ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    memories fo the past สืบสวนลับจับตายหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : จุดเริ่มต้นของการสูญเสีย...

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 58


     

    หวี้หว่อๆๆ

    “ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมอาคารนี้ไว้หมดแล้ว คนร้ายที่อยู่ข้างในจงออกมอบตัวซะดีๆ!!

    เสียงไซเรนตำรวจดังขึ้นพร้อมกับเสียงตำรวจสาวไฟแรงที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นสารวัตรมามาดๆ กำลังตะโกนใส่โทรโข่งที่ดังจนประเทศอื่นอาจได้ยินไปด้วย

    “สารวัตรครับ พยานที่หนีออกมาจากด้านในอาคารได้ทัน ได้ให้ปากคำว่าด้านในอาคารมีเด็กจากโรงเรียนคาริเตอร์ติดเป็นตัวประกันอยู่ด้านในครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งวิ่งเข้าไปรายงานสถานการณ์ให้สารวัตรทราบ “และในเด็กที่เป็นตัวประกันก็มี..”

    “มีอะไร!ก็พูดออกมาเร็วๆ สิ!”ตำรวจสาวไฟแรงพูดอย่างร้อนรนเพราะโรงเรียนที่ตำรวจนายนี้มารายงานนั้นเป็นโรงเรียนที่น้องสาวของเธอเรียนอยู่

    “มีน้องสาวของสารวัตรติดเป็นตัวประกันอยู่ในนั้นด้วยครับ”

    !!!

    (ด้านในอาคารที่เกิดเหตุ)

    “โธ่เว้ย! ทำไมไอ้พวกตำรวจมันถึงมาเร็วอย่างนี้วะ” คนร้ายพูดออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งกองกำลังอยู่ด้านนอกอาคาร เพื่อเตรียมพร้อมที่จะจับกุมคนร้าย

    “เอาไงดีลูกพี่” คนร้ายอีกคนถามผู้เป็นหัวหน้าด้วยน้ำเสียงที่เห็นได้ชัดว่ากำลังหวั่นวิตก

    “ไอ้โง่! จะให้ทำไงล่ะก็ต้องหนีสิ ถามโง่ๆ”คนที่เป็นหัวหน้าตอบกลับด้วยความหงุดหงิดและรำคาญทั้งพวกตำรวจที่อยู่ด้านนอกและลูกน้องจอมซื่อบื่อนี่ด้วย

    “แล้วจะหนียังไงล่ะลูกพี่ในเมื่อตำรวจมันบอกว่าล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ผมไม่อยากถูกจับนะครับ”

    “ยังไงฉันก็ไม่ยอมถูกจับง่ายๆ หรอก” คนร้ายที่เป็นหัวหน้าพูดก่อนจะทำหน้าใช้ความคิด แล้วสายตาก็ไปพบกับเด็กผู้หญิงวัยหกขวบที่นั่งตัวสั่นมองดูเหตุการณ์ซึ่งกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าอยู่ในอ้อมกอดของครูวัยกลางคนที่เป็นผู้ดูแลเหล่านักเรียนที่มาทัศนศึกษา ณ พิพิธภัณฑ์อัญมณีชื่อดังของประเทศเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป แต่ที่ทำให้เด็กคนนั้นแตกต่างจากเด็กทั่วไปนั่นคือเข็มกลัดที่ติดอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายของเธอ

    ซึ่งเข็มกลัดนั้นคือตราสัญลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ!

    เมื่อคนร้ายเห็นเข็มกลัดก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้จะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกตำรวจแน่ คนร้ายคิดได้ดังนั้นจึงเดินไปกระชากตัวเด็กผู้หญิงคนนั้นให้ลุกขึ้นท่ามกลางความตกใจของตัวประกันที่เป็นเพื่อนของเธอด้วยความที่ไม่คาดคิดว่าคนร้ายทำแบบนั้น และจับแขนแด็กไว้ทั้งสองข้างก่อนที่คนร้ายจะย่อตัวลงให้ระดับตัวเท่าๆ กับตัวเด็กที่ยืนตัวสั่นด้วยความกลัวและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ

    “หนูน้อยเข็มกลัดที่ติดอยู่ที่เสื้อหนูนี่ของหนูเหรอ” คนร้ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี พร้อมกับยื่นมือไปจับเข็มกลัดที่ติดอยู่บนเสื้อของเธอ แต่สีหน้าที่แสดงออกมาช่างกลับกันอย่างสิ้นเชิง

    “...” สีหน้านั้นทำให้เธอกลัวจนไม่กล้าที่จะปริปากพูดอะไรออกไป

    “ฉันถามน่ะได้ยินมั้ย!!” คนร้ายพูดเสียงดังจนคนถูกถามถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ

    “ชะ ใช่ค่ะ” ด้วยความกลัวเธอจึงยอมเอ่ยปากพูดออกไป

    “แล้วหนูได้เข็มกลัดนี่มาจากไหน”

    “จากพี่สาวค่ะ” เธอตอบกลับไปอย่างหวาดระแวง

    เมื่อคนร้ายได้รู้สิ่งที่อยากรู้แล้ว จึงมีความคิดที่พุดขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องที่จะต่อรองกับตำรวจยังไง

     

    (เสียงโทรศัพท์)

    “นั่นเสียงโทรศัพท์ใคร!” เมื่อคนร้ายได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงหันไปตวาดทางที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ซึ่งดังมาจากโทรศัพท์ของครูที่คนร้ายเพิ่งกระชากตัวเด็กออกมา

    เมื่อครูผู้ดูแลตั้งสติได้ก็รีบควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ให้กระเป๋าออกมา ดูว่าคนที่โทรฯ เข้ามาผิดเวลานั้นเป็นใคร เมื่อเธอเห็นสายที่โทรฯ เข้ามานั้นเป็นใครก็เผลอแสดงสีหน้าดีใจออกไป เพราะคนที่โทรฯ เข้ามานั้นคือพี่สาวของเด็กน้อยที่กำลังถูกคนร้ายกระชากออกไปถามเมื่อสักครู่และยังเป็นที่คนสามารถทำให้เรื่องเลวร้ายที่เกิดเกิดนี่ยุติลงได้

    เมื่อคนร้ายเห็นครูผู้ดูแลทำสีหน้าดีอกดีใจออกมาซึ่งสีหน้านั้นขัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่มาก จึงปล่อยมือจากแขนเด็กที่จับอยู่ออก แล้วยืดตัวขึ้นและเดินไปกระชากโทรศัพท์จากมือครูผู้หญิงคนนั้นอย่างแรงด้วยความโมโหที่เห็นสีหน้านั้น ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านชื่อที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอโทรศัพท์

    “รินนา...”

    “พี่สาว!” เมื่อเด็กผู้หญิงที่คนร้ายจับไปสอบถามเมื่อครู่ ได้ยินชื่อที่คนร้ายพูดหลังจากอ่านชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ ก็ตะโกนด้วยความดีใจโดยลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองนั้นเพิ่งตัวสั่นด้วยความกลัวไปด้วยความที่คิดว่าพี่สาวของเธอจะต้องมาช่วยเธอออกไปจากที่นี่ได้แน่

    “พี่สาว? งั้นเหรอ หึหึหึ” คนร้ายได้ยินสิ่งที่เด็กหญิงพูด ก็ยิ้มออกมาเพราะการที่รินนาโทรฯ เข้ามานั้นได้เข้าแผนที่มันวางไว้พอดี

    (ด้านนอกอาคาร)

    ติ๊ด

    (ไงคุณรินนา)

    “ฉันขอเจรจา” เมื่อคนร้ายรับสาย สารวัตรสาวอึ่งไปเล็กน้อยกับการที่คนร้ายที่อยู่ด้านในรู้ชื่อเธอ แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะคนร้ายอาจรู้มาจากน้องสาวของเธอที่ติดเป็นตัวประกันอยู่ด้านใน แต่ก็ไม่รีรอพูดขอเจรจากับคนร้ายด้วยน้ำเสียงที่นิ่งไม่บงบอกอารมณ์ ใดๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ข้างในเธอกำลังเป็นห่วงน้องสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจของเธอมากขนาดไหน

    (น่าแปลกที่เราคิดตรงกันเลยนะคุณรินนา)

    “แกต้องการอะไร”

    (คุณรินนานี่ช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาซะเหลือเกิน)

    “อย่ามัวอ้อมค้อมบอกสิ่งที่แกต้องการมา แล้วปล่อยตัวประกันออกมาซะ!

    (ฮ่าๆๆ ฉันล่ะชอบจริงๆ คนที่ตรงไปตรงมาแบบนี้ ดีจะได้เข้าเรื่องง่ายๆ หน่อย...ฉันต้องการรถที่มีน้ำมันเต็มถังที่ไม่พร้อม GPS ติดตามคุณรินนาจะหามาให้หน่อยได้มั้ย)

    “ได้! อีกยี่สิบนาทีแกจะได้สิ่งที่ต้องการ และแกต้องสัญญาว่าจะต้องปล่อยตัวประกันออกมาอย่างปลอดภัย”

    (โอเคเป็นอันว่าตกลง ถ้าได้จริงฉันจะปล่อยตัวประกันออกไป)

    ตู๊ดตู๊ดตู๊ด

    (ด้านในอาคาร)

    หลังจากคนร้ายตัดสายจากรินนาไปแล้วก็เดินไปหาลูกน้องของมันแล้วคุยอะไรกันสักอย่าง ก่อนที่คนร้ายที่เป็นลูกน้องจะเดินไปยังตู้กระจกที่ตั้งโชว์อัญมณี ก่อนที่จะยกไม้เบสบอลเหล็กขึ้นแล้วฟาดไปยังกระจกตู้โชว์อัญมณี

    เพี้ยง!

    เพี้ยง!

    เพี้ยง!

    และก็ตามมาด้วยเสียงกระจกแตกอีกหลายครั้ง ก่อนที่คนร้ายที่เป็นลูกน้องจะกวาดเอาอัญมณีที่อยู่ในตู้ใส่กระเป๋าที่คนร้ายเตรียมมา

    ยี่สิบนาทีผ่านไป

    รถที่คนร้ายต้องการวิ่งมาจอดอยู่หน้าอาคารเป็นที่เรียบร้อย เมื่อคนร้ายเห็นว่าเป็นไปตามอย่างที่ต้องการแล้ว จึงบอกให้ตัวประกันลุกขึ้นยืนให้หมดแล้วสั่งให้มายืนล้อมตัวคนร้ายไว้เปรียบเสมือนเกาะป้องกันเผื่อกรณีฉุกเฉินที่ตำรวจตุกติก ก่อนจะเอาปืนจ่อหลังตัวประกันที่หันหน้าไปทางประตูให้เดินไปยังประตูทางออกเพื่อตรงไปยังรถที่คนร้ายให้ตำรวจเตรียมไว้

    เมื่อคนร้ายพร้อมกับตัวประกันที่ยืนล้อมเป็นวงกลมเปรียบเสมือนโล่ป้องกัน เพื่อที่ทำให้ตำรวจไม่สารถทำอะไรตัวคนร้ายได้ เมื่อเดินไปใกล้รถที่ตำรวจเตรียมไว้ตามคำขอในการหลบหนีของคนร้าย จู่ๆ คนร้ายในสองคนนั้นก็ชูปืนขึ้นฟ้าแล้วยิงออกไป ตัวประกันจึงตกใจวิ่งออกห่างจากตัวคนร้ายในทันที แต่เหลือเพียงแค่เด็กผู้หญิงวัยหกขวบที่มีเข็มกลัดตำรวจติดอยู่ที่หน้าอกเพียงแค่คนเดียวอย่างจงใจ โดยที่โดนมือคนร้ายจับแขนไว้แน่นเพื่อไม่ให้หนีไปไหนจนบริเวณที่คนร้ายจับเริ่มเกิดรอยช้ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

    เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนคนที่เห็นเหตุการณ์ยังไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อคนร้ายที่รับปากกับตำรวจว่าจะปล่อยตัวประกันออกมาให้หมด แต่กลับเหลือไว้แต่เด็กผู้หญิงวัยหกขวบที่ยังคงตกเป็นตัวประกันอยู่

    คนร้ายกระชากตัวประกันที่เหลือเพียงคนเดียวขึ้นรถก่อนจะออกรถไปอย่างเร็ว...

    (ภายในรถ)

    (เสียงโทรศัพท์)

    ติ๊ด

    “ไงคุณรินนา” คนร้ายกดรับสายทันทีโดยที่ไม่ต้องดูรายชื่อที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์เลย เพราะเดาออกว่าจะเป็นใครที่โทรฯ เข้ามา ก่อนกลอกเสียงเข้าไปยังโทรศัพท์

    (ทำไมแกไม่ปล่อยตัวน้องสาวฉัน!!) เสียงจากปลายสายดูเหมือนจะโกธรจัดกับสิ่งที่คนร้ายทำมาก

    “ก็เธอบอกเองนี่ ว่าให้ปล่อยตัวประกันให้หมด และฉันก็ปล่อยไปให้เธอไปหมดแล้ว แต่ที่เหลือเด็กนี่ไว้ก็เพราะเด็กนี่ไม่ใช่ตัวประกันธรรมดาๆ เพราะเป็นถึงน้องสาวของสารวัตรหญิงรินนา แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะถ้าไม่มีตำรวจตามฉันมา ฉันก็จะปล่อยตัวเด็กคนนี้ไปเอง” คนร้ายพูดยาวก่อนจะตัดสายพร้อมกับปิดเครื่องไปในทันทีและเปิดกระจกรถและโยนโทรศัพท์ทิ้งออกไปนอกรถอย่างไม่ใยดี

    หลังจากคนร้ายโยนโทรศัพท์ทิ้งก็หันหน้าไปยังเบาะหลังซึ่งมีเด็กที่คนร้ายจับมาซึ่งเป็นตัวประกันคนสุดท้ายกำลังนั่งร้องไห้

    “หนูน้อย ฉันไม่ทำอะไรหนูหรอกก็แค่พาหนูมานั่งรถเล่นแค่นั้นเอง ไม่ต้องร้องไห้นะ”

    “หนูไม่เชื่อ!

    “ก็ดีฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปยุ่งกับเด็กอย่างแก” เมื่อคนร้ายพูดจบก็หันกลับไปสั่งให้ลูกน้องมันให้เข้าไปจอดในปั้นที่ไร้ผู้คน มีเพียงแค่ชายแก่คนหนึ่งกำลังหลับสนิทอยู่โดยไม่รู้สึกเลยว่ามีรถเข้ามาจอดเทียบกับที่ลุงแกนอนอยู่

    เมื่อรถจอดสนิทคนร้ายที่เป็นหัวหน้าก็เปิดประตูรถออกไปแล้วลงจากรถและเดินไปเปิดประตูหลังบานฝั่งที่เด็กนั่งอยู่ออกแล้วเอือมมือไปจับแขนเด็กแล้วออกแรงดึงแขนเด็กหญิงวัยหกวัย เพื่อให้เธอลงมาจากรถ เธอไม่มีท่าทีขัดขืนเพราะคิดว่าคนร้ายน่าจะมาปล่อยตัวเธอไว้ที่นี่ตามที่คนร้ายได้คุยทางโทรศัพท์กับพี่สาวเธอ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อคนร้ายชักปืนออกมาแล้วหันปลายกระบอกปืนมายังตัวเธอที่ยืนช็อกทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดเมื่อเห็นคนร้ายหันปืนมาทางเธอ สิ่งเดียวที่พอจะเกิดขึ้นนั่นคือคนร้ายกำลังคิดที่จะฆ่าปิดปากเธอ!

    “จริงๆ ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันมาคิดๆ ดูแล้วดูเหมือนว่าเธอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย เพื่อความรอบคอบฉันคงต้องฆ่าเธอเพื่อความปลอดภัยของพวกฉัน” คนร้ายกำลังจะเหนี่ยงไกปืนแต่ก็ถูกคนร้ายที่เป็นลูกน้องเอ่ยถาม ขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “เอ่อ...ลูกพี่จะฆ่าเด็กคนนี้จริงๆ เหรอครับ ก็ไหนลูกพี่บอกตำรวจนั่นไปว่าจะปล่อยเด็กนี่เมื่อเห็นว่าไม่มีตำรวจตามเรามาไงครับ แล้วทำไมถึงได้...”

    “ไอ้โง่ นี่แกไม่ฉลาดหรือแกเป็นกระบือกันแน่วะเนี่ย ฉันก็พูดไปงั้นแหละ ถ้าปล่อยเด็กนี่ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันกับแกนี่แหละที่จะตาย แกนี่ชอบขัดจังหวะซะจริงถ้ายังมาขัดอีก แกจะได้เป็นคนที่ฉันจะฆ่าก่อนเด็กนี่! เข้าใจแล้วก็หุบปากไปซะ!” คนร้ายที่เป็นหัวหน้าตะคอกลูกน้องอย่างหัวเสียและก็หันกลับมาทางเด็กผู้หญิงที่ยังยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม เพราะมีปลายกระบอกปืนจ่ออยู่ที่หน้าผาดอยู่เพราะถ้าคิดแม้แต่จะขยับตัวคนร้ายอาจเหนี่ยงไกปืนทันทีโดยที่ไม่ต้องหันมามองเลยก็ได้

    “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนานเตรียมตัวที่จะตายพร้อมหรือยังหนูน้อย” คนร้ายพูดและเผยรอยยิ้มที่ดูกี่ทีๆ ก็ชั่วร้ายทุกครั้งออกมา ดูเหมือนว่าคราวนี้จะไม่มีใครมาขัดอีกแล้วสินะ เด็กน้อยคิดก่อนจะหลับตาลงเพื่อเตรียมตัวรับกับความตายที่กำลังจะมาเยือน

    พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูกำลังจะได้ไปอยู่กับพ่อและแม่แล้วนะจ๊ะ ลาก่อนนะพี่สาวหนูรักพี่ที่สุดเลย...

    ปัง!

    ปัง!

    เสียงปืนดังขึ้นสองนัดแต่เด็กน้อยกลับไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวดใดๆ ในวินาทีต่อมาจากที่เสียงปืนดังขึ้นก็มีเสียงผู้ชายสองคนร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เมื่อเด็กน้อยลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าคนร้ายที่เมื่อครู่กำลังคิดจะฆ่าปิดปากตนตอนนี้กำลังยืนพิงรถและจับข้อมือที่ถูกยิงซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลอาบเต็มข้อมืออยู่ด้วยสีหน้าที่บงบอกถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และเมื่อมองเลยไปด้านหลังของคนร้ายที่เป็นหัวหน้าก็เห็นคนร้ายที่เป็นลูกน้องได้โดนยิงล้มคล้ำไปกับพื้นโดยมีแผลอยู่ที่กลางหลังซึ่งตอนนี้แผลที่ถูกยิงได้มีเลือดไหลออกมานองเต็มบริเวณที่คนร้ายนอนอยู่ และตอนนี้ร่างนั้นก็ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป

    ไซเรน’ !!

    เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับคนที่ตนคิดว่าจะไม่ได้เจอแล้ว นั่นคือพี่สาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของครอบครัว เพราะพ่อและแม่ได้ถูกฆ่าตายไปเมื่อสองปีที่แล้วด้วยองค์กรลับที่ซึ่งพี่สาวหรือ รินนาได้บุกทำลายไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว และได้รับตำแหน่งสารวัตรมา

    “น้องไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย” รินนาถามด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อมองสำรวจตามร่างกายน้องสาวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจแล้วก็โล่งอกที่น้องสาวไม่ได้บาดเจ็บที่ตรงไหน เพียงแต่มีแค่รอยช้ำที่แขนซึ่งเกิดจากที่คนร้ายจับจนเกิดรอยช้ำ

    “...” ไซเรนเพียงแต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความที่ยังไม่หมดความกลัวและตกใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

    “พี่ขอโทษนะ ที่ออกมาช่วยน้องช้าพี่ขอโทษจริงๆ ไซเรน!” รินนาพูดขึ้นด้วยความรู้สึกที่โทษว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาวตัวเองนั้นเป็นความผิดของเธอ และกอดไซเรนไว้แน่นด้วยความเป็นห่วงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

    “หนูคิดว่าหนูจะตายซะแล้ว แงๆๆ TOT” เมื่อไซเรนตั้งสติกลับมาได้ก็ปล่อยโฮออกมาทันทีและกอดรินนาแน่นด้วยความรู้สึกกลัว

    “น้องปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัว...!

    ปัง!

     รินนายังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่รินนาที่เป็นคนยิงเหมือนสองนัดแรก แต่เป็นคนร้ายที่ยังเหลืออยู่เป็นคนยิงและหลังจากเสียงปืนครั้งที่สามดังขึ้น ร่างของรินนาก็ล้มลงไปนอนกับพื้นต่อหน้าต่อตาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากหลังทางด้านซ้ายซึ่งกระสุนเจาะเข้าขั้วหัวใจราวกับจับวางทำให้เสียชีวิตในทันที...

    “พี่!!”เมื่อเห็นร่างรินนาล้มลงไปกับพื้นไซเรนก็ร้องตะโกนเรียกพี่ด้วยความตื่นตระหนกกับสิ่งที่เห็น

    คนร้ายที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่คนเดียวหลังจากที่ยิงรินนาไปแล้วก็หันปากกระบอกปืนมาทางไซเรนเพื่อเตรียมจะฆ่าไซเรนอีกคนแต่เสียงไซเรนจากรถตำรวจ

    หวี้หว่อๆๆ

    เมื่อคนร้ายได้ยินเสียงไซเรนจากรถตำรวจก็รีบลนลานขึ้นรถแล้วขับไปอย่างรีบร้อน ปล่อยไว้เพียงไซเรนและร่างของรินนาที่ไร้ลมหายใจ...

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    เพิ่งแต่งแนวนี้เป็นครั้งแรกไม่ดียังไง
    ก็ช่วยให้คำแนะนำหน่อยนะค่ะ ^^
    ขอบคุณที่อ่านค่าาาา><

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×