ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic bts } ♡ VGA'LAND ♡ [ v x suga ]

    ลำดับตอนที่ #12 : { sf } cinta pt.1-2 ' v x suga '

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.63K
      8
      20 ธ.ค. 58












     

     

     

    ENGLISH (BASIC)         :        D

     

     

     

                ทำไมเกรดภาษาอังกฤษถึงเป็นแบบนี้ห้ะมินยุนกิ!” เสียงแหบปลายของผู้เป็นเจ้าของบ้านตระกูลมินแผดดังไปทั่วอาณาบริเวณ ทำให้เจ้าของชื่อถึงกับต้องนั่งห่อไหล่ด้วยความกลัว ถึงแม้ยุนกิจะเป็นลูกคนเล็กของบ้าน มีความแสบกล้าแก่นเป็นทุนเดิมแต่กับพ่อของเขา...คงจะกลายเป็นไอ้ลูกเจี๊ยบไปเลยล่ะมั้ง

     

                ป๊าก็รู้ว่ายุนกิไม่เก่งภาษา เด็กหนุ่มผิวขาวตอบกลับไปเสียงเบา

     

                แล้วเงินที่ฉันให้แกเอาไปสมัครเรียนพิเศษล่ะ? อย่าบอกนะ...

     

     

                               เอาไปจ่ายเล่นหมดแล้วล่ะป๊า                

     

                ยุนกิไม่ได้ตอบกลับไป เพียงแค่ยิ้มแห้งๆที่ดูมีพิรุธนั่นก็น่าจะรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร ชายวัยกลางคนได้แต่กุมขมับพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆแล้วจ้องมองลูกชายสุดแสบอย่างคาดโทษ

     

                ฉันสอนให้แกเป็นเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

     

                ผมขอโทษจริงๆนะป๊า คือ...

     

                แกทำให้ฉันหนักใจนะยุนกิ น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงทำให้ยุนกิเริ่มใจเสีย

     

                งั้นป๊าก็บอกมาสิว่าจะให้ผมทำอะไรถึงจะหายโกรธ

     

                ทำตามที่ฉันสั่งได้ไหมล่ะ?

     

    ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่

     

     

     

     

     

                ไม่นะป๊า ผมไม่ไป!!!!” ราวกับถูกพระเจ้าลงโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยุนกิล่ะอยากจะร้องไห้แล้วนอนตายไปซะตรงนี้เลยจริงๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวไม่เก่งภาษา แล้วนี่ยังจะ...โว้ยยยยยยยยยยยยยย

     

                ไปเรียนภาษาครั้งนี้ ฉันหวังว่าแกจะได้อะไรๆกลับมาบ้านบ้างนะ คนเป็นพ่อยิ้มกว้างทันทีที่มองนาฬิกาข้อมือ ใกล้จะถึงเวลาที่เจ้าลูกชายคนนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่สักที

     

                ท่ามกลางสนามบินนานาชาติขนาดใหญ่แห่งนี้คับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ยุนกิยังคงหวาดกลัวกับการที่ต้องไปใช้ชีวิตในต่างประเทศด้วยตัวเองและตัวคนเดียว แถมเจ้าตัวยังพูดภาษาสากลไม่ค่อยจะรู้เรื่อง จะรอดกลับมาเกาหลีได้รึเปล่าเนี่ย?

                ยุนกิได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะต้องไปเจออะไรบ้าง คนเกาหลีที่ที่เขาจะไปน่ะมีบ้างไหม ถ้าเขาฟังใครไม่รู้เรื่องแล้วจะต้องทำอย่างไร เขากลัวการอยู่คนเดียวและไม่เหลือใครที่สุดแล้วในตอนนี้

     

                ผมต้องโดนคนที่นั่นถ่มน้ำลายใส่แน่ๆอ่ะ

     

                ทำไมถึงคิดแบบนั้น? แกไปเรียนไม่ได้ไปเกเรสักหน่อย พูดก่อนจะจับตัวลูกชายเข้ากอดในอ้อมแขน มือสากที่บ่งบอกถึงการทำงานหนักนั่นลูบกลุ่มผมสีอัลมอนต์เบาๆด้วยความเอ็นดู ถึงปากจะต่อว่ามากมายแค่ไหนแต่คนเป็นพ่อมันก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

     

                ชีวิต3เดือนต่อจากนี้ต้องคิดถึงป๊าแน่ๆ ไม่อยากไปเลย

     

                อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่ เครื่องจะออกแล้วรีบไปซะ

     

                ...

     

                จะเอาอะไรอีกล่ะ ยุนกิส่ายหน้าไปมาเบาๆแล้วกระชับกระเป๋าเป้ด้านหลังให้มั่น รอยยิ้มบางๆถูกส่งไปให้ชายวัยกลางคนก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง

     

                ถึงป๊าจะดูเหมือนใจร้ายแต่...ผมก็รู้สึกถึงความหวังดีที่ป๊ามีให้นะครับ

     

                อย่าทำให้ป๊าผิดหวัง ดูแลตัวเองด้วยล่ะมินยุนกิ

     

                แล้วผมจะรีบกลับมาครับ!” เลือกที่จะตอบอย่างหนักแน่นไปเพราะไม่อยากให้พ่อของเขาเป็นห่วง หมุนตัวกลับหลังหันก่อนจะก้าวไปข้างหน้า...ต่อให้อยากกลับบ้านไปกับพ่อสักเท่าไหร่แต่เขาก็ทำไม่ได้ซะแล้ว เอาวะ งานนี้เป็นไงเป็นกัน!!

     

               

     

     

     

     

     

     

     

                เป็นเวลา6-7ชั่วโมงเห็นจะได้ที่คนตัวเล็กมุ่งหน้ามายังประเทศมาเลเซีย ประเทศที่พ่อของเขาตั้งใจจะให้มาฝึกภาษาเป็นพิเศษ นอกจากจะได้ความรู้แล้วยังได้ประสบการณ์และเพื่อนใหม่อีกด้วย นั่นแหละที่พ่อเขาต้องการ ยุนกิทอดสายตาไปทั่วเมื่อมาเจอสถานที่แปลกใหม่แม้จะอยู่ในสนามบิน เขาเดินไปหยิบกระเป๋าจากสายพานที่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เจ้าตัวเล็กเกือบพลาดไปหยิบกระเป๋าคนอื่นแล้วเหมือนกันเพราะมัวแต่เหม่อจนไม่ได้สนใจกระเป๋าของตัวเอง

     

                ต่อไปก็รถไฟฟ้าสินะ ถอนหายใจเล็กน้อยพลางมองไปยังทางเดินซึ่งนำไปสู่บันไดลงไปชั้นใต้ดิน ถึงจะงงๆว่าต้องเริ่มจากจุดไหนอย่างไรแต่ก็พอเดาที่ป้ายตามทางบอกไว้ได้บ้าง

                คนตัวเล็กเดินไปที่เคาท์เตอร์ที่คาดว่าน่าจะเป็นที่ซื้อบัตรรถไฟฟ้าและรถบัส มันไม่น่าจะแตกต่างกับที่เกาหลีเท่าไหร่ เขาคิดว่างั้น – งั้นมั้ง

     

                อ่า...

     

                มีอะไรให้ดิฉันช่วยมั้ยคะ? พนักงานสาวประจำเคาท์เตอร์เอ่ยถามบุคคลผู้มาใหม่ที่กำลังยืนเก้งๆกังๆอยู่ด้านหน้าอย่างเป็นมิตรด้วยภาษาสากลสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

    เวรแล้ว รัวอังกฤษมาแบบนี้... มินยุนกิจะต้องตายแน่ๆเลยครับ T----T

     

                เอ่อะ...ไอ้เนี่ย เป็นสี่เหลี่ยม ล แล้วขึ้นรถบัสอ่ะครับ คนตัวเล็กวาดรูปสี่เหลี่ยมกลางอากาศขนาดประมาณบัตรทีมันนี่เกาหลีที่ใช้สำหรับการเดินทางขึ้นรถบัสหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน พูดเกาหลีคำอังกฤษคำงูๆปลาๆเพื่อที่จะได้ไปยังที่พักให้เร็วที่สุด ตอนนี้ยุนกิอยากจะนอนแผ่บนเตียงนอนนุ่มๆจะแย่อยู่แล้ว!

     

                อ๋อ คุณอาจจะหมายถึง... ดวงตาเรียวกระตุกไปชั่ววูบแต่แล้วก็ถอนหายใจออกมาเมื่อสิ่งที่พนักงานชูขึ้นให้เค้าดูมันคือบัตรสำหรับโดยสารทั่วไป

     

                เยสๆ ใช่เลยครับ

                เมื่อได้บัตรโดยสารมาเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร่างเล็กก็รีบสับขาอย่างไม่รอช้าไปยังแอร์พอร์ตลิ้งค์ทันที กระเป๋าเป้เจ้ากรรมนี่ก็หนั๊กหนักไหนจะกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ต้องลากไปมานี่อีก ไม่อยากจะคิดสภาพตอนไปถึงหอพักเลยจริงๆนะ...

     

                         คิดถึงบ้านจัง  

     

                เมื่อคิดดังนั้นก็เอนศีรษะไปพิงกับราวซึ่งมีไว้สำหรับจับของผู้โดยสารที่ไม่มีที่นั่งอย่างเช่นเขา รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวไปตามความเร็วปกติของมันแต่ไม่รู้ทำไมหัวใจของยุนกิถึงได้เต้นช้าแบบนี้ รู้สึกอยากจะตายไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะต้องพบเจอในวันข้างหน้า วันที่เขาจะต้องเจอกับคนแปลกหน้าพูดภาษาที่เขาเกลียดที่สุด และเพราะเกรดต่ำเตี้ยเรี่ยดินจึงทำให้มินยุนกิต้องมาโผล่ที่นี่ คงต้องใช้กรรมในสิ่งที่ทำไว้จริงๆซะแล้วล่ะ

     

                ไม่นานนักก็มาถึงที่หมายปลายทาง ยุนกิเปิดแผนที่เพื่อที่จะเดินทางไปยังหอพักต่อ อ่า...เดินไปอีก4ตึกแล้วก็เลี้ยวขวา ใกล้แค่นี้เอง

                ด้วยความทุลักทุเลของน้ำหนักกระเป๋าทำให้ยุนกิรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษกับการที่จะต้องขึ้นทางลาดชันนี้ ไอ้4ตึกที่ว่านี่มันโคตรรรรรจะห่างกันเป็นว่าเล่น ให้ตายสิ รู้งี้เรียกแท็กซี่ไม่ดีกว่ารึไงวะ – ทำได้แค่คิดในใจแต่ขายังคงทำหน้าที่ได้ดี ยุนกิปล่อยมือจากที่จับของกระเป๋าเดินทางก่อนที่จะทำท่าพักเข่าแล้วหอบหายใจด้วยความเหนื่อยเมื่อมาถึงหน้าหอพักสีฟ้าตามแผนที่ที่บอกไว้

     

                เฮ้!”

     

                ...

     

                เฮ้ เฮ้!!!”

     

                ...... จะเฮ้อะไรนักหนา - -

     

                ยูนั่นแหละ รอยยิ้มกว้างถูกส่งมาให้ยุนกิที่ยืนทื่อและใช้นิ้วชี้ชี้ตัวเองพร้อมเลิกคิ้วอย่างน่ารัก เจ้าของเสียงพยักหน้าแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้คนตัวขาวอย่างไม่รีบร้อน

     

                เอ่อ ว็อท?

     

                “Come from Korea, right?”

     

                อื้อ ยุนกิพยักหน้ารัวๆเมื่อฟังคำถามที่พอจะแปลออกได้ว่าเขานั้นมาจากเกาหลีรึเปล่า

     

                ผมกำลังรอคุณอยู่เลย ฮ่ะๆ

     

                เอ๊ะ? – ดวงตาเรียวตี่เบิกกว้างเมื่อคู่สนทนาที่อยู่ๆก็พูดภาษาเกาหลีได้คล่องปรื๋อเหมือนเป็นคนบ้านเกิดเขาแท้ๆ คนผิวน้ำผึ้งกำมือขึ้นจ่อปากแล้วหัวเราะเบาๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทกับแขกผู้มาใหม่

     

                โทษที ผมเป็นรูมเมทคุณน่ะ ผมชื่อ...

     

                เดี๋ยว!” มือขาวๆยกมือขึ้นห้ามตรงใบหน้าคมแล้วหอบหายใจหนักกว่าเดิม

     

                หือ เป็นอะไรน่ะ?

     

                ขอพักหายใจแป๊ป เหนื่อย แขนเล็กเท้าเข้ากับเข่าแล้วค่อมตัวลงหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้งหลังจากที่ยืนตัวตรงได้ไม่นาน คนผิวสีเห็นแล้วก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้จึงเอื้อมมือไปปลดกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ที่สั่นเทิ้มเพราะความเหนื่อยซึ่งยุนกิเองก็ให้ความร่วมมือดีโดยไม่ปฏิเสธน้ำใจจากเพื่อนชาวเกาหลีแปลกหน้าคนนี้

     

                ผมชื่อคิมแทฮยองครับ มาจากแดกู

     

                        หือ?

     

                แดกู? พูดจริงอ่ะ ฉันก็มาจากแดกูเหมือนกัน!” ยุนกิเด้งตัวขึ้นยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มที่บอกว่าเป็นรูมเมทของเขาแล้วยิ้มแป้นแล้น เพียงวูบหนึ่งที่แทฮยองรู้สึกว่ารอยยิ้มของยุนกิเป็นเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉาที่อยู่ๆก็เบ่งบานออกอย่างสวยงามเหมือนกับถูกเวทมนต์เสกให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

     

                อ้อ ฉันชื่อมินยุนกิ ยินดีที่ได้รู้จัก แต๊งกิ้วทีเช่อแอมฟายแต๊งกิ้วแอนด์พลีสซิทดาวน์

     

                     กา กา กา . . .

     

                เจ้าของใบหน้าขาวได้แต่ขมวดคิ้วเพื่อคิดว่ามุขที่เขาได้เตรียมการมาอย่างดีนั้นจะสามารถทำให้เพื่อนชาวต่างชาติ(ถึงจะเป็นชาติพันธุ์เดียวกับเขาก็เถอะ)ได้หัวเราะและเอ็นดู แต่เปล่าเลย! คิมแทฮยองกำลังเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าราวกับตั้งใจจะพูดว่า ทำเหี้ยไรมึง ออกมายังไงยังงั้น แต่ก็ช่างเถ๊อะ ให้มันรู้ได้ซะบ้างว่าอยู่ที่นี่เขาไม่สามารถเล่นมุขได้ จิตใจทำด้วยอะไรถึงยอมให้เขายืนหน้าแตกอยู่แบบนี้

     

                อื้ม ยินดีที่ได้รู้จักครับ

     

                        แค่เนี้ยะ?

     

     

     

                หลังจากที่แทฮยองได้พายุนกิขึ้นมาบนหอพักสีฟ้าดังกล่าวก็ได้พบว่าห้อง6306คือสถานที่ที่เขาจะต้องอาศัยตลอดจนกว่าจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองทางด้านภาษาอังกฤษ โดยรวมๆเวลาก็ประมาณ3เดือนเป็นอย่างต่ำล่ะมั้ง

                คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนพื้นห้องรูดซิปเปิดกระเป๋าเดินทางก่อนจะหยิบชุดออกมาแขวนไว้กับไม้แขวนเสื้อและมีผู้ช่วยอย่างแทฮยองที่กำลังเคลียร์ตู้เสื้อผ้าที่เคยใช้คนเดียวมาตลอดให้ยุนกิได้ใส่ผ้าไว้อีกฝั่ง มือหนาหยิบไม้แขวนเสื้อที่มีเสื้อผ้าหลากสีอยู่บนนั้นขึ้นมาแล้วแขวนไว้กับตู้เสื้อผ้าให้เรียบร้อย และนั่นเป็นสิ่งที่ยุนกิดีใจที่สุดนอกจากจะมีคนเกาหลีแล้วยังมีรูมเมทที่คอยช่วยเหลือเขาได้อย่างดีอีกด้วย

     

                นายอยู่คนเดียวหรอ? เมื่อจัดการกับเสื้อผ้าในกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องกระชับมิตรกับรูมเมทของเขาสักที

     

                ครับ แต่ก็มีเพื่อนที่สถาบันบ้างนั่นแหละ คนหน้าคมยิ้มให้ยุนกิส่งท้าย

     

                อ๋ออออ แล้วทำไมถึงไม่ชวนเพื่อนมาเป็นรูมเมทกันล่ะ? อยู่คนเดียวมันเหงาไม่ใช่หรอ?

     

                จะชวนได้ยังไงกันล่ะครับในเมื่อเพื่อนของผมเป็นคนที่นี่หมดเลย เขาก็ต้องกลับบ้านสิ คิ้วยุนกิกระตุก ไม่รู้ทำไมถึงได้ทึ่งกับคนตรงหน้าที่สามารถมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่คนเดียวแถมยังดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาอีก ไหนจะหาเพื่อน เรียนรู้การเอาตัวรอดในสถานที่แปลกใหม่และ...พูดภาษาอังกฤษได้เก่งขนาดนี้

                พ่อของยุนกิได้บอกไว้ว่าที่เขาจะต้องมาเรียนนั้นไม่ใช่โรงเรียนแลกเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษโดยตรงซึ่งมีระบบคล้ายกับโรงเรียนแต่จะให้อิสระมากกว่า นั่นก็เป็นการดีแต่ที่ไม่ดีมันก็มีนั่นแหละ คือ..ในเมื่อเรียนแล้วก็ต้องมีสอบ

     

                        สอบ สอบ สอบ ! ! !

     

                เห้อ แค่คิดก็เครียดแล้วบ้าเจรง

     

                เพิ่งมาถึงเอง ทำหน้าเหมือนจะตายซะให้ได้

     

                นายน่ะคนเก่งจะมาเข้าใจอะไรคนโง่ภาษาอังกฤษอย่างฉัน เครียดมากอ่ะ แค่มือที่กุมขมับยังไม่พอนี่ขอเอาตีนขึ้นมากุมด้วยได้มั้ย มองทางไหนก็มืดมิดไปซะหมด

     

                พูดเหมือนผมเก่งภาษามาแต่ไหนแต่ไรไปได้

     

                หรือไม่จริงล่ะ ถึงนายจะพูดแค่ประโยคสั้นๆแต่สำเนียงมันแบบ..เป๊ะเว่อร์อ้ะ!!” เล่นใหญ่เพื่อความสมจริง

     

                ก็ไม่จริงน่ะสิครับ

     

                อ้าว...

     

                “ผมเองก็มามึนๆเหมือนยุนกินั่นแหละแต่ปลายทางเราอาจจะต่างกัน คนตัวเล็กที่นั่งชันเข่าก็เปลี่ยนเป็นนั่งท่าขัดสมาธิแล้วรอฟังอย่างตั้งใจ แทฮยองนึกขำอยู่หน่อยๆที่ยอมเล่าเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่กับคนที่เพิ่งจะรู้จัก เพราะเป็นคนแดกูเหมือนกันก็ได้มั้ง...

     

                ผมมาที่นี่ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถด้านภาษา พูดได้แค่เยส โน โอเคแต่ก็ยังพอแปลออก

     

                นั่นไง เราเหมือนกันแล้วหนึ่งข้อ

     

    แล้วทำไมยุนกิถึงมาที่นี่ล่ะทั้งๆที่เกาหลีก็มีกวดวิชาตั้งเยอะแยะ

     

    ฉันไม่ได้อยากจะมาทนความลำบากนี่หรอกถ้าพ่อไม่เห็นใบเกรดซะก่อนน่ะ เจ้าตัวยิ้มแหยๆพร้อมกับยกมือขึ้นเกาท้ายทอยให้กับความกากสมตุ๋ยของตัวเขาเอง เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มตอบกลับอย่างจริงใจก่อนจะเล่าต่อ

     

    ก็ยังดีที่ยุนกิมาเพื่อพ่อ แต่ผมนี่สิ...มาเพื่ออะไรก็ไม่รู้

     

    ดีเนอะ บ้านนายคงจะมีฐานะใช่มั้ยถึงคิดจะไปไหนก็ได้แบบนี้โดยไม่มีสาเหตุที่จะต้องมา?

     

    ไม่หรอก จริงๆแล้วที่ไม่กลับไปเพราะไม่มีค่าตั๋วกลัว

     

                .... (แดกจุกแป๊ป)

     

    เฮ้ ผมล้อเล่น รอยยิ้มจุดประกายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นรีแอคชั่นของคนตัวขาวที่เมื่อกี๊นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น

     

    ถ้าไม่คิดว่านายเป็นรูมเมทฉันคงคิดว่าบ้านนายต้องตั้งคณะตลกแหงๆ

     

    จริงๆที่ผมมาที่นี่ก็เพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่าจะรอผมอยู่ที่นี่

     

    แหม ทำอย่างกับตัวเองโตแล้ว หน้าตาไม่น่าจะเกินปีหนึ่ง ข้อเสียของยุนกิก็นี่แหละ คิดอะไรก็จะพูดออกไปตามที่คิดโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครหน้าไหน รู้จากกันนานเท่าไหร่ พอได้ฟังเหตุผลของแทฮยองแล้วก็รู้สึกอยากจะอ้วกออกมาเสียดื้อๆ เหตุผลเชี่ยไร คิดว่าตัวเองอยู่ในนิยายหรอ? บ้าบอ ชิชิชิชิชิ

     

    เธอบอกให้ผมมาทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่เก่งภาษาเลย

     

    ...ก็คงจะหวังดีให้นายได้มาเจอเธอเพื่อได้เรียนภาษาด้วยไง ควบสองไปเลย

     

    ใช่ ควบสองไปเลย

     

    นั่นไง มันก็ดีแล้...

     

    ผมหมายถึงเธอที่ควบสอง แทฮยองก้มหน้าหลุบตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆหนึ่งครั้งแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เรียวลิ้นยื่นออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะพูดต่อ

     

    เธอไม่คิดว่าผมจะบ้าตามมาถึงที่นี่ มันเป็นข้ออ้างที่พยายามจะบอกให้ผมยอมแพ้และขอบอกเลิก แต่กลับกันเลย ผมยอมตามเธอมาและเรียนไปพร้อมๆกันแม้ความหวังมันจะริบหรี่ก็เถอะเพราะผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าอยู่ในเมืองนี้แค่นั้นแหละ

     

    ... มันแย่กว่าที่ยุนกิคิดไว้ซะอีก – คนตัวเล็กได้แต่นึกโทษตัวเองในใจ

     

    เมื่อผมได้ประกาศนียบัตรรับรองจากอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นด้านการเขียน พูดหรือฟัง ผมผ่านมาได้หมดจนกระทั่งงานปาร์ตี้ที่ทางสถาบันได้ร่วมมือกันจัดกับโรงเรียนแลกเปลี่ยน... เสียงทุ้มนั่นแผ่วลงเรื่อยๆจนน่าใจหาย คนตัวขาวได้แต่ภาวนาว่าเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อนั้นจะไม่ทำให้เพื่อนร่วมห้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้

     

    เราได้เจอกัน เธอสวมชุดราตรี ดูโดดเด่น...เด่นเหมือนกับผู้ชายที่เป็นคู่เต้นรำของเธอด้วย

     

    แค่คู่เต้นรำเองนี่...

     

    ถ้าเธอไม่จูบกับคู่เต้นรำ ผมจะไม่เอะใจอะไรเลยสักนิด อีกแล้ว แทฮยองยิ้มอีกแล้วแต่มันเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าจนประหลาด ทั้งสองไม่พูดอะไรต่อจนกระทั่งคนผิวน้ำผึ้งลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

    ยุนกิรู้สึกแย่จะเป็นบ้าแต่ก็ทำได้แค่นั่งอยู่ที่เดิม

     

    หรือจูบนั่นจะเป็นแค่ธรรมเนียม ปกติมันต้องจูบกันตอนจบป่ะวะ? เออบ้าแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงต้องเก็บเรื่องของอีกฝ่ายมาคิดด้วยก็ไม่รู้ ไม่เอาหน่า แค่เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอดเลยนะมินยุนกิ หยุดความคิดที่จะช่วยรูมเมทหน้าคมนั่นไว้เดี๋ยวนี้เลย ฮ่วยยยยยยยยยย ซ่อยข่อยแหน่!!!

     

     

     

                  08:20 PM 

               

                ลมหนาวกระทบกับผิวหน้าขาวๆของคนตัวเล็กที่ซีดอยู่แล้วก็แทบจะกลมกลืนกับสีเนื้อกระดาษเข้าไปอีก เป็นเพราะวุ่นๆกับเรื่องจัดของให้เข้าที่เข้าทางและไปทำเรื่องการยืนยันสิทธิ์เข้าเรียนกับสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่พ่อของเขาได้ติดต่อไว้ก่อนหน้านี้ มันจะดีมากถ้าไม่ต้องนั่งรถเมล์จากหอมาเกือบ4ป้าย ตั้งแต่ก้าวขาลงเหยียบที่ประเทศมาเลเซียยุนกิก็ไม่ได้หาอะไรยัดปากลงท้องเลย...เกือบจะสามทุ่มแล้ว ไส้นี่แห้งเหมือนปลากรอบที่ขายตามท้องตลาด

     

                แปลกเนอะทั้งๆที่หอพักใกล้สถาบันก็มีแต่พ่อฉันกลับเลือกให้พักที่เดียวกับนาย แถมยังต้องนั่งรถเมล์ให้เมื่อยก้นอีก ไอเย็นถูกพ่นออกจากเรียวปากบางเมื่อพูดแต่ละประโยคพร้อมกับยกมือกระชับเสื้อโค้ทที่ใส่อยู่ให้เข้าที่เข้าทาง

     

                ไม่คิดบ้างหรอว่ามันดีกว่าที่ยุนกิจะต้องไปเจอแต่คนต่างชาติโดยที่คุยกันไม่รู้เรื่อง

     

                เอ้อ ก็จริงของนาย แหะๆ ยุนกิเดินยกขาสูงๆเหมือนทหารในวังพร้อมกับความคิดเรื่อยเปื่อย เหมือนลืมอะไรไปรึเปล่านะ...

     

                       ป๊า!

     

                น นี่ๆๆๆๆๆๆๆ พอคิดขึ้นได้ก็หันไปเขย่าแขนคนตัวสูงกว่าจนเจ้าตัวหันมาทำหน้างงใส่และเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คเต็มไปหมด

     

                ครับ?

     

                ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ ฉันลืมบอกป๊าไปเลยอ่ะฮือ แทฮยองพยักหน้าแล้วล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงก่อนจะใส่ให้ ยุนกิคว้ามันมาทันทีจนเกือบทำตัวตก นิ้วโป้งกดเบอร์พ่อยิกๆแล้วยกมือถือเครื่องใหญ่ขึ้นแนบหู

     

                [ฮัลโหลครับ] น้ำตาแทบจะไหลเป็นสายเลือดเมื่อได้ยินเสียงดุๆของป๊า T_T

     

                ป๊าาาาาาาาาาา

     

                [ใครวะ...] แหม เขารู้ว่าป๊าตั้งใจจะแกล้งเขา งั้นก็ขอหน่อยแล้วกัน

     

                นั่นสิ ใครอ่ะ?

     

                [พ่อแกไงจะใครล่ะ] 5555555555555555555555555 นั้ลลักอ๊ะ!

     

                ป๊าาาาา ยุนกิถึงแล้วน้า เสียงของยุนกิถูกดัดแหลมจนน่าหมั่นไส้สำหรับชายวัยกลางคนที่กำลังยิ้มอยู่ในปลายสายโดยที่ยุนกิไม่รู้ตัว แทฮยองดึงแขนเสื้อคนตัวเล็กเบาๆเป็นการบอกเป็นนัยน์ๆว่าให้เดินต่อ ถ้าขืนยืนอยู่กับที่นานก็คงจะ(ตัว)แข็งและตายไปในที่สุด

     

                [ถึงตั้งนานแล้วทำไมไม่โทรมาหือ?]

     

                ก็ยุนกิยุ่งๆกับเรื่องจัดของแล้วก็ลงทะเบียนนั่นแหละ ขอโทษนะค้าบบบ แค่พูดไม่พอทำไมต้องทำหน้าง๊องแง๊งด้วย ต่อให้ทำไปป๊าก็ไม่เห็นอยู่ดี แต่นั่นก็นิสัยของยุนกิล่ะนะ ใครเห็นต่างก็บอกว่าน่ารัก บ้างก็ว่าโอเว่อร์แอคติ้ง แหมอยากจะบอกเหลือเกินว่า นิสัยกู ไม่เสือกสิคะ

     

                [จัดการเรื่องเองได้ก็ดีแล้ว แล้วรูมเมทแกล่ะโอเครึเปล่า?] เมื่อป๊าพูดถึงคนที่เดินขนาบข้างดวงตาเรียวก็เหล่ไปมองทันทีชนิดที่เรียกได้ว่าเหล่จนตาดำเหลือแค่ปลายขี้เล็บ ก็ขอฟอร์มหน่อย ไม่อยากให้แทฮยองรู้ว่าป๊ากำลังพูดถึงนี่หน่า

     

                ก ก็ดีครับ

     

                [ก็ดี? นี่แกกล้าพูดว่าแค่ก็ดี เรอะ ฉันอุตส่าห์พลิกอินเตอร์เน็ตหาว่ามีคนเกาหลีคนไหนอายุไล่เลี่ยกับแกและอยู่หอแถวๆสถาบันติวเลยนะ แกพูดออกมาได้ยังไงยุนกิ ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้] 55555555555555555555555โอ๊ยยยยย คนแก่งอนอ่ะ ขรรม

     

                หน่า ไม่ก็ดีก็ได้ คือมันดีม๊ากกกกมากกกกก นี่แบบ..ซึ้งใจมากอ้ะ โดนป๊าเฉดหัวมาอยู่ต่างประเทศคนเดียวเงินก็ให้มาน๊อยน้อยอย่างกับจะให้เอาหญ้าไปผัดกับน้ำปลาแล้วเอาข้าวก้นหม้อกินแล้วก็ตอบแทนด้วยการหารูมเมทที่ตั้ลล้ากกกกกแบบนี้ให้ยุนกิ ซึ้งใจมากอ่ะ น้ำตาจะแชร์ของไหลได้มั้ยล่ะค๊าาาาาาาาา

     

                        อีเหี้ย มึงประชดซะเสียชาติชายชาตรีเลยมินยุนกิจัง

     

                แทฮยองยิ้มขำแล้วโอบไหล่ยุนกิให้เข้าไปในร้านเนื้อย่างก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะเดินเลยไปซะก่อน นานแล้วนะที่ไม่ได้ออกมาหาอะไรกินตอนค่ำๆแบบนี้กับเพื่อน ส่วนใหญ่ก็จะออกมากินคนเดียวซะมากกว่าไม่ก็ซื้อกลับไปกินที่หอ เด็กหนุ่มบอกพนักงานต้อนรับว่ามากันสองคนและได้นั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างในที่สุด

     

                จะสามทุ่มแล้วป๊าคงกินข้าวแล้วใช่มั้ย? ดูแลตัวเองได้นะ?

     

                [เออหน่าไม่ต้องเป็นห่วง ช่วงที่แกไม่อยู่ฉันก็ให้เจ้าอูจีมาช่วยงานนั่นแหละ] เสียงที่ตอบกลับมานั้นทำให้ยุนกิรู้สึกสบายใจไปเปราะหนึ่งเมื่อนึกถึงอูจี ลูกชายของคุณป้าของเขา

     

                แต่ใครจะรู้ว่าป๊าของยุนกินั้นจะเป็นห่วงเขาจนแทบกินข้าวไม่ได้ตั้งแต่ไปส่งที่สนามบิน

     

                ผ่านไปสิบห้านาทีแทฮยองก็เป็นคนจัดการย่างเนื้อลงบนเตาจนส่งกลิ่นหอมไปถึงคนฝั่งตรงข้ามให้หันมาสนใจเพราะยังไม่ได้กินข้าว

                ทางฝั่งพ่อของยุนกิก็เช่นกัน ดวงตาภายใตกรอบแว่นจ้องมองข้าวผัดตรงหน้าที่เย็นชืดเพราะอูจียกมาให้ที่ห้องทำงานของเขาตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วก่อนจะยิ้มออกมา

     

                ป๊า ยุนกิกำลังกินเนื้อย่างที่ป๊าชอบแหละ เสียงเคี้ยวดังแจ่บๆจนน่าเอ็นดูนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อสบายใจและตักข้าวผัดเข้าปากบ้าง เหมือนได้กินข้าวเย็นพร้อมกันเลย

     

                [เอองั้นก็กินเข้าไปเยอะๆ ถ้าโดนใครรังแกจะได้มีแรงสู้กลับบ้าง]

     

                ได้เล้ย ยุนกิจะกินเผื่อป๊าให้พุงกางถึงป๊าจะกินข้าวแล้วก็เถอะนะ ยุนกิเงยหน้ายิ้มให้แทฮยองที่คอยเอาแต่คีบเนื้อใส่ลงในจานเขาทั้งที่จานตัวเองนั้นว่างเปล่า แม้แต่คราบน้ำมันก็ยังไม่มี ยุนกิถลึงตามองทันทีเมื่อแทฮยองไม่คิดจะเอาเนื้อเข้าปากเลยใช้ตะเกียบชี้หน้าแล้วทำปากขมุบขมิบเหมือนจะต่อว่าเป็นคนแก่

     

                [อย่าทำให้ป๊าผิดหวัง] เสียงทุ้มพูดประโยคเดิมที่เคยพูดไปแล้วเมื่อตอนเช้าที่สนามบิน ยุนกิยังจำได้ดี

     

                ยุนกิจะไม่ทำให้ป๊าผิดหวัง แล้วจะรีบกลับไปครับ!” และเขาก็ตอบกลับไปแบบเดิมเช่นกัน ใช่ ยุนกิจะไม่ทำให้ป๊าผิดหวังเด็ดขาด

     

     

                แทฮยองเป็นคนอาสาเลี้ยงมื้อค่ำและยุนกิเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ อย่าใช้คำว่าไม่กล้าเลย คือมันต้องไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว แหม นี่ไม่ได้งกนะจริงๆ ดูหน้าสิ .ชี้

                ทั้งคู่เดินไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเนื้อย่าง เวลาเกือบจะสี่ทุ่มมีแค่รถเมล์สายเดียวที่ขับผ่านหน้าหอเขา แต่คงต้องนั่งนานหน่อยเถอะรถต้องขับอ้อมไปป้ายอื่นอีกหลายป้ายซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาของทั้งคู่

     

                วันนี้ขอบใจมากนะ เสียงสดใสของยุนกิดังขึ้นทำลายความเงียบ เด็กหนุ่มตัวสูงหันไปยิ้มให้อย่างที่ตัวเองชอบทำก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้เอง

     

                ถือว่าเป็นการเลี้ยงน้องใหม่ละกันครับ

     

                แต่เงินในมือถือนายต้องหมดเพราะฉัน ไม่ด่าหน่อยหรอ?

     

                ผมจะด่าคนที่ต้องการคุยกับคนที่รอทำไมล่ะครับจริงมั้ย? ทำไมถึงได้มองโลกในแง่ดีแบบนี้นะแทฮยอง ภายใต้รอยยิ้มของนายนั้นมันจะเป็นเกราะกำบังได้นานแค่ไหนกัน แค่คิดก็รู้สึกแย่ ยุนกิรู้แค่นั้น

     

                ทำแบบนี้กับทุกคนมั้ยเนี่ย?

     

                ก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับใครนะครับ

     

                ตอบว่าทุกคนก็จบแล้วปร้า จะพูดให้มันกำกวมทำไม ยิ่งเป็นคนคิดอะไรช้าๆอยู่ - -

     

                อื้มมมมจ้า แล้วนี่เราต้องขึ้นรถสายไหนล่ะ เหมือนที่บ้านเรารึเปล่า? ยุนกิยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่รู้จักเหนื่อย ผิดกับแทฮยองที่พยายามดึงสติไม่ให้จมดิ่งไปกับความง่วงที่ก่อตัวขึ้น เขาไม่ใช่คนนอนดึก เขาชอบดื่มกาแฟในช่วงเวลาที่มีอากาศเย็นๆแบบนี้ถึงกระนั้นเขาก็ยังหลับเหมือนเป็นตายเหมือนคนไม่ได้กรอกคาเฟอีนเข้าปาก ยิ่งเวลาที่หาอะไรลงท้องแล้วหนังตานี่แทบจะปิดลงทุกเมื่อ

     

                คันนั้นแหละครับ นิ้วเรียวชี้ไปยังรถเมล์ที่กำลังแล่นมาเอื่อยๆ เมื่อรถจอดแทบฟุตปาธ ทั้งคู่ก็ก้าวขาขึ้นรถเมล์ทันทีและแตะบัตรสำหรับรถโดยสาร ยุนกิเดินนำไปยังหลังรถซึ่งไม่มีคนก่อนจะนั่งริมหน้าต่างตามด้วยเด็กหนุ่มร่างสูงที่นั่งข้างๆ แทฮยองหยิบหูฟังขึ้นมาต่อกับมือถือแล้วกดฟังเพลงโปรดที่มีจังหวะช้าฟังสบายหู ไม่ทันที่จะชวนอีกคนให้ฟังเพลงด้วยกันก็พบว่าแก้มยุ้ยๆนั่นได้แนบกับกระจกรถเมล์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่ควรเป็นเขาไม่ใช่หรอ?

     

                ยุนกิครับ นอนแบบนั้นเดี๋ยวก็ปวดคอหรอก

     

                ...

     

                ไว้กลับไปนอนที่หอดีกว่ามั้ยครับ ยุน.. หัวกลมๆเอนมาฝั่งแทฮยองก่อนจะซบลงบนบ่ากว้างๆและดูจะอุ่นในเวลานี้สำหรับคนตัวเล็ก เขาทำได้แค่ยิ้มบางๆและปล่อยให้เลยตามเลย พยายามจะเปิดตาให้ได้นานที่สุดเพื่อที่จะไม่ต้องนั่งรถเลยป้ายรถเมล์หน้าหอพัก

     

                ต้อนรับเพื่อนใหม่วันแรกก็ไม่ได้ถือว่าแย่อย่างที่คิดไว้

                                                            ก็ขอให้มันดีแบบนี้ต่อไปก็แล้วกัน

     

     

     

     

     

    ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!! ไม่นะป๊าาาาาาาาาาา ยุนกิไม่ปายยยยยยยยยยยยยยยยยย

     

     

     

    ใช่ซะที่ไหนเล่า!!!

     

     

     

    ถ้าจะละเมอเสียงดังขนาดนี้ คุณลุงคนขับไม่ไล่พวกเขาลงจากรถก็ดีถมไปแล้ว =_=’

     

     

     

    ----------------------------ทู บี คอนตินิว5555555555--------------------------

     

    เม้นเถอะ เดี๋ยวเจอพาร์ท2(จบ)เลยนะจ๊าาาาา




    。SYDNEY♔
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×