คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1 โรงเรียนที่เปลี่ยนไป
ตอนที่1 โรงเรียนที่เปลี่ยนไป
หลังจากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อรรยธรรมเดิมของมนุษย์ก็เกือบล่มสลาย แต่ทว่า โลกกลับสงบสุข ไม่มีสงคราม ทุกคนต่างร่วมใจกันรวมพลังกอบกู้ประเทศกลับมา จนกระทั้งสามารถยืนหยัดขึ้นได้ แล้วเวลาก็ล่วงเลยมากว่า 200 ปี
เปิดเทอมวันแรก
ผมเกาะราวกั้นขอบถนนมองออกไปยังทะเลที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์ยามเช้า กว้างไกลจนสุดเส้นขอบฟ้า ในเมืองที่เป็นลักษณะคล้ายนาขั้นบันไดแบบนี้ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็สามารถชื่นชมความสวยงามของท้องทะเลได้สบายๆ
ผมสูดหายใจเข้า รับลมที่พัดกลิ่นน้ำทะเลลอยเข้ามาจากชายหาดที่อยู่ไกลออกไป
พอใส่หูฟังแล้วกดปุ่มเล่นเพลงเรียบร้อยก็ก้าวเท้าเดินลงบันไดต่อ
ในเมืองโชคชะตาบุรีแห่งนี้ไม่ว่าจะถนนสายไหนก็จะสร้างควบคู่กับทางเท้าเสมอ ทำให้คนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกไม่ต้องเดินระวังรถมากนัก โดยส่วนใหญ่แล้วเมืองนี้ก็ไม่ค่อยจะมีตึกสูงๆซักเท่าไหร่หรอก อย่างมากสุดก็มีเพียงตึกแถวสี่ชั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มีแต่บ้านคนทั้งนั้น เพราะ โซนที่เป็นตึกสูงย่านธุรกิจถูกแยกออกไปอีกฟากหนึ่งของเกาะที่อยู่ทางเหนือ เรียกว่า สุวรรณภูมิ
ผมกำลังตรงไปยังโรงเรียนที่อยู่ตรงหน้าผาตรงมุมเกาะ ซึ่งตรงใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงในการเดินเท้าไปโรงเรียน แต่ว่าตอนนี้ก็เดินมาได้ครึ่งทางแล้วล่ะ
ลืมแนะนำตัวไปเลย ชื่อของผมคือ เวหา เมฆามินต์ อายุ 14 อยู่ ม.2ห้องบ๊วย คนส่วนใหญ่เรียกผมว่า เวห์ แต่เรียกผมว่า เวหา น่ะดีแล้ว
เรียก เวห์ แล้วมันดูเสียวๆชอบกล ฟังแล้วหยะแหยงอะ
ขณะเดินเพลินๆ สายฟ้าสีดำก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ผ่าลงมากลางโรงเรียนของผม หลังจากนั้นไม่นาน... เสียงดังระเบิดแก้วหูแทบแตกก็ตามมาดังคาด
เปรี้ยง! ฟ้าผ่าก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งเมือง ความแรงของมันทำให้กระจกสั่นเลยที่เดียว
จริงๆก่อนหน้านี้ก็เคยมีแบบนี้เหมือนกันสายฟ้าสีดำผ่าลงมาแต่ก็ไม่แรงขนาดนี้
เห้ย! แรงขนาดนั้นโรงเรียนจะไฟไหม้ไหมล่ะนั้น!
ผมรีบวิ่งด้วยเลือดรักสถาบันที่เดือดพล่านไปทั่วทั่งตัว เร่งฝีเท้าให้ไว้ที่สุดเท่าที่ขาจะก้าวไปได้ วิ่งเรียบถนนใหญ่ พอเลี้ยวตรงหัวมุมนั้นก็จะพบรั้วโรงเรียน
แฮ่ก... แฮ่ก... ถึงซักที
ไม่นานนักผมก็มายืนหอบอยู่หน้าประตูรั่วของโรงเรียน กลิ่นไหม้ลอยโชยออกมาทำให้ผมรู้สึกใจเสียอย่างบอกไม่ถูก ควันสีดำคลุ้งไปทั่ว ผมรีบวิ่งฝ่าควันเข้าไปดูสภาพโรงเรียน แต่ก็ถูกบางอย่างกระแทกจนหงายหลัง ดัง ตึง!
ในควันหนาทึบผมแทบจะมองไม่เห็นอะไร รู้เพียงว่ามีน้ำหนักกดทับอยู่บนตัว พอพยายามจะลุกขึ้น แสงสีเหลืองคู่หนึ่งก็เรืองขึ้นตรงหน้าผม ขอบฟันซี่ปลาคมๆสะท้อนแสงที่ลอดม่านควันเข้ามาเป็นประกายวิบวับ
ผัวะ! แล้วมันก็ถูกใครบางคนเตะจนปลิว
ผมถูกฉุดให้ลุกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนจะโดนลากไปกับพื้นอย่างงงๆ เกิดอะไรขึ้นฟร่ะ!?
เกิดอะไรขึ้น? ไอตัวเมื่อกี้คือตัวอะไร? แล้วใครฉุดเรา?
ผมพยายามก้าวขาวิ่งตามให้ทัน จะได้ไม่โดนลากจนเข่าแหก
ในที่สุดเราก็ฝ่ากลุ่มควันออกมาได้โดยที่รู้สึกชาๆที่หัวเข่า สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือป้ายห้องน้ำชายที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวนะ!?
อย่าบอกนะว่า คนที่ฉุดเราออกมาจะเป็นชายในชุดสีฟ้าที่ชอบร้องว่า ยาราไน๊ก๊ะ? น่ะ
แบบนี้ก็แย่นะสิ!? ทำไงดีวะขืนปล่อยไปแบบนี้ประตูหลังวอลล์มาเรียของตูข้าต้องแตกยับเยินไม่เหลือเศษซากให้ดูต่างหน้าเป็นแน่แท้
ผมถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องน้ำอย่างแรงด้วยความเร็วจากตอนที่วิ่งออกมา ทันทีที่ประตูห้องน้ำถูกปิดดัง ปัง! ทุกอย่างก็อยู่ในความมืดมิดมีเพียงเสียงหอบแฮ่กๆ อย่างหื่นกระหายที่ดังใกล้เข้ามา
“อย่าทำอะไรผ๊มเลย วอลล์มาเรียผมไม่น่าตีขนาดนั้นหรอกนะ! ขอร้องล่ะ!”
เปรี๊ยะๆ ปิ๊ง ปิ๊ง หลอดไฟกระพริบสองสามที แล้วห้องน้ำก็สว่างหลังจากกระแสไฟฟ้าวิ่งไปทั่วเพดาน
“บ่นเหี้ยไรวะ เวห์?” เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งผมดำยาวประคอเหลือบดวงตาสีเขียวมรกตมาทางผม เขาหายใจอย่างเหนื่อยหอบเหงือไหลซึมไปทั้งตัว
“ปิภ๊พ~!” ผมตะโกนเรียกชื่อเพื่อนซี๊อย่างดีใจ
“ไม่ใช่ ปิภ๊พ พิภพ ต่างหากเล่า!” มันตะคอกใส่ผมก่อนจะถอนหายใจ แล้วกลับไปอยู่ในท่าประจำตัว ‘กอดอกเท้าคางทำหน้าขรึม’
ขี้เก๊กสัสๆ... ผมมองหน้าคนตัวสูงร้อยเจ็ดสิบห้าอย่างเคืองๆ ตัวสูงแล้วยังจะมายืนค้ำหัวอีกเรอะ!?
ผมรีบยืนขึ้นแล้วยืดตัวตรงแต่ก็สูงได้แค่หัวไหลของมัน ผมเลยเอาหัวโขกมันด้วยความหมั่นไส้
ว่าแต่...
โดยปรกติแล้วไฟห้องน้ำจะเปิดโดยอัตโนมัติเวลาฟ้ามืด เพราะติดตั้งเครื่องวัดปริมาณแสงอาทิตย์ไว้บนหลังคา เวลาที่ ท้องฟ้าครึ้มๆฝนจะตก หรือเวลากลางคืน ไฟห้องน้ำก็จะติดเอง แต่นี่ท้องฟ้าก็ยังสว่างแท้ๆ ไหงไฟกลับติดเองซะล่ะ
หรือจะเป็นเพราะว่าไฟฟ้าลัดวงจรที่เราเห็นเมื่อกี้?
“เวห์ ฉันมีเรื่องจะบอกกับนาย...”
ห๊ะ ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ จับลากเข้ามาในห้องน้ำแล้วปิดประตูล็อกให้เหลือแค่สองต่อสองหรือว่า!
“หรือว่า... มึงจะเป็นเกย์!? โหยเพื่อนกัน กุรับได้”
“ไม่ใช่” - -
“หรือว่ามึงแอบชอบกุ!?”
“ก็เหี้ยแล้วเวห์เอ๊ย! มึงฟังคนอื่นพูดเป็นไหมวะ? หุบปากแล้วฟังกุ!” ดุฉิบ... มันบีบไหล่ผมอย่างแรง โหย... ล้อแค่นี้ ของขึ้นหรา~
“ระวังพวกตุ๊กตาให้ดี... อย่าให้พวกมันจับมึงได้”
“ตะ ตุ๊กตาไหนวะ?” อย่าทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิฟะ ตูก็กลัวเป็นนะเว้ย
ตึง... ตึงๆๆๆๆๆๆ เสียงกระแทกประตูอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นเรื่อยๆ
ระ... รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงประตูที่เป็นไม้ร้าวด้วยนะ
ผมรู้สึกว่าควรฟังที่พิภพมันพูดให้ดีๆแล้วสิ ถึงมันจะชอบอำเล่นให้ผมหน้าแตกบ่อยๆก็เถอะแต่ท่าทำหน้าจริงจังซะจนน่ากลัวขนาดนี้...
ตูจะเชื่อมึงดีไหมวะเนี่ย!?
“ตอนนี้พวกมันคงออกันอยู่หน้าประตู... เดี๋ยวกุจะหยุดมันไว้ตรงนี้เอง” พูดจบมันก็เหวี่ยงผมไปพาดกับหน้าต่างห้องน้ำ เจ็บ! เจ็บนะโว้ย ไอ้เพื่อนเวร
พอจะพลิกตัวหันไปมอง ร่างผมก็เสียสมดุลร่วงออกมาจากห้องน้ำหัวฟาดพื้นอย่างแรง เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งหัว วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย!
“วันจันทร์ไง...” เสียงหวานๆดังมาจากด้านหลัง พอผมหันไปก็พบกับเด็กสาวผมสีดำยาวสลวย
ใบหน้าน่ารักนั้นทำให้ผมแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะเลย
...อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ
อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ
ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ
ตั้งแต่วันแรกเจอ ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ…
ดวงตาสีม่วงใสน่าหลงใหลประสานเข้ากับนัยต์ตาสีครามของผม ชั่ววินาทีที่ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่งนั้นเธอก็ขยับริมฝีปากอวบอิ่มเบาๆ
...เกือบลืมหายใจเมื่อเธอเข้ามา ใกล้ ๆ
แค่เธอยิ้มมา ก็สั่นไปทั้งหัวใจ
อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้ความในใจ…
“ไปตายซะ...” ห๊ะ?
ไรนะ? ในวินาทีที่สมองของผมหยุดทำงานเพราะโดนสาวน้อยหน้าตาน่ารักกระแทกใจบอกให้ไปตาย เงาทะมึนๆก็กระโดดออกมาจากด้านหลังของเธอพุ่งเข้าซัดหน้าผมจังๆ
“เจ็บ!”
ผมหงายหลังกลิ้งไปหลายตลบพอนอนแผ่กับพื้นเจ้าตัวที่เกาะอยู่บนหน้าผมก็อ้าปาก เห็นชัดๆเต็มสองตาเลยว่ามันเป็นตุ๊กตากระต่ายสีดำที่มีกระดุมสีเหลืองใสๆสองเม็ดติดเป็นลูกตา แล้วตอนนี้ปากที่เป็นทั้งฟันก็กำลังงับลงมา
เปรี้ยง! ผมเลยซัดมาให้หงายด้วยความตกใจ ก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นวิ่งโกยสุดตรีน
“ตามมันไป” น้ำเสียงเย็นชาของเด็กสาวหน้าตาน่ารักดังไล่หลังมา
สิ้นเสียงน่ารัก กระต่ายฝูงใหญ่ก็กระโจนออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าหาผมทันที แต่ด้วยความไว้ระดับลิงทำให้ผมหลบพวกมันได้อย่างหวิดหวิดแล้วใส่เกียร์หมาเพ่นแนบ
เจอแบบนี้เป็นใครก็คงอดนึกไม่ได้เลยว่า “นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!!! งงโว้ย!!!! เกิดอะไรขึ้นฟะ!!!” แหงล่ะจู่ๆก็ฟ้าผ่าควันดำขโมงโดนฉุดโดนเหวี่ยงโดนไล่ฆ่า นี่ไม่มีใครคิดจะอธิบายอะไรซักหน่อยเลยรึไง!
ขณะวิ่งตัดสนามบอลน้องต่ายที่วิ่งตามก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หันไปมองแล้วอยากร้องไห้อะ
“ระวัง!!!”
เสียงเล็กๆเหมือนเด็กทะรกดังลั่น เรียกให้ผมหันไปข้างหน้า แค่สิ่งแรกที่พุ่งเข้ามาในสายตาก็แทบทำผมกรี๊ดลั่นสนั่นเมือง
มิสไซน์!! มิสไซน์!!! มิสไซน์เต็มไปหมดเบยยย!!!! เบยบ้านพ่องดิ! ผมด่าตัวเองก่อนจะกระโดดม้วนตัวกลิ้งกับพื้นกลุนๆ
แล้วเสียงระเบิดก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมรีบเอามืออุดหูแล้วหมอบแนบพื้นอย่างสงบเสงียมพล่างตะโกนด่าบุพาการีเด็กเวรนั่นไปพลางๆ ยังไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเด็กรึเปล่าแต่... ขอโวยหน่อยเหอะ!
“บ้านไม่มีประทัดให้เล่นรึไงฟะ!” ผมแหกปากขณะโดนดินสนามบอล ที่กระเด็นจากแรงระเบิดกลบตัวจนเกือบมิดหัว แหวะ! ขี้ตีนนักบอล
ตูมๆๆๆๆ!
โหย... อีเหี้ยนี่ก็ยิงจังฟะ! แถมยิงทีไม่ใช่นัดสองนัดไอ้บ้านี่เล่นยิงที่เป็นห่าฝนเลย แล้วตูจะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้ไหมเนี่ย!
ฮื่อๆ... วันนี้มันวันซวยของตูชัดๆ!
เมื่อเสียงระเบิดหยุดลงผมก็ลุกขึ้นมาสะบัดผมที่สั้นจนเกือบเกรียนเอาดินออกจากหัว หลังจากเช็กว่าไม่มีอวัยวะส่วนไหนกระเด็นหลุดไป ก็มองไปรอบๆเลยพบว่า...
ตัวเองกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางม่านหมอกหลากสีสันสุดแฟนซี
คงเป็นควันที่เกิดจากการระเบิดเมื่อกี้ละมั้ง?
“นักเรียนตรงนั้นน่ะไม่เป็นไรนะ?” เสียงเล็กๆเหมือนเด็กทารกดังมาจากอีกฝากของหมอกแฟนซี
“ไม่เป็นไรงั้นหรอ?” ผมย้ำคำถาม...
“ไม่เป็นไรพ่องมึงสิ!” ผมร้องเสียงหลง น้ำตาแทบร่วงเผาะๆ เจอขนาดนี้เนี่ยนะเรียกว่าไม่เป็นไรยังไม่ทันจะได้โวยต่อผมก็รู้สึกเหมือนมีเงาทะมึนๆมายืนอยู่ด้านหลัง
ผมหันไปมองช้าๆแล้วก็อ้าปากหวอ
มันคือ... กระต่ายตัวอ้วนตุ๊ต๊ะอย่างกับตุ่ม ร่างยักษ์สูงราวๆสองเมตรได้มันโบกมือให้ผมก่อนจะง้างไปด้านหลัง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันไม่ได้มาดีแน่
ผมแหกปากร้องเสียงหลงกระโดดหลบกรงเล็บที่ตะปบเฉียวหัวไปหวุดหวิด ก่อนจะตั้งหลักลุกขึ้นสวมวิญญาณนักกีฬาวิ่งแข่งห้าร้อยเมตรออกตัวทันที
ไม่อยู่แล้วโว้ย! จ้างให้พันนึงตูก็ไม่อยู่
ผมวิ่งฝ่าควันแฟนซีออกมา ก็เจอกับพิภพที่วิ่งแซงไปในมือของเขาถือดาบยักษ์สีดำกวัดแกว่งฟันตุ๊กตากระต่ายขาดเป็นชิ้นๆ ด้วยมือเพียงข้างเดียว
ไปเอาดาบแฟนซีแบบนั้นมาจากไหนล่ะนั้น?
ครืน.... เสียงสั่นสะเทือนดังไปทั่วบริเวณ มีบางอย่างผุดขึ้นมาจากใต้สนามบอล สิ่งก่อสร้างแปลกตาเหมือนไม่ใช่สิ่งที่สมควรอยู่บนโลกนี้แทรกขึ้นมาจากพื้นดินตั้งตระหง่าอยู่กลางสนามบอลขนาดมาตรฐาน มันคือหอคอยสีดำขนาดยักษ์ ที่สูงราวๆตึกสิบชั้นได้ เมื่อแสงแดดส่องกระทบกระจกสีบนตัวสถาปัตยกรรมแปลกตานี้ สีสันต่างๆก็ถูกสะท้อนลงสู่พื้น ช่างดูตัดกับตัวหอคอยจริงๆ
ผัวะ! ผมโดนตบเข้าที่หลังอย่างแรงจนกระเด็นไปข้างหน้าราวๆสามเมตรแล้วเอาหน้าถไลพื้นไปอีกเมตรกว่าๆ แบบนี้มันเล่นที่เผลอนี่!
ผมพยุงร่างกายที่บอบช้ำให้ลุกขึ้น ความเจ็บปวดแซ่บซ่านไปทั้งตัวทำเอาผมเลือดเดือดขึ้นมาทันที
จะเอาใช่ไหมได้!
กระต่ายดำตัวอ้วนเป็นตุ่มยกแขนขึ้นเหนือหัวคำรามลั่น เสียงของมันสั่นไปถึงกระเพาะผมเลย แต่ใครจะไปกลัวกันเล่า แน่จริงเข้ามาเด่!
“ว้ากก!” ผมแหกปากพร้อมกับหันหลังวิ่งสุดฝีเท้า จะเข้าก็เข้ามาแต่ใครจะโง่อยู่ให้โดนตื้บเล่า แค่หน้าพี่แกก็โฉดได้โลห์แล้ว ไม่กล้าไปแหย่มด้วยหรอก
โทษล่ะกันนะ คติประจำใจผม คือ รักษาตัวเป็นยอดคน ไม่ไฟว์กะใครง่ายๆหรอก
แล้วไอ้พิภพมันหายหัวไปไหนอีกล่ะเนี่ย
จะว่าไปที่หอคอยตรงนั้นมีประตูเปิดแง่มไว้อยู่ด้วยนี่ ถ้าหากเข้าไปในนั้นแล้วปิดประตูล่ะก็ มันตามเข้ามาไม่ได้แน่ๆ หึ หึ ชัยชนะอยู่ในกำมือแล้วล่ะ!
ผมเร่งฝีเท้าเต็มสปีด เร็วที่สุดเท่าที่เคยวิ่งมาในชีวิต ตอนนี้ประตูอยู่แค่เอื้อมฝ่ามือเท่านั้น! แล้วก็โดนตัวอะไรบางอย่างสไลด์ขัดขาจนล้มหน้าคะมำ
พรืดดดด...ดด...ด~!
เจ็บโว้ย!! หน้าผมไถไปกับพื้นเป็นรอบที่สองของหัววันแล้วนะ กรรม แบบนี้หน้าหล่อๆเสียโฉมหมดสิ...
ขณะที่พลิกตัวหงายขึ้นมาหอบ กรงเล็บของกระต่ายดำก็หวดลงมาพอดีในวินาทีที่คิดว่หน้าจะถูกผ่าออกเป็นสองซีกคอเสื้อของผมก็ถูกฉุดไปด้านหลังทำให้กรงเล็บที่ฟาดลงผมฝังลงไปในพื้น ถ้าเมื่อกี้โดนเข้าไปจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย
ในขณะที่คิดถึงสภาพของตัวเองที่ถูกกรงเล็บนั้น... ผมก็ถูกเหวี่ยงเข้ามาในหอคอยก่อนที่ประตูจะปิดลง คนที่ช่วยชีวิตผมไว้ก็คือเพื่อนของผมเอง พิภพ
มันเอาหลังพิงประตูบานยักษ์ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“นายรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น...” ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือ เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ ทั้งหอคอย แล้วก็ ตุ๊กตากระต่ายพวกนั้น
พวกมันมันเป็นตัวอะไรกันแน่ ทำไมมันต้องเล่นงานพวกเรา
“ใช่...” มันก้มหน้ามองพื้นตอบเสียงจ๋อยๆ... แล้วมันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อปล่อยให้บรรยายกาศถูกความเงียบปกครุม พิภพทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรซักอย่างอยู่ เหมือนพยายามจะอ้าปากพูดอะไรซักอย่างแต่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาสุดท้ายก็กลืนทั้งหมดลงไป
ไม่นานนักมันก็เงยหน้าขึ้น พอจะพูด เสียงหนึ่งก็สอดแทรกขึ้นมา
“เจ้าคิดจะทำอันใดรึ... เหตุใดถึงกระทำตนเช่นนี้” เสียงของหญิงสาวดังมาจากส่วนลึกของหอคอย แล้วบรรยากาศสลั่วๆก็สลายไป ดวงไปนับสิบถูกจุดขึ้นในอากาศ ทำให้ห้องโถงแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น
ใครหว่าสำเนียงลิเกชะมัด
ผู้มาใหม่คือ อาจารย์สอนวิชาภาษาไทยของผมเอง แล้วไหงจารย์ถึงใส่ชุดโกธิกโลลิต้าสีแดงแปร๊ดอย่างนี้ล่ะ! เห็นสวยๆอย่างนี้แต่ที่จริง อาจารย์ วิไล อายุเพิ่งขึ้นเลขสามสดๆร้อนๆเองนะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะใบหน้าจารย์แกยังค้างอยู่ที่ยี่สิบอยู่เลย อันที่จริงเธอเป็นครูใหม่ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่กี่ปีมานี้น่ะ
แล้วจารย์แกก็เป็นคนแปลกๆชอบย้อมผมสีแดง ทั้งๆที่ผมเดิมเป็นสีดำก็ดูดีอยู่แล้ว เอ่อ... ที่จริงแกย้อมมาตั้งแต่ก่อนเข้ามาสอนแล้ว
อ้าว แล้วผมรู้ได้ยังว่าแต่เดิมผมดำ ก็ดูจากคิ้วอ่ะ คิ้วกับขนตานี่ยังสีดำเลย
อาจารย์วิไลใช้ดวงตาสีดำมองมายังผมและพิภพก่อนจะสะบัดพัดในมือขึ้นปิดปาก
ผมหันไปมองหน้าพิภพที่บึงตึงเขามองอาจารย์วิไลด้วยสายตาที่เย็นชาสุดๆ
อ่า... จะว่าไป “อาจารย์จุดไปแบบนั้นได้ไงอ่ะ เจ๋งสุดยอด!”
ผมดี๊ด๊าชี้ไปยังดวงไฟที่ลอยวนไปมารอบตัวอาจารย์อย่างช้าๆ มายากลใช่มะ? มายากลใช่ปะ!? มีเทคนิคดีๆ อย่างนี้ก็อย่าฮุบสิ เอามาสอนกันมั้ง~!
“สอนมั่ง! สอนมั่ง!” พอผมพูดด้วยน้ำเสียงระรื่นจนถูกอาจารย์วิไลมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ง่ะ เงิบเลย ผมหดคอลงเหมือนเต่าหนีเข้ากระดอง แล้วจารย์แกก็เหลือบตากลับไปมองพิภพ
“ว่าอย่างไรรึ...” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบเหมือนเดิมอาจารย์จึงหลับตาลง “ไม่ตอบงั้นรึ...”
“ฉันเตรียมใจไว้แล้ว” พิภพกำหมัดแน่น
“เฮ้ๆ พวกนายพูดเรื่องอะไรกันน่ะ!” อย่าทำเหมือนผมเป็นคนนอกเซ่!
ไม่มีใครสนใจคำพูดของผมเลยซักนิด
“งั้นรึ... งั้นโทษทันฑ์ของเจ้าก็คือความตาย!” พออาจารย์ วิไล ลืมตาขึ้น ดวงไฟที่ลอยล้อมรอบตัวอยู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนขนาดเท่าลูกบอลแล้วพุ่งเข้าหาพิภพ
เขากระโดดออกมาดึงผมไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะสะบัดมือดัง ฉับ! ทำลายบอลไฟ
ประกายแสงสีม่วงลอยออกมาจากมือขวาของเขา
เมื่อเห็นว่าการโจมตีชุดแรกไร้ผล อาจารย์วิไลก็สะบัดพัดเรียกบอลไฟออกมาอีกนับไม่ถ้วน ดวงไฟที่ปรากฏขึ้นรีบพุ่งเข้าหาพิภพทันที
พิภพตั้งท่าพร้อมรับการโจมตีเขาสะบัดแขนไปมาอย่างรวดเร็วเกิดรัศมีสีดำตวัดเข้าปะทะกับบอลไฟจนมันแตกสลายไป บอลไฟทั้งหมดถูกทำลายด้วยมือเปล่า
จริงๆแล้วไฟพวกนี้ไม่ร้อนรึไงนะ?
เขาถึงใช้มือฟันทิ้งซะเฉยๆ
อย่างกับไม่รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากบอลไฟนั้น ทั้งๆที่ผมร้อนจนขนหน้าแข้งจะร่วงหมดขาอยู่แล้ว
ตอนนี้ผมทำได้แค่มองแผ่นหลังของเขา ทั้งๆที่เมื่อก่อนเวลามีเรื่องผมจะเป็นคนปกป้องหมอนี่แท้ๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกันหมด ผมอ่อนแอลงงั้นหรอ?
สิ้นบอลไฟชุดสุดท้ายอาจารย์วิไลก็กันฟันกรอด
“ช็อคมาล เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก... พลังของเรามันคนล่ะชั้นกัน” พิภพ นายเองก็เอาสำเนียงลิเกกับเขาด้วยเรอะ!? แล้วไหงถึงเรียกอาจารย์เขาว่า ช็อคมาล ล่ะ
หรือว่าเราทักคนผิดเอง?
“ถึงข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่ถ้าหาก การเตรียมการ เสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อไหร่ แม้ว่าจะมีพลังมหาศาลเพียงใด ก็มิอาจจะพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะได้... แม้แต่จะเป็นผู้ครอบครอง หัวใจมังกร ก็ตาม”
“พูดเรื่องอะไรกันฟะ! อธิบายให้ใจกันหน่อยไม่ได้รึไงทำเป็นรู้กันอยู่แค่สองคนขี้โกงนี่หว่า!” ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจผมเลย
“ยังไม่ว่างอธิบายเฟร้ย!” พิภพ หันมาสถบก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปฟันบอลไฟทิ้ง
“พลังของเจ้าคงจะเป็นของจริง แม้ในมิติปิดตายแห่งนี้ก็ยังสามารถเรียก ศาสตรา ออกมาได้แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีก็เถอะ แต่เรียกออกมาติดต่อกันนานๆ ระวังร่างกายเจ้าจะไม่ไหวเอานะ” อาจารย์วิไล กระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะหุบพัดแล้วชูขึ้นเหนือหัว “ต้องขอบคุณ บินาห์ จริงๆที่ทำลายผนึกชั้นแรกลงได้ ไม่งั้นพวกข้าคงไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้อย่างอิสระขนาดนี้หรอก!” สิ้นคำ ประกายแสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นรอบกายของเธอก่อนจะบีบอัดกลางเป็นวงแหวนสีแดง ล้อมรอบตัว ก่อนสลายกลับเป็นละอองแสงและซึมเข้าไปในพัด
พิภพ ที่เหนื่อยหอบจากการตั้งรับ กำมือแน่นเรียกพลังกายให้ฟื้นกลับมา ตั้งรับการโจมตีครั้งถัดไป
“จงหายไปซะเถอะผู้ทรยศ!” เพลิงมหากาพย์ลุกโชติช่วงชัดชวาจากปลายพัดของ อาจารย์ วิไล มันพุ่งขึ้นสูงราวๆสามเมตรเหมือนดาบไฟไม่มีผิด
ห๊ะ! อะไรฟะนั้น! ผมอ้าปากค้าง...
เธอเหวี่ยงดาบไฟลงมาใส่พิภพเต็มแรง พลังที่อัดกระแทกเข้ามาทำเอาผมหงายหลังลงไปกระแทกพื้น เหมือนได้ยินเสียงอะไรซักอย่างในตัวหักดัง กร็อบ!
ผมรู้สึกชาไปทั้งร่าง ขณะที่ได้แต่มองพิภพกางแขนรับดาบเพลิง แต่ทว่าดาบเพลิงไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย ไม่สามารถทะล้วงดาบยักษ์สีดำที่ตั้งรับไว้อยู่ได้
นั้นคือสิ่งที่เขาใช้ทำลายบอลไฟมาโดยตลอด
ตึง! เข่าข้างหนึ่งของเขาทรุดลงกับพื้น ดาบเพลิงใกล้ใบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ
พิภพ กัดฟันทนรับความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับ อยู่ๆร่างกายของเขาก็มีลอยสักสีดำผุดขึ้นมาเหมือนมีใครเอาปากกาล่องหนมาขีด เขาขมุบขมิบปาก
“นายจะตายตรงนี้ไม่ได้นะ...”
ไหงนายพูดอย่างนั้นล่ะ นายไม่ใช่หรอที่กำลังจะตายน่ะ!
ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นมา แล้วร่างกายที่แหลกเป็นเสี่ยงๆก็ทรุดลงกับพื้น
“พวกเราจะต้องไม่ตาย” ชั่ววินาทีนั้นเหมือนความเจ็บปวดทั้งหมดถูกกระชากออกไปจากร่างกายผมพุ่งเข้าไปผลักใต้ดาบของเขา ส่งแรงของผมเข้าไปช่วยดันดาบเพลิงออก
บรึม!! ดาบเพลิงฟาดลงกับพื้นข้างๆพวกเรา
ตายแหง่ม! แรงปะทะพัดเรากระเด็นไปด้านข้าง เพลิงพิโรธร้อนแรงกลับสลายกลายเป็นควันสีขาวคลุ้งไปทั่ว น้ำปริมาณมหาศาลซัดเข้าใส่ดาบเพลิงจนมันระเหยหายไปหมดจด ผมอ้าปากค้างตะลึงกับภาพตรงหน้าขณะอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน พอมองที่มือตัวเองก็เผลอร้อง ห๊ะ!?
เพิ่งสังเกตุว่าแขนและลำตัวลูกวงแหวนสีเขียวคล้องเอาไว้ วงแหวนนี้ประกอบขึ้นจากอักขระแปลกตาเหมือนไม่ใช่ภาษาที่อยู่บนโลกนี้ พอลองมองไปที่พิภพลอยสักบนตัวของเขาก็หายไปแล้ว
เมื่อวงแหวนสีเขียวสลายกลายเป็นละอองแสงหายไปในอากาศความเจ็บปวดก็เล่นงานไปทั่วร่างจนขยับตัวไม่ได้
“ไม่เป็นไรนะ...” เสียงเรียบๆของผู้หญิงดังขึ้นจาก เงาร่างหนึ่งยืนบังพวกเราเอาไว้ ในมือของมันมีไม้เท้าเหมือนของพ่อมดที่มักจะเห็นในหนังสือนิทานไม่ก็เกม
มะ แม่มดงั้นหรอ? มะ แม่มดตัวเป็นๆ! เพราะไอน้ำเยอะไปเลยมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลย แต่เสียงหวานซะขนาดนี้ ผู้หญิงชัวร์
ดวงแสงนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นในม่านหมด พวกมันพุ่งเข้ามาเป็นจุดเดียว
เงาร่างนั้นสะบัดไม้เท้า ทันใดนั้นม่านหมอกก็ควบแน่นเป็นละอองน้ำ พวกมันลอยไปในทิศทางเดียวกันเป็นเส้นยาวๆ คดเคี้ยวไปมาในอากาศ จากละอองน้ำนับไม่ถ้วนรวมกันเป็นหยดน้ำ จากหยดน้ำรวมกันกลายเป็น มังกรลำตัวยาว ดูดุดันและทรงพลัง
มังกรจีนสีใส พุ่งเอาตัวเข้าปะทะบอลไฟ ทำให้ทั้งสองฝ่ายสลายกลับเป็นควันอีกครั้ง
ลมภายในห้องโถงแปรปวนเนื่องจากอุณภูมิที่แปรเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ผมเริ่มจามเพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว
ลมกรรโชกพัดชายผ้าครุมตัวยาวตรงหน้าสะบัดดังพรึ่บพับ! อย่างเท่อ่ะ! เจ้าของเสียงหวานดึงฮู้ดขึ้นมาครุมปิดหน้าไว้ ทำให้ไม่รู้ว่าตกลงเป็นหญิงหรือชายกันแน่ แต่เท่าที่กะเอาน่าจะอายุประมาณผมเนี่ยล่ะ
“ใช้ อณุภาคมานารวมน้ำที่อยู่ในอากาศทำร่างกายของ จิตอัญเชิญ และควบคุม นี่น่ะหรือเวทแห่งสายน้ำที่อาณา จักรศักดิ์สิทธิ์ แสนจะภาคภูมิใจ” เพียงอาจารย์วิไลสะบัดพัดม่านหมอกก็หายไปจนหมด
“ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลยนี่” เธอพูด
“เวทมนต์ระดับหนึ่งน่ะก็ไม่เท่าไหร่หรอก” พ่อมด เอ๊ะ หรือ แม่มด ช่างเหอะขอเรียกว่าพ่อมดไปเลยล่ะกัน แล้วคุณพ่อมดก็ควงคทา สร้างอักขระเวทย์สีน้ำเงินขึ้นมากลางอากาศล้อมตัวเป็นวงแหวน อาจารย์วิไลก็ขมุบขมิบปากร่ายคาถาสร้างอักขระสีแดงขึ้นมาเหมือนกัน
พื้นเริ่มร้าวน้ำจำนวนมหาศาลทะลักออกมาจากใต้เท้าของพ่อมดผู้ช่วยชีวิตผมไว้ ส่วนทางด้านอาจารย์วิไล ก็ลุกโชติช่วงด้วยเปลวเพลิง ลอยสักสีแดงผุดขึ้นมาบนตัวของเธอ
“นั้นคือ ตราบาป” พิภพบอก
“ตราบาป?” ผมทวนในขณะที่ภิภพกำลังจะเสริมมหาเวทย์ของทำสองก็เสร็จสิ้นเตรียมเข้าปะทะกัน แต่ทว่าพวกผมมองได้ไม่ค่อยถนัดนักเพราะทั้งเปลวเพลิง และสายน้ำปะทะกันมั่วไปทั่วห้อง เส้นแสงหลากสีวิ่งพล่านทั้วไปหมด
และแล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งลงเมื่อเสียงนาฬิกาตีบอกเวลา
ตึง! เสียงของมันกังวานใสเหมือนระฆังแก้ว ก้องกังวานไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เวทมนต์ทุกชนิดหยุดเคลื่อนไหวราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ก่อนจะแตกสลายเหมือนดอกไม้ไฟที่ระเบิดกลางอากาศ
“การเตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว” อาจารย์วิไลหัวเราะ
“ชัยชนะอยู่ในมือของพวกเรา หัวใจทมิฬ แล้ว! ฮ่า! ฮ่า!” เธอหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในขณะที่หอคอยกำลังถล่ม ผมถูกพิภพลากให้ลุกขึ้นวิ่งหลบเศษซากที่หล่นใส่หัว ออกมาจนพ้นหอคอย
เมื่อเราก้าวข้ามประตูออกมาดวงตาของผมก็เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง
ท้องฟ้ามืดครึ้มคำรามเสียงดัง ลมพัดแรงเหมือนพายุเข้า พื้นดินบางจุดถูกพัดปลิวไปต่อหน้าต่อตา ที่ตึกเรียนมีรอยร้าวก่อนจะปริแตกออก หายไปกับสายลม
เหนือหัวพวกเรา บนท้องฟ้ามีวงเวทย์ขนาดยักษ์ สองชั้น ครอบเกาะไว้เหมือนโดมแก้ว อันแรกเป็นสีเหลืองปนกับเขียว อันที่สองเป็นสีแดง วงเวทย์ที่ประกอบขึ้นจากอักขระนับหมื่นนับแสนเปล่งแสงสว่างจ้า ก่อนแตกสลายไป เหลือไว้เพียงวงเวทย์สีแดง
ทันทีที่วงเวทย์สีเหลือกลายเป็นละอองแสงร่วงลงมาเหมือนหิมะความเจ็บปวดมหาศาลก็เข้าโจมตีผม ในอกซ้ายเจ็บเหมือนโดนบีบรัดหัวใจอย่างแรง ผมทรุดลงไปกับพื้นไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว กลิ่นคาวเลือดอัดแน่นในจมูกแน่นจนหูอื้อก่อนจะระเบิดโพละเหมือนเขื่อนแตก
เลือดกำเดาไหลทะลักออกมาจากจมูก และหู เหมือนความเจ็บปวดจะทุเลาลง
เมื่อวงเวทย์ที่สองเริ่มทำงาน เปล่งแสงสว่างจ้า ความเจ็บปวดสติและความทรงจำก็ถูกกลืนเข้าไปในแสงสีขาว ภาพทุกอย่างเลือนรางลง เหมือนกำลังจะลืมตาตื่นจากความฝันอันยาวนาน
“ผนึกชั้นที่สองถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว” เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวแต่ก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นของใคร ยังไม่ทันเข้าใจว่าพูดอะไรประโยคที่เพิ่งได้ยินก็เลือนรางหายไป
อ๊ะ... เมื่อกี้เหมือนได้ยินใครพูดเลย...
ช่างเถอะ
ตอนนี้ในหัวว่างเปล่าไม่มีเรื่องใดๆทั้งสิ้น ราวกับบางสิ่งหายไป เราเป็นใครกันนะ?
“เวหา...” เสียงเด็กผู้หญิง? ทั้งๆที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“เวหา...” เป็นเสียงของใครกันนะ...
“เวหา!”
เฮือก! ผมสะดุ้งตื่นขึ้น
ในความเงียบสงัดวังเวง ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนที่ถูกฉาบด้วยสีส้มของพระอาทิตย์ตอนเย็น โต๊ะเรียนถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ราวกับไม่เคยถูกสัมผัสมาก่อน ในห้องว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยนอกจากผม แล้วเมื่อกี้ใครเป็นคนเรียกผม...
หลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่สติก็กลับคืนมา
“เอ๊ะ… เอ๋! เผลอหลับหรอเนี่ย!”
“อื้ม...” เสียงหวานดังขึ้นจากข้างหลัง พอหันไปก็เจอกับเด็กสาวหน้าตาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร เด็กห้องเดียวกันงั้นหรอ?
ผมของเธอเป็นสีดำยาวสลวยถึงกลางหลัง ดวงตาสีม่วงที่ดูเศร้าสร้อยแต่น่าหลงใหลกำลังมองมาทางนี้ แต่ทว่าบนใบหน้าที่น่ารักเกินบรรยายกลับไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ ราวกับหมดหวังในทุกสิ่ง
เหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนนะ?
“นายน่ะ... รู้จักหัวใจมังกรรึเปล่า... สิ่งที่ค้ำจุนโลกนี้ไว้อยู่น่ะ นายรู้จักรึเปล่า...” พอเธอพูดขึ้นทำให้ผมรู้สึกตัวว่าเผลอมองหน้าเธอนานเกินไปแล้ว รู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวหรือว่าเราจะหน้าแดง!? ตรงนี้ไม่มีกระจกให้ส่องซะด้วยสิ ทำไงดี
เดี๋ยวนะ? มะกี้ว่าไงนะครับ คือว่าผมฟังไม่ทัน พยายามจะพูดแล้วแต่เสียงไม่ออกง่ะ
เธอจ้องผมอยู่พักใหญ่
“นายนี่แปลกดีนะ” เธอพูดก่อนจะเดินจากไป แล้วก็หยุดเท้าลงตรงหน้าประตูเหลือบมองมาทางผม
“โปร่งใส...” เธอทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็จากไป
“ใครกันแน่ที่แปลกวะเนี่ย...” ผมพึมพำ ถึง แปลก แต่กระแทกใจ ผมพยายามหุบยิ้มก่อนจะเก็บหนังสือเรียนลงกระเป๋าสะพายข้าง
กลับบ้านดีกว่า... ขณะที่คิดอย่างนั้นผมก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ตรงสุดขอบฟ้ามีพระอาทิตย์กำลังจมลงไปในทะเล เกลียวคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งสะท้อนแสงของมันเป็นประกายระยิบระยับ ดูราวกับอัญมณีที่ถูกเจียรไนแล้ว
ทั้งๆที่รู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติหรือแปลกไปกว่าเดิม ชีวิตประจำวันอันธรรมดาจนน่าเบื่อของผมก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าในใจจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ตาม
เดี๋ยวนะ...
นี่มันโรงเรียนชายล้วน แล้วเด็กผู้หญิงเข้ามาได้ไงฟะ!!
ณ ประตูทางออกของโรงเรียน
กว่า เวหา จะรู้สึกตัวเด็กสาวปริศนาก็เดินมาจนถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว ตรงประตูมีร่างหนึ่งมายืนดักรออยู่นานแล้ว
“ไปพูดแบบนั้นมันจะดีหรอบินาห์...” หญิงสาวในชุดเครื่องแบบอาจารย์ยืนพิงกำแพงถือพัดปิดปากเอาไว้ ไม่ต้องเดาก็คงรู้ว่าเบื้องหลังพัดนั้นมีรอยยิ้มเจ้าเลห์ซ่อนอยู่
เด็กสาวเจ้าของชื่อบินาห์ เอ่ยตอบ “ก็แค่พวกตุ๊กตาจะไปใส่ใจทำไม”
“นั่นสิเนอะ ดูเธอเหงาๆนะ” หญิงสาวพูดเสียงระรื่น
“ฉันน่ะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกหรอกนะ” บินาห์ พูดก่อนจะก้าวเท้าต่อ
“ตุ๊กตางั้นหรอ...” เด็กสาวพึมพำ
เสียงของเด็กสาวดังก้องในความว่างเปล่า ในที่ๆไกลแสนไกลออกไป
“เมื่อกำแพงถูกทำลายลงเนื้อเรื่องบทใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น ในที่สุดฟันเฟืองของนาฬิกาเรือนที่สองก็เริ่มเคลื่อนไหวเสียที ผนึกชั้นที่สองของเกาะโชคชะตาบุรีถูกทำลายลง หัวใจทมิฬ และ อาณาจักรศักดิ์ศิทธิ์ เข้าสู่สนามรบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ แต่ล่ะฝ่าย จะมีเจตนาแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ทุกคนหมายตาไว้ สุดท้ายก็คือ หัวใจมังกร แล้วใครกันนะที่เป็นผู้ครอบครองมัน” เสียงนั่นนิ่งเงียบไปก่อนจะพูดต่อ “จริงๆก็รู้อยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง” เสียงนั้นหัวเราะคิกคักดังก้องอยู่ในอากาศ ก่อนจะเลือนหายไปกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่จมลงสู่ทะเล ณ ปลายขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล
ความคิดเห็น