ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { TaoKacha fiction } : Gerbera

    ลำดับตอนที่ #3 : GERBERA002 : ดั่งคำหวาน

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 56


    "All journeys have secret destinations of

    which the traveler is unaware."

    – Martin Buber

     

    ทุกการเดินทางมีจุดหมายปลายทางซ่อนอยู่

    จุดหมายที่นักเดินทางไม่เคยคาดคิด

     

    แสงแดดยามบ่ายพาดผ่านทอแสงประกายกระทบหมอกบาง มองเห็นไร่สตอเบอรี่เป็นแนวยาวขั้นบันไดจนสุดสายตา ท่ามกลางขุนเขา ถูกปกคลุมด้วยหมอกบาง สถานที่แห่งนี้คือ ไร่นนทนันท์ ไร่สตอเบอรี่แห่งหนึ่งในอำเภอสะเมิง

    "คชา คุณน้าอยู่บ้านก่อ" วัชรกาญจน์ หรือ เฟรม ผู้รับหน้าที่เป็นสารถีให้เศรษฐพงศ์ในตอนนี้เอ่ยกับคนข้างๆ คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักขณะก้มหน้าเล่นตุ๊กตากันดัมที่หยิบติดมือมาใส่รถไว้

    ไม่นานนักรถยนต์คันโตจึงชะลอตัวและหยุดลง คนตัวเล็กพาผู้มาเยือนเดินผ่านสวนดอกไม้งามไปยังบ้านหลังใหญ่ ระหว่างนั้นเศรษฐพงศ์จึงสังเกตรอบกาย บรรยากาศแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยพบ ต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมทั่วบริเวณ พอเดินใกล้เข้ามาก็เห็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่ถูกซ่อนไว้หลังแนวต้นไม้  สายลมเย็นโชยปะทะผิวกายนวลของคนข้างหน้า เขามองคนตัวเล็กถูมือไปมาก่อนจะก้าวเร็วๆเพื่อเดินเข้าบ้าน โดยไม่ลืมที่จะยืนรอผู้เป็นแขกอย่างเขาด้วยเช่นกัน

    เมื่อเข้ามาในตัวบ้าน คชาพาเขามานั่งยังโซฟารับแขกก่อนที่เจ้าตัวจะเร่งเดินไปก่อเตาผิงที่อยู่ใกล้ๆเพื่อสร้างความอบอุ่น

    คุณเต๋า นั่งตี้นี่ก่อนเน้อครับ เดี๋ยวคชาไปหาแม่ก่อน”

    เต๋าพยักหน้า คชาจึงเดินหายไปยังอีกทางของบ้าน เศรษฐพงศ์เอนกายลงด้วยความเมื่อยล้าจากการเดินทาง แต่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขากลับสั่นครืดขึ้นมา

    "ว่าไงไอ้เต้"

    (เออ ถึงแล้วใช่ไหม เจอน้องคชายัง)

    "เจอแล้ว น้องคชากับน้องเฟรม" สายตาคมมองผ่านไปยังทางที่คนตัวเล็กเพิ่งเดินไป

    (อ้าว เฟรมก็อยู่หรอ)

    เสียงจากปลายสายที่ดูกระตือรือร้นผิดปกติทำให้อดจะแปลกใจไม่ได้

    ใช่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่”

    (แล้วไปไหนละ)

    จะไปรู้หรอ อยากรู้ก็คุยกันเองสิวะ”

    (โห่ มึง ถามแค่นี้ขึ้นเสียง...)

    โปเต้ยังคงพูดคุยกับเขาเพื่อเป็นการฆ่าเวลาของตัวเจ้าแว่นเอง ที่ยังคงนั่งรอคู่ค้าด้วยความเบื่อหน่าย รวมไปถึงตัวของเองที่ยังคงนั่งรอลูกชายเจ้าของบ้านที่ไม่มีวี่แววจะเดินกลับมาเช่นกัน

    ข้อมูลที่เต๋าได้รับจากปิยพงศ์ผู้เป็นเพื่อนสนิท ที่แห่งนี้เป็นไร่ของป้าของเขา เธอมีลูกชายหนึ่งคนนั่นคือ คชา เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าหน้าตาน่ารักที่เขาเพิ่งพบเมื่อครู่นี้ และชื่อจริงของคชายังถูกตั้งเป็นชื่อไร่แห่งนี้อีกด้วย หนุ่มแว่นเล่าต่ออีกว่า คชามีเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันอยู่อีกหนึ่งคน คนคนนั้นคือวัชรกาญจน์ ผู้อ่อนกว่าคชาเพียงหนึ่งปี แต่ทั้งสองกลับเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมหกเท่ากันและเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของนนทนันท์

    แล้วมึงจะกลับมาไร่เมื่อไหร่”

    (อีกสองวัน ถ้าเสร็จงานเร็วก็อาจจะเป็นพรุ่งนี้เย็น)

    เออ รีบมาละกัน กูอยู่ที่นี่ก็เกรงใจเป็นเหมือนกัน”

    (ไม่ต้องเกรงใจ กูบอกคุณป้าไว้แล้ว เอ้อ.. แค่นี้นะมึง ลูกค้ามาแล้ว)

    ปิยะพงศ์ตัดบทก่อนที่ปลายสายจะถูกตัด เศรษฐพงศ์จึงได้แต่ถือสายค้างอยู่แบบนั้นพลางสบถเบาๆ

    “อะไรของมันวะ”

     

     

     

    .............................................

     

    มือหนาขยับกรอบแว่นหนา ขยับเสื้อสูทที่ไม่เข้าที่ให้เรียบร้อย ยัดโทรศัพท์ที่ยังร้อนจากการใช้งานลงกระเป๋ากางเกง ขายาวก้าวผ่านเข้ายังบริษัทใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางขุนเขา หลังจากที่เห็นแล้วว่าบุคคลที่ตนต้องการพูดคุยด้วยมาถึง พนักงานหน้าเคาทเตอร์เอ่ยรับเสียงหวานขณะที่เขามาติดต่อ

    ผมปิยะพงศ์ มาติดต่อกับคุณอรรณพครับ”

    นัดไว้ใช่ไหมคะ? คุณอรรณพเพิ่งเข้าไปเมื่อครู่ เชิญที่ชั้นห้าเลยค่ะ”

    อรรณพ ลูกชายเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของเชียงใหม่ ผู้คุมบังเหียนแทนผู้เป็นพ่ออย่างเต็มตัวในไม่กี่ปีมานี้ อรรณพต้องการพื้นที่ทำเลส่วนหนึ่งของอำเภอสะเมิงเพื่อสร้างธุรกิจโรงแรมในโปรเจค ‘ไม้เมืองเหนือ’ เป็นโปรเจคแรกหลังจากที่อรรณพเข้าร่วมบริหารโดยสมบูรณ์ โดยสามารถขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ทั้งในตัวเมืองเชียงใหม่ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงสันกำแพง  จอมทอง กัลยาณิวัฒนาที่กำลังสร้าง และสะเมิงก็เป็นอีกหนี่งสถานที่ที่ลูกชายนักธุรกิจต้องการ

    แต่เรื่องก็คงไม่ถึงปิยะพงศ์หากพื้นที่ที่อรรณพต้องการไม่ได้อยู่ในส่วนหนึ่งของ ‘ไร่นนทนันท์’ ที่มีชื่อผู้เป็นแม่ของเขาเป็นเจ้าของที่ดิน

    ผมอยากให้คุณขายที่ดินนั้นให้ผมนะ” อรรณพเท้าแขนลงกับโต๊ะทำงาน พลางควงปากกาด้วยท่าทางไม่ประสีประสาอย่างกับเล่นขายของ

    มันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ” โปเต้สบมองคู่สนทนาผ่านแว่นกรอบหนา

    แล้วผมต้องทำยังไงล่ะถึงจะได้พื้นที่ส่วนนั้น” เขาดีดปลอกปากกาไปมา

    นี่คุณ จริงจังหน่อยสิครับ”

    โปเต้วางมือลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ อรรณพหยุดการกระทำเพียงครู่ ยื่นปากกาแท่งนั้นให้คู่สนทนา “ก็เซ็นต์สิครับ”

    ปิยะพงศ์มองอรรณพด้วยแววตานิ่งๆ หากแต่ในใจอยากจะลุกขึ้นตั๊นหน้าไอ้เวรนี่เสียเหลือเกิน ท่าทางกวนๆนั่นรบกวนสมาธิเขายิ่งกว่าอะไรดี!

    อย่าเพิ่งดีกว่าไหมครับ คุณรู้รึเปล่าว่าที่ดินของผมมันอยู่ในส่วนของไร่นนทนันท์”

    รู้เสียยิ่งกว่ารู้ …ผมถึงเลือกที่ตรงนี้แทนที่จะไปซื้อที่ดินของตาสีตาสายังไงล่ะ” อรรณพลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินวนไปรอบๆห้อง “ไร่นนทนันท์ ไร่สตอเบอรี่ขนาดกลางในตัวอำเภอสะเมิง กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ไม่เคยลงโฆษณาแต่ใช้คำว่าปากต่อปาก บรรยากาศท่ามกลางขุนเขา เดินทางง่าย บริการเป็นกันเอง รวมไปถึงเรื่องความหวานอร่อยของพันธุ์สตอเบอรี่ที่ใช้ปลูกและดูแลอย่างพิถีพิถัน” ชายหนุ่มหยุดลงตรงหน้าปิยะพงศ์ โน้มตัวลงมาเสมอแนวสายตา “โดยวัตถุดิบหลักในการปลูกถูกคัดสรรเป็นอย่างดี …จากคุณ”

     

    .

     

    ปิยะพงศ์เดินออกจากห้องนั้นด้วยความหงุดหงิดเต็มที่ ขายาวก้าวฉับๆ เดินเข้าห้องน้ำไม่สนใจใคร และไม่ทันได้ยินเสียงใครคนหนึ่งโวยวายตามหลังมา

    มือหนาวักน้ำเย็นล้างหน้าล้างตา ดับอารมณ์ร้อนๆของตนเอง มองสีหน้าที่ดูจะเคร่งขรึมเกินไปผ่านกระจก ถ้าจะโทษใครก็คงโทษตัวเองที่ทนกริยาของผู้เป็นใหญ่ในบริษัทแห่งนี้ไม่ได้ อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับเขาแท้ๆเชียว ทำไมร้ายนัก

    ถ้าคิดจะหวังผลจากชื่อเสียงของไร่ผม ผมไม่ขาย!’

    ก็เอาซี ถ้าคิดจะขวางทางผม คุณคิดผิดแล้ว’

    ‘…’

    ไม่มีอะไรที่อรรณพทำไม่ได้…’

     

    ซ่าาาาาา

    โปเต้เอาน้ำลูบหน้าอีกครั้งแล้วจึงคว้าแว่นกรอบหนามาใส่ พลางนึกรำคาญใจกับเสียงโหวกเหวกโวยวายหน้าห้องน้ำ ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกดลิฟท์  “ที่นี่เขาดูแลคนกันยังไงวะ”

    ดูแลคนยังไงนะหรอ คุณนั่นแหละที่มาเดินชนฉัน!” เสียงแหวๆของหญิงสาวดังขึ้นด้านหลัง มันปรี๊ดจนโปเต้ต้องอุดหูทีเดียว

    อะไรของคุณเนี่ยหา” ปิยะพงศ์หันหลังกลับมาพบสาวร่างเล็กถือของพะรุงพะรัง ทำหน้าง้ำหน้างอ ผมบ๊อบที่ควรจะเป็นทรงกลับฟูเหมือนไปรบที่ไหนมาทำให้หนุ่มแว่นที่ตีขรึมอดจะขำในลำคอไม่ได้

    ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรอ คุณ-เดิน-ชน-ฉัน”

    หรอครับ ..แล้วไงต่อ?” โปเต้แกล้งตีหน้ามึนไม่สนใจบ้าง ทั้งที่รู้อยู่แล้วแหละว่าควรจะเอ่ยปากขอโทษสาวเจ้าไปเสียที อาจจะเป็นตอนที่เขาเดินตาขวางออกมาจากห้องไอ้อรรณพนั่น

    สายตาภายใต้กรอบแว่นมองไปยังเลขลิฟท์ที่ค้างอยู่ชั้นบนนานพอสมควร ทำให้สาวผมบ๊อบปรี๊ดแตกขึ้นไปอีก

    นี่นาย!”

    มีอะไรกัน” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของหญิงสาว น่าดีใจรึเปล่าที่มันเป็นเสียงเดียวกับคนที่ปิยะพงศ์ต่อกรไปเมื่อครู่ “ป่านมาทำอะไรตรงนี้”

    พี่ปอ ดูอีตานี่สิ ชนป่านเอกสารร่วงหมดเลย ไม่ขอโทษด้วย” ป่านฤทัยแทบจะซุกอยู่ในอกพี่ชายของตน

    โปเต้หัวเราะหึหึในลำคอ อ๋อ… น้องสาวไอ้อรรณพปากเหาะนี่เอง นึกว่าใครที่ไหน

    คุณควรจะขอโทษน้องสาวผมนะ”

    ผมควรจะทำแบบนั้นหรอครับ” โปเต้ลอยหน้าลอยตา แต่มือค้นเศษกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าก่อนจะเขียนอะไรหยุกหยิก ประจวบกับลิฟท์ที่รอคอยจอดลงที่ชั้นพอดี เขายัดเศษกระดาษนั้นใส่มือหญิงสาวก่อนจะโบกมือลาด้วยท่าทางที่กวนที่สุดก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลง

     

    .

     

    แล้วเจอกันใหม่ …สาวน้อย’

     

    โปเต้ทิ้งตัวพิงผนังลิฟท์ ป่านนี้ป่านฤทัยคงกรี๊ดตายคาอกพี่ชายสุดที่รักจนไม่ได้ดูข้อความสุดท้ายเล็กๆที่เขาเขียนไว้ คำขอโทษที่จงใจเขียนตัวเล็กๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียฟอร์ม โดยเฉพาะต่อหน้าไอ้อรรณพนั่น คนอย่างปิยะพงศ์ก็ไม่ใช่จะใจร้ายใจดำขนาดนั้นสักหน่อย

    พอนึกถึงเรื่องน้องก็นึกถึงน้องตัวเองบ้าง ไม่รู้ว่าคชาจะดูแลไอ้เต๋ายังไง ใจก็อยากจะโทรหา แต่อีกใจก็กลัวจะรบกวนอยู่เหมือนกัน

     

    ………………………………………………..

     

    โอ๊ย บ่ากวนเลยลูก อยู่ตามสบายเน้อเต๋า” หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ดีขนาด น้องคชาจะได้มีเปื้อนอยู่โดย”

    แม่อ่ะ คชาก่อมีเฟรมเป็นเปื่อนอยู่แล้วเลาะ” คนตัวเล็กออดอ้อนผู้เป็นแม่ ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเศรษฐพงศ์ผู้เป็นแขก

    อู้จะอี้ได้จะใดน้องคชา บ่าน่าฮักเลย” เธอเอ็ดลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “ปะ ไปจัดฮ่องหื้ออ้ายเปิ้นเน้อลูก ฮ่องว่างข้างๆฮ่องเฮาก่อได้”

    นนทนันท์ซุกแม่เพียงครู่ก่อนจะผละออกเพื่อไปเตรียมห้องให้ผู้มาเยือน ห้องรับแขกจึงเหลือเพียงแต่เศรษฐพงศ์และคุณนายเจ้าของไร่เท่านั้นที่คุยสัพเพเหระไปเรื่อย

    เต๋าเฮียนจบล้า ทำงานอะหยังอยู่ลูก”

    ผมเป็นตากล้องหนังสือท่องเที่ยวครับ” เต๋าตอบ

    จะอี้ก่อได้แอ่วบ่อยก่ะเฮา” เธอยิ้ม “แม่หนา อยากปาน้องคชาไปแอ่วจะตาย อยากปาน้องไปแอ่วทะเล น้องบ่าเกยได้ไปไหนนอกจากเจียงใหม่เลยหนาเต๋า แม่อยากจะปาไป แต่ติดตี้ว่าแม่ก่อบะจ้างเหมือนกัน”

    แม่หนาเฒ่าละ น้องกำลังสิบเก้า กำลังวัยรุ่นก่อคงอยากออกไปเปิดหูเปิดตาพ่อง”

    คชาบ่ะหันอยากไปตี้ไหนเลย คชาอยากอยู่กับแม่มากกว่า” คชากระโดดหอมแม่เข้าฟอดใหญ่จากด้านหลัง

    จัดห้องเสร็จแล้วก้า คชา” หญิงสาวถามลูกชาย

    เสร็จละ เสร็จตันได้ยินแม่เล่าเรื่องคชาหื้อคุณเต๋าฟังโดย”

    “คชาเยียะใดฮ้องคุณเต๋าละลูก ฮ้องอ้ายเต๋าก่ะ”

    อ้ายต๋าว... ก่อได้” คนตัวเล็กเงยหน้าสบตาเจ้าของชื่อราวกับจะขออนุญาต เต๋าที่นั่งเงียบอยู่นานจึงเอ่ยขึ้น

    ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องก็ได้นะคชา”

    บ่ะเอา คชาจะฮ้องอ้ายต๋าว ดีกว่าคุณเต๋าแหม” เขาว่าก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง เต๋ายอมรับเลยว่าใจสั่นกับรอยยิ้มของเด็กคนนี้อย่างจริงจัง

    เมื่อเห็นว่าอะไรๆ เริ่มจะเข้าที่แล้ว หญิงวัยกลางคนจึงขอตัวไปดูงานที่ไร่ในช่วงกลางวัน ทำให้เหลือเศรษฐพงศ์และนนทนันท์เพียงสองคน

    อ้ายต๋าว ไปผ่อฮ่องกันเต๊อะ จะได้พักผ่อน”

    คชาพาเต๋ามายังห้องพักที่เป็นคนจัดเตรียมไว้เองเมื่อครู่ก่อน เป็นห้องที่ไม่ได้กว้างและไม่ได้แคบมากนัก เตียงกว้างถูกจัดวางไว้มุมห้อง ถัดมาเป็นโต๊ะหนังสือ ส่วนอีกฝั่งเป็นตู้เสื้อผ้า

    อ้ายต๋าวพักผ่อนตามสบายเลยเน้อ คชาบ่ากวนละ อยู่ฮ่องข้างๆ มีอะหยังก่อฮ้องได้นะครับ”

    ขอบใจมากนะคชา ขอโทษด้วยที่มารบกวน”

    บ่ารบกวนเลยอ้ายต๋าว บ่าต้องเกรงใจเน้อ”

    คล้อยหลังคชาออกไป เต๋าจึงวางสัมพาระทั้งหมดลงที่ข้างเตียงพลางเดินสำรวจไปรอบ ห้องนี้ดูเหมือนเป็นห้องที่ถูกใช้งานมาแล้วเสียมากกว่า อาจจะไม่ได้บ่อย แต่ร่องรอยของหนังสือที่ถูกวางอยู่บนชั้นนั่นก็ไม่ได้เก่ามาก รวมทั้งกรอบรูปที่จัดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

    เศรษฐพงศ์หยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู ภาพของเล็กชายตัวเล็กๆเคียงข้างกับผู้ใหญ่สองคน ผู้หญิงในรูปคาดว่าจะเป็นของคุณนายเจ้าของไร่ ส่วนผู้ชายน่าจะเป็นคุณพ่อของเด็กชายตัวเล็ก น่าเสียดายที่กาลเวลาที่เปลี่ยนไปทำให้ภาพนั้นซีดจางจนสังเกตอะไรไม่ได้ แต่รอยยิ้มของเด็กชายในรูปกลับแจ่มชัด รอยยิ้มเดียวกับที่เขาได้รับเมื่อครู่ก่อน

    เขาวางรูปนั่นลง ไล่สายตามองรูปถัดมาเรื่อยๆ ภาพของเด็กชายหัวเห็ดคนเดิมนั่งอยู่บนตักเด็กชายใส่แว่นที่ตัวโตกว่า เดาได้ไม่ยากว่านั่นก็คือโปเต้เพื่อนของเขานั่นเอง ข้างๆกันเป็นเด็กชายอีกคนที่ยืนหน้าบูดถูกคนใส่แว่นกุมมือไว้แน่น เต๋ามองภาพนั้นด้วยอารมณ์ขันกับความน่ารักในวัยเด็ก ก่อนจะผละออกมาเพื่อจัดการกับข้าวของของตนเอง

    มือหนาหยิบกระเป๋ากล้องแยกออกมาวางที่ข้างเตียง ตั้งแต่เดินทางมาที่นี่ก็ไม่ได้หยิบมันออกมาใช้เลย เขานั่งลงบนเตียงกว้างเปิดกล้องไล่ดูรูปที่ผ่านๆมา ภาพความทรงจำผ่านทั้งความทุกข์ ความสุขพร้อมๆกับเธอคนนั้น น่าแปลกที่ไม่มีอะไรร้ายแรงเท่ากับวันนี้ วันที่ถูกทำลายความเชื่อใจโดยไม่เหลือชิ้นดี วันที่ดวงใจแหลกสลายจนมิสามารถจับต้อง

     

    วันที่ความรัก …เป็นเพียงแค่ลมปาก

     

    ไร้ความหมาย

     

    ไร้ตัวตน

     

    ถึงเวลาจะต้องลบมันออกไปเสียที

     

    .

     

    .

     

    เสียงดนตรีไทยขับกล่อมยามรัตติกาลเปื้อนประดับดวงดาวระยิบระยับทั่วท้องนภา แสงจันทร์สาดส่องลอดผาดผ่านช่องหน้าต่างบานใหญ่  ผ้าม่านขาวโบกพัดจากแรงลมหนาว เผยให้เห็นร่างเล็กใต้เงาแสงจันทร์ นิ้วเรียวเล็กบรรจงตวัดปลายไม้ลงบนเส้นขิมเกิดเสียงก้องกังวาลใส ปลอบประโลมความหนาวเหน็บในคืนจันทร์สว่าง

    ใครเล่าจะรู้ว่าเสียงนั้นดังก้องไปถึงห้องข้างเคียง เสียงดนตรีไทยปลุกเศรษฐพงศ์ในตื่นจากนิทรา ในคราวแรกเขานึกหวาดหวั่นในใจ คิดว่าตนเองนั้นฝัน จึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงออกเดินตามเสียงนั้น แต่เมื่อตั้งใจฟังดีดีแล้ว เสียงนี้ไม่ได้ดังมาจากที่ไหนเลย

    ขาแกร่งหยุดลงที่หน้าประตูห้องของคชา… เศรษฐพงศ์คิดตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ เมื่อหมุนลูกบิดประตูก็พบว่ามันไม่ได้ล็อค จะถือวิสาสะเดินเข้าไปดีหรือ เสียงเพลงช่างตราตรึงในจิตใจเขาเหลือเกิน

     

    อยากจะเข้าไปฟังใกล้ๆ

     

    สุดท้ายก็แพ้ความต้องการของตัวเอง ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง ขาแกร่งก้าวผ่านกรอบประตูและปิดลงอย่างแผ่วเบา พบคนที่ตามหาบรรเลงเพลงอยู่ใกล้หน้าต่าง ท่วงทำนองอ่อนหวานชะงักลงครู่หนึ่งเมื่อเจ้าของห้องสังเกตเห็นใครเดินเข้ามา

    อะ.. อ้ายต๋าว”

    ขอโทษที... รบกวนใช่ไหม”

    บ่าเลย บ่าเป็นหยัง อ้ายต๋าวมีอะหยังก่อ นั่งก่อน”

    คือ... พี่ตามเสียงเจ้านี่มา” เศรษฐพงศ์ว่าพลางนั่งลงข้างๆ

    ชอบก่อ?” นนทนันท์ส่งยิ้มให้คนข้างกาย

    อื้ม ..เล่นต่อสิ”




    ท่วงทำนองอ่อนหวานถูกบรรเลงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ เศรษฐพงศ์คิดว่ามันหวานมากกว่าเก่าเสียอีก เขาลอบมองคนข้างกายบรรเลงเพลงอย่างตั้งใจ แสงจันทร์สีนวลส่องกระทบเสี้ยวหน้าบางเผยรอยยิ้มอ่อนละมุน มือเรียวบรรจงบรรเลงเพลงอย่างตั้งใจ ราวกับจะส่งสารจากใจ ..ถึงใจ

    ดวงใจที่แห้งเหือดกลับพองโตอย่างไม่มีเหตุผล ยามเฝ้ามองคนตัวเล็กร่ายไปตามทำนอง เพลินใจเกินกว่าจะรู้สึกตัวว่าเสียงเพลงนั้นจบลง

    นนทนันท์วางไม้ขิมลงและยกมือไหว้เครื่องดนตรีไทย พลางหันหน้ามาสบตาชายร่างสูงข้างกาย

    แล้วก็ได้รู้ว่ามันช่าง ใกล้...... เหลือเกิน

     “อะ.. อ้ายต๋าว”

    “...”

    อ้ายต๋าว...” คชาส่งเสียงเรียกอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าอีกฝ่าย นั่นเองทำให้เต๋ารู้สึกตั

    อะ.. ขอโทษที”

    คชากึดว่าอ้ายเป็นอะหยังไปเสียละ” คชาหัวเราะคิก “เอ๋อขนาด”

    นี่ว่าพี่เอ๋อหรอคะ” เต๋ารู้สึกตัวว่าโดนเด็กว่าก็พาจะทำตัวเอ๋อเข้าไปใหญ่

    แม่นแล้ว อ้ายต๋าวเอ๋อ ฮ่าๆๆ”

    อ่า.. โอเค เอ๋อก็เอ๋อเอ้า!” เศรษฐพงศ์มองคนข้างๆขำก็อดจะขำตามไม่ได้ “นี่คชา เมื่อกี้เราเล่นเพลงอะไรน่ะ”

    ตะกี้ก๋า คชาเล่นเพลงคำหวาน เพราะแม่นก่อ” นนทนันท์กระเซ้าคนตัวโต เต๋ามองคนตัวเล็กยิ้มหวานตาแทบปิด

     

    คำหวาน ...หวานจริงๆด้วยสินะ

     

    เพราะสิ เพราะมากด้วย” เต๋ายิ้ม

    เยียะใดอ้ายต๋าวยังบ่านอน”

    ถ้าถามว่าทำไมพี่ถึงตื่นจะง่ายกว่าไหมคะ”

    เศรษฐพงศ์สังเกตกริยาของคชาแล้วก็อดขำไม่ได้ ริมฝีปากน้อยๆเบะออก ตากวางแทบจะค้อนตาคว่ำ

    อ้ายต๋าวอ้ะ!”

    โอ๋ๆ ฮ่าๆๆ แล้วทำไมเราถึงไม่นอนล่ะคชา”

    คชานอนบ่าหลับ”

    เต๋าพยักหน้ารับก่อนที่บทสนทนาจะเงียบลง เสียงเหล่าจักจั่นจึงแทรกขึ้นท่ามกลางความสงบยามราตรี

    คชา.. ออกไปดูพระจันทร์กัน” เศรษฐพงศ์ฉุดคนตัวเล็กให้ยืนขึ้น พากันออกมานอกบ้านโดยที่เขาไม่ลืมจะหยิบอุปกรณ์คู่ใจไปด้วย

    อ้ายต๋าวบ่าเอา มันหนาว”

    แล้วก็เป็นจริงดังคชาว่า ลมเหนือหนาวกว่าที่คิดไว้มาก สำหรับเต๋าก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่กับคนตัวเล็กๆอย่างคชานั้นกลับหนาวจนสั่นไปทั้งตัว

    บ่าเห็นดีเลยอ้ายต๋าว พระจันทร์ดูตี้ฮ่องก่อได้”

    ดูในห้องก็ถ่ายรูปออกมาไม่สวยสิ” เต๋าชูกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือไปมา

    มันมืดหนา มองบ่าเห็นหรอก”

    มืดตรงไหน ดูสิ.. จันทร์สว่างจะตาย” มือหนาชี้ให้คนตัวเล็กดู

    คชาถูมือถูแขนไปมาพลางเหม่อมองแสงจันทร์อย่างที่คนตัวโตว่า ทันใด ความอบอุ่นกับแผ่ซ่านจากบริเวณหัวไหล่ เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเสื้อตัวนอกของเต๋ากลับมาคลุมไหล่ของเขาแทน

    อ้ายต๋าว”

    ขอโทษทีนะ คชาหนาวแย่เลยสิ”

    แล้วอ้ายต๋าวบ่าหนาวก๋า ใส่ไว้เต๊อะเดี๋ยวบ่าสบาย” นนทนันท์ทำท่าจะหยิบเสื้อคลุมออกจากไหล่ เต๋าจึงใช้มือข้างหนึ่งกดไหล่บางไว้

    ไม่ต้อง ..เดี๋ยวคชาไม่สบาย”

    แต่คชาเป็นคนเหนือหนา”

    “เป็นคนเหนือก็หนาวได้ไม่ใช่หรอ ..หื้ม”

     

     

    แชะ!!

    เสียงชัตเตอร์ดังแทรกเสียงงอแงของคชา เขาเหวอทำหน้าพริบๆใส่ตากล้องที่เอาแต่ยิ้มขำ

    ว้า แย่จังรูปมืดไปหน่อย ขออีกรอบนะ”

    อ๊า อ้ายต๋าวบ่าเอา บ่าถ่าย”

     

    แชะ!!

    อ้ายต๋าวววววววว”

    ในค่ำคืนที่แสงจันทราสาดส่อง คนสองคนหยอกล้อกันโดยมีมวลดอกไม้เป็นพยาน เสียงหัวเราะสอดประสานดั่งคำหวานที่เพิ่งเริ่มต้นสะท้อนก้องกังวาน ก้าวผ่านความหนาวเหน็บไปด้วยกัน

    .

    .

    .

     

    โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบมองอยู่ไม่ไกล

     

     

    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×