนเป็นเม้มสนิท คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างคนคิดหนักสร้างความแปลกใจให้กับจีซองเพราะประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่มันควรจะทำให้ฟิลิกซ์ยิ้มกว้างมากกว่าทำหน้าเครียดแบบนี้
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ประธานฮันเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย
“ไม่มีครับ วันพฤหัสนี้... ผมจะส่งตัวแทนมาคุยกับคุณ”
คราวนี้เป็นฝ่ายจีซองที่ต้องขมวดคิ้ว เขาขยับตัวออกห่างอีกคนมือสองข้างยกมาประสานกันระดับอก สายตาคมจ้องมองคนตัวเล็กด้วยความไม่เข้าใจ
“ผมคงต้องบอกคุณก่อนว่าประธานฮวังจะมาเจรจากับผมด้วยตัวเอง การที่คุณจะส่งตัวแทนมาผมเกรงว่ามันจะเป็นการไม่ให้เกียรติ”
ฟิลิกซ์ลอบถอนหายใจเบาๆ ถ้าบอกไปตามความจริงว่าเขาจำเป็นต้องอยู่เฝ้าการผ่าตัดครั้งสุดท้ายของพ่อมันจะเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นสำหรับฮันจีซองหรือเปล่า อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบในฐานะว่าที่ประธานหรือไม่
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ วันพฤหัสนี้ผมมีธุระสำคัญมากไม่สามารถยกเลิกได้รออยู่”
ประธานฮันยังคงเงียบ เงียบจนนายน้อยตระกูลลีใจหาย
“แต่คืนนี้ผมว่างนะครับ ถ้าคุณจีซองไม่รังเกียจ ไปทานข้าวเย็นกับผมสักมื้อได้ไหมครับ”
รอยยิ้มหวานที่หายไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้ง จีซองเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เขานั่งนิ่งอยู่นานก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ผมไม่ชอบคุยเรื่องธุรกิจนอกเวลางาน เพราะว่ามันน่าเบื่อ” ร่างสมส่วนหยัดตัวลุกขึ้น จีซองเดินไปที่ริมหน้าต่างสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางมองสีหน้าคิดไม่ตกของอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะว่าผมมีวิธีทำให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ” คนตัวเล็กกระโดดลงจากโต๊ะและเดินเข้าไปหาจีซอง ฝ่ามือบางลูบแผ่นอกแข็งแกร่งเบาๆก่อนจะช้อนสายตามองประสานกับดวงตาคม
“…..”
“ต่อให้เราต้องใช้เวลาคุยกันทั้งคืนก็ตาม”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม ฟิลิกซ์สอดนามบัตรของตัวเองใส่ลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตอีกฝ่าย เขาโค้งตัวบอกลาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งจีซองไว้กับความรู้สึกมวนท้องแปลกๆกับกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอมแบรนด์ดังที่ฟิลิกซ์ใช้ มือเรียวหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“น่าสนใจ...”
อัปเดต : 22/6/2563
แก้ไข : 20/8/2563
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดีมากเลยค่ะแงงงงงง ชอบบรรยากาศมากๆ
นายน้อยก็ร้ายใช่เล่น รอดูเลยค่ะว่าจะรับมือกันยังไงต่อไป
แต่ชีวิตนายน้อยน่าสงสารมาก ท่านประธานใจดีกับนางยน้อยหน่อยนะคะ ;-;
ฮืออออ สนุกมากเลยยยยยย คิดถึงไรท์มากๆๆๆๆๆ
ออกมาตอนนึงแบบนายน้อยร้ายนะคะหัวหน้า เขินมากกกก
ประธานจะรับมือไหวมั้ยเนี่ยยย
มันดีมากเลยค่ะอ่านไปตัวม้วนไป ฮือ ขอบคุณจริงๆที่แต่งคู่นี้นะคะ เขินนายน้อยกับท่านประธานมาก ฟิลิกซ์ลูกก็> < รอลุ้นตอนต่อไปเลยค่ะ สู้ๆนะคะ