ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    | Taehyung X You | Playing With Fire เล่นกับไฟ

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter #0 Intro

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 64







         Part: PP 



         06:00 น. 



    "ตื่อดื๊อดื๊ออ ตื๊อดื๊อดืออดื่อ ~ Baby, is it me or are you doing somethin' to me? ~



                   สวัสดีตอนเช้าวันจันทร์ที่ทั้งแสนน่าตื่นเต้นและน่าเบื่อไปพร้อมๆ กันนี้ ใช่แล้วนั่นคือเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ของฉันเอง เพลง Baby Don't Like It ของ NCT 127 ไงล่ะ ฉันเลือกเพลงนี้ปลุกเพราะอินโทรมันนุ่มนวลดี เหมาะแก่การโดนปลุกตอนเช้า เพราะถ้าจะให้เลือกเพลงแบบเพลง Bang Bang Bang ของ Big Bang มาปลุกนี่ก็ไม่ใช่อ่ะนะ เพราะจากที่ต้องแหกขี้ตาตื่นมารับชะตากรรมตั้งแต่เช้าในแต่ละวันอยู่แล้ว แทนที่จะได้ตื่นมาแบบสดชื่นๆ พร้อมเตรียมรับกับวันที่แสนจะน่าเบื่อพวกนี้คงต้องสะดุ้งตื่นจิตกระเจิดกระเจิงไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้านกันแทนอะ ถามว่าใครถามล่ะ? ไม่มี๊! ก็แค่อยากบอกน่าา เพราะนี่มันก็เป็นส่วนนึงในชีวิตประจำวันของฉันอ่ะเนอะ 


                   ทั้งที่วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของมหาลัยด้วยซ้ำและฉันก็จะได้เจอเพื่อนใหม่ จะได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ อีกหลายคนที่ไม่ใช่แค่คนเดิมๆ ที่ฉันเคยเห็นที่โรงเรียนเก่าจนเบื่อขี้หน้าแล้ว 


                   เฮ้อ พอนึกถึงพวกผู้คนขี้เผือกที่โรงเรียนเก่าแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีทันไดเลย 


                   ทำไมน่ะเหรอ? เฮ่อะ! ก็เพราะว่าโรงเรียนเก่าฉันมันมีพวกที่ชอบเผือกเรื่องชาวบ้านเยอะเกินไปน่ะสิ และแน่นอนหนึ่งในเรื่องที่คนพวกนั้นมาเผือกแล้วเอาไปเผาให้คนอื่นเสียหายหลายแสนก็คือเรื่องของฉันเอง เรื่องที่มันแพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนจนฉันต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่นไปทั่ว ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เป็นความจริงเลย 


                   แค่คิดว่าฉันต้องไปเจอคนพวกนั้นที่มหาลัยอีกก็ยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม ก็ใช่สิ บ้านฉันอยู่ที่โซลนิ่ มหาลัยก็เข้าที่โซล ชื่อมหาลัยก็ชื่อ Seoul University โว้ยยยยย! พลาดแล้ว คิม พีอา! ทำไมฉันถึงเลือกเรียนที่นี่ทั้งๆ ที่ฉันไม่อยากเจอคนที่โรงเรียนเก่าเลยนะ และแน่นอนว่าคนพวกนั้นก็ต้องเข้าที่นี่กันเยอะอยู่แล้ว ฉันน่าจะสอบเข้า มหาวิทยาลัยปูซาน เหมือนพี่โบนาซะจบๆ เรื่อง อย่างน้อยก็คงจะได้เจอคนพวกนี้น้อยลงอะ 


                   แต่ก็อ่ะนะ มันก็มีข้อดีอยู่บ้างแหละที่ฉันเลือกเรียนที่นี่ เพราะอย่างน้อยพี่ชายของฉันก็เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน อย่างน้อยก็มีคนที่ตัวเองรู้จักและสนิทสนมด้วยคอยให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือเวลาที่เราต้องการที่พึ่งพิง 


                   "ผีผี ตื่นได้แล้ววว!" น่ะ พอเรานินทาในใจหน่อยก็รีบโผล่มาซะงั้น ตายยากจริงๆ แถมกวนตีนแต่เช้าด้วย ฮึ่! 


                   "พีพีเหอะซอกจินนี่" ฉันตอบกลับแบบกวนตีนบ้าง ฮ่าๆๆๆ ก็ใครบอกให้มากวนตีนคนอื่นก่อนเองล่ะ 


                   "ย่าาา! เด็กนี่! บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามเรียกฉันแบบนี้? รู้มั้ยฉันเกิดก่อนแกกี่ปี??? แล้วนี่รู้มั้ยกี่โมงแล้ว?? ลงมากินข้าว! รู้มั้ยฉันตื่นมาตั้งแต่ตี 5 ทุกวันเพื่ออะไร? ก็เพื่อมาทำข้าวเช้าให้คนใต้ชายคานี่กินกันไงล่ะ! รู้มั้ยฉันต้องเสียเวลานอนตั้งชั่วโมงนึงมาเสียสละเพื่อที่ส่วนรวมจะได้กินกับข้าวอร่อยๆ ฝีมือของฉันเลยนะเนี่ย? ถ้านับ จันทร์ - ศุกร์ ก็อาทิตย์ละตั้ง 5 วัน เพราะฉะนั้นลุกออกจากเตียงและลงไปทานข้าวอร่อยๆ ที่ฉันทำไว้เดี๋ยวนี้เลย!" 


                   555555555555555 ตลกชิบ! ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถบ่นได้ยาวเท่าพี่จินอีกแล้วแหละ บ่นแต่ละทียาวตั้งแต่หัวแม่น้ำฮันยันจบหางแม่น้ำฮัน ถถถถถถถ ฉันหัวเราะอย่างเพลิดเพลินให้กับความตลกในการร่ายคาถาชินบัญชรของพี่แกพลางดูเวลาในมือถือไปด้วย... เชี่ยยย!!! 6 โมง 22 นาที แล้วว! เพราะมัวแต่เล่นโทรศัพท์หลังตื่นนอนจนติดเป็นนิสัยไปแล้วและทั้งฟังพี่จินร่ายคาถาไปด้วยนี่แหละเลยเพลินเลย ไม่ได้และ ฉันรีบเด้งออกจากเตียงและเข้าไปทำธุระส่วนตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำนอกห้องนอนทันที 


                   ฉันทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำราวๆ 20 นาทีก็เสร็จ พอเสร็จจากห้องน้ำแล้วฉันก็เดินลงมาชั้นล่างเพื่อที่จะมากินกับข้าวอร่อยๆ ของพี่จินเหมือนที่พี่แกได้ร่ายไว้นั่นแหละ สงสัยล่ะสิว่าทำไมฉันถึงเสร็จจากห้องน้ำเร็วแบบนี้ทั้งๆ ที่สำหรับผู้หญิงแล้วควรจะใช้เวลาอย่างน้อยซัก 30 นาทีในการทำธุระส่วนตัวทุกอย่างในห้องน้ำจนเสร็จด้วยซ้ำ... ก็เพราะว่าฉันไม่ได้อาบน้ำไงล่ะ! โด่ว์ ที่นี่เกาหลีใต้เมืองหนาวนะ ใครเขาจะอาบน้ำบ่อยกันขนาดนั้นกันล่ะ? ที่นี่ไม่ใช่ที่ไทยนะที่มันร้อนจนต้องได้อาบถึงวันละ 2 ครั้ง ถึงตอนนี้ที่นี่จะค่อนข้างร้อนก็เหอะ แต่อาบวันละครั้งตอนเย็นก็พอแล่ว ไม่มีใครมาว่าคุณซกมกหรอก 





                   "เบค่อน ใส้กรอก กับ ไข่ดาว เนี่ยนะ? ทำไมวันนี้ทำอาหารฝรั่งล่ะ?" ฉันถามพี่จินออกไปอย่างแปลกใจเพราะอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าตอนนี้คืออาหารแบบสไตล์ตะวันตก เพราะธรรมดาตอนเช้าพี่แกมักจะทำอาหารเกาหลีเมนูง่ายๆ หรือพวกแซนด์วิชอะไรแบบนี้ให้กินมากกว่า แต่วันนี้กลับทำอาหารฝรั่งซะงั้น 


                              "เพราะเพิ่งเรียนมาไงล่ะ" 


                   "ได้ยินข่าวว่าพี่เรียน Bakery Science?" ใช่ พี่แกเรียนทำขนมหวานนี่ ไม่เห็นรู้มาก่อนว่าเขาสอนทำอาหารคาวด้วย 


                   "เรียนมาจากเพื่อน" อ่อ 


                   "พี่โฮซอก?" 


                   "ไม่" 


                   "พี่นัมจุน?" 


                   "ไปกันใหญ่ละ ไอ้นัมจุนเนี่ยนะจะเข้าครัวทำอาหารเป็น? มีแต่มันจะจุดไฟเผาบ้านน่ะสิ" 555555 ขรรม "เรียนมาจากไอ้หยอยเว่ย" 


                   "อ้าว พีจะรู้มั้ยล่ะ? ก็เพื่อนพี่อะ ไม่ใช่เพื่อนพี" ใช่ ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาเลยด้วยซ้ำ รู้จักแต่ชื่อ เพราะพี่จินมีแต่โม้เรื่องเพื่อนตัวเองให้คนที่บ้านฟังแต่ไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านเลย นอกจากพี่ชานยอล หรือที่พี่จินแกเรียกว่าหยอยนั่นแหละ เพราะทั้ง 2 คนสนิทกันมาตั้งแต่ตอนประถมแล้ว จะว่าไปพี่จินนี่ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนนะ เท่าที่รู้ก็มีไม่กี่คนเอง... เหมือนฉันเลย เห้ออ ทำไมบ้านเราถึงได้มีแต่คนที่รันทดเหมือนกันแบบนี้หมดเลยนะ พี่โบก็เช่นกัน เราสามคนพี่น้องนี่ทำบุญกับคนไม่ค่อยขึ้นจริงๆ เลย โดยเฉพาะตัวฉันเอง 


                   "เฮ่อออ" พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วฉันก็ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจออกมาระบายความเซ็งนี้พร้อมกับเอามือขึ้นมาค้ำคางและเหม่อออกไปทางหน้าต่างด้วย 


                   "เป็นอะไรพีอา? ถอนหายใจทำไม? พี่จินทำอาหารไม่อร่อยหรือลูก? หรือกลุ้มใจเพราะมีหนุ่มมาขายขนมจีบให้เยอะเกินไป? ฮ่าๆๆๆ" เป็นคุณลุงเองที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ละหน้ามาจากหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ 
     

                   "ไม่ใช่อกหักเร้ออ เห็นหน้าไม่รับบุญตั้งแต่เมื่อวานละ โดนหนุ่มที่ไหนทิ้งมารึเปล่าเนี่ย หน้าบูดเป็นตูดหมาเลย แล้วจะค้ำคางไปอีกนานมั้ย? ผมจะลงซอสมะเขือเทศอยู่แล้วน่ะ" เป็นเสียงของป้าฉันที่เพิ่งเดินมาร่วมโต๊ะกินข้าวเองแหละ เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันเลยรีบปัดผมตัวเองไปด้านหลังทันที เดี๋ยวผมแม่งได้ลงซอสตามที่ป้าว่าจริงๆ 


                   คนบ้านนี้นี่ชอบล้อฉันจริงๆ เลย โดยเฉพาะเรื่องอะไรแบบนี้ และแน่นอนมันก็เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ดีทุกครั้งเลยแหละ นี่ฉันน่าแกล้งขนาดนั้นเลย? 


                   "ผมว่าน่าจะขี้ไม่ออกมากกว่านะครับ ดูหน้าสิ เหมือนคนไม่ได้ขี้มา 2 อาทิตย์เลย ลืมกินกล้วยหรอ? 5555555" น่ะ มาอีกคนละ ใช่ เพราะฉันเป็นคนที่ท้องผูกบ่อยๆ เลยชอบกินกล้วยเป็นยาระบาย แถมกล้วยยังมีธาตุเหล็กเยอะอีกด้วย ดีต่อคนที่อยู่ในสภาวะเลือดจางแบบฉัน แต่เรื่องล้อฉันนี่ถนัดกันจริงๆ เลยนะคนบ้านนี้ เวลาแบบนี้นี่ความสามัคคีมากันเต็มร้อยเลยนะ ขอแค่ให้บอก! 


                   "ซอกจิน! แม่บอกแล้วนะว่าอย่าพูดเรื่อง อุจจาระ ปัสสาวะ บนโต๊ะกินข้าว นี่บอกตั้งแต่แกยังหนวดไม่ขึ้นเลยนะ ยังไม่จำอีก! มานี่เลยไอ้เด็กหนวดยังไม่ขึ้น เดี๋ยวออมม่าคนนี้จะบิดพุงให้ใส้กริ่วเลย ฮึ่ย!" 


                   ตาฉันหัวเราะบ้าง ฮ่าาาๆๆๆๆๆๆ ทั้งฉันและคุณลุงพากันหัวเราะที่ป้าทั้งกัดฟันพูดและทำท่าจะบิดพุงพี่จินเข้าจริงๆ ตามที่ตัวเองว่า พร้อมกับพี่จินที่เอี้ยวตัวหนีไปอีกทางเหมือนเด็กที่กำลังจะโดนจั๊กจี๋พร้อมกับพูดออกมาว่า 


                   "ผมยอมแล้วคร๊าบโผมม ผมจะไม่พูดเรื่องแบบนี้อีกแล้วคร๊าบบบบ หยุดเถอะห๊าบบบ ผมโตแล้วน๊าาา มีหนวดแล้วด้วยแค่โกนออกเฉยๆ เหะๆ อย่าบิดพุงผมเลยฮ๊าบบบบ" 


                   Lmao ซัก 10 ตัวได้มั้ยล่ะ! ปากพี่แกก็บอกว่าตัวเองโตแล้ว แต่การกระทำนี่ตรงข้ามกันเลย 555555555 ซอกจินนี่เอ๊ย! 


                   "และยังไม่จบแค่นี้นะ เมื่อเช้าใครใช้ให้แกไปยืนตะโกนแหกปากอยู่ข้างบนบ้านห๊ะ? ขนาดฉันอยู่ข้างล่างยังได้ยินแกชัดเจนเลย บ้านแกอยู่ข้างสถานที่จัดคอนเสิร์ตรึไงเหรออ?" 5555555555555 ครั้งนี้ป้าเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นหูพี่แกแทน 


                   Lmao! ครั้งนี้ฉันหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม นั่นแหละอยากมาตะโกนหน้าห้องคนอื่นเองนัก โดนไปซะเลย ฮ่าาาๆๆๆๆๆ พูดเบาๆ คนอื่นเขาก็ได้ยินแล้วเห๊ออ 


                   คุณลุงก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ ให้กับสถานการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยของ ผู้ชาย อายุ 22 ที่ชื่อ คิม ซอกจิน ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังชอบเล่นเป็นเด็กๆ กับผู้ที่เป็นแม่เลี้ยงตัวเองอยู่เรื่อยไปแล้วหันไปอ่านหนังสือพิมพ์ในมือตัวเองและจิบกาแฟต่อ 


                   เวลาสนุกสนานแบบนี้อยากให้พี่โบมาอยู่ร่วมหน้าร่วมตากับพวกเราด้วยจัง พี่แกคงจะอยู่ข้างฉันมากกว่าช่วยคนอื่นล้อฉันอ่ะนะ แต่พี่ก็ต้องไปเรียนของพี่อะเนอะ นี่ก็เป็นปีที่สองแล้วที่พี่ไม่ได้อยู่ร่วมทานอาหารกับพวกเราภายในวันธรรมดาแบบนี้ คิดถึงพี่จัง... 





                   หลังจากที่จบศึกจากป้าและพี่จินไปฉันก็ได้ขึ้นรถเมล์ออกมาจากป้ายแถวบ้านแล้ว คนก็ค่อนข้างแน่นจนเกือบจะทำให้อึดอัด แต่ก็ยังดีที่ฉันยังหาที่นั่งได้อยู่ จะว่าไป... ฉันก็ยังไม่ได้แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการเลยนะ 


                   ฉันชื่อ คิม พีอา อายุ 18 ย่าง 19 ปีนี้ก็ขึ้นปีหนึ่งพอดี ตอนนี้ฉันอยู่กับป้ากับลุงและพี่สาวกับพี่ชายอีก 2 คน ซึ่งพวกเราไม่ใช่สายเลือดเดียวกันหรอก ฉันกับป้านารีเป็นคนไทย และป้าก็เป็นป้าจริงๆ ของฉัน แต่ตามจริงแล้วป้าไม่มีลูกหรอกนะ เพราะป้าไม่สามารถมีลูกได้ แต่ได้แต่งงานกับคุณลุงจุนมยอนที่มีลูกติดอยู่แล้ว 2 คน ป้าเลยได้กลายมาเป็นแม่ของลูกพี่ลูกน้องต่างสายเลือดทั้ง 2 คนของฉันไปโดยปริยาย ทั้งพี่จินและพี่โบรักป้าเอามากๆ รักเหมือนแม่แท้ๆ ของพวกเขาเลยแหละเพราะป้ากับลุงเองก็ได้แต่งงานและอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังเด็กๆ กันอยู่เลยด้วยซ้ำ 

                   ส่วนเรื่องราวของฉันน่ะเหรอ... ฉัน... ก่อนที่ฉันจะย้ายมาอยู่ที่เกาหลีตอนมัธยมต้นปี 2 ฉันก็ไม่ได้อยู่ที่ไทยหรอกนะ ฉันย้ายไปอยู่ที่ประเทศๆ นึงในแถบสแกนดิเนเวียที่ชื่อ สวีเดน ฉันย้ายตามแม่ไปตอนที่ฉันอายุได้เกือบ 9 ขวบ หรือตอน ป.3 นั่นเองเพราะแม่ของฉันแต่งงานใหม่และฉันได้มีน้องชายคนนึงที่อายุห่างจากฉัน 8 ปี เขาชื่อ Alexander ฉันว่าเขาเป็นเด็กที่น่ารักมาก ถึงฉันจะเป็นพี่ที่ไม่เข้าใจน้องซักเท่าไหร่ แต่ฉันก็รักน้องของตัวเองมากนะ พวกเรา 4 คนอยู่กันอย่างมีความสุขเหมือนครอบครัวทั่วไปและพ่อเลี้ยงของฉันก็ดีกับฉันมากๆ เขาเป็นเหมือนพ่อแท้ๆ ของฉัน ในขณะที่พ่อแท้ๆ ของฉันไม่เคยทำอะไรให้ฉันเลย แต่... วันหนึ่งกลับเกิดเรื่องที่เศร้าที่สุดในชีวิตของฉันที่ฉันไม่เคยลืมเลย วันนั้นเป็นวันๆ นึง ที่หิมะตกหนักมากๆ ในต้นเดือนธันวาคมตอนที่ฉันอายุได้แค่ 14 กับไม่กี่เดือนเท่านั้น ทุกคนออกไปปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนพ่อเลี้ยงของฉันกัน และรถก็ได้พลิกค่ำลงเหวข้างทางที่ไม่ได้ลึกมาก แต่ก็ได้คร่าชีวิตของพวกเขาทั้ง 3 คนไปจากฉัน... 


                   วันนั้นเป็นวันที่โศกเศร้าและฝังใจที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันไม่รู้ว่าฉันร้องไห้ไปกี่รอบต่อกี่รอบ จนป้าของฉันได้รู้เรื่องโศกนาฏกรรมอันแสนเศร้านี้ เลยได้เดินเลี้ยงพาฉันมาอยู่ที่นี่ด้วย ที่เกาหลี ที่ๆ ฉันได้รับโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต ได้เจอคนใหม่ๆ และ... คนเก่าๆ ที่ฉันไม่เคยลืมไปจากความทรงจำของตัวเองเลย ฉันขอบคุณป้ามากๆ ที่เลี้ยงและดูแลฉันมาอย่างดีเหมือนลูกคนนึง และก็ขอบคุณคุณลุงและพี่สาวกับพี่ชายของฉันอีก 2 คนด้วยที่ดีกับฉันมากขนาดนี้ ถ้าไม่มีทั้ง 4 คนคอยอยู่เคียงข้างฉันเหมือนตอนนี้ ป่านนี้ชีวิตของฉันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้... 



    .
    .
    .



                   ตอนนี้ฉันถึงมหาลัยแล้ว ฮึ่บ! ฉันพยายามให้กำลังใจตัวเองในการเริ่มต้นใหม่กับโอกาสใหม่ แต่มันก็ยากซะเหลือเกินที่ฉันจะไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย การทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ มันเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรสำหรับฉัน เพราะฉันเคยเจอเรื่องราวการคบเพื่อนที่ไม่ราบรื่นมาก่อนค่อนข้างเยอะ มันเลยทำให้ฉันระแวงและกลัวที่จะเริ่มต้นทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของตัวเอง


                   และตั้งแต่ที่ฉันเดินเข้ามาในรั้วมหาลัยก็มีทั้งสายตาของผู้หญิงและผู้ชายที่พากันมองมาที่ฉันกันหลายคน บางคนก็แอบหันไปซุบซิบกัน บางคนก็มองมาด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็นว่าฉันเป็นใคร คงเป็นเพราะฉันเป็นเด็กปี 1 และพวกเขายังไม่คุ้นหน้าคุ้นตาฉันล่ะมั้ง พวกเขาเลยมองกัน แต่เฮ่ออ ช่างเถอะ จะคิดอะไรก็แล้วแต่เขาเถอะ 


                   "เดินต่อไป เดินต่อไป" ฉันบอกตัวเองเสียงเบาให้ไม่ต้องไปสนใจผู้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบกายตัวเองแล้วก้าวขาฉับๆ มาจนถึงตึกที่ตัวเองจะมีเรียน โชคดีที่ตึกนี้อยู่ไม่ไกลจากหน้า ม. มากซักเท่าไหร่ ไม่งั้นฉันคงต้องต่อรถเมล์เข้ามาในมหาลัยอีก ถ้าไม่อยากเดินขาลากอ่ะนะ มหาลัยนี่ก็เล็กซะที่ไหนล่ะ ใหญ่โตมโหฬารเหมือนกับ ม. ชื่อดัง ม. อื่นๆ ในโซลนั่นแหละ รุ่นพี่ปีอื่นๆ เขาจำเส้นทางในมหาลัยกันได้ยังไงเนี่ย ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าคนที่จบมหาลัยไปแล้วแต่ละคนเนี่ยพวกเขารู้จักเส้นทางใน ม. ของตัวเองได้ถึงครึ่งกันรึเปล่า ใหญ่ชิบ 


                   ฉันรีบเดินขึ้นอาคารคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมและรีบหาห้องที่ตัวเองต้องเข้าเรียนในอีกไม่ถึงภายในสิบนาทีนี้ ใช่แล้ว ฉันเรียนคณะนี้เองแหละ เพราะฉันถนัดภาษามากกว่าและตกม้าตายเมื่อมาถึงคณิตศาสตร์และทุกอย่างที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ก็คนมันโง่เรื่องนี้อะ จะให้ทำไงล่ะ? ที่เกาหลีก็มีนักท่องเที่ยวเยอะด้วยอ่ะเนอะ ฉันเลยเลือกเรียนคณะนี้แหละ ง่ายดี 


                   พอฉันเจอห้องที่ตัวเองต้องเข้าเรียนในวันนี้ฉันจึงเริ่มมองหาที่ว่างให้ตัวเองได้นั่ง เพราะวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก นักศึกษาเลยยังคงตรงต่อเวลากันอยู่ ที่นั่งมันเลยค่อนข้างที่จะแน่นพอสมควร 


                   ในที่สุดฉันก็เลือกได้แล้วว่าจะนั่งตรงไหนดี ฉันเลือกนั่งฝั่งทางด้านขวาเกือบสุดใกล้ๆ กับประตูทางออกหน่อย คนแน่นอย่างนี้อากาศมันจะได้ถ่ายเทบ้าง ในห้องนี้ก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาที่นั่งเรียงล้อมกันอยู่ บางคนก็ดูจะสนิทสนมกันแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดเทอมได้วันเดียวเอง บางคนฉันก็จำหน้าได้บ้างแล้วเพราะเคยเจอตอนวันปฐมนิเทศ ฉันได้แต่คิดอยู่ภายในใจว่าคนพวกนี้ล่ะโชคดีจริงๆ ที่หาเพื่อนได้เร็วขนาดนี้ เพราะฉันเป็นคนที่เข้าหาคนอื่นได้ไม่เก่งฉันเลยเป็นกังวลอยู่อย่างนี้ แต่ก็ขอเถอะนะ ขอให้ฉันได้มีเพื่อนดีๆ ที่รักและคบกับฉันด้วยความจริงใจไปนานๆ ซักคนเหอะ สาธุ! 


                                  พอฉันนั่งได้ไม่ถึง 2 นาที เลยด้วยซ้ำก็มีคนมาสกิดที่ไหล่ข้างขวาของฉัน พร้อมกับเอ่ยถามฉันออกมาอย่างเป็นมิตร 


                   "เฮ้เธอ ตรงนี้ข้างเธอว่างป่าวอะ เราขอนั่งนะ ^^" นักศึกษาคนที่ทำผมบลอนด์คนนั้นยิ้มมาให้ฉันจนตาหยีอย่างน่ารักพร้อมกับถามชื่อของฉันหลังจากที่ได้ที่นั่งแล้ว ฉันทั้งดีใจและแปลกใจที่เขาเลือกมานั่งข้างๆ ฉัน ทั้งที่แถวหน้าเก้าอี้ก็ว่างตั้งหลายตัวพร้อมกับตอบคำตอบของตัวเองไป 


                   "เราชื่อ คิม พีอา แล้วเธอล่ะ?" 


                   "เราชื่อ ซานะ, มินาโตะซากิ ซานะ





    - - - - - - - - - -





    Yo! อินโทรจบไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีอะไรมาก แต่ก็น่าจะเข้าใจอะไรไปเยอะอยู่บ้างเนอะ เจอกันตอนหน้าค่าา
    <3<3<3



    - - - - - - - - - -



    แก้คำผิด: 2017/08/06



    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×