ฟองนมกับฝนพรำ - ฟองนมกับฝนพรำ นิยาย ฟองนมกับฝนพรำ : Dek-D.com - Writer

    ฟองนมกับฝนพรำ

    ร้านกาแฟในวันฝนตกหนัก...กับความรักที่ล้นใจเหมือนฟองนมในถ้วยกาแฟ

    ผู้เข้าชมรวม

    895

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    895

    ความคิดเห็น


    13

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 ส.ค. 48 / 10:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      -1-
      บรรยากาศของหน้าฝนเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่อยู่แล้ว...ยิ่งเวลาที่ท้องฟ้าโปรยฝนพรำอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งวัน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาของโลกตอนนี้มันช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน  แสงแดดที่ผมไม่เคยได้เจอะเจอมาหลายวัน...ฟ้าสีเทาที่ให้ผมเห็นหน้าเห็นตาอยู่เป็นอาทิตย์ ๆ และท้องถนนที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ทำให้ผมรู้สึกเศร้า ๆ ยังไงพิกล
          
          เค้าว่ากันว่าคนเราต่างมีฤดูกาลประจำตัว โดยเฉพาะใครที่เกิดฤดูไหน...ก็มักจะชอบฤดูนั้นเป็นพิเศษ  ผมเองเกิดฤดูหนาว ก็จะชอบบรรยากาศอบอุ่น สายลมอ่อน ๆ  และแสงแดดอบอุ่นทำให้ผมมีชีวิตชีวาเหมือนกับช่วงเวลานั้น

          ร้านกาแฟเล็ก ๆ ใกล้ออฟฟิสคือที่ที่ผมจะมานั่งเติมความรู้สึกที่มีชีวิตชีวาให้กลับมาอยู่เสมอ ทุกเที่ยงหลังจากที่งานการในช่วงเช้าจบลง หลังอาหารมื้อเที่ยง ที่นี่แหละที่ผมจะมานั่งปล่อยใจให้สบาย แม้ว่าที่ออฟฟิสจะมีกาแฟให้ดื่ม แต่มันก็ไร้ความหอมหวาน ถึงจะมีรสชาติแต่ก็ขาดความอร่อย
          
                      ...หรือจะเป็นเพราะคนชงก็ไม่รู้

          ร้านเล็กที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่อบอวนของเมล็ดกาแฟคั่วบด สีขาวสะอาดของร้านกับกระจกใสบานใหญ่ที่มีอยู่รอบร้าน รับกับไฟสีนวลที่เปิดอยู่ตลอดวัน  โต๊ะตัวเล็กด้านในสุดของร้านคือที่ประจำของผม สมุดเล่มเล็กพร้อมปากกาหมึกซึมกับโทรศัพท์มือถือถูกวางที่มุมโต๊ะด้านซ้ายอยู่เสมอ...และคาปูชิโน่ร้อนใส่ฟองครีมพิเศษคือกาแฟถ้วยโปรดของผม คุ้กกี้ข้าวโอ๊ตรสชาติเยี่ยมหนึ่งห่อคือสิ่งที่เจ้าของร้านเสริฟให้ผมทุกวันโดยไม่ต้องสั่ง...เกือบ2 ปีแล้วที่ผมมานั่งที่นี่เกือบทุกวัน ตั้งแต่ผมได้เข้ามาทำงานแถวนี้ และมานั่งที่นี่ครั้งแรกก็เมื่อตอนหน้าฝน
          
                      …เพื่อมานั่งหาตัวตนที่ทำหายไปกับสายฝน

          แม้ผมจะไม่ชอบดูรายการที่ตามไปดูผี หรืออ่านหนังสือเรื่องลึกลับก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าอาถรรพ์ในโลกนี้มีจริง โดยเฉพาะกับผม...อาถรรพ์หน้าฝน...คือสิ่งที่ผมได้ผมเจอเสมอมาอย่างไม่ขาดตกเลยสักครั้ง...ไม่ต้องสงสัย หนีไม่พ้นเรื่องของหัวใจแน่ ๆ หวังเองลึก ๆ ว่าคาปูชิโน่ร้านนี้จะช่วยชะล้างความซวยซ้ำซ้อนที่เกิดขึ้นกับผมได้

                    
                     ผมหลงใหลรสชาติที่กลมกล่อมไม่อ่อนรสกาแฟอย่างเลตเต้หรือเข้มข้นจนเกินไปอย่างเอสเปรสโซ่ ฟองนมที่ถูกขึ้นฟองหนาทำให้ผมรู้สึกนุ่มปาก ละเลียดได้อย่างมีความสุขทุกครั้งไป ยิ่งได้ดื่มกาแฟกับคุ้กกี้ข้าวโอ๊ตยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันหยุดหมุนเลยหล่ะ

                     การที่ได้ดื่มการแฟในช่วงบ่ายที่มีแต่ฝนพรำทำให้ผมได้ผ่อนคลายกับงานเอกสารที่เต็มไปทั้งโต๊ะ การงานที่ผมทำยิ่งทำก็ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งผมเองก็นึกขี้เกียจเหมือนกันอยากจะหนีงานมานั่งกินกาแฟตลอดทั้งวัน...อยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเหมือนอย่างตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เรียนจบมาทำงานก็ไม่ได้มีเวลาเฮฮาอย่างนั้นอีกเลย โดยเฉพาะ...ผมไม่ได้มีคนรู้ใจเหมือนอย่างตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยซะด้วย

                      ครั้งแรกที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่เพราะดันไปติดคณะบัญชี จริง ๆ แล้วไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ และก็ไม่นึกเลยด้วยซ้ำไปว่าจะได้เรียน แต่สุดท้ายผมก็ต้อง(จำใจ)เรียน เพราะไม่อยากที่จะย้ายคณะหรือที่เรียนใหม่...เพราะผมได้พี่รหัสที่น่ารักมาก ๆ น่ะสิ

                      ชีวิตตอนนั้นแม้จะมีห้องเชียร์และวิชาบัญชีทำให้ผมรู้สึกขมขื่น แต่ก็ได้พี่รหัสคอยช่วยเหลือมาตลอด จากการที่เราใกล้ชิดกันเกินมากกว่าการเป็นพี่เป็นน้องในมหาวิทยาลัย ความรู้สึกผูกพันก็ก่อตัวขึ้น พร้อมกับความรู้สึกดี ๆ ที่เราต่างไม่ปฏิเสธ...จนผมถูกสารภาพรักในวันฝนตกหนักกลางเดือนกรกฏาคม และนับจากนั้น คือจุดเริ่มต้นความรักในรั้วมหาวิทยาลัยของผมก็เริ่มขึ้น เราสองคนต่างคบหาดูใจกันอย่างเปิดเผยมาตลอด จนเวลาของเราล่วงมาสามปีความสัมพันธ์ของเราก็ห่างหายจนต้องตัดสินใจที่จะประคองความรักที่ไม่ค่อยสดใสต่อไป หรือจะเลือกแยกทางเดินต่อไปตามเส้นทางของแต่ละคน

                       ...ผมตัดสินใจที่จะแยกทางเดินกัน ถึงแม้ว่าผมเองจะเสียดายเวลา เสียดายความรู้สึกดี ๆ แต่ก็ดีกว่าการที่เราจะต้องมาฝืนทนอยู่กับความไม่สบายใจ วันที่เราเลิกกันก็เป็นวันฝนตก  เหมือนกับว่าความรักของผม   มีจุดเริ่มและจุดจบอยู่ที่สายฝน
          
                       ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอแฟนเก่า  ก็เป็นวันรับปริญญาของเขา  ผมในฐานะน้องรหัสและคนที่เคยรู้ใจกันมากที่สุดก็ต้องมาแสดงความยินดี   และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจออีกเลย ได้ยินข่าวมาจากเพื่อนฝูงของผมบ้างก็เท่านั้นเอง

                      ตอนนั้นผมก็เศร้าอยู่แล้ว  ยิ่งมาเจอบรรยายกาศหม่นมัวของหน้าฝน...ก็ทำให้ผมเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยทีเดียว

                      พอเรียนจบก็ได้มาทำงานเป็นฝ่ายการตลาดของบริษัท แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่ผมชอบนัก แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับสิ่งที่ผมทำอยู่  แม้ว่างานอาจจะเยอะ แต่ก็ยังพอมีเวลาพักผ่อนไปไหนมาไหนได้ตามประสาคนโสด...แต่จริง ๆ ผมก็อยากไปไหนมาไหนกับใครสักคนอยู่เหมือนกัน

                     วันฝนตกปีที่แล้วหลังจากที่ผมไปเจอลูกค้านอกออฟฟิส  แล้วจะกลับเข้ามาทำงานต่อในช่วงบ่าย  พอดีฝนดันตกไม่ลืมหูลืมตา  ผมเปียกอย่างกับลูกหมาตกน้ำ เอกสารในแฟ้มก็เปียกไปหมด วันนั้นอะไร ๆ ก็แย่...แต่ยังไม่แย่ถึงที่สุดตรงที่ว่ามีร้านกาแฟเล็ก ๆ แถวออฟฟิสที่ผมไม่เห็นสังเกตตั้งอยู่  พอที่จะหลบฝนได้เลยตัดสินใจเข้าไปนั่งพัก และรอเวลาให้ฝนซาก่อนที่จะบุกเข้าออฟฟิสต่อไป เพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในช่วงบ่าย

                     พอผมเข้าไปเสียงใส ๆ ของเจ้าของร้านก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกเหมือนตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง...ช่วงเวลาที่ผมมีความสุขอยู่กับโลกสีชมพูนั่นแหละ
                     “ สวัสดีครับ รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ ” หน้าตาสดใสของเขาทำให้วันเศร้า ๆ ของผมหายไป หน้าตี๋กวน ๆ ของเขาบ่งบอกว่าเป็นคนอารมณ์ดีมากคนนึงเลยทีเดียว
                      ผมกวาดสายตาไปรอบร้านเล็ก ๆ (แต่อบอุ่น) ก็พบว่ามีผมกับเขาแค่สองคน
                     “ ขอคาปูชิโน่แก้วนึงครับ ” ผมเริ่มหนาวสั่นเพราะสภาพที่เปียกปอนและแอร์ของร้านเป็นเหตุ เลยอยากดื่มอะไรร้อน ๆ เพื่อไล่ความหนาวเหน็บที่กำลังจู่โจมล้อมตัวผมอยู่
                     “ ครับ สักครู่นะครับ ” เขาตอบรับคำผมพร้อมลงมือชงการแฟอย่างคล่องแคล่ว

                     ผมเดินเข้าไปโต๊ะมุมในสุดของร้านเพื่อหลบแอร์ และนั่งหนาวอยู่อย่างนั้น และไม่นานนักหนุ่มคนนี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับกาแฟคาปูชิโน่ที่ผมสั่งไว้
                      “ ได้แล้วครับ...” เขาวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าผม แล้วก็ถามผม “ พี่หนาวรึเปล่าเนี่ย ” ผมไม่ตอบแต่พยักหน้า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร...ได้แต่ยิ้ม ๆ

                    แล้วเขาก็เดินหายไปหลังร้านและออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนนึง แล้วยื่นมาให้ผม
                    “ เดี๋ยวไม่สบายเอานะครับ แอร์ร้านผมแรง ” เขายิ้ม ผมหัวเราะ แล้วผมก็รับผ้าขนหนูมาซับหัวที่เปียกชุม พร้อมกับมองหน้าใส ๆ ของเขาไป
                    “ มองอะไรเหรอพี่ ” เขาถาม
                    “ มองคนชงการแฟไง ” ผมตอบ

                    และนี่คือบทสนาแรกของเราสองคนระหว่างหนุ่มออฟฟิสกับเด็กชงกาแฟ ในวันฝนตกหนักกลางเดือนสิงหาคม

                    เฮ่อ...นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ยังกลัวอาถรรพ์หน้าฝนกลับมาเล่นงานผมอีกครั้งเหมือนกัน

                    เอาหล่ะ   ผมขอเวลาส่วนตัวสักนิดเพื่อจิบกาแฟและมองหน้าเจ้าของร้านกาแฟสักพักนะนึงครับ

                                                                                            -2-

      วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมโกหกกับเจ้านายของตัวเอง...ผมโทรศัพท์ไปบอกเจ้านายที่ออฟฟิสว่า ตอนนี้ติดฝนอยู่แถว ๆ บางนา ซึ่งเป็นที่ที่ผมไปพบลูกค้า แถมฝนแถวนี้ตกหนักมากเสียจนผมฝ่าฝนกลับไปไม่ได้ ถึงกลับไปก็คงถึงออฟฟิสตอนเลิกงานแล้ว เจ้านายของผมเห็นใจ แถมบอกว่าไม่เป็นไร ค่อยกลับมาเคลียร์งานในวันพรุ่งนี้ก็ได้

                     ความเป็นจริงแล้วผมอยู่ใกล้ ๆ ออฟฟิสแล้วหล่ะ  เพียงแต่อยากจะหยุดเวลาไว้ที่ร้านกาแฟกับเจ้าของร้านหน้าใสต่างหาก  อยากจะอู้สักวันเพื่อตามเสียงเรียกร้องของหัวใจที่หยุดพักร้อนมานานแล้วนั่นเอง

                     บทสนทนาง่าย ๆ ระหว่างเราสองคนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปโดยไม่มีใครมาขัดจังหวะ เราทั้งสองคน  วันนั้น  ผมก็เลยขอบคุณฝนที่ตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาที่กั้นเราสองคนออกจากโลกภายนอก

                     เขาชื่อน้องเต้ครับ อายุเพิ่งจะ 20  กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ความที่เป็นคนชอบรสชาติและความหอมเย้ายวนของการแฟ เขาเลยลงทุนเปิดร้านกับเพื่อนอีกสองคนจากเงินเก็บของเขาและเพื่อน ๆ  โดยที่เขานั้นจะเป็นคนดูแลร้าน รวมทั้งทำหน้าที่ชงกาแฟให้กับบรรดาลูกค้าด้วยบรรยากาศในร้านที่ดูอบอุ่นเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของเพื่อน ๆ ที่ช่วยกันทำขึ้นมา แม้ว่าจะไม่หรูหราเหมือนกับร้านกาแฟทั่วไปในย่านธุรกิจอย่างสีลมก็ตาม แต่ก็อบอุ่นเหมือนกับเราชงกาแฟดื่มเองที่บ้านเลยทีเดียว

                     เขาเป็นคนที่อารมณ์ดีมาก ๆ เรียกเสียงหัวเราะให้กับผมได้ตลอดเวลาที่เราคุยกัน  ภายนอกอาจจะเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปด้วยการแต่งตัวแบบ “เด็กสยาม”  แต่ความคิดความอ่านของน้องเต้ กลับตรงข้ามกับภายนอกที่ผมเห็นอยู่  ความคิดโตเกินวัย และผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน เท่าที่ผมสังเกตน้องเขาน่าจะโตมาจากครอบครัวที่มี่พ่อแม่หัวทันสมัยพอควร ที่กล้าเลี้ยงลูกอย่างอิสระ ให้คิดให้ตัดสินใจด้วยตัวเองมาตลอด

                    “ ผมอยากเก็บเงินได้สักก้อนไปเที่ยวฝรั่งเศสสักเดือนสองสามเดือน” นี่คือคำตอบของน้องเต้ที่บอกกับผม หลังจากที่ผมถามว่าทำไมต้องทำงานหาเงินตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

                    ใช่   ผมเคยคิดเหมือนกันว่าอยากจะทำงานเก็บเงินไปเที่ยวเพื่อเปิดหูเปิดตาไปเที่ยวในช่วงปิดเทอมตั้งแต่สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ก็ต้องพับโครงการไป เพราะแค่เรียนกับการทำกิจกรรมก็หมดเวลาที่จะไปทำงานพิเศษแล้ว และถ้าได้ทำจริง ๆ ก็คงมีเงินไปเที่ยวได้ไม่นานเท่าไหร่

                    “ แล้วทำไมถึงอยากไปฝรั่งเศสหล่ะครับ ” ผมถาม

                    “ มันโรแมนติกดีพี่...แถมมีร้านกาแฟเยอะแยะไปหมด...บางทีผมอาจจะได้เจอปารีเซียงสักคนที่พาผมไปรู้จักทุกแง่ทุกมุมของปารีส และก็พาผมไปดูงานศิลป์สวย ๆ ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น”  แววตาของน้องเต้เป็นประกายขึ้นมาทันที

                    วันนั้นผมใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อพูดคุยและทำความรู้จักกับเขา จนนาฬิกาฟ้องผมว่า  ‘ตอนนี้ต้องกลับบ้านแล้ว’ ผมเลยต้องจ่ายค่ากาแฟถ้วยอร่อยและขอตัวกลับบ้าน ส่วนน้องเขาเองก็นึกขึ้นได้เหมือนกันว่าได้เวลาที่จะต้องเก็บร้านแล้วเหมือนกัน

                                                                                          -3-

                     ถึงตอนนี้...วันนี้...ผมเพิ่งจะใช้เวลาในช่วงบ่ายแค่ไม่กี่นาที ระหว่างที่ผมนั่งจิบกาแฟอยู่นั้นก็พลางนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่เกิดขึ้นในร้านกาแฟแห่งนี้ เพราะปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แม้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะตื่นเต้นหรือน่าประทับใจอะไรมากมายก็ตาม แต่ผมก็อยากลองดื่มด่ำอยู่กับอดีตที่มันไม่หวือหวาดูบ้าง  ระหว่างผมกับน้องเต้ตอนนี้คงไม่มีอะไรเกิดกว่าการเป็นคนรู้จักกัน  ผมเองอาจจะอยู่ในฐานะลูกค้า หรืออาจจะอยู่ในฐานะของรุ่นพี่ของเขา แต่ผมเองกลับมีความรู้สึกว่าน้องเต้อยู่ในฐานะคนพิเศษของผม

                      ...แต่ผมไม่กล้าที่จะจู่โจมหรือบอกเขาตรง ๆ หรอก เพราะว่าเวลาที่ผ่านมา ทั้งผมและเขาก็ยังรู้จักกันไม่ดีพอ เรื่องราวที่เราพูดคุยกันมักจะเป็นเรื่องทั่วไป  และก็ไม่ค่อยได้พูดคุยแบบจริงจัง    ( ในเรื่องทั่วไปนั่นแหละ ) กันเท่าไหร่ น้องเต้เองก็มีคนเข้ามาดื่มกาแฟทั้งวัน เรียกได้ว่าขายดีกันตลอดทั้งวัน

                      ฝนพรำอีกแล้ว...เฮ่อ...ไม่รู้ว่าเรื่องราวอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่สายฝนผ่านไป แสงแดดใส ฟ้าสวย รุ้งงาม...หรือจะมีพายุจากทะเลจีนใต้พัดเข้ามาสมทบอีกลูกหรือเปล่าผมไม่อาจรู้ได้เลยจริง ๆ เพียงแค่หวังเอาว่าน้องเต้จะมาเป้นคนล้างซวยเรื่องความรักในชีวิตผมมันก็คงจะมากเกินไปแล้ว หล่ะ

                      มองนาฬิกาแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าออฟฟิสไปทำงานแล้ว...งานยังเหลืออีกแสนแปด ถ้าไม่รีบทำตัวให้เป็นที่รักของเจ้านายแล้ว โบนัสปลายปีนี้อาจจะถูกหั่นลงไปได้

                      ผมเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ น้องเต้รับเงินแล้วก็คิดเงิน พร้อมยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้กพร้อมกับใบเสร็จรับเงิน ผมทำหน้างง ๆ แต่ก็รับมา น้องเต้เห็นหน้างง ๆ ของผมแล้วก็แซวว่า

                     “ พี่ครับฝากเล่นบนดินด้วยนะพี่ ตามโพยที่ผมฝากไปนั่นแหละ ”

                                                                                     -4-

      ผมรีบเก็บกระดาษเล็ก ๆ นั้นใส่กระเป๋าตังค์แล้วก็เดินเข้าออฟฟิส ยังคงปล่อยให้ข้อความในกระดาษนั้นยังคงเป็นความลับอยู่จนกว่าจะไปถึงโต๊ะทำงาน  แต่พอไปถึงที่โต๊ะทำงาน กระดาษโน้ตมากมายหลายสิบแผ่นถูกแปะไว้เต็มกระจกคั่นโต๊ะ

                     และนั่นคืองานพี่เพิ่มขึ้น ที่ผมต้องจัดการให้เสร็จก่อนเลิกงาน!!!

                     นะ...ฟ้าช่างแกล้งผมได้ลงคอ   งานผมเพิ่งจะเคลียร์ไปแล้วรอบนึง ทำไมถึงได้มีงานใหม่เข้ามาเยอะได้รวดเร็วอย่างนี้นะ

                    (...)

                    ผมปล่อยให้เวลาทั้งหมดในบ่ายวันนั้นที่มีแต่สายฝนเป็นเวลาแห่งการสะสางงานที่คั่งค้าง

                    และผมก็ลืมอ่านข้อความที่น้องเต้ฝากมาเสียสนิท...

      19.00 น.
                      สุดท้ายผมก็ชิ่งออกมาก่อน แม้ว่าจะเหลืองานอีกหลายชิ้น เพราะตอนนี้ผมล้ามากแล้ว และก็ไม่อยากที่จะเป็นคนปิดออฟฟิสเหมือนกับวันก่อน ๆอีกแล้ว พอเดินออกมาจากตึกเพื่อเดินไปสถานีรถไฟฟ้าเพื่อที่จะกลับบ้าน ผมก็ล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาเพื่อหยิบบัตรรถไฟฟ้า ผมก็เห็นกระดาษที่น้องเต้ฝากข้อความมาให้ ด้วยความรีบร้อนเลยรีบคลี่กระดาษออกมาดู

                     “ วันนี้วันเกิดผม อยากชวนพี่ไปเที่ยวเป็นเพื่อน เจอกันที่สวนสันติฯ  ทุ่มครึ่งนะครับ ”

                      เอาแล้ว! เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเดียวเท่านั้น ผมจะไปทันนัดของน้องเต้มั้ยเนี่ย...ผมรีบขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปลงสถานีอนุสาวรีย์ฯ
          
                      พอถึงอนุสาวรีย์ชัยตอนเกือบ ๆ ทุ่มครึ่ง ผมก็รีบต่อรถแท็กซี่เพื่อไปยังที่นัดหมาย เพราะยังไง ๆ ผมก็เชื่อว่านั่งรถแท็กซี่มันก็ต้องเร็วกว่านั่งรถเมล์อยู่แล้ว อย่างน้อยถึงแม้ว่ารถจะติดอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะทำให้ผมไปถึงที่หมายช้าไปมากเท่าไหร่นัก

          แต่ผิดคาด แค่ไปโผล่แถว ๆ ถนนศรีอยุธยาก็ติดหนึบซะแล้ว...ผมเองใจก็เริ่มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลัวว่าจะผิดนัด แล้วจะทำให้น้องเต้เขา...ผิดหวัง ( ในตัวผม )

          ...ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้กลัวนั่นกลัวนี่นัก...

          สุดท้ายผมก็ไปถึงที่สวนสันติตอนเกือบๆ 3 ทุ่ม โชคดีที่รถยังไม่ติดมาก และคนขับก็ใจดี รู้ว่าผมรีบ ก็เลยเร่งทำเวลาให้ แต่กว่าจะมาถึงได้เวลาก็ล่วงไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
          
                       ผมเดินตรงเข้าไปในสวน  มองเห็นกิจกรรมของเด็กแนวที่หลากหลายในแถวนี้ก็ยังไม่เลิกรา ชีวิตชีวาของสวนสาธารณะแห่งนี้จึงยังไม่หยุดลงไปง่าย ๆ ...อีกอย่าง มาที่นี่ผมก็เขิน ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเสื้อผ้าที่ผมใส่ มันไม่เข้ากับบรรยากาศ “แนว ๆ” ของคนแถวนี้ซะด้วย   ผมกวาดสายตามองหาเจ้าของนัดไปรอบ ๆ สวนแต่ก็ยังหาไม่เจอ เดินอยู่หลายรอบ ทุกซอก ทุกมุม แต่ก็ยังไม่เจอ ผมยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว สงสัยว่าน้องเต้คงจะกลับบ้านไปแล้ว...ก็แหงสิ  ผมมาช้าตั้งขนาดนั้นเขาคงไม่รอหรอก...และยิ่งมาทำเสียเรื่องในวันพิเศษ ๆ ของน้องเขาด้วย...ผมเลยตัดสินใจนั่งพักอยู่ตรงม้านั่งใกล้ ๆ แม่น้ำเจ้าพระยา

          แย่จัง...เรื่องที่ผมคงต้องสาปกับสายฝนคงจะต้องอยู่กับผมไปตลอดแน่ ๆ

          ผมไม่ได้ห่วงว่าชาตินี้ผมจะไม่มีใคร

          แต่...ผมห่วงน้องเต้ ห่วงความรู้สึกของเขาต่างหาก

          ...ผมไม่อยากปฏิเสธหัวใจตัวเองว่า ตอนนี้ผมอยากรู้จักใจและอยู่ใกล้ ๆ น้องเต้มากกว่าที่เคยผ่านมา

          ใช่...ใช่...และใช่ ผมชอบน้องเต้   และเก็บความรู้สึกนี้มานานแล้วด้วย   ผมเชื่อจริง ๆ ว่าเขาเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าผมคิดยังไง   แต่ผมไม่รู้ว่าในใจของอีกฝ่ายมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากผมหรือไม่   เพราะภายใต้ความสดใสของน้องเต้ คือความลึกลับ...ที่ซ่อนอยู่ในเสียงหัวเราะของเขาคือความเงียบงัน...

          ถ้าวันพรุ่งนี้ผมเจอเขาที่ร้าน ผมจะพูดกับเขาว่ายังไงดีนะ... ‘ ขอโทษนะเต้ คือเมื่อคืนพี่ต้องทำงานให้จบ ’ หรือ ‘ พี่ลืมอ่านกระดาษโน้ตที่เราให้มาหน่ะ...ขอโทษนะ ’  

          จะพูดยังไง ๆ ก็ดูไม่ดีทั้งนั้น  ถ้าเป็นผม ผมเองก็คงรู้สึกผิดหวังไม่จากน้องเต้อย่างแน่นอน

      “ เฮ้! พี่พล! ” เสียงของคนที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของผม

      ไม่ผิดแน่ ๆ ต้องเป็นน้องเต้แน่นอน...ผมเลยหันหลังไปมองเจ้าของเสียง

                       น้องเต้จริง ๆ ด้วยครับ...
                       “ พี่นึกว่าเรากลับไปแล้วนะเนี่ย ” ผมพูดออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างสบายใจ ผมสังเกตเห็นแก้วกาแฟที่ถือติดมือเขามาด้วย สงสัยว่าคงไปหาอะไรกินมาแน่ ๆ

                      “ ป่าวพี่ ผมหิว เลยไปหาอะไรกินหน่ะ  รู้หรอกว่าพี่งานเยอะ เลยเผื่อเวลาไว้หน่ะ ” เขาตอบแล้วเขาก็เดินมานั่งข้าง ๆ ผม พร้อมกับว่างแก้วกาแฟลงคั่นระหว่างเราสองคน   ช่องว่างระหว่างการสนทนาระหว่างเรากฌทำให้ผมได้ยินเสียงเพลงฮิพฮอพของเด็กแนวแถวนี้ ดังมาแว่ว ๆ ผสานกับเสียงจอแจที่มาจากบรรยากาศรอบด้านของสวนสาธารณะ

                     “ วันนี้วันเกิดเราเหรอ ” ผมเริ่มต้นกระเพื่อมหัวใจของตัวเองให้ทำงานเร็วขึ้นด้วยคำถามที่แสนจะเชยเหลือเกิน แต่มันก็ดีกว่าที่จะปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ไปเรื่อย ๆ แบบนี้

                    “ อื้ม ” เขาพูดตอบรับคำถามของผมเบา ๆ แต่กระนั้น   ผมเองก็ยังได้ยินอยู่ว่าเขาพูดอะไร  แต่ไม่ใจในความรู้สึกที่แฝงมากับน้ำเสียงนั้นเท่าไหร่นัก  จะเรียกว่าความสามารถในการประเมินความรู้สึกจากคำพูดของคนอื่นที่ผมเคยมีอยู่ ตอนนี้เกิดไม่ทำงานซะงั้น

                    “ แล้วทำไมถึงนัดพี่มาที่นี่หล่ะ...” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจ  ด้วยลมหายใจที่เริ่มขาดเป็นห้วง ๆ

                    “ อยากได้ของขวัญจากพี่หน่ะดิ ” เขาหันมายิ้ม  ทำให้ผมเริ่มใจชื้นขึ้น  แล้วผมก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ...เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จะเรียกว่าหัวเราะแก้เก้อก็ได้

                   “ ขำไรพี่...” น้องเต้หันมามองหน้าผมแบบเอาจริงเอาจัง

                  “ ป่าว...” ผมหยุดหัวเราะ  และหันไปประสานสายตากับน้องเต้

                   “ แล้วเราอยากจะได้อะไรหล่ะ ” ผมถามด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็นไปพร้อม ๆ กัน เพราะอะไรที่น้องเต้อยากได้...ผมเองก็อยากจะมอบสิ่งนั้นให้กับเขา

                   น้องเต้ไม่ตอบแต่จับมือของผมไว้  ผมอึ้งเล็กน้อย...เพราะไม่รู้จะทำตัวยังไง  สายตาของเราต่างประสานกัน เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้สายตาสื่อสารเพื่อบ่งบอกความรู้สึกที่อยู่ในใจของกันและกันอย่างเต็มที่ โลกที่กำลังหมุนอยู่ก็กลับหยุดลง เราอาจจะใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่มองตากัน แต่สำหรับผม มันคือช่วงเวลาที่ลึกซึ้งยาวนาน  มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เต็มอิ่ม สมบูรณ์ และสุข...สุขเสียจนพูดออกมาเป็นคำพูดได้ไม่ครบถ้วน

                  “ พี่พลรู้มั้ยว่า ผมอยากที่จะบอกเรื่องนี้กับพี่มานานแล้ว...แต่ผมเองยังไม่มั่นใจกับตัวเอง ผมยังไม่มั่นใจในตัวพี่...มันคงจะเร็วเกินไปที่จะใช้เวลาไม่เท่าไหร่บอกชอบพี่ ” น้องเต้จับมือของผมแน่นขึ้นมากกว่าเดิม  บ่งบอกถึงความรู้สึกที่จริงจัง และต้องการความมั่นใจ

                   ผมเลยพลิกมือที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของผมแล้วเอานิ้วสอดประสานให้แนบแน่นกับทุกนิ้วมือของเขา เราเงียบอยู่นานเพื่อซึมซับความรู้สึกของกันและกัน   ไออุ่นจากมือนุ่ม ๆ ของน้องเต้ถ่ายทอดมาสู่ใจผมอย่างมากมายเหลือเกิน  จนความขลาดกลัวของผมในการที่เปิดใจพูดคุยกับน้องเต้ได้อันตรธานไป  กลับกลายเป็นความอบอุ่นและความจริงใจที่เข้ามาแทน  และอยากจะมอบความรู้สึกนี้ให้กับเขาจนหมดหัวใจของผมเลย

                 “ พี่ก็มองเราอยู่นานเหมือนกัน...แต่พี่เองก็ไม่แน่ใจว่าเราจะคิดเหมือนกันกับพี่มั้ย ” ลมหายใจของผมขาดหายไปอีกครั้ง  เหมือนกับจะหยุดเต้นเสียให้ได้...ผมได้ยินสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นถี่ขึ้นชัดเจนกว่าทุกครั้งที่มันเคยเกิดขึ้นในชีวิต

                    น้องเต้ขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น จนทำให้เราสองคนเหมือนกับเป็นคนคนเดียวกัน  แล้วเขาก็เอนหัวลงมาซบที่ไหลของผม พร้อมกับเอนหัวของตัวเองลงมาเพื่อให้เราใกล้ชิดขึ้น  ตอนนี้ผมรู้สึกเลยว่า...เราสองคนกำลังใช้ลมหายใจเดียวกัน  และต่างมีชีวิตของกันและกันอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกในตอนนี้  

                    “ พี่พลครับ  พี่ยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย ”

                   “ อื้ม ” ผมใช้เสียงจากลำคอที่เบาจนแทบจะหายไปกับสายลมให้เป็นคำตอบกับเขา ผมหลับตาลงเบา ๆ แล้วนึกถึงวันแรกที่เราเจอกัน...

                   “ วันนั้นฝนตกหนัก แล้วพี่ก็ฝ่าสายฝนจนมาเจอกับผมจนได้  ตอนนั้นเหมือนว่าทำให้ผมได้รู้สึกว่าผมยังมีหวังที่ความรักของผมจะไม่จากไปเหมือนกับสายฝนในครั้งก่อน   ตอนนี้...ผมหวังว่าพี่จะไม่เดินหายไปกับสายฝนนะ...ผมกลัวบรรยากาศเศร้า ๆ ของหน้าฝนจัง...กลัวว่าพี่จะหายไป กลัวว่าเราจะไม่ได้เจอกันเหมือนที่เคยผ่านมา ”

                   ผมอดที่จะปล่อยน้ำตาแห่งความตื้นตันออกมาไม่ได้   เราคงจะเกิดมาเพื่อทำให้ฤดูฝนในชีวิตของกันและกันไม่มีแต่เรื่องที่น่าเศร้าเสียใจกันอีกต่อไป

                  “ พี่ก็หวังเหมือนกันว่าต่อจากนี้เราจะเดินฝ่าสายฝนด้วยกันตลอดไป...และพี่ก็เชื่อว่าเรื่องราวเศร้า ๆ ของเรากับสายฝนคงจะหยุดกันซะที ”  และผมก็ก้มหน้ามาจูบแก้มน้องเต้เบา ๆ เพื่อเป็นสิ่งยืนยันจากใจว่าต่อจากวินาทีนี้ไป  เขาคือสายฝนที่ล้ำค่า  เย็นฉ่ำและหอมหวาน ที่ฟ้าประทานให้มาตกต้องอยู่ในใจของผมตลอดไป

      ...และแสงแดดที่อบอุ่นในวันฟ้าใส  คงเป็นโลกใบใหม่สำหรับผม

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×