ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The power of flying love ฤาหัวใจปรารถนา

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 อินทรีย์เวหา (2)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.พ. 52





    ความเดิมตอนที่แล้ว

     

                  ขณะที่อายน์นั่งรับประทานอาหารเช้ากับอชิตา ทั้งสองกล่าวพาดพิงถึงฟาลน้องสาวอันเป็นที่รักของอายน์ กับความสัมพันธ์   ทางใจที่อชิตามีต่อนาง



    “อย่าให้นางรู้เป็นอันขาด..ข้ายังไม่อยากรับมือนางคนเดียว”

          องครักษ์หนุ่มหน้าแดงเสก้มลงจิบชาถ้วยที่สองต่อ....ข้าก็ไม่อยากให้นางรู้หรอกอายน์ ..ไม่ใช่แค่ท่านหรอก

    >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>=====================================================<<<<<<<<<<<<<<<<<============================


    ตระกูลของอชิตาเป็นองครักษ์ให้กับอินทรีย์เวหาของอายน์มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ จากรุ่นปู่สู่พ่อและต่อมาก็เป็นรุ่นของเขาตามที่เคยปฏิบัติกันมาแต่กาลเนิ่นนาน   ลูกชายคนโตของตระกูลจะถูกส่งเข้ามาเป็นองครักษ์ในปราสาทเพื่อรับใช้รัชทายาท   อชิตารับใช้อายน์มาตั้งแต่เด็กเติบโตและร่ำเรียนวิชามาด้วยกัน  เล่นมาด้วยกัน และออกศึกมาด้วยกัน ตายเพื่อกันและกันจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าชาตินี้จะสามารถทำเช่นนี้เพื่อใครได้อีก

                    หากเมื่อน้องน้อยของอายน์เติบโตขึ้น นัยน์ตาสีเขียวอันทรงเสน่หานั้นก็ทำให้เขาไม่กล้าสบตาคมวาวของนางนัยน์ตาที่เหมือนนัยน์ตาของอายน์ หากเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดทุกครั้งสบสายตา    ฟาลเติบโตจากเด็กหญิงตัวน้อยๆสู่หญิงสาวเจ้าอารมณ์  แต่อย่างไรเสียสำหรับเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถหนีหัวใจของตัวเองได้  อายน์รู้แต่ฟาล  ...เขาให้นางรู้ไม่ได้..ฟาลเด็กน้อยน่ารักของอชิตา.เขาอยากให้นางมีอนาคตที่ดีที่สุด และได้คู่ครองที่ดีที่สุด..

                    “ฟาลเอาแต่ใจ ข้าไม่อยากให้เจ้าโดนนางกดขี่”

                    “ข้ารู้ อายน์”  อชิตาผลักถ้วยชาออกห่าง   สายตาเพ่งมองคนเป็นนายแน่วนิ่ง  นัยน์สีสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยคำถามมากมาย    อชิตาไม่แน่ใจว่าเช้าอันสดชื่นที่อายน์หายตัวไปเล่นกับอีเกิลบาร์ทจนปล่อยให้เขานั่งรับประทานอาหารเช้ากับฟาลเพียงลำพังนั้น  มีสิ่งใดอยู๋เบื้องหลังนั่นหรือไม่

                    ราชาผู้เฉลี่ยวฉลาดอย่างอายน์ นิ่ง สงบ ลึกล้ำเสียจนบางครั้งเขาแปกใจว่า ใครกันหนอที่จะทำให้ความมั่นคงนั้นหวั่นไหว   

                    “อย่าพึ่งมองข้าแบบนั้น ขอให้ข้าได้จัดการกับอาหารเช้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเถอะ เวลานางมาตรวจการข้าจะได้ไม่ต้องตอบคำถามว่าทำไม เช้านี้ถึงทานได้น้อยกว่าปกติ”

                    อายน์จัดการกับอาหารเช้าตรงหน้าช้าๆ  ปล่อยให้องครักษ์นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นเหมืนที่ฟาลให้ฉายา  ไม่นานอายน์ก็เช็ดมือกับกระดาษสีขาวสะอาด  ผลักเก้าอี้ลุกขึ้น โดยมีอชิตาเดินตามไปติดๆ

    ตูไม้หนาสลักเสลาคล้ายดวงจันทร์ทอแสงสู่ปราสาทงามเบื้องล่าง เปิดต้อนรับเมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวมาถึงเข้ามา  อายน์เดินนำยังตู้เก็บหนังสือใบใหญ่  เพียงยกมือซ้ายขึ้นเสมออกแกร่ง ตู้นั้นก็เลื่อนออกเผยให้เห็นกล่องเหล็กอยู่สงบนิ่งอยู่ด้านหลัง  ชายหนุ่มหยิบม้วนกระดาษสีน้ำตาลดำออกติดมือออกมา แผ่วางบนโต๊ะหินขนาดใหญ่

                    สิ่งที่อายน์คลี่เปิดคือแผนที่หนังสัตว์สีน้ำตาลอันแสดงภูมิประเทศของอาณาจักรพญาอินทรีย์ ชายหนุ่มไล้เมือแข็งแรงเรียวยาวไปตามลำธารด้านหลังสู่อาณาจักรด้านล่างที่อยู่ห่างออกไปราวสี่หมื่นไมล์   ที่นั้นเต็มไปด้วยทะเลโอบล้อมอาณาบริเวณกว้าง ภูเขาสูงอีกฟากฝั่งคือปราการธรรมชาติสูงใหญ่  ป่าไม้หนาทึบและเมฆหมอกอันก่อเกิดภาพพรางตาครอบคลุมป้องกันตัวปราสาทไว้อย่างดี

                    อชิตาสบตาผู้เป็นนาย ทว่าอายน์ยังคงสงบนิ่ง ชายหนุ่มชี้ไปยังจุดสีแดงที่ห่างออกไปอีกเพียงแค่ลัดนิ้วมือ  ที่นั้นเต็มไปด้วยพืพื้นทรายสีแดงร้อนระอุ  อาณาจักรที่ตั้งเด่นสง่าท่ามกลางสุริยะแผดเผา  ...... 

                    อายน์วกกลับเข้ามายังดินแดนของตน และวางหมุดสีต่างๆ ลงไปยังอาณาจักรที่อยู่รอบล้อม  บางอาณาจักรคือราชอาณาจักรลูก บางอาณาจักรเตรียมตัวแข็งข้อต่อกร..

                    “ข้าไม่แน่ใจว่าเข้าใจท่านถูกต้อง” อชิตามองมุดหลากสีนั้นอย่างใคร่ครวญ  ขณะที่อายน์ก้มมองมือตัวเองที่ยังแตะหัวหมุดสีเขียวนสงบนิ่ง  มีเพียงรอยยิ้มแผ่กว้างบนริมฝีปากหยักโค้งทรงเสน่ห์  

                    “กาลเวลาที่เลื่อมล้ำ ไม่ได้ทำให้ทุกชีวิตดับหายไป และเช่นกันทุกชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่ต้องอาศัยเวลา  อาณาจักรสีเขียวที่เจ้าเห็นอยู่คือดินแดนบนพื้นที่ระหว่างเรากับสุริยะ ที่นี้เราจะค้นพบปริศนา”

                    “ท่านหมายความว่า”

                    “ท่านแม่ของข้าเคยอาศัยอยู่ที่นั้น”

                    “ข้าไม่เข้าใจท่าน”   

                    “จำที่ท่านพ่อเคยบอกเราได้ไหมอชิตา เมื่อครั้งที่ข้าเคยเป็นเด็กเราไปเดินทะเลทรายด้วยกัน  ท่านพ่อบอกข้าว่า ที่นั้นคืออาณาจักรที่ท่านแม่เคยอาศัย อาณาจักรสีน้ำเงินที่ที่ข้าไม่คิดว่าจะกลับไป บางทีสิ่งที่ข้าตามหาจะอยู่ที่นั่น”

                    “อายน์”  อชิตาสบดวงตาสีเขียวที่เงียบสงบดั่งท้องทะเลลึก  ชายหนุ่มผู้เป็นนาย มองผ่านช่องหน้าต่างหินไปยังท้องฟ้ากว้างไกล  ดวงตาเขียวเข้มทอประกายวับวาว แน่วแน่

                    “ข้ามั่นใจ ”

                    องครักษ์หนุ่มก้มมองตัวหมุดที่เขียวที่ซ้อนทับระหว่างอาณาจักรพญาอินทรีย์กับอาณาจักรสุริยะอีกครั้ง อกกว้างสะท้อนขึ้นลงด้วยความหนักใหน่วงราวถูกทับถมด้วยภูเขามหึมา   อาณาจักรของราชินีแห่งพญาอินทีย์  อาณาจักรที่อายน์เคยไปเที่ยวเล่นบ่อยครั้งเมื่อเขายังเป็นเด็กกับผู้เป็นมารดา  ....อาณาจักรที่เขาไม่อยากให้อายน์เดินกลับไป...

                    ราชินียังคงฝากร่างไร้วิญญาณไว้ยังสุสานริมหน้าผา เคียงคู่ด้วยบุรุษผู้องอาจราชาทรงอำนาจที่ยอมสละชีวิตอมตะเพื่อตามนางอันเป็น ที่รักสู่ภพภูมิชั้นพรหม

                    อายน์และฟาลกลับสู่อาณาจักรเพื่อปกป้องคุ้มครองคนของข้าบริวาร.....ทำหน้าที่ของราชาที่ดีเพื่อรักษาตราบเท่าที่บรรพบุรุษสืบมา   อายน์นั่งบัลล์ลังเมื่อครั้งอายุยังน้อย โดยมีบิดาของอชิตาเป็นที่ปรึกษา  และเมื่อถึงเวลาท่านก็อำลาเพื่อไปใช้ชีวิตในอาณาจักรสีขาว 

                    ณ. ห้วงคืนวันที่เป็นอยู่ อาณาจักรหลากหลายกำลังรียกร้องให้ตัวเองเป็นอิสระ ไม่มีใครต้องการส่งเครื่องเพชรอันมีค่า ฤาเมล็ดพันธุ์หายากสู่พญาอินทรีย์ ความเป็นอมตะของอายน์ถูกท้าทายด้วยอำนาจแห่งกองเพลิง ..

    สุริยะมืดมิดคืออายน์ที่ปกป้องจันทราส่องสว่างคืออายน์ผู้เป็นใหญ่...หากเมื่อหน้าที่ของราชา..คือรักษาความสุขแห่งบริวาร    อายน์จำต้องเดินทาง ...เพื่อปกป้องราชอาณาจักร เพื่อหลุดพ้นจากมนต์ดำ

                    “แต่..เราจะไปพบนางได้ที่ไหน”

                    “พรแห่งพระมารดาจะทำให้ข้าพบนาง  จันทรามีเวลาส่องสว่างฉันใดก็มีเวลามืดดับฉันนั้น   สองสิ่งที่แห่งสมดุลจะหมุนกาลเวลาที่ยั่งยืน  ข้าต้องไปเพื่อบริวารของข้า ข้าต้องทำเพราะข้าคือราชา”

                    “แต่..ข้าว่าท่านลืมบางอย่างไป”

                    “เมื่อความมืดและความสว่างหล่อหลวมเป็นหนึ่งเดียว ท่านจะได้พลังบริสุทธิ์แก่อาณาจักร แต่นั่น..ไม่ใช่หนทางเดียวแห่งความหลุดพ้น”

                    “ข้าไปไม่ลืม อชิตา เมื่อใดที่ความมืดหมุนวนรวมกัน เมื่อนั้นทุกอาณาจักรจะถูกครอบคลุมชั่วกัลปาวสาน”

    ดำดิ่งสู่ดเหวนรก  ความมืดมิดจะเข้าครอบคลุมสามโลก  หน้าที่คือการปกป้อง รักษา และคงไว้ซึ่งความสมดุล”

                    “แต่ทุกอย่างไม่เคยคงทน หมุนเวียนไปตามสุริยะจันทรา”

                    “ยังไม่ถึงเวลานั้น อชิตา ข้าขอสวดอ้อนวอนต่อเทพบิดรมารดา”

                    “ข้าไม่อยากให้ท่านต้องออกไปสู่โลกมนุษย์ ที่นั้นพลังของท่านจะลดลง ความชั่วร้ายของมนุษย์จะทำให้ท่านมัวหมอง อายน์ข้ายินดีไปทำหน้าที่นี้แทนท่าน ..ท่านยังต้องอยู่เพื่อเป็นหลักให้กับอาณาจักร”

                    “ข้าขอบคุณที่เจ้าหวังดี แต่นั้นมันคือหน้าทีของข้า นางผู้นั้นก็เป็นของข้า ”

                    “แต่...”

                    “ไม่มีอะไรยืนยง ข้าแค่ยืดเวลา  เมื่อใดที่ความสว่างกับความมืดผสานกันเมื่อนั้นพลังบริสุทธิ์สมดุลจะบังเกิด ท่านแม่คือแสงสว่าง ท่านพ่อพญาอินทรีย์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือบุตรของแสงสว่างหากเมื่อใดที่จันทร์ทราลับดับมืดก่อเกิดนางผู้นั้น ข้าต้องตามหานางแม้จะชั่วเวลาแห่งข้า..ข้าก็ต้องไป”

                    “อายน์ ข้าขอติดตามท่าน”

                    “แล้วใครจะอยู่ดูแลที่นี้ เจ้าจะติดตามข้าไม่ได้  ที่นี่ยังมีดวงใจของข้าอีกหนึ่งดวง    อชิตาเจ้าจะต้องดูแลฟาลดูแลข้าบริวารให้อยู่อย่างสงบเจ้ามีหน้าที่อันสำคญไม่ยิ่งหย่อนกว่าข้า  อชิตาคือบุรุษแห่งองครักษ์ เจ้าคือเพื่อน คือบุรุษอันถือหน้าที่แห่งตนสำคัญยิ่งกว่าวิญญาณเมื่อเจ้าอยู่ดูแลที่นี้ ข้าเชื่อเหมือนเชื่อตัวเอง”

                    “ท่านยกย่องข้ามากเกินไป”

                    “ท่านต่างหากที่ถ่อมตน”

                    อชิตาบุรุษองครักษ์แห่งพญาอินทรีย์  ลดมือลงคลึงตัวหมุดสีเขียว ดวงตาสีน้ำตาลแน่วแน่เมื่อสบดวงตามีอำนาจของอายน์  

                    “ข้าจะดูแลด้วยหัวใจของข้า”

                    รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนริมฝีปากหยักโค้งแย้มพราย  ดวงตาสีเขียวทอดมองสู่ท้องฟ้ากว้างไกล เมื่อบอก

                    “และสิ่งนี้คือภารกิจของท่านและข้า”

                    “ท่านมิได้หมายความว่า..”

                    “ใช่..ข้าหมายความตามนั้น”

                    อชิตายอมยิ้มจนแก้มโป่งพอง  นัยน์ตาสีน้ำตาลมองผู้เป็นนาย ก่อนเอ่ย

                    “ข้าแค่หวังว่าจะเป็นภารกิจแรกที่ข้าทำสำเร็จ”

                    “เจ้าเป็นองครักษ์”

                    “ท่านคือพี่ชาย”     อชิตาบอกไม่ยอมแพ้

                    “บางทีข้าก็แค่หวัง ว่ามันจะนานเท่าที่ท่านไม่ใจอ่อน”

                    “หรือนางไม่ฉลาดจนเกินไป”

                  สองหนุ่มหัวเราะให้แก่กัน  ท่ามกลางแสงมืดมัวแห่งปัญหาค้างคา  อายน์ยังมีรอยยิ้ม  ท่ามกลางภาระหนักหน่วงอชิตายังมีสายธารอบอุ่นโอบล้อมหัวใจ   ฟาล...ภาระกิจของข้าอยู่ที่เจ้าเท่านั้น...

     

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×