ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ... + * _TEa RooM _* + ...

    ลำดับตอนที่ #1 : ประวัติชา ^w^/// เร่เข้ามาาาาา =__=;;

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 51


    ชา (Camellia sinensis) เป็นพืชที่ใช้เป็นเครื่องดื่มที่มีคนนิยมดื่มกันมานานกว่า 2,000 ปี โดยเฉพาะคนใน
    ประเทศจีนและอินเดียนิยมดื่มชากันมาก และนั่นก็หมายความว่าพลโลกร่วม 2,000 ล้านคน บริโภคชาเป็นประจำ

    ชามีต้นกำเนิดในจีนตอนใต้ และอินเดียตอนเหนือ ทุกวันนี้แหล่งชาที่สำคัญได้แก่ บริเวณไหล่เขาของประเทศศรีลังกา จีน อินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย เป็นต้น

    ชาเป็นพืชยืนต้นที่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีความสูงถึง 6 เมตร ชาบางชนิดสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 100 ปี ตามปกติชาวไร่จะนิยมปลูกชาตามบริเวณไหล่เขา ทั้งนี้ก็เพื่อให้รากชาช่วยยึดดิน และเพราะเหตุว่าคุณภาพ
    ของชาขึ้นกับสภาพดินฟ้าอากาศ ดังนั้นชาที่ปลูก
    ในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละฤดู จะให้ชาที่มีรสไม่เหมือนกัน และโดยทั่วไปแล้วชาที่ปลูกในที่สูงจะมีกลิ่นและรสชาติที่ละมุนละไมกว่าชาที่ปลูกในพื้นที่ที่ต่ำกว่ามาก

    เมื่อต้นชามีอายุได้ 4-5 ปี ชาวไร่จะเลือกเก็บใบชา โดยเขาจะเลือกเก็บเฉพาะยอดอ่อนและใบอ่อน และเมื่อเก็บใบแล้วใบชาใหม่ก็จะแตกใหม่ในเวลาอีกไม่นาน 

    กระบวนการทำชาคือการแปรรูปใบชาอ่อนให้เป็นใบชาที่มีสภาพอย่างที่เราเห็น โดยในขั้นต้น เขาจะผึ่งใบชาที่เก็บมาได้ด้วยลมในตะแกรงให้แห้ง จนใบชาลดน้ำหนักเหลือเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักเดิม กระบวนการผึ่งลมนี้ใช้เวลานาน 12 ชั่วโมง เมื่อใบอ่อนถูกผึ่งจนแห้งแล้ว เขาจะนำใบชามานวดเพื่อให้ใบม้วนตัวและกระตุ้นให้สาร tannin ที่มีอยู่ในใบถูกขับออกมา tannin ทำให้ใบชามีรสฝาดขม จากนั้นใบชาที่ถูกนวดแล้ว จะถูกนำมาหมักเพื่อให้ออกซิเจน
    ทำปฏิกิริยากับใบชาจนใบเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล ชาฝรั่งที่มีสีน้ำตาลได้จากการหมักลักษณะนี้

    ขั้นตอนต่อไปของการทำชา คือการอบ โดยใบชาจะถูกอบด้วยความร้อนนานประมาณ 30 นาที ในช่วงที่มีการอบ ปฏิกิริยาเคมีในชาจะหยุด ชาวไร่จะอบชาจนกระทั่งชามีความชื้นเหลืออยู่เพียง 3 เปอร์เซ็นต์ ขั้นสุดท้ายคือนำใบชาไปผ่านเครื่องร่อน เพื่อคัดใบชาตามขนาด

    ชาที่นิยมดื่มมี 3 ชนิด คือ ชาฝรั่ง หรือชา oolong ซึ่งเป็นชาที่ผ่านการนวดอย่างสมบูรณ์ ชาจีน หรือชาดำ เป็นชาที่ผ่านการนวดเพียงเล็กน้อย และชาเขียว ซึ่งเป็นชาที่ไม่ถูกนวดเลย ในการต้มชานั้นน้ำที่เหมาะกับการต้มชาควรมีอุณหภูมิสูงประมาณ 80 องศาเซลเซียส และน้ำที่ใช้ต้มชาฝรั่งควรเป็นน้ำเดือด

    สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการดื่มชา หากดื่มเข้าไปมากๆ ขณะท้องว่าง บางคนอาจจะเมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือ เมา caffeine ที่มีอยู่ในชา ทำให้มีอาการวิงเวียนคล้ายเมารถ ประมาณกันว่าในชา 1 ถ้วย จะมี caffeine ประมาณ 60 มิลลิกรัม caffeine จะกระตุ้นให้คนดื่มรู้สึกสดชื่นและ
    กระปรี้กระเปร่า

    ชาวจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับชามากมายและเชื่อว่าชามีสรรพคุณเป็นยารักษาสารพัดโรค เช่น โรคท้องเสีย และโรคหัวใจ เป็นต้น

    ในวารสาร Journal of the National Cancer Institute ฉบับเดือนมกราคม 2540 A. Goldbohm แห่ง Nutrition and Food Research Institute ได้รายงานว่า ชาดำ หรือชาจีน ไม่มีผลในการรักษา
    มะเร็งแต่อย่างใด ไม่ว่ามะเร็งนั้นจะเป็นมะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด หรือมะเร็งเต้านม

    ผู้วิจัยกล่าวว่า ถึงแม้สารประกอบ catechins และ flavonols ที่พบในเซลล์ของสัตว์ จะมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งก็ตาม แต่เมื่อสารเหล่านี้
    อยู่ในชาดำ การถูก oxidized ทำให้มันหมดฤทธิ์ที่จะต่อสู้มะเร็ง

    ผู้วิจัยกล่าวเสริมว่า จากความจริงที่ว่า คนที่นิยมดื่มชามักจะเป็น
    มะเร็งน้อยกว่าคนทั่วไป เพราะคนเหล่านี้มักจะเป็นคนสูบบุหรี่น้อย และชอบบริโภคผลไม้ หาได้เป็นมะเร็งน้อยเพราะดื่มชาไม่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×