คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1. อาณาจักรต้องคำสาป (1)
ตอนที่ 1. อาณาจักรต้องคำสาป
ดวงใจล่องลอยจากฟากฟ้า ฤาจะเจ็บร้าวระทมเท่ากายใกล้ใจห่างกัน
มาร์จงลุกขึ้นสู้...เพื่อแม่...เพื่อพระมารดาของเจ้า....
เสียงคลื่นซัดซ่าระธารโตรกหินสีดำก้องสะท้านสะเทือนไปทั่วท้องทะเลเวิ้งว้าง คืนไร้ดาวช่างมืดมิดราวปีศาจร้ายได้สยายปีกครอบคลุมท้องฟ้าและกอบกุมไว้ในอุ้งมือแห่งมัจจุราช กลิ่นเค็มคาวแห่งท้องทะเลโชยอบอวนไล่เรื่อยขึ้นไปจนถึงหน้าผาสูง ผืนน้ำดำลึกเต็มไปด้วยหินแหลมสีดำมันปลาบเรียงรายล้อมหน้าผาสูงชันดั่งรอคอยสำเร็จโทษผู้กระทำผิดให้สิ้นลมตามโทษทัณฑ์
กลิ่นดอกไม้โชยพัดอ่อนไล้ใบหน้าเนียนสวยเสมือนฝัน ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเม่อมองท้องฟ้าทมึนสุดสายตา ดวงตาสีเขียวดังปีกแมลงทับทอประกากล้า เรียวคิ้วสีดำสนิทพาดทับเหนือดวงตา จมูกโด่งคมสันสูดกลิ่นหอมสดเข้าสู่ดวงวิญญาณลึกล้ำราวแทรกลงในอณูเนื้อกายแกร่ง ริมฝีปากบางเม้มสนิท อกแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อทอเงาดำเสมือนภาพแรเงาอันน่าค้นหา ด้านซ้ายเนื้อตำแหน่งหัวใจ คือรอยสักรูปสุริยะทมึน อ้าปากกว้างเพื่อครอบครองโลกอันสุดแสนโสโครก สายลมอ่อนๆ ไล่ตามรูปหน้าที่แหงนเงยโดดเด่นในเงามืด ส่งให้ใบหน้ายิ่งดูเกรงขามยิ่งนัก ขณะที่มือเรียวสวยดั่งลำเทียนแนบสนิทนิ่งกับลำตัว ขาแข็งแรงข้างหนึ่งยกเหยียบเนินดินเล็ก
..
เสียงน้ำซัดโตรกหินด้านล่างสะท้านก้อง ราตรีอันมืดดำส่งผลให้ปีศาจร้ายมีพลังเพิ่มมากขึ้น.ใช่เขามันเป็นปีศาจ..ปีศาจที่รอวันปลดปล่อยจากภาระหน้าที่อันปวดร้าว ข่มขื่น...
คืนเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองสะท้อนก้อง
“ใกล้ถึงเวลาแล้วมาร์”
ดวงตาเขียวดั่งปีกแมลงทับทอประกายวาบวับ..ใช่ซิมันใกล้ถึงเวลา แต่มาร์ยังไม่สามารถหาสิ่งนั้นพบ สิ่งที่จะเพิ่มพลงให้อาณาณาจักรสุริยของมารดาช่างเป็นสิ่งที่ท้าทายอันน่าทุเรศสำหรับทายาทสุริยอย่างเขาสิ้นดี
“ท่านก็รู้ว่าข้าตามหามาตลอด”
“ยังไม่สุดความสามารถมาร์ ข้ารู้เจ้ามีมันมากกว่านี้ ”
“ท่านรู้ดีกว่าข้าเสมอ” อีกฝ่ายพูดอย่างข่มขื่น
“ทุกชีวิตถูกกำหนดแล้วเมื่อถือกำเนิด มาร์”
มาร์ ชื่อที่ทำให้เขารู้ว่ามันยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสุริยะ เพียงใด อาณาจักรที่เขาต้องรักษาและสืบทอดจนชีวิตจะหาไม่...ทุกคนภูมิ อยากครอบครอง สำหรับเขามันคือคำสาป แต่สำหรับไอ้เฒ่ามันคือหน้าที่.. หน้าทีที่ต้องผลักดันให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งแห่งเจ้าอาณาจักรอย่างสมภาคภูมิ ดวงตาสีเขียวดั่งปีกแมงทับขุ่นเคือง ตวัดเสียงอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่น่าโง่ถามท่าน”
“ท่านโง่ที่ใช้อารมณ์”
มาร์เดินตรงมาที่บุรุษร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กัน สบดวงตาสีเทาเข้มเหมือนอยากจะฉีกร่างนั้นเป็นชิ้นๆ ตั้งแต่เขาจำความได้ไอ้เฒ่าก็บังคับเขาทุกอย่าง ช่างเป็นที่ปรึกษาที่น่าเลื่อนขั้นให้สิ้นดี....
“ท่านพูดถูกเสมอนาธาร์”
“ไม่เสมอไป ..” ชายหนุ่มดวงตาวาบวับเมื่อสบตาเข้าเล่ห์ของจิ้งจอกเฒ่า
“ข้าพูดผิดอยู่อย่าง”
“อะไรละ!!!” คนอารมณ์ร้ายตวัดดวงตาเหมือนจะแผดเผา..ทว่าอีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน
“สัญญากับวินซ์ไงละ ข้าเคยสัญญาจะทำให้ท่านอารมณ์เย็นก่อนที่จะขึ้นปกครองอาณาจักร แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่สำเร็จ”
ชายหนุ่มร่างสูงเดินเฉียดไหล่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่ปรึกษาอันน่ารังเกียจของตระกูลอย่างรวดเร็ว ...ไม่อยากเห็นใบหน้าที่ทำให้เขารู้สึกผิดทุกครั้งที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ ...
ไอ้เฒ่ามหาวายร้ายที่เขาอยากเตะมันออกจากที่ปรึกษาวันละพันรอบ แต่ขัดเสียงส่วนใหญ่ของพวกไร้มันสมองไม่ได้
คณะที่ปรึกษาทั้งหลายแหลที่ถูกจัดขึ้นโดยคนคนเดียวที่มีอำนาจเต็มร้อยคอยเป็นกองหนุนให้เขา แต่ขณะที่เขาไม่คิดอยากจะได้กองหนุนที่มีหนอนยั่วเยี้ยเต็มไปหมดเช่นนี้ เขาเกลียดสายตาสีเทาของตาเฒ่าหนวดยาวนี้เหลือเกิน..เมื่อไรที่เขามีทายาทเมื่อนั้นนาธาร์จะไม่มีสิทธิ์ควบคุมเขาอีกต่อไป และคำสั่งแรกที่เขาจะทำคือ การไล่ไอ้ที่ปรึกษาหนวดยาวนี้ออกซะ ...
“คงเป็นความอับอายของตระกูลท่านละซิ”
“ข้าไม่เคยอับอายกับการกระทำของตัวเอง และบรรพบุรุษ”
ดวงตาสีเทายิ้มเยาะเสมือนมองดูลูกแกะตัวน้อย ที่ไม่มีทางออกจากกรงขัง แม้จะตะเกียกตะตายเท่าไร ถ้าเจ้าของไม่เปิดประตู มันก็ทำได้แค่เพียงร้องขอความเห็นใจ...
“ปีนี้ท่านอายุยี่สิบแปด”
“ข้าไม่ได้ความจำเสื่อม”
“ควรจะมีทายาทได้แล้ว”
“ทายาท!!! ท่านพูดเหมือนเสกขึ้นมาได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นลองหาเองซินาธาร์ ท่านลองหามาให้ข้าสักคนแล้วข้าจะกลืนกินนางทั้งตัว เพื่อจะได้ทายาทที่สมบูรณ์แล้วจะได้หมดเวลาของท่านสักที”
“เวลาของข้าไม่เคยหมด”
“ฮึ!! ถ้าคิดจะอยู่ครองโลกละก้อท่านคงต้องหาเลือดบริสุทธิ์แล้วละ จะแข่งกับข้าก็ได้นะ”
“นั้นเป็นหน้าที่ของเจ้า สายเลือดบริสุทธิ์”
“รู้ไหมข้าเบื่อท่าน เบื่ออยากให้ท่านตายทุกลมหายใจ”
“ขอบคุณที่ทำให้ข้าอายุยืน”
“จะเอาสักกี่พันปีละ”
“จนกว่าท่านจะสำเร็จมีทายาทที่ดีข้าก็จะไป”
“ไปๆ ตอนนี้เลยก็ได้”
ชายหนุ่มร่างสูงตวัดสายตาสีเขียวกรุ่น...ร่างสูงแข็งแกร่งสาวเท้าออกจากหน้าผาอันเคยสงบเงียบ ....มาร์เดินไล่ลงมาตามบันไดหินด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาเกลียดไอ้บ้านี่จนสมองจะระเบิดอยู่แล้ว แต่นานวันความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์บ้าๆ นี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด
กำแพงหินสีเทาดำปกคลุมด้วยตะไคร้น้ำชื้นแฉะระยาวตามทางเดินสู่ปราสาท บันไดหินนับร้อย ขั้นยาวลดลั่นลาดชันน่ากลัว ...จนมาร์อยากจะกลับขึ้นไปผลักไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ให้มันตกลงมาคอหักตายซะจะได้สิ้นราว ชายหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยหน่าย..จริงหรือถ้าไอ้เฒ่านั้นตาย เรื่องวุ่นวานมันจะสิ้นสุดลง
เมื่อมาถึงบันไดทางขึ้นร่างสูงตระง่านก็กำหมัดประะเคนลงไปบนเสาหินอยากไม่ปราณี..เพียงแค่หมัดที่สองเสาที่แข็งแกร่งก็หักโค่นล้มลงเหลือเพียงฝุ่นผงสีขาวคลุ้งกระจาย...
“มาร์!!!”
เสียงตะโกนอย่างขุนเคือง ทำให้ร่างที่กำลังจะเอาเสาต้นที่สองเป็นที่ระบายอารมณ์หันขวับ นัยน์ตาสีเขียวกุร่นโกรธเกรี้ยวกราดตวัดมองร่างงามอย่างขยะแขยง ...แต่นั่นไม่ได้ทำให้ร่างเล็กบางในชุดสีแดงยาวกรุยกรายนั้นพรั่นพรึงสักนิด ราชินีเอเซนตวัดนัยน์ตาสีเพลิงโต้ตอบ..มือเรียวยาวที่ประกอบด้วยเล็บสีแดงเพลิงงุ้มงอ..ดวงตาเรียวรีเล็กขุ่นเคือง ราชินีสาวเม้มริมฝีปากสีสดอย่างแน่น ริมฝีปากที่เหยียดยิ้มกับทุกคำพูดของมาร์เสมอ...ใบหน้าเรียวสวยตกแต่งด้วยเครื่องหน้างามหมดจด บัดนี้ขุ่นมัวด้วยฤทธิ์แห่งโทสะเข้าครอบงำ เรือนร่างโปร่งบางระหงตวัดฝ่ามือลงบนแก้มนวลเนียนราวสตรีจนปรากฎรอยแดงทาบทับ
ใบหน้าของมาร์ยังคงนิ่งสงบ แรงเท่ามดแค่นี้ไม่ได้ทำให้ร่างสูงสะทกสะท้าน ดวงตาสีเขียวสะท้อนวับวาบนั่นต่างหากที่บ่งบอกถึงอารมณ์ปีศาจร้ายในตัวชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี..รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏทาบทับริมฝีปากสวย แย้มยิ้มจนร่างโปร่งบางของนางสั่นระรัว...
“ทำไมต้องทำลายข้าวของเป็นสุนัขป่า..หึ...เจ้าไม่ต้องการปกครองที่นี่หรือไงถึงได้ขยันทำลายปราสาทของพ่อเจ้าทุกค่ำคืน หรือเจ้าขยะแขยงที่นี้มากจนไม่อยากให้คนที่เหลือมีชีวิตรอด..เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่มาร์เหล่าทหารต่างหมดกำลังใจกับความไม่เอาไหนของเจ้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเหนื่อยที่ต้องดูแลทุกอย่างแทนเจ้า ดูแลทั้งที่มันไม่ใช่ของข้าสักนิดเดียว”
“แน่ใจหรือที่ท่านไม่ต้องการ”
มาร์หัวเราะเสียงดังกึกก้อง เสียงที่บาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจของราชินีสาว ปราสาทสุริยะไม่ได้น่ารังเกียจหรอกคนที่อาศัยอยู่ต่างหากที่ทำให้ปราสาทเก่าแก่พันปีแห่งนี้ขยะแขยงน่าสมเพช...ปราสาทเก่าแก่..คนแก่คร่ำครึ.กับ....ผู้หญิงทรยศ..
พันสุริยะดับเลือน สว่างแล้วมืดดับนานเท่านางมีชีวิตอยู่ หลายพันทิวาราตรีที่นางเฝ้ารอบุรุษที่รักจะกลับคืนสู่อ้อมอก...แต่ทุกครั้ง...มันก็จบลงเหมือนต้องคำสาป
..รักไม่เคยดั่งปรารถนา
คำสาปแห่งรัก คำสาปทรมานรวดร้าวดั่งมาร์เคยสาปแช่ง.
“..ตราบเท่าวิญญาณยังมี...ข้า...มาร์ลูกชายแห่งเทพสุริยะขอสัญญาด้วยดวงวิญญาณบริสุทธิ์ ...จะไม่มีทางสนองไมตรีแก่เอเซนบุตรีแห่งอนาธินตราบดวงจิตจะหาไม่ทุกชาติทุกภพตลอดกาล....เทพสุริยะแห่งบิดาข้าจงประทานดวงจิตเข้มแข็งแก่มาร์ลูกชายของท่านด้วย ณ.บัดนี้.”
คำกล่าวอันกร้าวแกร่ง เข็มแข็ง ข่มขื่น ปลุกเร้าให้ดวงจิตที่เคยนุ่มนวลด้วยไอรักกร้าวแกร่งดั่งเปลวเพลิง มาร์ของข้าเมื่อไรเจ้าจะยกโทษให้ข้า...ขอเพียงเศษเสี้ยวแห่งค่ำคืนที่ข้าจะมีโอกาสขอโทษท่าน..ฤาทุกชาติภพเจ้าไม่คิดแม้จะให้อภัยข้า.โอ้..มาร์.
.
“ราชินีแห่งสุริยะ....จงกลับเข้าไปประทับยังห้องของท่านเทิด แล้วอย่ามายุ่งกับข้าอีกเป็นอันขาด หน้าที่ของท่านคือกุมบัลลังก์ให้มั่นคง อย่าได้เอาราตรีอันมีค่าของท่านมาทิ้งกับเศษสวะอย่างข้าเลย..จงกลับไปแล้วหลับตาฝันถึงท่านพ่อของข้า...สุริยะชายผู้เดียวที่ทำให้ความฝันของท่านเป็นจริง สุริยะที่จะทำให้ทุกอย่างบนพื้นพิภพอยู่ในอุ้งมือท่าน ขอบคุณที่เข้ามาทักทาย กลับไปเสีย...เตียงนอนอันอบอุ่นรอท่านอยู่”
มาร์ผายมือเชื้อเชิญแก่ราชินีเอเซน ดวงตาสีเขียววิบวับ ริมฝีปากบางยิ้มเยาะ ทว่าน้ำเสียงอ่อนหวานบรรจงเชือดเฉือนหัวใจอีกฝ่ายอย่างบรรจง
“เจ้าไม่เคยรักข้าหรอกมาร์ เจ้าไม่เคยรักข้า!!!” ราชินีเอเซนร่ำร้อง
“สตรีอื่นใดจะมีสิทธิ์ทวงถามหาความรักจากบุรุษอื่นอันมิใช่สามีตน”
ดวงตาเขียววับหวานคมกริบดั่งคมดาบลูบโลมไล้ไร้ร่างงามกักขฬะ
นิ้วเรียวดั่งลำเทียนสัมผัสแผ่วเบาบนนวลแก้มอิ่มสวย เย้ายอกกับริมฝีปากอวบอิ่มสีสด...ราชินีเอเซนร่างสั่นสะท้านทั้งขลาดกลัวและรอคอยสัมผัสอ่อนหวานจากชายอันเป็นที่รัก.สัมผัสตราตรึงไม่รู้วาย ..ริมฝีปากบางสีสดแตะบางเบาบนริมฝีปากอิ่มอย่างรอคอยสอดปลายลิ้นตวัดเกี่ยวกับลิ้นอุ่นหวานเนิ่นนาน และเล็มกลิ่นอิสตรีทรยศ...เรือนร่างโปร่งบางสะดุ้งกับการจู่โจมแบบอ่อนหวานนั้น มาร์ยังคงไล้ริมฝีปากอ่อนหวานอย่างหยอกเย้า บดริมฝีปากลงบนกลีบปากอวบอิ่มที่เผยอรอคอยอย่างเต็มใจ.ริมฝีปากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเขา ริมฝีปากที่ครั้งหนึ่งเคยร่ำร้องแต่ ..มาร์..ใฝ่หาแต่บุรุษผู้นี้..มาร์...แต่บัดนี้เล่า..นางร่ำร้อง..คร่ำครวญหาเขาอีกครั้งแต่ด้วยความเสียดาย..มาร์มอบจูบที่รุนแรงดุดันจนร่างโปร่งบางสั่นสะท้าน เรียวแขนนวลเนียนโอบประคองร่างสูงแกร่งเป็นที่พักพิง...ดวงตาสวยหวานเยิ้มยิ้มด้วยแรงพิศวาส..
มาร์แตะลิ้นเล็กอ่อนหวานบดจูบเร่าร้อนรุนแรงลงไปอีกครั้ง..ครั้งนี้เนิ่นนานจนกายของราชินีสาวสั่นสะท้าน นิ้วเรียวสวยแตะแผ่วเบาบนแผงอกแกร่งลูบไล้อ่อนหวานทั่วร่างสูง
มาร์ผละจากริมฝีปากสวยอิ่ม...ดวงตาคู่หวานยังหลับพริ้มวนเวียนอยู่ในห้วงเสน่หา..ริมฝีปากบางแย้มยิ้มเยาะหยัน..ดวงตาสีเขียววาบวับ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม
“ท่านแม่.”
น้ำเสียงที่กล่าวแผ่วเบาราวเสียงแผ่วของสายลม ท่านแม่...เสียงแผ่วเบาที่ดึงจิตทั้งมวลกลับสู่ร่างระหงอีกครั้ง ดวงตาเรียวเล็กเปิดเปลือกตาอีกครั้ง ด้วยความเจ็บช้ำ แต่เพียงเศษเสี้ยววินาทีสีแดงเพลิงนั้นก็ลุกโชนราวกองไฟ
มือเรียวเล็กผลักอกล่ำสันออกห่างราวสัมผัสที่ผ่านมานั้นถูกกกกอดด้วยอ้อมแขนของปีศาจ..
มาร์หัวเราะอย่างอิ่มเอม...ริมฝีบางยกสูงเยาะหยันเป็นนิจแย้มยิ้ม.
ราชินีเอเซนกำมือแน่นจนเล็บเรียวยาวกดลึกลงกับเนื้อนวล...ความเจ็บช้ำเพียงเล็กน้อยไม่ได้ทำให้ร่างบางปวดร้าวเท่าสายตาของบุรุษที่รักตรงหน้า ร่างสูงโปร่งแข็งแกร่งราวหินผา งดงามราวภาพวาดที่พระเจ้าทรงประทานจากฟากฟ้า มาร์เจ้าไม่เข้าใจข้าเลย..เจ้ายังรักข้าอยู่...เจ้ายังรักข้าอยู่ ที่ทำทุกอย่างเพราะรักข้าใช่ไหม..จูบนั่น..ข้ารู้.มาร์..ข้ามั่นใจ...จูบอ่อนหวานดุดันของเจ้า....ข้าจำได้มิรู้ลืม
“เจ้ายังรักข้า” เสียงแผ่วเบาของราชินีสะท้อนกลับ ทว่าร่างสูงแข็งแกร่งนิ่งดั่งหินผา
“ข้ารักและบูชา..ท่านแม่เสมอมา”
“ข้ารักท่านมาร์..รักท่านได้ยินไหม!!!”
ดวงตารีเล็กอาบรื้นด้วยน้ำใสไหลรินอาบสองแก้ม น้ำเสียงอ่อนระโหยให้ของร่างเล็กบาง ทำเอามือแข็งแกร่งเกือบเอื้อมไปโอบกอด..ทว่ามงกุฎแห่งราชินีอาณาจักรสุริยะที่เปล่งประกายแววาวอยู่บนกลุ่มไหมสีน้ำตาลนั้นทอประกายเจิดจรัศ มงกุฎแห่งความทรยศ มงกุฎแห่งศักดิ์ศรีที่นางเป็นคนเลือก ...มือที่หวังจะเอื้อมปลอบประโลมลดลงข้างกาย...
.
ร่างสูงใหญ่ผินแผ่นหลังเปลื่อยเปล่าให้กับร่างบาง..น้ำเสียงที่เอ่ยต่อมา ห้วน สั้น ..ดั่งมาร์คนเดิม
“กลับเข้าสู่ห้องของท่านเถอะราชินีเอเซน”
“มาร์”
มือเรียวยาวเอื้อมไปแตะไหล่กว้างองอาจแผ่วเบา เล็บสีแดงสดลูบไล้เรือนร่างงามอย่างหลงใหล...ทว่าเพียงสัมผัสแผ่วเบา มาร์ก็สะบัดตัวอย่างรังเกียจ ดวงตาสีเขียวขุนมัว ตะหวาดร่างที่สั่นเทาของราชินีดั่งลั่น
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้กับข้า!!! กลับไปยังที่ของเจ้าเดี๋ยวนี้เอเซน กลับไป!!!”
เรือนร่างระหงโปร่งบางในชุดกำมะหยี่สีแดงเพลิงพลิ้วหายลับไปทันทีที่เสียงตะโกนดั่งลั่นของมาร์สิ้นสุดลง ดวงตาสีเขียวอ่อนแสง เหนื่อยอ่อนกับปัญหาที่ค้างคาจนขมวดปมยุ่งเหยิงไม่มีที่สิ้นสุด มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะตัดปมนั้นทิ้งไปเสีย ทิ้งให้เรื่องราวต่างๆ เป็นเพียงอดีต ทิ้งให้เรื่องราวทั้งปวงจมหายลงไปกับทะเลลึกและเขาควรเริ่มต้นใหม่ ทำหน้าที่ให้สมกับบุรุษแห่งสุริยะ
“เมื่อกระทำการสิ่งใดลงไปไม่ควรเสียน้ำตา”
ความคิดเห็น