คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : { sf } cinta pt.1-2 ' v x suga '
ENGLISH
(BASIC) : D
“ทำไมเกรดภาษาอังกฤษถึงเป็นแบบนี้ห้ะมินยุนกิ!”
เสียงแหบปลายของผู้เป็นเจ้าของบ้านตระกูลมินแผดดังไปทั่วอาณาบริเวณ ทำให้เจ้าของชื่อถึงกับต้องนั่งห่อไหล่ด้วยความกลัว
ถึงแม้ยุนกิจะเป็นลูกคนเล็กของบ้าน มีความแสบกล้าแก่นเป็นทุนเดิมแต่กับพ่อของเขา...คงจะกลายเป็นไอ้ลูกเจี๊ยบไปเลยล่ะมั้ง
“ป๊าก็รู้ว่ายุนกิไม่เก่งภาษา”
เด็กหนุ่มผิวขาวตอบกลับไปเสียงเบา
“แล้วเงินที่ฉันให้แกเอาไปสมัครเรียนพิเศษล่ะ? อย่าบอกนะ...”
เอาไปจ่ายเล่นหมดแล้วล่ะป๊า
ยุนกิไม่ได้ตอบกลับไป
เพียงแค่ยิ้มแห้งๆที่ดูมีพิรุธนั่นก็น่าจะรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร ชายวัยกลางคนได้แต่กุมขมับพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆแล้วจ้องมองลูกชายสุดแสบอย่างคาดโทษ
“ฉันสอนให้แกเป็นเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ผมขอโทษจริงๆนะป๊า คือ...”
“แกทำให้ฉันหนักใจนะยุนกิ”
น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงทำให้ยุนกิเริ่มใจเสีย
“งั้นป๊าก็บอกมาสิว่าจะให้ผมทำอะไรถึงจะหายโกรธ”
“ทำตามที่ฉันสั่งได้ไหมล่ะ?”
ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่
“ไม่นะป๊า ผมไม่ไป!!!!”
ราวกับถูกพระเจ้าลงโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยุนกิล่ะอยากจะร้องไห้แล้วนอนตายไปซะตรงนี้เลยจริงๆ
ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวไม่เก่งภาษา แล้วนี่ยังจะ...โว้ยยยยยยยยยยยยยย
“ไปเรียนภาษาครั้งนี้ ฉันหวังว่าแกจะได้อะไรๆกลับมาบ้านบ้างนะ” คนเป็นพ่อยิ้มกว้างทันทีที่มองนาฬิกาข้อมือ
ใกล้จะถึงเวลาที่เจ้าลูกชายคนนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่สักที
ท่ามกลางสนามบินนานาชาติขนาดใหญ่แห่งนี้คับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ
ยุนกิยังคงหวาดกลัวกับการที่ต้องไปใช้ชีวิตในต่างประเทศด้วยตัวเองและตัวคนเดียว
แถมเจ้าตัวยังพูดภาษาสากลไม่ค่อยจะรู้เรื่อง จะรอดกลับมาเกาหลีได้รึเปล่าเนี่ย?
ยุนกิได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะต้องไปเจออะไรบ้าง
คนเกาหลีที่ที่เขาจะไปน่ะมีบ้างไหม ถ้าเขาฟังใครไม่รู้เรื่องแล้วจะต้องทำอย่างไร
เขากลัวการอยู่คนเดียวและไม่เหลือใครที่สุดแล้วในตอนนี้
“ผมต้องโดนคนที่นั่นถ่มน้ำลายใส่แน่ๆอ่ะ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น? แกไปเรียนไม่ได้ไปเกเรสักหน่อย”
พูดก่อนจะจับตัวลูกชายเข้ากอดในอ้อมแขน มือสากที่บ่งบอกถึงการทำงานหนักนั่นลูบกลุ่มผมสีอัลมอนต์เบาๆด้วยความเอ็นดู
ถึงปากจะต่อว่ามากมายแค่ไหนแต่คนเป็นพ่อมันก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“ชีวิต3เดือนต่อจากนี้ต้องคิดถึงป๊าแน่ๆ ไม่อยากไปเลย”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่ เครื่องจะออกแล้วรีบไปซะ”
“...”
“จะเอาอะไรอีกล่ะ”
ยุนกิส่ายหน้าไปมาเบาๆแล้วกระชับกระเป๋าเป้ด้านหลังให้มั่น รอยยิ้มบางๆถูกส่งไปให้ชายวัยกลางคนก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง
“ถึงป๊าจะดูเหมือนใจร้ายแต่...ผมก็รู้สึกถึงความหวังดีที่ป๊ามีให้นะครับ”
“อย่าทำให้ป๊าผิดหวัง ดูแลตัวเองด้วยล่ะมินยุนกิ”
“แล้วผมจะรีบกลับมาครับ!”
เลือกที่จะตอบอย่างหนักแน่นไปเพราะไม่อยากให้พ่อของเขาเป็นห่วง
หมุนตัวกลับหลังหันก่อนจะก้าวไปข้างหน้า...ต่อให้อยากกลับบ้านไปกับพ่อสักเท่าไหร่แต่เขาก็ทำไม่ได้ซะแล้ว
เอาวะ งานนี้เป็นไงเป็นกัน!!
เป็นเวลา6-7ชั่วโมงเห็นจะได้ที่คนตัวเล็กมุ่งหน้ามายังประเทศมาเลเซีย
ประเทศที่พ่อของเขาตั้งใจจะให้มาฝึกภาษาเป็นพิเศษ นอกจากจะได้ความรู้แล้วยังได้ประสบการณ์และเพื่อนใหม่อีกด้วย
นั่นแหละที่พ่อเขาต้องการ ยุนกิทอดสายตาไปทั่วเมื่อมาเจอสถานที่แปลกใหม่แม้จะอยู่ในสนามบิน
เขาเดินไปหยิบกระเป๋าจากสายพานที่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เจ้าตัวเล็กเกือบพลาดไปหยิบกระเป๋าคนอื่นแล้วเหมือนกันเพราะมัวแต่เหม่อจนไม่ได้สนใจกระเป๋าของตัวเอง
“ต่อไปก็รถไฟฟ้าสินะ”
ถอนหายใจเล็กน้อยพลางมองไปยังทางเดินซึ่งนำไปสู่บันไดลงไปชั้นใต้ดิน ถึงจะงงๆว่าต้องเริ่มจากจุดไหนอย่างไรแต่ก็พอเดาที่ป้ายตามทางบอกไว้ได้บ้าง
คนตัวเล็กเดินไปที่เคาท์เตอร์ที่คาดว่าน่าจะเป็นที่ซื้อบัตรรถไฟฟ้าและรถบัส
มันไม่น่าจะแตกต่างกับที่เกาหลีเท่าไหร่ เขาคิดว่างั้น – งั้นมั้ง
“อ่า...”
“มีอะไรให้ดิฉันช่วยมั้ยคะ?” พนักงานสาวประจำเคาท์เตอร์เอ่ยถามบุคคลผู้มาใหม่ที่กำลังยืนเก้งๆกังๆอยู่ด้านหน้าอย่างเป็นมิตรด้วยภาษาสากลสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เวรแล้ว
รัวอังกฤษมาแบบนี้... มินยุนกิจะต้องตายแน่ๆเลยครับ T----T
“เอ่อะ...ไอ้เนี่ย เป็นสี่เหลี่ยม ล แล้วขึ้นรถบัสอ่ะครับ” คนตัวเล็กวาดรูปสี่เหลี่ยมกลางอากาศขนาดประมาณบัตรทีมันนี่เกาหลีที่ใช้สำหรับการเดินทางขึ้นรถบัสหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน
พูดเกาหลีคำอังกฤษคำงูๆปลาๆเพื่อที่จะได้ไปยังที่พักให้เร็วที่สุด
ตอนนี้ยุนกิอยากจะนอนแผ่บนเตียงนอนนุ่มๆจะแย่อยู่แล้ว!
“อ๋อ คุณอาจจะหมายถึง...” ดวงตาเรียวกระตุกไปชั่ววูบแต่แล้วก็ถอนหายใจออกมาเมื่อสิ่งที่พนักงานชูขึ้นให้เค้าดูมันคือบัตรสำหรับโดยสารทั่วไป
“เยสๆ ใช่เลยครับ”
เมื่อได้บัตรโดยสารมาเรียบร้อยแล้ว
เจ้าของร่างเล็กก็รีบสับขาอย่างไม่รอช้าไปยังแอร์พอร์ตลิ้งค์ทันที กระเป๋าเป้เจ้ากรรมนี่ก็หนั๊กหนักไหนจะกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ต้องลากไปมานี่อีก
ไม่อยากจะคิดสภาพตอนไปถึงหอพักเลยจริงๆนะ...
คิดถึงบ้านจัง
เมื่อคิดดังนั้นก็เอนศีรษะไปพิงกับราวซึ่งมีไว้สำหรับจับของผู้โดยสารที่ไม่มีที่นั่งอย่างเช่นเขา
รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวไปตามความเร็วปกติของมันแต่ไม่รู้ทำไมหัวใจของยุนกิถึงได้เต้นช้าแบบนี้
รู้สึกอยากจะตายไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะต้องพบเจอในวันข้างหน้า
วันที่เขาจะต้องเจอกับคนแปลกหน้าพูดภาษาที่เขาเกลียดที่สุด และเพราะเกรดต่ำเตี้ยเรี่ยดินจึงทำให้มินยุนกิต้องมาโผล่ที่นี่
คงต้องใช้กรรมในสิ่งที่ทำไว้จริงๆซะแล้วล่ะ
ไม่นานนักก็มาถึงที่หมายปลายทาง
ยุนกิเปิดแผนที่เพื่อที่จะเดินทางไปยังหอพักต่อ อ่า...เดินไปอีก4ตึกแล้วก็เลี้ยวขวา ใกล้แค่นี้เอง
ด้วยความทุลักทุเลของน้ำหนักกระเป๋าทำให้ยุนกิรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษกับการที่จะต้องขึ้นทางลาดชันนี้
ไอ้4ตึกที่ว่านี่มันโคตรรรรรจะห่างกันเป็นว่าเล่น ให้ตายสิ รู้งี้เรียกแท็กซี่ไม่ดีกว่ารึไงวะ
– ทำได้แค่คิดในใจแต่ขายังคงทำหน้าที่ได้ดี
ยุนกิปล่อยมือจากที่จับของกระเป๋าเดินทางก่อนที่จะทำท่าพักเข่าแล้วหอบหายใจด้วยความเหนื่อยเมื่อมาถึงหน้าหอพักสีฟ้าตามแผนที่ที่บอกไว้
“เฮ้!”
“...”
“เฮ้ เฮ้!!!”
“......” จะเฮ้อะไรนักหนา - -
“ยูนั่นแหละ”
รอยยิ้มกว้างถูกส่งมาให้ยุนกิที่ยืนทื่อและใช้นิ้วชี้ชี้ตัวเองพร้อมเลิกคิ้วอย่างน่ารัก
เจ้าของเสียงพยักหน้าแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้คนตัวขาวอย่างไม่รีบร้อน
“เอ่อ ว็อท?”
“Come
from Korea, right?”
“อื้อ” ยุนกิพยักหน้ารัวๆเมื่อฟังคำถามที่พอจะแปลออกได้ว่าเขานั้นมาจากเกาหลีรึเปล่า
“ผมกำลังรอคุณอยู่เลย ฮ่ะๆ”
เอ๊ะ?
–
ดวงตาเรียวตี่เบิกกว้างเมื่อคู่สนทนาที่อยู่ๆก็พูดภาษาเกาหลีได้คล่องปรื๋อเหมือนเป็นคนบ้านเกิดเขาแท้ๆ
คนผิวน้ำผึ้งกำมือขึ้นจ่อปากแล้วหัวเราะเบาๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทกับแขกผู้มาใหม่
“โทษที ผมเป็นรูมเมทคุณน่ะ ผมชื่อ...”
“เดี๋ยว!”
มือขาวๆยกมือขึ้นห้ามตรงใบหน้าคมแล้วหอบหายใจหนักกว่าเดิม
“หือ เป็นอะไรน่ะ?”
“ขอพักหายใจแป๊ป เหนื่อย” แขนเล็กเท้าเข้ากับเข่าแล้วค่อมตัวลงหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้งหลังจากที่ยืนตัวตรงได้ไม่นาน
คนผิวสีเห็นแล้วก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้จึงเอื้อมมือไปปลดกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ที่สั่นเทิ้มเพราะความเหนื่อยซึ่งยุนกิเองก็ให้ความร่วมมือดีโดยไม่ปฏิเสธน้ำใจจากเพื่อนชาวเกาหลีแปลกหน้าคนนี้
“ผมชื่อคิมแทฮยองครับ มาจากแดกู”
หือ?
“แดกู? พูดจริงอ่ะ ฉันก็มาจากแดกูเหมือนกัน!”
ยุนกิเด้งตัวขึ้นยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มที่บอกว่าเป็นรูมเมทของเขาแล้วยิ้มแป้นแล้น
เพียงวูบหนึ่งที่แทฮยองรู้สึกว่ารอยยิ้มของยุนกิเป็นเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉาที่อยู่ๆก็เบ่งบานออกอย่างสวยงามเหมือนกับถูกเวทมนต์เสกให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“อ้อ ฉันชื่อมินยุนกิ ยินดีที่ได้รู้จัก
แต๊งกิ้วทีเช่อแอมฟายแต๊งกิ้วแอนด์พลีสซิทดาวน์”
กา กา กา . . .
เจ้าของใบหน้าขาวได้แต่ขมวดคิ้วเพื่อคิดว่ามุขที่เขาได้เตรียมการมาอย่างดีนั้นจะสามารถทำให้เพื่อนชาวต่างชาติ(ถึงจะเป็นชาติพันธุ์เดียวกับเขาก็เถอะ)ได้หัวเราะและเอ็นดู
แต่เปล่าเลย! คิมแทฮยองกำลังเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าราวกับตั้งใจจะพูดว่า
‘ทำเหี้ยไรมึง’ ออกมายังไงยังงั้น
แต่ก็ช่างเถ๊อะ ให้มันรู้ได้ซะบ้างว่าอยู่ที่นี่เขาไม่สามารถเล่นมุขได้
จิตใจทำด้วยอะไรถึงยอมให้เขายืนหน้าแตกอยู่แบบนี้
“อื้ม ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
แค่เนี้ยะ?
หลังจากที่แทฮยองได้พายุนกิขึ้นมาบนหอพักสีฟ้าดังกล่าวก็ได้พบว่าห้อง6306คือสถานที่ที่เขาจะต้องอาศัยตลอดจนกว่าจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองทางด้านภาษาอังกฤษ
โดยรวมๆเวลาก็ประมาณ3เดือนเป็นอย่างต่ำล่ะมั้ง
คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนพื้นห้องรูดซิปเปิดกระเป๋าเดินทางก่อนจะหยิบชุดออกมาแขวนไว้กับไม้แขวนเสื้อและมีผู้ช่วยอย่างแทฮยองที่กำลังเคลียร์ตู้เสื้อผ้าที่เคยใช้คนเดียวมาตลอดให้ยุนกิได้ใส่ผ้าไว้อีกฝั่ง
มือหนาหยิบไม้แขวนเสื้อที่มีเสื้อผ้าหลากสีอยู่บนนั้นขึ้นมาแล้วแขวนไว้กับตู้เสื้อผ้าให้เรียบร้อย
และนั่นเป็นสิ่งที่ยุนกิดีใจที่สุดนอกจากจะมีคนเกาหลีแล้วยังมีรูมเมทที่คอยช่วยเหลือเขาได้อย่างดีอีกด้วย
“นายอยู่คนเดียวหรอ?”
เมื่อจัดการกับเสื้อผ้าในกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องกระชับมิตรกับรูมเมทของเขาสักที
“ครับ แต่ก็มีเพื่อนที่สถาบันบ้างนั่นแหละ”
คนหน้าคมยิ้มให้ยุนกิส่งท้าย
“อ๋ออออ แล้วทำไมถึงไม่ชวนเพื่อนมาเป็นรูมเมทกันล่ะ?
อยู่คนเดียวมันเหงาไม่ใช่หรอ?”
“จะชวนได้ยังไงกันล่ะครับในเมื่อเพื่อนของผมเป็นคนที่นี่หมดเลย
เขาก็ต้องกลับบ้านสิ” คิ้วยุนกิกระตุก
ไม่รู้ทำไมถึงได้ทึ่งกับคนตรงหน้าที่สามารถมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่คนเดียวแถมยังดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาอีก
ไหนจะหาเพื่อน เรียนรู้การเอาตัวรอดในสถานที่แปลกใหม่และ...พูดภาษาอังกฤษได้เก่งขนาดนี้
พ่อของยุนกิได้บอกไว้ว่าที่เขาจะต้องมาเรียนนั้นไม่ใช่โรงเรียนแลกเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น
แต่เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษโดยตรงซึ่งมีระบบคล้ายกับโรงเรียนแต่จะให้อิสระมากกว่า
นั่นก็เป็นการดีแต่ที่ไม่ดีมันก็มีนั่นแหละ คือ..ในเมื่อเรียนแล้วก็ต้องมีสอบ
สอบ สอบ
สอบ
! ! !
“เห้อ” แค่คิดก็เครียดแล้วบ้าเจรง
“เพิ่งมาถึงเอง ทำหน้าเหมือนจะตายซะให้ได้”
“นายน่ะคนเก่งจะมาเข้าใจอะไรคนโง่ภาษาอังกฤษอย่างฉัน”
เครียดมากอ่ะ แค่มือที่กุมขมับยังไม่พอนี่ขอเอาตีนขึ้นมากุมด้วยได้มั้ย
มองทางไหนก็มืดมิดไปซะหมด
“พูดเหมือนผมเก่งภาษามาแต่ไหนแต่ไรไปได้”
“หรือไม่จริงล่ะ ถึงนายจะพูดแค่ประโยคสั้นๆแต่สำเนียงมันแบบ..เป๊ะเว่อร์อ้ะ!!” เล่นใหญ่เพื่อความสมจริง
“ก็ไม่จริงน่ะสิครับ”
“อ้าว...”
“ผมเองก็มามึนๆเหมือนยุนกินั่นแหละแต่ปลายทางเราอาจจะต่างกัน”
คนตัวเล็กที่นั่งชันเข่าก็เปลี่ยนเป็นนั่งท่าขัดสมาธิแล้วรอฟังอย่างตั้งใจ
แทฮยองนึกขำอยู่หน่อยๆที่ยอมเล่าเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่กับคนที่เพิ่งจะรู้จัก
เพราะเป็นคนแดกูเหมือนกันก็ได้มั้ง...
“ผมมาที่นี่ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถด้านภาษา พูดได้แค่เยส โน
โอเคแต่ก็ยังพอแปลออก”
“นั่นไง เราเหมือนกันแล้วหนึ่งข้อ”
“แล้วทำไมยุนกิถึงมาที่นี่ล่ะทั้งๆที่เกาหลีก็มีกวดวิชาตั้งเยอะแยะ”
“ฉันไม่ได้อยากจะมาทนความลำบากนี่หรอกถ้าพ่อไม่เห็นใบเกรดซะก่อนน่ะ”
เจ้าตัวยิ้มแหยๆพร้อมกับยกมือขึ้นเกาท้ายทอยให้กับความกากสมตุ๋ยของตัวเขาเอง
เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มตอบกลับอย่างจริงใจก่อนจะเล่าต่อ
“ก็ยังดีที่ยุนกิมาเพื่อพ่อ
แต่ผมนี่สิ...มาเพื่ออะไรก็ไม่รู้”
“ดีเนอะ
บ้านนายคงจะมีฐานะใช่มั้ยถึงคิดจะไปไหนก็ได้แบบนี้โดยไม่มีสาเหตุที่จะต้องมา?”
“ไม่หรอก
จริงๆแล้วที่ไม่กลับไปเพราะไม่มีค่าตั๋วกลัว”
.... (แดกจุกแป๊ป)
“เฮ้
ผมล้อเล่น” รอยยิ้มจุดประกายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นรีแอคชั่นของคนตัวขาวที่เมื่อกี๊นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น
“ถ้าไม่คิดว่านายเป็นรูมเมทฉันคงคิดว่าบ้านนายต้องตั้งคณะตลกแหงๆ”
“จริงๆที่ผมมาที่นี่ก็เพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่าจะรอผมอยู่ที่นี่”
“แหม
ทำอย่างกับตัวเองโตแล้ว หน้าตาไม่น่าจะเกินปีหนึ่ง”
ข้อเสียของยุนกิก็นี่แหละ
คิดอะไรก็จะพูดออกไปตามที่คิดโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครหน้าไหน
รู้จากกันนานเท่าไหร่
พอได้ฟังเหตุผลของแทฮยองแล้วก็รู้สึกอยากจะอ้วกออกมาเสียดื้อๆ เหตุผลเชี่ยไร
คิดว่าตัวเองอยู่ในนิยายหรอ? บ้าบอ ชิชิชิชิชิ
“เธอบอกให้ผมมาทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่เก่งภาษาเลย”
“...ก็คงจะหวังดีให้นายได้มาเจอเธอเพื่อได้เรียนภาษาด้วยไง
ควบสองไปเลย”
“ใช่
ควบสองไปเลย”
“นั่นไง
มันก็ดีแล้...”
“ผมหมายถึงเธอที่ควบสอง”
แทฮยองก้มหน้าหลุบตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆหนึ่งครั้งแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
เรียวลิ้นยื่นออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะพูดต่อ
“เธอไม่คิดว่าผมจะบ้าตามมาถึงที่นี่
มันเป็นข้ออ้างที่พยายามจะบอกให้ผมยอมแพ้และขอบอกเลิก แต่กลับกันเลย
ผมยอมตามเธอมาและเรียนไปพร้อมๆกันแม้ความหวังมันจะริบหรี่ก็เถอะเพราะผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
รู้แค่ว่าอยู่ในเมืองนี้แค่นั้นแหละ”
“...” มันแย่กว่าที่ยุนกิคิดไว้ซะอีก – คนตัวเล็กได้แต่นึกโทษตัวเองในใจ
“เมื่อผมได้ประกาศนียบัตรรับรองจากอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นด้านการเขียน
พูดหรือฟัง
ผมผ่านมาได้หมดจนกระทั่งงานปาร์ตี้ที่ทางสถาบันได้ร่วมมือกันจัดกับโรงเรียนแลกเปลี่ยน...” เสียงทุ้มนั่นแผ่วลงเรื่อยๆจนน่าใจหาย คนตัวขาวได้แต่ภาวนาว่าเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อนั้นจะไม่ทำให้เพื่อนร่วมห้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้
“เราได้เจอกัน
เธอสวมชุดราตรี ดูโดดเด่น...เด่นเหมือนกับผู้ชายที่เป็นคู่เต้นรำของเธอด้วย”
“แค่คู่เต้นรำเองนี่...”
“ถ้าเธอไม่จูบกับคู่เต้นรำ
ผมจะไม่เอะใจอะไรเลยสักนิด” อีกแล้ว
แทฮยองยิ้มอีกแล้วแต่มันเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าจนประหลาด
ทั้งสองไม่พูดอะไรต่อจนกระทั่งคนผิวน้ำผึ้งลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ยุนกิรู้สึกแย่จะเป็นบ้าแต่ก็ทำได้แค่นั่งอยู่ที่เดิม
“หรือจูบนั่นจะเป็นแค่ธรรมเนียม
ปกติมันต้องจูบกันตอนจบป่ะวะ?” เออบ้าแล้ว
ไม่รู้ทำไมถึงต้องเก็บเรื่องของอีกฝ่ายมาคิดด้วยก็ไม่รู้ ไม่เอาหน่า
แค่เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอดเลยนะมินยุนกิ หยุดความคิดที่จะช่วยรูมเมทหน้าคมนั่นไว้เดี๋ยวนี้เลย
ฮ่วยยยยยยยยยย ซ่อยข่อยแหน่!!!
08:20 PM
ลมหนาวกระทบกับผิวหน้าขาวๆของคนตัวเล็กที่ซีดอยู่แล้วก็แทบจะกลมกลืนกับสีเนื้อกระดาษเข้าไปอีก
เป็นเพราะวุ่นๆกับเรื่องจัดของให้เข้าที่เข้าทางและไปทำเรื่องการยืนยันสิทธิ์เข้าเรียนกับสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่พ่อของเขาได้ติดต่อไว้ก่อนหน้านี้
มันจะดีมากถ้าไม่ต้องนั่งรถเมล์จากหอมาเกือบ4ป้าย
ตั้งแต่ก้าวขาลงเหยียบที่ประเทศมาเลเซียยุนกิก็ไม่ได้หาอะไรยัดปากลงท้องเลย...เกือบจะสามทุ่มแล้ว
ไส้นี่แห้งเหมือนปลากรอบที่ขายตามท้องตลาด
“แปลกเนอะทั้งๆที่หอพักใกล้สถาบันก็มีแต่พ่อฉันกลับเลือกให้พักที่เดียวกับนาย
แถมยังต้องนั่งรถเมล์ให้เมื่อยก้นอีก”
ไอเย็นถูกพ่นออกจากเรียวปากบางเมื่อพูดแต่ละประโยคพร้อมกับยกมือกระชับเสื้อโค้ทที่ใส่อยู่ให้เข้าที่เข้าทาง
“ไม่คิดบ้างหรอว่ามันดีกว่าที่ยุนกิจะต้องไปเจอแต่คนต่างชาติโดยที่คุยกันไม่รู้เรื่อง”
“เอ้อ ก็จริงของนาย แหะๆ”
ยุนกิเดินยกขาสูงๆเหมือนทหารในวังพร้อมกับความคิดเรื่อยเปื่อย
เหมือนลืมอะไรไปรึเปล่านะ...
ป๊า!
“น นี่ๆๆๆๆๆๆๆ” พอคิดขึ้นได้ก็หันไปเขย่าแขนคนตัวสูงกว่าจนเจ้าตัวหันมาทำหน้างงใส่และเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คเต็มไปหมด
“ครับ?”
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ ฉันลืมบอกป๊าไปเลยอ่ะฮือ”
แทฮยองพยักหน้าแล้วล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงก่อนจะใส่ให้
ยุนกิคว้ามันมาทันทีจนเกือบทำตัวตก
นิ้วโป้งกดเบอร์พ่อยิกๆแล้วยกมือถือเครื่องใหญ่ขึ้นแนบหู
[ฮัลโหลครับ] น้ำตาแทบจะไหลเป็นสายเลือดเมื่อได้ยินเสียงดุๆของป๊า
T_T
“ป๊าาาาาาาาาาา”
[ใครวะ...] แหม เขารู้ว่าป๊าตั้งใจจะแกล้งเขา
งั้นก็ขอหน่อยแล้วกัน
“นั่นสิ ใครอ่ะ?”
[พ่อแกไงจะใครล่ะ] 5555555555555555555555555 นั้ลลักอ๊ะ!
“ป๊าาาาา ยุนกิถึงแล้วน้า”
เสียงของยุนกิถูกดัดแหลมจนน่าหมั่นไส้สำหรับชายวัยกลางคนที่กำลังยิ้มอยู่ในปลายสายโดยที่ยุนกิไม่รู้ตัว
แทฮยองดึงแขนเสื้อคนตัวเล็กเบาๆเป็นการบอกเป็นนัยน์ๆว่าให้เดินต่อ
ถ้าขืนยืนอยู่กับที่นานก็คงจะ(ตัว)แข็งและตายไปในที่สุด
[ถึงตั้งนานแล้วทำไมไม่โทรมาหือ?]
“ก็ยุนกิยุ่งๆกับเรื่องจัดของแล้วก็ลงทะเบียนนั่นแหละ ขอโทษนะค้าบบบ” แค่พูดไม่พอทำไมต้องทำหน้าง๊องแง๊งด้วย ต่อให้ทำไปป๊าก็ไม่เห็นอยู่ดี
แต่นั่นก็นิสัยของยุนกิล่ะนะ ใครเห็นต่างก็บอกว่าน่ารัก บ้างก็ว่าโอเว่อร์แอคติ้ง
แหมอยากจะบอกเหลือเกินว่า ‘นิสัยกู ไม่เสือกสิคะ’
[จัดการเรื่องเองได้ก็ดีแล้ว แล้วรูมเมทแกล่ะโอเครึเปล่า?]
เมื่อป๊าพูดถึงคนที่เดินขนาบข้างดวงตาเรียวก็เหล่ไปมองทันทีชนิดที่เรียกได้ว่าเหล่จนตาดำเหลือแค่ปลายขี้เล็บ
ก็ขอฟอร์มหน่อย ไม่อยากให้แทฮยองรู้ว่าป๊ากำลังพูดถึงนี่หน่า
“ก ก็ดีครับ”
[ก็ดี? นี่แกกล้าพูดว่าแค่ ‘ก็ดี’ เรอะ
ฉันอุตส่าห์พลิกอินเตอร์เน็ตหาว่ามีคนเกาหลีคนไหนอายุไล่เลี่ยกับแกและอยู่หอแถวๆสถาบันติวเลยนะ
แกพูดออกมาได้ยังไงยุนกิ ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้] 55555555555555555555555โอ๊ยยยยย คนแก่งอนอ่ะ ขรรม
“หน่า ไม่ก็ดีก็ได้ คือมันดีม๊ากกกกมากกกกก นี่แบบ..ซึ้งใจมากอ้ะ
โดนป๊าเฉดหัวมาอยู่ต่างประเทศคนเดียวเงินก็ให้มาน๊อยน้อยอย่างกับจะให้เอาหญ้าไปผัดกับน้ำปลาแล้วเอาข้าวก้นหม้อกินแล้วก็ตอบแทนด้วยการหารูมเมทที่ตั้ลล้ากกกกกแบบนี้ให้ยุนกิ
ซึ้งใจมากอ่ะ น้ำตาจะแชร์ของไหลได้มั้ยล่ะค๊าาาาาาาาา”
อีเหี้ย
มึงประชดซะเสียชาติชายชาตรีเลยมินยุนกิจัง
แทฮยองยิ้มขำแล้วโอบไหล่ยุนกิให้เข้าไปในร้านเนื้อย่างก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะเดินเลยไปซะก่อน
นานแล้วนะที่ไม่ได้ออกมาหาอะไรกินตอนค่ำๆแบบนี้กับเพื่อน
ส่วนใหญ่ก็จะออกมากินคนเดียวซะมากกว่าไม่ก็ซื้อกลับไปกินที่หอ เด็กหนุ่มบอกพนักงานต้อนรับว่ามากันสองคนและได้นั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างในที่สุด
“จะสามทุ่มแล้วป๊าคงกินข้าวแล้วใช่มั้ย? ดูแลตัวเองได้นะ?”
[เออหน่าไม่ต้องเป็นห่วง
ช่วงที่แกไม่อยู่ฉันก็ให้เจ้าอูจีมาช่วยงานนั่นแหละ]
เสียงที่ตอบกลับมานั้นทำให้ยุนกิรู้สึกสบายใจไปเปราะหนึ่งเมื่อนึกถึงอูจี
ลูกชายของคุณป้าของเขา
แต่ใครจะรู้ว่าป๊าของยุนกินั้นจะเป็นห่วงเขาจนแทบกินข้าวไม่ได้ตั้งแต่ไปส่งที่สนามบิน
ผ่านไปสิบห้านาทีแทฮยองก็เป็นคนจัดการย่างเนื้อลงบนเตาจนส่งกลิ่นหอมไปถึงคนฝั่งตรงข้ามให้หันมาสนใจเพราะยังไม่ได้กินข้าว
ทางฝั่งพ่อของยุนกิก็เช่นกัน
ดวงตาภายใตกรอบแว่นจ้องมองข้าวผัดตรงหน้าที่เย็นชืดเพราะอูจียกมาให้ที่ห้องทำงานของเขาตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วก่อนจะยิ้มออกมา
“ป๊า ยุนกิกำลังกินเนื้อย่างที่ป๊าชอบแหละ”
เสียงเคี้ยวดังแจ่บๆจนน่าเอ็นดูนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อสบายใจและตักข้าวผัดเข้าปากบ้าง
เหมือนได้กินข้าวเย็นพร้อมกันเลย
[เอองั้นก็กินเข้าไปเยอะๆ ถ้าโดนใครรังแกจะได้มีแรงสู้กลับบ้าง]
“ได้เล้ย ยุนกิจะกินเผื่อป๊าให้พุงกางถึงป๊าจะกินข้าวแล้วก็เถอะนะ” ยุนกิเงยหน้ายิ้มให้แทฮยองที่คอยเอาแต่คีบเนื้อใส่ลงในจานเขาทั้งที่จานตัวเองนั้นว่างเปล่า
แม้แต่คราบน้ำมันก็ยังไม่มี
ยุนกิถลึงตามองทันทีเมื่อแทฮยองไม่คิดจะเอาเนื้อเข้าปากเลยใช้ตะเกียบชี้หน้าแล้วทำปากขมุบขมิบเหมือนจะต่อว่าเป็นคนแก่
[อย่าทำให้ป๊าผิดหวัง]
เสียงทุ้มพูดประโยคเดิมที่เคยพูดไปแล้วเมื่อตอนเช้าที่สนามบิน ยุนกิยังจำได้ดี
“ยุนกิจะไม่ทำให้ป๊าผิดหวัง แล้วจะรีบกลับไปครับ!” และเขาก็ตอบกลับไปแบบเดิมเช่นกัน
ใช่ ยุนกิจะไม่ทำให้ป๊าผิดหวังเด็ดขาด
แทฮยองเป็นคนอาสาเลี้ยงมื้อค่ำและยุนกิเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ
อย่าใช้คำว่าไม่กล้าเลย คือมันต้องไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว แหม นี่ไม่ได้งกนะจริงๆ
ดูหน้าสิ .ชี้
ทั้งคู่เดินไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเนื้อย่าง
เวลาเกือบจะสี่ทุ่มมีแค่รถเมล์สายเดียวที่ขับผ่านหน้าหอเขา
แต่คงต้องนั่งนานหน่อยเถอะรถต้องขับอ้อมไปป้ายอื่นอีกหลายป้ายซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาของทั้งคู่
“วันนี้ขอบใจมากนะ”
เสียงสดใสของยุนกิดังขึ้นทำลายความเงียบ
เด็กหนุ่มตัวสูงหันไปยิ้มให้อย่างที่ตัวเองชอบทำก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้เอง
“ถือว่าเป็นการเลี้ยงน้องใหม่ละกันครับ”
“แต่เงินในมือถือนายต้องหมดเพราะฉัน ไม่ด่าหน่อยหรอ?”
“ผมจะด่าคนที่ต้องการคุยกับคนที่รอทำไมล่ะครับจริงมั้ย?” ทำไมถึงได้มองโลกในแง่ดีแบบนี้นะแทฮยอง
ภายใต้รอยยิ้มของนายนั้นมันจะเป็นเกราะกำบังได้นานแค่ไหนกัน แค่คิดก็รู้สึกแย่
ยุนกิรู้แค่นั้น
“ทำแบบนี้กับทุกคนมั้ยเนี่ย?”
“ก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับใครนะครับ”
ตอบว่าทุกคนก็จบแล้วปร้า
จะพูดให้มันกำกวมทำไม ยิ่งเป็นคนคิดอะไรช้าๆอยู่ - -
“อื้มมมมจ้า แล้วนี่เราต้องขึ้นรถสายไหนล่ะ เหมือนที่บ้านเรารึเปล่า?” ยุนกิยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่รู้จักเหนื่อย
ผิดกับแทฮยองที่พยายามดึงสติไม่ให้จมดิ่งไปกับความง่วงที่ก่อตัวขึ้น
เขาไม่ใช่คนนอนดึก
เขาชอบดื่มกาแฟในช่วงเวลาที่มีอากาศเย็นๆแบบนี้ถึงกระนั้นเขาก็ยังหลับเหมือนเป็นตายเหมือนคนไม่ได้กรอกคาเฟอีนเข้าปาก
ยิ่งเวลาที่หาอะไรลงท้องแล้วหนังตานี่แทบจะปิดลงทุกเมื่อ
“คันนั้นแหละครับ”
นิ้วเรียวชี้ไปยังรถเมล์ที่กำลังแล่นมาเอื่อยๆ เมื่อรถจอดแทบฟุตปาธ
ทั้งคู่ก็ก้าวขาขึ้นรถเมล์ทันทีและแตะบัตรสำหรับรถโดยสาร
ยุนกิเดินนำไปยังหลังรถซึ่งไม่มีคนก่อนจะนั่งริมหน้าต่างตามด้วยเด็กหนุ่มร่างสูงที่นั่งข้างๆ
แทฮยองหยิบหูฟังขึ้นมาต่อกับมือถือแล้วกดฟังเพลงโปรดที่มีจังหวะช้าฟังสบายหู
ไม่ทันที่จะชวนอีกคนให้ฟังเพลงด้วยกันก็พบว่าแก้มยุ้ยๆนั่นได้แนบกับกระจกรถเมล์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งๆที่ควรเป็นเขาไม่ใช่หรอ?
“ยุนกิครับ นอนแบบนั้นเดี๋ยวก็ปวดคอหรอก”
“...”
“ไว้กลับไปนอนที่หอดีกว่ามั้ยครับ ยุน..”
หัวกลมๆเอนมาฝั่งแทฮยองก่อนจะซบลงบนบ่ากว้างๆและดูจะอุ่นในเวลานี้สำหรับคนตัวเล็ก
เขาทำได้แค่ยิ้มบางๆและปล่อยให้เลยตามเลย
พยายามจะเปิดตาให้ได้นานที่สุดเพื่อที่จะไม่ต้องนั่งรถเลยป้ายรถเมล์หน้าหอพัก
ต้อนรับเพื่อนใหม่วันแรกก็ไม่ได้ถือว่าแย่อย่างที่คิดไว้
ก็ขอให้มันดีแบบนี้ต่อไปก็แล้วกัน
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!! ไม่นะป๊าาาาาาาาาาา ยุนกิไม่ปายยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ใช่ซะที่ไหนเล่า!!!
ถ้าจะละเมอเสียงดังขนาดนี้
คุณลุงคนขับไม่ไล่พวกเขาลงจากรถก็ดีถมไปแล้ว =_=’
----------------------------ทู บี คอนตินิว5555555555--------------------------
เม้นเถอะ เดี๋ยวเจอพาร์ท2(จบ)เลยนะจ๊าาาาา
ความคิดเห็น