ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Code: Secret Moon

    ลำดับตอนที่ #2 : Code 01 ฟูว่า

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ย. 54


    Code: Secret Moon

     

     

     

    ในโลก... ที่ยังคงมีดาบและเวทมนต์  ในโลกที่เต็มไปด้วยจักรกล ในยุดที่ทุกสิ่งทุกอย่างไหลมาบรรจบกัน สัญญาที่บอกว่า จะชดเชยชีวิตที่ขาดไป ถูกฉีกขาดลง พร้อมกับวันเวลาอันแสนสงบสุข วันเวลาแห่งการฆ่าฟัน การหักหลัง ทรยศเพื่อนพ้อง ความเห็นแก่ตัว สงครามนองเลือด หวนกลับมาอีกครั้ง

     

    Code01 ฟูว่า

     

    เสียงโซ่ตรวนกระทบกันเพียงแค่ผมขยับตัวเท่านั้น... ที่นี่ที่ไหนกันนะ? ผมลืมตาขึ้นมาเพราะหายใจติดขัดแต่พอจะหันไปมองๆรอบๆกลับทำไม่ได้เหมือนมีอะไรซักอย่างล็อกคอกับหน้าท่อนล่างไว้ไม่ให้ขยับ.... ไม่ใช่แค่คอตามร่างกายก็ถูกมัดไว้ด้วยเข็มขัดหนังอย่างแน่นหนาปิดผนึกอีกชั้นด้วยโซ่โลหะหนาๆที่ตรึงผมไว้ให้ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด ยังไม่ชินซักที บางทีนะนี่อาจจะเป็นโลกหลังความตายก็ได้อาจจะเป็นนรกหรืออะไรทำนองนี้ ผมหลับตาลง ไม่ว่าจะพยายามลืมตาตื่นซักกี่ครั้งก็จะพบเพียงโซ่ตรวนกับความมืดมิด ถึงร่างกายจะอึดอัดเพราะโดนรัดแค่ไหนแต่พอลืมตาขึ้นมาก็จะพบแต่ความอ้างว้าง ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่มันเริ่มตอนไหนจำได้แค่ว่าไม่ว่าจะตื่นซักกี่ครั้ง

     

    ก็พบแต่ความเดียวดาย

     

    ทำไมผมไม่ตายๆไปซักทีนะ... ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมลืมตาขึ้นมาพบกับความมืดมิดและหลับตาลงอย่างเดียวดาย ไม่มีจุดหมายแล้วก็ไม่มีที่มา นานมาแล้วเท่าไหนและจะนานอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว นี่คือชีวิตของผม

     

    กึง.... เสียงบางอย่างกระแทกดังกังวาลไปทั่วแต่ทำไมเสียงมันดูอู้ๆอี้ๆฟังไม่ค่อยถนัดเลยนะ เสียงนั้นดังเป็นครั้งที่สอง กังวานก้องกว่าครั้งที่แล้ว นี่เป็นสิ่งแปลกใหม่ตั้งแต่ผมมีชีวิตอยู่มา ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นเป็นครั้งที่สามความรู้สึกที่รุนแรงมากก็แผร่ไปทั่วร่างกายของผมฉุดให้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างเพลียๆ เหมือนกับทุกสิ่งรอบตัวกำลังไหลผ่านผมไปพร้อมกับพยายามกระชากให้ผมตามไปด้วยเพียงแต่โซ่ตรวนเท่านั้นที่รั้งผมไหวอยู่ไม่ให้ตามสายน้ำนั้นไป

     

    สายน้ำ?

     

    เหมือนผมถูหย่อนลงเล็กน้อยเข็มขัดที่รัดคอและใบหน้าถูกปลดลงให้ผมขยับคอได้สบายขึ้น สายลมแห่งความความหนาวเย็นพัดผ่านหน้าผมไปทิ้งเพียงความชาไว้ให้รู้สึกต่างหน้าเล่นๆ ใครบางคนกำลังก้าวเข้ามาในความมืดมิดแสงสว่างที่อยู่ทางด้านหลังเขาทำให้เกิดภาพย้อนแสงเห็นเป็นเพียงร่างเงาสีดำๆเท่านั้น

     

    พร้อมจะไปกันรึยัง.... Secret moon”

     

     

     

    เฮือก! ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ที่นี่มัน... ผมมองไปรอบๆทิวทัศน์แปลกใหม่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ผมตกใจนิดๆ ที่ผมนั่งอยู่คงเรียกว่าเตียงแล้วก็มีผ้าห่มนุ่มๆ ผมมองไปรอบๆห้องสีครีมนมที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย มีแต่ของใช้จำเป็นอย่างเช่นตู้ใส่เสื้อผ้าเท่านั้นที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนหน้านี่คงเป็นแค่ความฝันสุดทรมานเท่านั้นสินะ.... ผมก้มลงมองดูตัวเองก่อนจะอ้าปากกว้างจนครามค้าง

     

    นะ นี่มัน... ชุดนักโทษ!? หมายความว่าไง?

     

    ไงนักโทษที่อันตรายที่สุด Secret Moon บรรยายกาศนองคุกเป็นไงบ้าง...ชายหนุ่มยกศอกซ้ายขึ้นมาพิงกับประตูด้วยท่าทางเนือยๆ เขามีผมสีเงินและดวงตาสีเหลืองอำพัน คนนี้เป็นใครกันหรือว่า!? ชายคนทำให้ผมนึกถึงภาพย้อนแสงนั้น คนๆนี้คงเป็นคนเดียวกันสินะ

     

    คุณช่วยผม? ผมถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

     

    เปล่าแค่ไปรับช่วงต่อเท่านั้น.... แต่นึกไม่ถึงเลยว่านักโทษที่อันตรายที่สุดจะอายุแค่สิบสามเมื่อเห็นว่าผมไม่เข้าใจเขาก็พูดออกมาว่าช่างมันเถอะก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมเดินตามลงไปชั้นล่าง เห็นอย่างนั้นผมจึงปัดผ้าห่มออกที่ข้อเท้าข้างซ้ายของผมถูกรัดด้วยลูกตุ้มเหล็กหนักซึ่งเวลาจะเดินไปไหนคงต้องเอาเจ้าของหนักๆนี่ไปด้วยตลอดเวลา

     

    ในขณะที่ผมพยายามยกมันขึ้นชายคนนั้นก็โผล่หัวออกมาอีกครั้งพร้อมกับกุญแจดอกหนึ่ง ลืมไปเลย ฉันคงต้องปลดเจ้านี่ออกก่อนสินะ

     

     

     

    หลังจากนั้นเขาก็ชวนผมกินขนมและข้าวเช้า เขาพูดพร่ำว่าจะให้เรียกผมด้วยใบฉลากเขียนคำว่า Secret Moon มันก็ดูแปลกๆเลย เริ่มนึกชื่อออกมา แต่ละชื่อช่างฟังดูแปลกประหลาด ทั้งตัวชื่อและความหมาย ผมจึงส่ายหน้าจนในที่สุดเขาก็ตั้งชื่อมั่วๆขึ้นมาให้ผม ก่อนจะเล่าเรื่องราวต่างๆรอบตัวให้ผมฟังอย่างสนุกสนาน ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้าขี้เล่นกลายเป็นสีหน้าจริงจังทำให้บรรยายกาศตึงเครียดขึ้นมาในทันที ผมวางถ้วยชาลงบนที่รอง

     

    ยังไงก็เถอะ ช่วยฉันเรื่องนึงได้ไหม... ฟูว่าเป็นชื่อที่เขาตั้งมั่วๆให้ผม เขาสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันก่อนจะวางศอกลงบนโต๊ะ เขาขอร้องผมงั้นหรอ? พอเขาพูดจบก็หยิบห่อๆหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ...

     

    บรรยายกาศตรึงเครียดแบบนี้ หอแบบนี้ สีหน้าแบบนี้ สถานะ ของเราตอนนี้ ให้เราเอาชิ้นส่วนศพไปซ่อนงั้นเรอะ! ผมยื่นมือไปหยิบห่อนั้นขึ้นมาแกะออก... อ้าวชุดนักเรียนนี่หว่า

     

    ช่วยเข้าไปดูในสถานศึกษาพร้อมเก็บเกี่ยวความรู้มาหน่อยสิชายผมหยักศกสีเงินเป็นสาหร่ายนั่งเท้าคางไขว้ห้างก่อนจะหรี่ดวงตาสีอำพันลง... จะให้ผมไปเรียนสินะ

     

    ได้ครับผมตอบด้วยใบหน้านิ่งๆ คนๆนี้ช่างดีกับผมเหลือเกิน เขาคือมนุษย์คนแรกที่ผมเจอ... แล้วสถานศึกษานี่คงจะเป็นที่ๆเราไปเก็บเกี่ยวความรู้มาสินะ! ผมตั้งมั่นกับตัวเอง

     

    แล้วต่อจากนี้เป็นต้นไปเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ ฉันคือปะป๊าของนาย เขาฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยน เข้าใจล่ะที่แท้เขาเป็นคนคลอดผมออกมานี่เอง (เข้าใจผิดแล้วโว้ย!) ผมพยักหน้าเบาๆ

     

    ช่วยหน่อยนะ

     

     

     

    เขาเดินมาส่งผมที่หน้าประตูรั้วของสิ่งที่เรียกว่าโรงเรียนสายลมเย็นสบายพัดผมสีดำของผมพริ้วไหว เมื่อระฆังตีบอกถึงเวลาเปิดทำการประตูรั้วโลหะสีดำลายไม้พันธุ์ประหลาดก็เปิดออกต้อนรับให้ผู้คนหลั่งไหลกันเข้าไปชนิดที่ว่าผมไม่ต้องเดินก็ถูกคนเบียดอัดให้เข้าไปแล้ว แต่พอเหตูการณ์นี้เริ่มได้เพียงไม่กี่นาทีเสียงน่าเกรงขามก็ดังขึ้นทำให้ทุกคนหยุดการกระทำทุกอย่างลง

     

    กรุณา เข้าแถวเพื่อความเป็นระเบียบด้วยค่ะไม่งั้นดิฉันจะถือว่าคุณสละสิทธิในการสอบคัดเลือกครั้งนี่!” เด็กสาวถือโทรโข่งเท้าสะเอววางอำนาจเต็มที่พอผมเห็นแล้วก็เผลอกลืนน้ำลายลงคอดัง อึก แต่คำพูดของเด็กสาวทำให้ผมสบายขึ้นมากเพราะทุกคนขยายช่องว่างมากขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเดินเรียงแถวกันเข้าไป

     

    เมื่อถึงห้องโถงรับรองสุดอลังกาลงานสร้างหรูหราสไตล์ปราสาทยุโรบยุคกลาง ห้องใหญ่พอที่จะบรรจุคนทั้งหมดไว้ดูๆแล้วมีที่ว่างเหลือด้วยซ้ำ เมื่อเด็กสาวเข้าไปในห้องก็มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมารับช่วงต่อแทน เธอจะประกาศชื่อแล้วให้ขานรับก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่เด็กผู้หญิงคนนั้นเข้าไป เมื่อคนแรกเข้าไปได้ซักพักก็เดินออกมา ด้วยสีหน้าจ๋อยสนิท ผ่านไปได้ซักชั่วโมงสองชั่วโมง ทั้งห้องก็เหลือ เพียงผมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าของเขาจดจ้องอยู่ที่ประตูอย่างตื่นเต้น แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆกับคนๆเหมือนจะกลัวก็ไม่ใช่มิตรก็ไม่เชิง และเมื่อ หญิงสาวเอ่ยชื่อของผมออกมาก็ต้องละสายตาจากเด็กชายแปลกๆคนนั้นแล้วเดินเข้าห้องไป

     

    เด็กสาวคนที่เคยถึงโทรโข่งตะโกน บัดนี้เธอนั่งยิ้มอย่างเป็นมิตรอยู่ตรงหน้าของผม ก่อนจะบอกให้ผมเริ่มการทดสอบพลางผายมือไปที่แท่นศิลาตรงหน้าของผม ที่ถูกแกะสลักเป็นวงเวทบางอย่างที่ดูคุ้นตา เมื่อผมเงยหน้ามึนๆขึ้นมาเธอก็หัวเราะก่อนจะอ้าปากอธิบาย

     

    นี่นายมาจากที่ไหนเนี่ยไมรู้จักศลาแห่งการทดสอบหรอ?ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ตรงหน้าของนายคือศิลาแห่งการทดสอบ วงเวท ที่สลักอยู่บนศิลานั้นเป็นวงเวทที่ไว้ใช้วัดความสามารถด้านต่างๆน่ะ นายแค่เอามือทาบตรงกลางก็พอแล้วเธอหัวเราะคิกคักมีอะไรตลกนักหนา? ผมเลยเลิกสนใจแล้ววางมือทาบลงตรงกลางวงเวท มันสว่างขึ้นไล่ตั้งแต่จุดที่ผมสำผัสจนกระทั้งทั่วทั่งศิลา ทันใดนั้นจอภาพโฮโลแกรมประมาณห้าจอก็ปรากฏขึ้นลอยล้อมรอบเด็กสาว เธอมองมันอย่างละเอียดก่อนจะพับมันใส่ลงบนโต๊ะของเธอ

     

    ขั้นแรกถือว่าผ่านพูดอย่างนี้แสดงว่ายังมีขั้นต่อไปสินะ อืมๆ

     

    ขั้นสุดท้ายนี้จะตัดสินว่าเธอเหมาะสมจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนเรารึเปล่า พอเธอพูดจบวงเวทบนศิลาก็สว่างวาบทั้งๆที่ผมยังไม่ได้สำผัส และเมื่อแสงของมันอ่อนลงผมก็พบว่ารูปแบบของมันเปลี่ยนไป เธอบอกว่านี่คือวงเวทแห่งการทำพันธสัญญากับศาสตรา ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรแล้วก็ไม่ต้องเข้าโรงเรียนด้วย แล้วผมจะไม่ทำได้ยังไงเล่า! เพียงแค่สำผัสแท่นศิลาแล้วอ่านประโยคบนจอโฮโลแกรมให้จบ ก็เป็นอันเสร...

     

    ฟริ้ง! ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือข้างขวาของผม เหลือเชื่อมาได้ไงเนี่ย! แถมในมือซ้ายของผมยังมีคทาปรากฏขึ้นตามมาอีก เมื่อลองสังเกตุดีๆแล้วทั้งดาบและคทานี้ก็ต่างห้อยพวงกุญแจไว้ด้วย เป็นกุญแจแบบกันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันนี้ ที่ดาบนั้นห้องพวกกุญแจนี้ไว้ที่ก้นด้ามจับส่วนคทานั้นห้องตรงข้อต่อระหว่างคริสตัลกับตัวแท่งโลหะ

     

    สะ สองชิ้นเลย!” เธอมองผมด้วยความตกใจไม่แพ้กัน อ้าว... นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรอ? ผมก้มลงมองศาสตราสองชิ้นในมือทั้งสองข้าง มันค่อนข้างจะหนักพอสมควร ไม่สิ หนักจนยกไม่ขึ้นเลย! ในที่สุดแรงแขนของผมก็สุดไม่ไหวคลายมือออกจนอาวุธทั้งสองชิ้นตกกระทบพื้นแล้วสลายไป นี่... อาวุธมันเปราะบางขนาดนี้เลยหรอ?

     

    อะแฮ่มๆ!” เธอเค่นเสียงไอก่อนจะสานมืนกันวางไว้บนโต๊ะเป็นการสร้างบรรยายกาศตรึงเครียดที่ทำให้ผมลุ้นระทึกจนหัวใจเต้นตึกตัก... นี่ถ้าผมสอบไม่ติดจะโดนว่าไหมหนอ?

     

    เธอสอบผ่านฉลุย!” เธอทุบโต๊ะเสียดังจนผมเผลอสะดุ้งเฮือกตกใจอย่างแรง นี่ถ้าผมหัวใจวายขึ้นมาแล้วใครจะรับผิดชอบละเนี่ย เธอบอกว่าเจอกันตอนเปิดเทอมนะค่ะ ผมปิดประตูห้องลงอย่างมีมารยาทแบบที่ปะป๊าสอนไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเด็กประหลาดเมื่อครู่ที่ลุกขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวแล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเสียงตวาดของเด็กสาวที่ลอดออกมา

     

    ...มันจะรอดไหมเนี่ย

     

    ผมชักเป็นห่วงแทนพ่อแม่ของเขาแล้วสิ หลังจากเดินพ้นจากประตูห้องโถงใหญ่ก็เห็นไคลอสปะป๊าของผมยืนรออยู่หน้ารั้วโรงเรียนด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส เป็นไงบ้างสอบผ่านไหมเอย? ท่าทีของปะป๊ากลับตรงกันข้ามเพียงผมพยักหน้าเบาๆ เขากลับตะโกนไชโยออกมาเสียงดังลั่นแล้วพาผมไปเลี้ยงไอติม

     

    หนึ่งเดือนที่ผ่านมามันช่างเป็นชีวิตที่มีความสุขจริงๆ การใช้ชีวิตในเมืองแห่งนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับที่ๆผมเคยอยู่ ที่นี่คงเป็นสวรรค์อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย ปะป๊าบอกว่าเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องระบบขนส่งน้ำจนกระทั้งได้ชื่อว่าเมืองแห่งน้ำ... ดูจากลักษณะเมืองก็คงรู้แล้ว ถนนแทบจะทุกสายของที่นี่ต้องมีทางน้ำเล็กๆที่สร้างขึ้นจากอิฐฝังลงบนหินหินของเมืองนี้ ยิ่งถ้าเป็นถนนสายหลักแล้วละก็คงต้องใช่คำว่า แม่น้ำที่สร้างขึ้นจากหินอ่อนแทนละมั้ง ผมนั่งขึ้นเรื่อยเปื่อยกไปพลางๆระหว่างนั่งกินไอติมบนสะพานแล้วมองสายน้ำไหลผ่านใต้เงาเท้าของตัวเองไปพร้อมๆกับสายลมเย็นๆที่พัดแตะหน้าทำให้หายเหนื่อยหลังจากช่วยปะป๊าขนของเข้าไปส่งในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

     

    ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามสดใสมีเมฆลอยตัวเอื้อยๆอยู่ทั่ว อยากให้เวลาหยุดลงที่ตรงนี้จังเลยจะได้มีความสุขตลอดไป... แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อพวกนั้นมาถึง

     

    ช่วงเย็นผมขออณุญาติปะป๊าออกมาเดินเล่นข้างนอกระหว่างทางขากลับนั้นผมก็เจอคนๆหนึ่งสะดุดตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนกำลังก้มหน้าซบรั้วโรงเรียนที่ผมเคยไปสอบมาเมื่อไม่นานมานี้ ที่แท้ก็คือเด็กชายแปลกๆคนนั้นแต่ว่า... ทำไม่ดูเศร้าผิดกับเมื่อเจอกันครั้งที่แล้วเลยนะ?

     

    นายมาทำอะไรที่นี่?ผมเดินเข้าไปทักเขาหันมาด้วยหน้าตางอแง้น้ำตานองเต็มหน้า นี่นายร้องไหยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงอีกนะเนี่ยผมพูดก่อนจะกระดกลูกอมเข้าปากในมือยังถือถุงใส่ขนมที่ไม่คิดจะแบ่งใคร

     

    ถ้าเป็นใครไม่มีที่เรียนก็ต้องร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้นละน่า นี่เพิ่งครั้งแรกเองเขายกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะสะบัดหัวแรงๆ แล้วจ้องหน้าผมเขม็ง นี่ฉันไปทำอะไรให้นายหรอ

     

    นะ นายห้ามไปบอกใครนะว่าฉันร้องไห! เข้าใจไหมเขากำชับผมอย่างหนักแน่นแต่ดูแล้วแฝงไปด้วยความเขินอาย เห็นอย่างนี่แล้วอดถอนหายใจไม่ได้แฮะ เฮ้อ...

     

    ลูกผู้ชายร้องไห ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอนะ...ว่าแต่ผมจำประโยคนี่มาจากไหนนะจู่ๆมันก็โผล่ขึ้นมาในหัวแล้วผมก็เผลอหลุดปากพูดออกไปหวังว่าคงไม่โดนว่านะ ผมอดเสียวไม่ได้ เรายืนนิ่งไปได้พูดอะไรไปพักใหญ่แล้วในที่สุดหมอนี่ก็ขาอ่อนฮวบปล่อยโฮออกมาเสียดัง... จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองหมายความว่าถ้าปล่อยให้หมอนี่ร้องไหต่อไปทุกคนคงเข้าใจผิดคิดว่าผมแกล้งเขาสินะ... ซึ่งหมายความผมต้องทำอย่างนั้นสินะ

     

    ผมย่อตัวลงแล้วลูบหลังของพลางพูดไปด้วยว่า ร้องออกมาไหหมดแบบดับเครื่องชนไปเลยอ๊ะ เมื่อกี้เหมือนโดนผีมังกะเข้าสิงชั่ววูบ ว่าแต่ ทำไมผมต้องมาทำอย่างนี้ด้วยผมไม่ใช่พ่อของเขานะ!

     

    น่าอายจริงๆผู้ชายอะไรร้องไหโฮจนต้องให้ผู้ชายด้วยกันเองมาปลอบ โฮะๆ โฮะๆเสียงหัวเราะกวนโซนประสาทนี่มันอะไรกันทำไมร่างกายมันถึงรู้สึกคันเท้าตะหงิดๆนะ? ผมลุกขึ้นไปยืนประจัญหน้ากับเด็กสาวที่... เอ่อ... ว่า ไงดีไม่อยากพูดแรงด้วย เอาเป็นว่าปากไม่ดีละกัน!

     

    ในเมื่อฉันอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว ถ้าฉันไม่ปลอบหมอนี่ แล้วใครจะมาปลอบผมผายมือข้างหนึ่งไปยังเด็กชายผมสีน้ำตาลที่เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้ก็พยายามกลั้นร้องไหสุดชีวิตเพราะกลัวขายหน้า

     

    อ่อนแอชะมัดเลยเธอยังคงทำสีหน้าดูถูก ถึงจะสวยแต่นิสัยไม่ดีผมก็ไม่คุยด้วยหรอกนะผมสีน้ำตาลถูกรวบมัดเป็นหางม้าตั้งสูงแล้วยังทิ้งปลายยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวอมชมพูดูเหมือนบำรุงมาดีเดาได้ว่าลูกคุณหนูชัวร์ แถมยัง ดวงตากลมโตน่ารักแต่ประสงค์ร้าย

     

    ช่างเหอะเขาพูดเสียงอ่อยเหมือนหมดแรงผมไม่หันกลับไปดู แต่บางสิ่งบอกให้ผม...

     

    ไม่ช่าง!” ตวาด...

     

    น้ำตาไม่ได้แสดงถึงความอ่อนแอแล้วมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องมากลั้นไว้ทุกครั้งซักหน่อย! ทำอย่างกับเธอเองไม่เคยร้องไหรึไง ทุกคนน่ะก็ต้องเคยร้องไหมาบ้างละนี่... ผมเถียงใครไปเนี่ย หวังลึกๆในใจว่าคงไม่ใช่คุณหนูจากตระกูลยากูซ่าที่ป๊าเคยเล่าหรอกนะ เพราะว่าตอนนี้มาดห้าวๆของเธอหายต๋อมไปไหนก็ไม่รู้เธอคงอึ้งที่ผมกล้าตวาดละมั้ง ผมตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก

     

    ขอบคุณนะ แต่พอแล้วละ เราไม่ได้รู้จักอะไรกันซักหน่อยเขาพยายามฉุดร่างไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นมา คงเป็นเพราะคำแนะนำของผมเขาเลยร้องไหจนไม่มีแรงจะยืน ผมดึงแขนของเขาขึ้นมาพาดบ่านายชื่ออะไร

     

    เวห์ ผมมองตรงไปยังเด็กสาวผมน้ำตาลก่อนจะเผลอพูดบางสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป

     

    เธอเองก็เหมือนกันถ้าอยากร้องไหก็รีบๆร้องซะก่อนจะไม่มีโอกาศได้ร้อง ผมพูดเรียบๆแล้วพยุงเด็กชายเดินผ่านเธอปทิ้งให้เธอยืนนิ่งอยู่อล่างนั้นแต่เดินผ่านไปได้ไม่กี่ก้าวเวห์ก็บอกว่าบ้านเขาอยู่อีกทางตะหาก! ให้ตายเถอะนี่ผมต้องเดินผ่านยัยนี่อีกรอบหรอ?ดีไม่ดีอาจ...

     

    ผัวะ... โดนตบ ตุบ ผมลงไปกองกับพื้นส่วนเวห์นั้นล้มโครม ผมเงยหน้าขึ้นมามองเธอ ที่เสแสร้งยิ้ม พร้อมกับคทาในมือที่ชี้มายังผมคทาแบบนั้นมันเหมือนกับตอนสอบเข้าไม่มีผิด... แล้วดูเหมือนเธอจะใช้เวทมนต์เป็นแถมคงไม่ใช่เวทมนต์สายรักษาแน่นอน เพราะตอนนี้เสาเพลิงสายหนึ่งปะทุขึ้นจากพื้นตรงหน้าของผม

     

    เวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ ผิดคาดผมสามารถเรียกศาสตราทั้งสองออกมาได้อย่างง่ายดายที่แรกนึกว่าจะยากกว่านี้ซะอีก ด้วยความตกใจทำให้ผมลืมเรื่องน้ำหนักของอาวุธทั้งสองชิ้นนี้ไปโดยทันที่เมื่อเธอยิงศรน้ำแข็งใส่ผมก็ตวัดคทาตัมันจนแตกก่อนจะอาศัยแรงเหวี่ยงจากการโจมตีครั้งนี้หมุนตัวกระโดดขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะฟาดอาวุธทั้งสองทาบกันเป็นกากบาทแต่เธอยกไม้คทาขึ้นมากันได้ทัน เอ่อ อย่าหาว่าผมคิดจะฝ่าเธอเป็นสองท่อนนะ! เพราะว่าที่ใช้ฟาดลงเป็นอันแรกเป็นคทาไม่ใช่ดาบ

     

    เมื่อรู้สึกว่าร่างกายกำลังจะลงสู่พื้นผมก็ออกแรงเฮือกสุดท้ายตวัดอาวุธทั้งสองข้างดีดตัวเองไปทางด้านหลังเพื่อตั้งหลักก่อนความปวดร้าวของกล้ามเนื้อจะทำให้ผมไม่สามารถยื้ออาวุธไว้ในมือต่อไปได้ ปล่อยมันลงกระทบพื้นแล้วสลายไป ผมนั่งฮอบแฮ่กๆอยู่ที่พื้น ศรน้ำแข็งพุ่งเข้ามา... นะ นี่กะฆ่ากันจริงๆเลยหรอ!

     

    ฉึบ... มีคนเข้ามาขวาง เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนที่เอาตัวเข้ามารับแทนดวงตาของผมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น...

     

    เรา...เขาพูดขึ้นก่อนจะมีเลือดหยดสองหยดแมะลงกับพื้น

     

    เป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหมน้ำเสียงของเขาฟังดูเจ็บปวดไม่ใช่น้อย เมื่อผมส่งเสียง อืม ออกไปก่อนมีเสียงเกร้งดังตามมาศรน้ำแข็งถูกโยนลงบนพื้นโดยมีคราบเลือดติดอยู่ด้วย

     

    เวห์ทำไมนายถึงต้องทำขนาดนี้ ผมอดถามด้วยเสียงสั่นๆไม้ได้เพราะเห็น... เลือด

     

    ก็เพื่อนกันนี่พูดจบเขาก็รับศรน้ำแข็งอีกดอกที่พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว เสียงน้ำแข็งบาดเนื้อดังขึ้นแล้วเขาก็ชูมือที่กำศรน้ำแข็งไว้แน่นขึ้นมา... เขารับมันได้อย่างง่ายดาย และทันทีที่เลือดของเขาหยดลงสู่พื้นร่างของเขาก็ถูกล้อมไปด้วยวงเวทสีฟ้า สายลมกระโชกพัดแรงขึ้น แล้วบางสิ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเวห์ผมเดาได้ว่ามันคือ อาวุธ ที่ต้องทำพันธสัญญาถึงจะเรียกออกมาได้ ถ้างั้นทำไมหมอนี้ถึงไม่มีโรงเรียนจะเรียนละ?

     

    ขอบอกว่าฉันน่ะสอบตกตั้งแต่วัดระดับความสามารถแล้ว! เพราะมันไม่ถึงเกษฑเวห์ทำน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะกำจนศรน้ำแข็งนั้นแตกสลายคามือ อาจจะเก๊กเท่อยู่ก็ได้ แต่ขอบอกว่าไม่เข้าสุดๆ ว่าแต่ทำไมถึงเรียกออกมาได้นะในเมื่อต้องทำพันธสัญญาก่อนนี่หน่าถึงจะเรียกอาวุธออกมาได้แต่ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เวห์เรียกออกมานั้นเป็นคทาหรือดาบในเมื่อมันยังส่องแสงสว่างอยู่เลยยังจับเคล้าโครงไม่ได้

     

    เมื่อเห็นอย่างนั้นเด็กสาวก็ทำท่าไม่สบอารมณ์ก่อนจะยิงเวทศรน้ำแข็งออกมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเวห์ต้องรับความบาดเจ็บนี้ด้วย แล้วผมก็เหลือบไปเห็ขอบตาแดงก่ำของฝ่ายตรงข้าม

     

    ถ้าอยากร้องไหออกมาละก็ร้องออกมาเลยสิ!” ผมกับเวห์ประสานเสียงก็ซึ่งผลตอบรับกลับตรงกันข้ามเธอโมโหโวยวายลั่นด้วยใบหน้าแดงก่ำก่อนจะระเบิดเวทไฟและน้ำแข็งออกมาพร้อมๆกัน นี่ยิงแก้เขินส์หรอ!? เมื่อตกอยู่ในเหตุการณ์เสี่ยงตายอีกครั้งผมก็เผลอเรียกอาวุธทั้งสองออกมาช่วยเวหาป้องกันเสียมิได้ ผมความคทาปันศรน้ำแข็งนับสิบเล่มทิ้งไปก่อนจะตวัดดาบผ่าก้อนน้ำแข็งที่พุ่งเข้ามาปิดท้ายการโจมตี ส่วนเวห์ก็ใช้ศาสตราของเขาฝ่าลูกไปที่พุ่งเข้ามาออกเป็นสองซีกอย่างแม่นยำจนไม่น่าเชื่อว่าคนๆนี้จะสอบไม่ผ่าน

     

    คราวนี้ไม่ใช่แค่หอบเฉยๆ ผมทรุดลงไปแทบจะเอาหน้าแนบพื้นสภาพเวห์ก็ไม่ต่างจากกันนักเขาดูเหมือนจะตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู้นี้มากดวงตาเบิกกว้างนั่งแผ่หอบแฮ่กๆ

     

    ฉัน... แค่... อยากมีเพื่อน อยากเป็นเพื่อนกับพวกนาย แต่ขอโทษจริงๆที่เกือบฆ่าพวกนายไปแล้วผมฉีกยิ้มที่ดูแล้วคงฉายแววชั่วร้ายออกมาแต่เชื่อสิผมไม่ประสงค์ร้ายหรอกเนอะ ฮึๆ

     

    ฉันไม่ยกโทษให้ผมพูดตอกกลับไปด้วยสีหน้าเรียบๆ ทำให้เธอทรุดตัวลงก้มหน้าไหลสั่นนิดๆเหมือนพยายามอดกลั้นอยู่ เธอคงทำจนติดกลายเป็นนิสัย

     

    ฟู...เวห์หันมามองผมด้วยแววตาที่สงสารเด็กสาวตรงหน้านิดๆ ซึ่งผมก็ตอบกลับไปเพียงรอยยิ้มจนกว่าจะเลิกกลั้นน้ำตานั้นซะที รู้ไหมว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพนะนานๆครั้งจะร้องไหบ้างก็คงไม่ผิดหรอกนะ แต่ถ้าร้องบ่อยไปก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมยิ้มเล็กๆ แล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมาอีกยกใหญ่จนกลายเป็นว่าวันนี้ ผมไปปลอบคนนึงๆที่สอบไม่ติด เกือบตายเพราะการยิงเวทแก้เขินของใครบางคนแล้วก็ต้องไปปลอบให้คนๆนั้นให้สบายใจขึ้น ถึงจะไม่รู้ว่าร้องไหเรื่องอะไรกันแน่ก็เถอะ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือวันนี้ผมหลับสนิทเป็นตาย เห็นว่าปะป๊าบอกอย่างนั้นนะ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×