ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    | Jungkook X Cheng Xiao | Autumn Leaves ใบไม้ที่ร่วงหล่น

    ลำดับตอนที่ #2 : Intro: Never Fading Pain

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 42
      3
      17 มิ.ย. 62







    ธันวาคม 2021





         ณ สถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชจู 



                   ในเช้าวันศุกร์กลางเดือนธันวาคมที่หิมะโปรยปรายลงมาทั่วท้องฟ้าแบบนี้หลายคนคงอยากจะอยู่ติดกับบ้านเพื่อหาไออุ่นจากเตาผิงและผ้าห่มแสนอบอุ่นสุด หลายคนคงหยุดงานเพื่อพาครอบครัวไปเล่นสกีที่ภูเขาใกล้บ้านไม่งั้นก็ที่สกีรีสอร์ทต่างๆ แต่ไม่ใช่สำหรับ จอง ซองโซ คนนี้ สำหรับเธอการงานต้องมาก่อนเสมอ เพราะถ้าไม่มีงานก็ไม่มีเงิน นั่นคือคติประจำใจของเธอ 


                   "สวัสดีค่ะ ที่นั่งยังว่างนะคะ เชิญด้านในเลยค่ะ" รอยยิ้มสวยถูกส่งไปให้ลูกค้าชายหญิงคู่รักที่ถ้าซองโซจำไม่ผิดนี่ก็คือครั้งที่ 3 แล้วที่ทั้งสองมาที่นี่ 


                   ที่นี่ที่ว่าก็คือร้านกาแฟไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่งที่ซองโซได้ใช้ชีวิตโดยการทำงานอยู่ที่นี่มาตลอด 5 ปี ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย จนถึงทุกวันนี้ 


                   ร้าน 'Sweet Rosie' ถูกตั้งขึ้นมาได้เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง ไม่ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ และผู้ที่ก่อตั้งร้านขึ้นมาด้วยกันทั้งสองคนก็คือ จอง อีมาน และ จอง โบยอง คุณปู่และคุณย่าของซองโซนั่นเอง ตอนแรกที่ร้านถูกก่อตั้งขึ้นมาจริงๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนทำเลมาอยู่ที่นี่ก็เคยตั้งอยู่ในที่ๆ ใกล้บ้านคุณปู่กับคุณย่ามากกว่านี้ ร้านเล็กกว่านี้ด้วย และเมื่อหลายๆ อย่างลงตัวจึงถูกย้ายมาอยู่ที่นี่แทนและได้รับชื่อใหม่อย่างที่ทุกคนรู้จักกันในทุกวันนี้ แต่เมื่อร้านถูกก่อตั้งใหม่ได้ไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำคุณปู่ก็มาด่วนจากไปเสียก่อน ทำให้คุณย่าต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่หนักขึ้นกว่าเดิม ซองโซจึงต้องรีบเรียนให้จบเพื่อที่จะมาช่วยทำงานและบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ให้รวดเร็วที่สุด 


                   "ซองโซ วางเครื่องคิดเลขลงแล้วไปพักเถอะนะ เธอทำงานมาทั้งเช้าแล้ว ไปหาอะไรรองท้องก่อนเถอะ"  คัง ซึลกิ บาริสต้าคนเก่งของทางร้านเอ่ยขึ้น 


                   "ใช่ นี่ก็จะเที่ยงแล้ว หาเวลาพักบ้างเถอะ ทำตัวถึกขนาดนี้เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาวันละ 2-3 รอบเหมือนแต่ก่อนไม่รู้ด้วยนะยะ" ยูน โบมี เบคเกอร์มือหนึ่งของร้านเอ่ยขึ้นมาอีกเสียง 


                   "เว่อร์น่าพี่ นั่นมัน 5 ปีที่แล้วละ อีกอย่างพี่พูดเองไม่ใช่หรอว่าฉันน่ะถึก ระดับ จอง ซองโซ แล้วถ้าไม่โดนรถสิบล้อทับก็ไม่ตายง่ายๆ หรอก มีงานน่ะดีละ จะได้มีเงิน" 


                   "จ๊าาาาาแม่คนขยัน หมั่นไส้คนขยันเด๊ นี่ถ้าฉันขยันได้เหมือนเธอบ้างนะป่านนี้ฉันคงซื้อบ้านได้ทั้งหลังละ ชีวิตของฉันคงจะดีมวากกกกกก ฉันคงได้กินทุกอย่างที่อยากกิน คงช็อปปิ้งได้ทุกวันหยุด คงเลี้ยงหนุ่มๆ มหาลัยได้เป็นโขยง หู้วววว์ แค่คิดก็ฟินละ" สายตาแพรวพราว 


                   "แต่พี่ก็ทำไม่ได้หรอกใช่มั้ยล่ะพี่โบมี อีกอย่างสิ่งแรกที่พี่ควรจะทำตั้งแต่เริ่มมีเงินนะก็คือการทวงสิทธิ์ความเป็นแม่กลับคืนมาแล้วเอาลูกพี่มาอยู่ด้วย" 


                   "ให้ฉันหาเงินเลี้ยงลูกคนเดียวเหมือนที่แกเลี้ยงมีรินอ่ะนะซึลกิ? ไม่เอาอะ ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดีนะ ถึงจะไม่ได้อยู่กับลูก แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าเซฮันน้อยของฉันเขาอยู่ดีกินดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเงินใช้ในเวลาที่ต้องการ แค่นี้ฉันก็มีความสุขแล้ว เฮ้ย! ดูลูกค้าโต๊ะสามนั่นสิ อ๊อยยย หล่อมากเลยอ่ะซิส เธอสบตาฉันทีไร หัวใจฉันละลายทีนั้น ~ ดาร์ลิ้ง ~" 


                   ซองโซกับซึลกิได้แต่หัวเราะแบบเอือมๆ ให้กับความมโนของโบมี เพราะทุกคนรู้ว่านั่นคือความถนัดของเธอ 


                   "นี่แหละน๊าาา ดูไว้นะซองโซ ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่ไงทางแม่ย่าเขาเลยไม่ให้เจอลูกอะ" 


                   "ย่าห์!! คัง ซึลกิ! นี่นินทาฉันหรอ?? เดี๋ยวเหอะๆ เดี๋ยวปีใหม่นี้ฉันจะยุให้ซองโซไม่ให้โบนัสแกซะเลย" 


                   "คงเป็นไปไม่ได้จ๊าา เพราะฉันขยันเหมือนซองโซ ไม่ได้ขี้เกียจเหมือนพี่" 


                   "ย่าห์!"


                   ถึงซองโซจะดูเป็นคนบ้างาน แต่เธอก็ไม่เกี่ยงหรอก ต้องพูดว่าเธอชินกับอะไรแบบนี้ไปแล้วซะมากกว่า เพราะตั้งแต่จำความได้ชีวิตของเธอก็ไม่เคยง่ายเหมือนชาวบ้านเขาเลย พ่อกับแม่ก็เสียตั้งแต่เด็ก ต้องอยู่กับแม่เลี้ยงตามลำพัง พอแม่เลี้ยงแต่งงานใหม่และมีน้องชีวิตเธอก็ยิ่งลำบากขึ้นกว่าเดิม จากชีวิตที่ดูลงตัวดีกลับกลายเป็นขุมนรกดีๆ นั่นเอง เธอได้ผ่านชีวิตในแบบที่หลายคนแค่นึกถึงก็คงอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว ถ้าในชีวิตเธอไม่มีย่าและปู่คอยอยู่ช่วยดูแลเลยเธอก็ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าทุกวันนี้ชีวิตของเธอมันจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณและเพื่อให้ครอบครัวของเธอได้อยู่ดีมีความสุข ประสบการณ์ทุกอย่างในชีวิตที่เธอเคยเผชิญมามันเป็นสิ่งผลักดันให้เธอยิ่งต้องเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า จากที่แข็งเป็นก้อนหินอยู่แล้วก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นมาอีกจนเป็นเพชร ไม่ว่าอุปสรรคจะเยอะและยากเย็นแค่ไหนเธอก็ไม่กลัวมันหรอก เพราะเธอไม่ใช่ซองโซคนเดิมอีกต่อไปแล้ว 


                   ผ่านมาไม่ทันไรซองโซก็ทำงานเพลินจนนาฬิกามันบอกว่านี่เป็นเวลาบ่ายแล้ว 


                   "ซองโซ" เสียงนุ่มนวลของหญิงชราวัย 65 ดังขึ้นมาข้างๆ หูของเจ้าของใบหน้าสวยที่กำลังยิ้มเพลินๆ ในขณะที่กำลังเช็ดแก้วกาแฟอยู่ 


                   "ย่า อ้าว ย่ากินข้าวยังเนี่ย ก่อนนี้พี่ซึลกิไปซื้ออาหารสำเร็จรูปมาให้พวกเรานิ่ ย่าเห็นยัง?" 


                   "ย่ากินแล้ว ว่าแต่หลานน่ะกินอะไรยังล่ะ?" ถึงใบหน้าจะหย่อนคล้อยไปตามอายุ แต่หญิงวัยชราผู้นี้กลับพกรอยยิ้มมาด้วยเสมอ 


                   "ยังอะ ซองไม่หิวเท่าไหร่" 


                   "จะรอออกไปกินข้าวข้างนอกกับโรซี่เหรอ?" 


                   "ใช่แล้วย่า คือว่าเมื่อวานน้าเขาโทรมาว่าอยากเจอหลานน่ะ อยากเลี้ยงไอติมหลานทดแทนที่ไม่ได้เจอกันนาน" 


                   "เพื่อนสาวลูกครึ่งฝรั่งของหลานน่ะเหรอ?" 


                   "อ่าฮะ" 


                   "งั้นก็รีบไปเถอะ นี่บ่าย 15 นาทีแล้ว เดี๋ยวโรซี่ได้รอนาน" 


                   ตายแล้ว! นี่ฉันมัวแต่ทำงานจนเวลาเลยมาขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย ไม่ได้การละ ต้องรีบแล้ว 


                   "งั้นซองไปก่อนนะย่า!" ร่างบางรีบแต่งตัวเพื่อออกไปเผชิญกับอากาศเยือกเย็นข้างนอก คว้ากระเป๋าคู่ใจแล้วรีบเผ่นออกมาจากร้าน 


                   ปี๊บบ ปี๊บบบ! 


                   กำลังนึกถึงก็มาพอดีเลย ซองโซไม่รอช้า รีบวิ่งไปยัง Mini Cooper สีขาวคันงามเพื่อเข้าไปกอดเพื่อนสาวที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษได้ไม่กี่ชั่วโมงก็บินตรงมาหาเธอที่เกาะเชจูเลย ก็ซองโซเป็นเพื่อนรักคนเดียวของเธอเหมือนที่เธอเป็นเพื่อนรักคนเดียวของซองโซนี่นา พวกเธอเคยผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกหรอกที่ทั้งสองจะรักกันมากขนาดนี้ 


                   "อั๊ยยย Get off of me นะยัยบ้า! นี่โหนจนคอฉันจะหลุดอยู่แล้วนะ คนยิ่งเจ็ทแล็กอยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพื่อนนะ I don't คบ you ละ" ผู้หญิงที่หน้าออกไปทางตะวันตกมากกว่าทางเกาหลีเอ่ยขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง 


                   "เว่อร์น่ะแชนนอน คนคิดถึงหน่อยก็ไม่ได้ มาทำเป็นโหด อีกอย่างนะ เราสายละ รีบๆ เผ่นเลย" 


                   "ซิ่งเลยช้ะ?" 


                   "จ่ะยัยฝรั่งดอง" 


                   บรื้นนนน... 


                   "เอ้อ ซองโซ แม่เรียกฉันกลับบ้านอะ น่าเบื่อมากเลย พรุ่งนี้ฉันก็ต้องกลับละ ตอนแรกว่าจะมาอยู่ที่นี่ซัก 3-4 วันให้หายคิดถึงหลานซะหน่อย แต่หมดกัน คุณนายจีอูไม่เคยปล่อยให้ฉันได้พักหายใจเลย นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันอยากเจอพวกเธอนะฉันอยู่อังกฤษกับแดดดี๊ต่อดีกว่า" 


                   "ก็บอกละว่าให้ไปเยี่ยมแม่ก่อน เธอนั่นแหละ รีบ" 


                   "Blah, blah, blah, blah! แล้วคริสต์มาสฉันไม่อยู่ด้วยจะพากันทำอะไรล่ะเนี่ย? อีกอย่าง... ปีนี้ได้ชวน จอง แจฮยอน มาอีกป่ะ?" 


                   "ก็ชวนเหมือนปีที่ผ่านมานั่นแหละ และคงหยุดกินเลี้ยงที่ร้านกันเหมือนทุกปีล่ะมั้ง แต่ปีนี้แจฮยอนมาไม่ได้เพราะต้องไปฉลองที่ฝรั่งเศสกับครอบครัว มะรืนนี้เขาเลยจะพาโรซี่ไปเที่ยวทดแทนที่จะไม่ได้เจอกันตอนคริสต์มาสและปีใหม่น่ะ" 


                   "ฉันชอบแจฮยอนนะ" แชนนอนยิ้มกรุ้มกริ่ม พอเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเพื่อนสาวเธอก็อดไม่ได้ที่จะไม่ยิ้มตาม 


                   "ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นเลย ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร อีกอย่าง นี่รอบที่ห้าร้อยละที่เธอพูดแบบนั้น คิดว่าฉันเป็นแอมนีเซียรึไง" 


                   "ก็ฉันคิดแบบนี้จริงๆ ~ ดูเธอสิ ทุกวันนี้แทบทุกครั้งที่ได้ยินชื่อแจฮยอนเธอก็จะยิ้มขึ้นมาตลอดเลย เขาเป็นคนดีนะ ทำไมไม่ลองเปิดใจดูล่ะ?" 


                   รอยยิ้มบนใบหน้าสวยหายไป ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบในสิ่งที่เพื่อนรักพูดออกมา ไม่ใช่เพราะ จอง แจฮยอน ไม่ดีพอ นอกจากพ่อและปู่แล้วก็ผู้ชายคนนี้แหละที่รักและให้เกียรติเธอที่สุดเสมอมา แจฮยอนไม่ได้ผิดอะไร แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น เพราะบาดแผลจากวันวานที่ซองโซได้รับมามันสาหัสเกินไป มันเกินเยียวยา ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่แผลเป็นมันก็ยังคงอยู่ ฝังลึกอยู่ภายในหัวใจสีดำดวงนี้ไม่มีวันจางหาย 
     

                   "ซองโซ คือว่า... เมื่อวานฉันเจอ จอน จองกุก ที่สนามบิน เขาน่าจะเพิ่งกลับมาจากฟลอริด้า" 


                   "อย่าพูดชื่อนี้ให้ฉันได้ยินอีก" ไม่คิดไม่ฝันว่าอยู่ๆ วันนี้เธอจะมาได้ยินชื่อของผู้ชายที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต 


                   แชนนอนรู้ว่าถ้าเธอเอ่ยเรื่องนี้ออกไปซองโซจะมีปฏิกิริยาเช่นไร เขามักจะได้ยินข่าวของ จอน จองกุก จากคนรอบตัวอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยให้มันเล็ดลอดมาจนถึงหูเพื่อนรักเลย แต่วันนี้เขาจำเป็นต้องพูด พูดในสิ่งที่ควร 


                   "ถ้าอยากให้ฉันเลิกพูดถึงจองกุกเธอก็ต้องลืมเขาให้ได้เหมือนที่เธอพูดก่อนสิ แต่เธอก็ยังทำไม่ได้ ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะดีกับเธอได้เท่า จอง แจฮยอน อีกแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ยอมรับเขาเข้ามาอยู่ในชีวิตซักที ฉันทนไม่ได้หรอกนะถ้าจะต้องเห็นเธอเป็นแบบนี้ไปจนตาย" 


                   "พอเถอะ ถ้าเธอยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ อย่าพูดถึงผู้ชายคนนี้อีก" 


                   "แต่เด็กต้องการพ่อนะ!" แชนนอนพูดออกมาอย่างเหลืออด "ลูกเธอต้องการพ่อ และ จอน จองกุก ก็คือพ่อแท้ๆ ของลูกเธอ!


                   "หยุดเดี๋ยวนี้นะแชนนอน" ดวงตาที่เคยสดใสเหมือนลูกกวางคราวนี้แดงก่ำราวกับว่ามีหนามกุหลาบแหลมคมทิ่มแทงเข้าที่ขั้วหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า 


                   "ลำพังแค่ฉันเห็นเธอเป็นแบบนี้คนเดียวฉันก็รู้สึกแย่พออยู่แล้ว แต่ฉันทนไม่ได้ที่ต้องมาเห็นโรซี่เสียใจไปด้วย หัวใจฉันแทบสลายทุกครั้งที่หลานแอบมาถามฉันว่าฉันรู้มั้ยว่าพ่อหายไปไหน ทำไมแม่ไม่เคยเล่าเรื่องพ่อให้ฟังเลย ฉันอาจจะอยากให้เธอได้ลงเอยแบบ Happy Ending กับแจฮยอนนะ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่พ่อชองโรซี่ เพราะคนที่ทำเธอท้องน่ะก็คือ จอน จองกุก และเขาก็ควรที่จะได้เป็นคนรับผิดชอบเธอและลูก เขาคือพ่อแท้ๆ ของโรซี่แต่เขากลับไม่เคยได้มีแม้แต่โอกาสที่จะได้รับรู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองน่ะเป็นพ่อคนแล้ว!" 


                   "ฉันบอกให้พอได้แล้วไงแชนนอน!" ซองโซสูดหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง พยายามเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ไม่ให้มันได้แสดงออกมา 


                   "ขอโทษนะซองโซ แต่ฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกถ้าเธอไม่ต้องการเพราะฉันได้พูดความในใจออกไปแล้ว" ไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจเพื่อนเลย แต่เพื่อนของเธอน่ะปากแข็งจะตาย ถ้าไม่กระตุ้นความรู้สึกซักหน่อยก็คงจะใช้ชีวิตอยู่แค่กับการคิดถึงแต่เรื่องเดิมๆ ที่มันทำร้ายจิตใจตัวเองอยู่เรื่อยไปนั่นแหละ ถึงเพื่อนของเธอจะเข้มแข็งขึ้นมามากจากเมื่อก่อน แต่ไม่ว่ายังไงซองโซก็แข็งนอกอ่อนในอยู่วันยังค่ำ แชนนอนรู้ดี 





                   ในโรงเรียนอนุบาลที่มีเด็กๆ กว่า 80 คน วันนี้คือวันสุดท้ายของเทอมแรกก่อนที่ทั้งโรงเรียนจะปิดเพื่อต้อนรับหน้าหนาวและเข้าสู่เทอมใหม่ในเดือนหน้า ทางโรงเรียนจึงได้เลิกก่อนเวลาธรรมดาเป็นหลายชั่วโมง เด็กๆ หลายคนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือแค่เด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งที่ยังคงนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนรอพ่อแม่อยู่ท่ามกลางความเงียบเหงา นอกจากที่ตัวหนังสือแล้วสายตาก็พลอยมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่อยู่เรื่อย ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้ันมาซักที 







                   แย่จริงๆ พ่อแม่สมัยนี้ ถ้าไม่พร้อมที่จะให้ความรักความใส่ใจแก่เด็กคนหนึ่งก็ไม่ควรมีลูกตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ อีก 15 นาทีโรงเรียนจะปิดแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่มาเลย 


                   "เด็กคนนั้นพ่อแม่เขาไม่ค่อยสนใจหรอครับน้า?" ผู้ใหญ่ที่สังเกตการณ์มานานด้วยความไม่ชอบใจเอ่ยถามขึ้น 


                   "เปล่าหรอกจองกุก ทางบ้านของเด็กเขามักจะยุ่งน่ะ เขาเป็นเจ้าของร้านกาแฟ ต้องดูแลหลายอย่างภายในร้าน" 


                   "จะยุ่งไม่ยุ่งก็ต้องใส่ใจลูกไว้ก่อนนะผมว่า ถ้าผมเป็นน้าผมคงต้องเรียกทั้งพ่อและแม่เด็กมาอบรมสั่งสอนเรื่องเวลาบ้างซะแล้วแหละ" 


                   "นี่ ถึงน้าจะเป็น ผอ. ของที่นี่แต่ก็ไม่ได้แปลว่าน้าจะทำอะไรตามใจชอบก็ได้นะ ธรรมดาคุณแม่ของเด็กเขาก็ไม่ค่อยมารับช้าหรอก แต่ก็ต้องเข้าใจเขาด้วย คนเราชีวิตไม่เหมือนกัน เวลาว่างก็มีไม่เท่ากัน" คุณ ผอ. อายุย่างเข้า 45 แต่ยังสวยเอ่ยตอบ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ถึงแม้ว่าหลานชายคนเดียวของเธอจะโตเป็นหนุ่มรูปงามแค่ไหนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงพกความเผด็จการติดตัวเอาไว้ไม่เคยเปลี่ยน เหมือนพี่สาวของเธอเลยไม่มีผิด ฮัน ซอนฮวา คิด 


                   "แล้วพ่อเด็กล่ะครับ?" 


                   "คือว่าคุณแม่ของเด็กเขาเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวน่ะ เขาไม่มีพ่อหรอก เพราะแบบนี้คุณแม่เด็กเขาถึงต้องทำงานหนักไง หลานคงเข้าใจนะ?" 


                   จองกุกมองไปที่เด็กหญิงอีกครั้งโดยอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตของคนเรามันช่างแตกต่างกันจริงๆ เขารู้สึกสงสารเด็กคนนี้ 


                   "น้าต้องไปดูแลความเรียบร้อยของที่นี่ต่อแล้วนะจองกุก ขอบใจมากที่แวะมาเยี่ยมน้า ถ้าแม่ว่างเมื่อไหร่ก็พามาหาน้าบ้างล่ะ อย่าบ้างานเกิน เดี๋ยวเงินที่ทำมาทั้งหมดมันจะได้ถูกเผาไปให้ใช้ในโรงแทนซะหรอก" 


                   "รายนั้นถ้าไม่บรรลุเป้าหมายไม่ถอยง่ายๆ หรอกน้าก็รู้" 


                   "ฮ่ะๆๆ ล้อเล่นน่ะ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ โตขนาดนี้แล้วหาหลานสะใภ้มาคำนับน้าได้แล้วนะ น้าอยากอุ้มหลานแล้ว ไปแล้วนะ" 


                   ซอนฮวาโบกมือลาหลานชายในสไตล์ที่ตัวเองชอบทำอยู่ทุกครั้ง ส่วนจองกุกก็แค่หัวเราะออกมาเบาๆ เขาไม่มีคำตอบอะไรให้กับน้าสาวของตัวเองหรอก เพราะรู้ว่าถึงตอบออกไปพอเจอกันครั้งหน้าน้าก็จะพูดแบบนี้เหมือนเดิม เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยที่น้าเขาพูดแบบนี้ 


                   "สวัสดีครับ" 


                   เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมามองบุคคลที่มาพร้อมกับเสียงที่ไม่คุ้นเคย 


                   "สวัสดีค่ะ" เด็กหญิงมองจองกุกด้วยดวงตาใสแป๋ว 


                   "มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียว ตอนไหนแม่จะมารับ?" 


                   "..." 


                   "โรงเรียนจะปิดแล้วนะ ให้พี่ไปส่งมั้ย? บ้านอยู่ที่ไหน?" จองกุกนั่งยองๆ ลง พยายามทำตัวเป็นมิตรให้มากขึ้น 


                   "..." 


                   เด็กอะไรไม่รู้ คนถามไม่รู้จักตอบ มองหน้าอยู่นั่นแหละ เขายิ่งไม่ได้ชอบเด็กเป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย กลัวว่าอีกซักหน่อยจะไม่มีอารมณ์มาพูดดีอีกต่อไป 


                   "ผู้ใหญ่ถามได้ยินมั้ย?" 


                   "คุณแม่หนูไม่ให้พูดกับคนแปลกหน้าค่ะ" อ๋อ แบบนี้นี่เอง 


                   "โอเค งั้นเอาแบบนี้นะ พี่ชื่อ จอน จองกุก แต่เรียกพี่ว่าจองกุกได้ หนูชื่ออะไร?" รอยยิ้มใจดีของผู้ใหญ่ทำให้เด็กตัวน้อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง 


                   "หนูชื่อ จอง โรซี่ ค่ะ คุณลุงเรียกหนูว่าโรซี่เฉยๆ ก็ได้" โอ้โห นี่อุตส่าห์ผมใช้คำแทนตัวเองว่าพี่แล้วนะยังมาเรียกผมว่าลุงอีก อย่างน้อยผมก็แน่ใจว่าตัวเองต้องอายุน้อยกว่าพ่อแม่ของเด็กแหละวะ 


                   "อะฮึ่ม แล้วตกลงแม่หนูจะมารับเมื่อไหร่?" 


                   "ไม่รู้ค่ะ คุณแม่ยุ่ง ทุกวันนี้คุณแม่ไม่ค่อยพาโรซี่ไปเที่ยวเล่นเหมือนแต่ก่อนเลย โรซี่อยากไปเที่ยวเหมือนที่เพื่อนๆ ไปเที่ยวกับพ่อๆ ของพวกเขา โรซี่อยากมีคุณพ่อ แต่โรซี่ไม่มี" 


                   จองกุกเห็นได้ชัดว่าปากเล็กๆ เม้มเข้าหากันเหมือนเพราะกำลังเสียใจ แถมยังคอตกอีก ตามจริงชีวิตเด็กคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากชีวิตของเขาซักเท่าไหร่หรอก ต่างกันแค่ที่เขายังโชคดีมีพ่อคอยอยู่เคียงข้างเวลาที่แม่บ้างานทิ้งลูกไว้ให้อยู่ที่บ้านกับแม่นม 


                   "อ้ะ ลุงให้" เขายื่นช็อกโกแลตห่อเล็กไปให้เด็กที่กำลังหน้างอคอตกอยู่ 


                   "คุณแม่ไม่ให้โรซี่กินช็อกโกแลตในวันธรรมดาค่ะ คุณแม่บอกว่าถ้ากินบ่อยฟันเล็กๆ ของโรซี่จะผุเอา โรซี่กินได้แค่เวลาวันหยุดค่ะ" 


                   "ฮ่ะๆๆๆ โธ่เด็กน้อย ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าหนูแปรงฟันครบวันละสองครั้งมันก็ไม่ผุแล้ว" 


                   "แต่ว่า... คุณแม่ไม่ให้โรซี่รับขนมจากคนแปลกหน้านะคะ" 


                   "คนแปลกหน้าที่ไหนกัน หนูกับลุงก็ทำความรู้จักกันแล้วไง อีกอย่างลุงก็เป็นหลานของ ผอ. ซอนฮวา เพราะฉะนั้นลุงก็ไม่ได้หวังร้ายอะไร" 


                   "จริงหรอคะ?" เด็กน้อยมองจองกุกด้วยสายตาแพรวพราว 


                   "ใช่ ถ้าวันไหนลุงใจร้ายกับหนูหนูไปฟ้องผอ. ได้เลย ลุงไม่ห้าม อีกอย่างคุณแม่หนูก็ไม่รู้หรอกถ้าหนูไม่เป็นคนบอกเอง ใช่มั้ยล่ะโรซี่?" 


                   "จริงด้วย" เมื่อเชื่อตามที่ผู้ใหญ่บอกแล้วก็เผยรอยยิ้มฟันกระต่ายน้อยๆ ออกมาให้จองกุกได้เห็นเป็นครั้งแรก มือเล็กรับช็อกโกแลตไปแกะกินอย่างมีความสุข "ขอบคุณค่ะ" 


                   ว้าว จองกุกคิด เด็กคนนี้มีฟันกระต่ายเหมือนเขาไม่พอ แต่พอได้เห็นรอยยิ้มและแก้มป่องๆ เพราะกำลังเคี้ยวช็อกโกแลตที่เขาให้ไปเขาก็อดไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูเด็กคนนี้ จะว่าไปเด็กๆ ก็ไม่ได้น่ารำคาญไปหมดทุกคนหรอกนะ คนที่อยู่นิ่งๆ ทำตัวน่ารักให้ตัวเองน่าเอ็นดูแบบนี้ก็ยังมีอยู่ ต่อไปนี้เขาคงต้องเปลี่ยนทัศนคติตัวเองใหม่ซะแล้ว 


                   "คุณแม่มาแล้ว คุณแม่มาแล้ว!" พอเห็นรถของบุคคลที่รอคอยแล่นเข้ามาในบริเวณโรงเรียนโรซี่ตัวน้อยก็ดีใจใหญ่ที่ในที่สุดคุณแม่ก็มารับกลับบ้านแล้ว 


                   "คุณลุงคะ ขอบคุณสำหรับช็อกโกแลตมากๆ เลยนะคะ วันหลังคุณลุงมาเล่นกับโรซี่ที่โรงเรียนใหม่นะคะ" ถึงจะอยากกลับบ้านจนอดใจไม่ไหวแล้วแต่เด็กน้อยก็ไม่ลืมแถมกอดให้จองกุกหนึ่งครั้งก่อนจะรีบวิ่งไปหาคนที่กำลังจะเดินเข้ามาข้างใน 


                   ตามจริงมันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของจองกุกที่จะต้องมาส่งเด็กที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เดินมา จะทำไงได้ ก็เขากลับรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ขึ้นมาดื้อๆ ซะงั้นนิ่ เขาเดินตามมาอยู่อย่างห่างๆ จนแน่ใจแล้วว่าได้เห็นเด็กอยู่กับแม่แล้วจริงๆ ถึงสบายใจได้ 


                   โรซี่วิ่งเข้าไปกอดคุณแม่ของเธอด้วยความคิดถึง ส่วนคุณแม่ของเธอก็ดูคิดถึงเธอมากไม่ต่างกัน เขามองดูภาพข้างหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ถึงเขาจะไม่ได้เห็นหน้าแม่ของโรซี่ตรงๆ แต่เขาก็ดูออกว่าหญิงสาวผมน้ำตาลส้มคนนั้นยังสาวตามที่น้าของเขาได้บอกเอาไว้จริงๆ 


                   ในขณะที่หญิงสาวตรงหน้าของจองกุกอาสาเดินไปรับหลานสาวสุดที่รักถึงห้องเด็กเล่นด้วยตัวเองหญิงสาวอีกคนก็เดินมายังอีกชั้นหนึ่งของตึก 


                   "อ้าว สวัสดีค่ะคุณ ผอ. คุณครูนาราไม่อยู่หรอคะ?" 


                   "สวัสดีค่ะคุณแม่ คุณครูนาราไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ ฉันเลยมาดูแลห้องแทน" ต่างคนต่างยิ้มทักทายกันด้วยความคุ้นเคย 


                   "แล้วววันนี้โรซี่ดื้อมั้ยคะ? เมื่อวานเห็นบ่นว่าอยากกินแพนเค้ก แต่ฉันไม่ได้ทำให้กินเลยหน้าหงิกหน้างอยันวันนี้เลย หวังว่าคงจะไม่มาทำตัวดื้อที่โรงเรียนแทนนะคะ" 


                   "เปล่าหรอกค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ลูกสาวคุณแม่น่ะเป็นเด็กดีของคุณครูเสมอมาค่ะ ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่นแล้วดื้อได้ไม่ครึ่งเลยค่ะ และนี่ก็คือของที่โรซี่ทำไว้ที่โรงเรียนแต่ไม่ได้เอากลับบ้านนะคะ ผอ. และคุณครูคิดว่าคุณแม่คงอยากเอากลับบ้านน่ะค่ะ" 


                   "ขอบคุณค่ะ" ซองโซรับภาพวาดและสิ่งประดิษฐ์ของเด็ก 4 ขวบมาไว้ด้วยความเอ็นดู 


                   โรซี่เอ๊ย เวลาแม่ถามว่าได้ลืมอะไรไว้ที่โรงเรียนมั้ยก็ตอบตลอดว่าไม่ได้ลืมอะไร แล้วนี่อะไรล่ะเต็มไม้เต็มมือแม่หมดเลย หมาน้อยเอ๊ย ซองโซคิด 


                   "ว่าแต่ที่คุณแม่มาช้านี่รถติดหรอคะ? ตอนนี้ก็ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลซะด้วย หิมะก็ยิ่งมาตกหนักอีก รถเมล์คงคนเต็มน่าดู" 


                   "เปล่าค่ะ วันนี้ฉันนั่งรถมากับเพื่อนสาวน่ะค่ะ และก็ยุ่งๆ อยู่ที่ร้านด้วย เลยต้องรบกวนทางโรงเรียนให้ดูแลโรซี่มากกว่าที่จำเป็นเลย ต้องขอโทษด้วยนะคะ" 


                   "ไม่เป็นไรค่ะ เด็กๆ ของเรามาก่อนเสมอ เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยค่ะ คุณแม่สบายใจได้ ว่าแต่คลุกคลีอยู่แต่กับเพื่อนสาวแบบนี้คุณแม่ไม่คิดที่จะมีพ่อใหม่ให้โรซี่บ้างหรอคะ ยังสาวยังแซ่อยู่เลย ถ้าโสดไปตลอดนี่หนุ่มๆ คงเสียดายน่าดูเลย 


                   "ฮ่ะๆๆ ตอนนี้ฉันยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกค่ะ ฉันโฟกัสที่เรื่องงานมากกว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เราอยู่กัน 2 คนแม่ลูกก็มีความสุขดีแล้วค่ะ" 


                   "ฮ่ะๆๆ จะว่าไปคุณซองโซก็ทำให้ฉันนึกถึงหลานชายตัวเองนะคะ รักการทำงาน ทุ่มเทให้กับงานเสมอ น่าชื่นชมจริงๆ ค่ะ" 


                   "ฮ่ะๆ งั้นหรอคะ?" 


                   "ค่ะ อีกอย่าง ขอโทษที่ฉันถามเรื่องส่วนตัวแบบนั้นออกไปนะคะ แต่คือว่า ช่วงหลังๆ นี้โรซี่เขาโดนเพื่อนๆ ล้อเรื่องคุณพ่อน่ะค่ะ ผอ. เองก็อดสงสารไม่ได้ เขามักจะพูดถึงเรื่องคุณพ่ออยู่บ่อยๆ แล้วเขาก็เสียใจด้วยที่ไม่มีคุณพ่อมารับมาส่งเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นเขา" 


                    ถึงจะไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ แต่เขาก็ไม่แปลกใจหรอก มันไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยที่เขาโดนถามเรื่องแบบนี้มา 


                   "เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่หรอกค่ะ แต่เมื่อเขาโตมาเขาจะเข้าใจมันเอง" 



                   แต่เมื่อจองกุกได้เห็นหน้าคุณแม่ของเด็กหญิงที่เขาเพิ่งจะให้ช็อกโกแลตไปเขากลับต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก ผู้หญิงหน้าฝรั่งคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนเลย แต่กลับเป็นเพื่อนรักของผู้หญิงอีกคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีนั่นเอง งั้นก็แสดงว่าหนูน้อยโรซี่เป็นลูกของ แชนนอน วิลเลี่ยมส์ น่ะสิ ไม่น่าล่ะถึงได้เรียกเขาว่าลุง เพราะถึงจะเรียนอยู่ชั้นเดียวกันมาตลอดแต่แชนนอนก็อายุน้อยกว่าเขาตั้ง 1 ปี อีกอย่าง ที่กลับอังกฤษทันทีหลังจากเรียนจบมัธยมปลายก็เพราะท้องสินะแชนนอน ไม่แปลกใจเลยที่จะหายหน้าหายตาไปนานขนาดนั้น เฮ่อะ  


                   แต่เมื่อคิดว่ามันไม่ใช่ธุระอะไรของตัวเองต่อไปแล้วจองกุกถึงได้เดินออกมาจากที่นั่น แต่ด้วยความคิดที่ห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้นึกถึงผู้หญิงคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของ แชนนอน วิลเลี่ยมส์ เธอคือผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยมีความสัมพันธ์ด้วยแต่ลึกๆ ในใจเขากลับไม่เคยลืมเธอได้ลงอย่างที่ตัวเองต้องการเลย ต่างกับผู้หญิงคนอื่นที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาแล้วก็แค่ผ่านออกไปอย่างง่ายดาย 


                   แกจะนึกถึงเธอไปอีกทำไม จอน จองกุก เธอก็แค่หนึ่งในผู้หญิงทั่วไปที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในชีวิตของแกเท่านั้นแหละ แกไม่ได้รักเธอซักหน่อย ไม่มีประโยชน์ที่แกจะคิดถึงเธออีกต่อไป จองกุกบอกตัวเองโดยไม่รู้ว่าผู้หญิงคนที่เขาพยายามลืมตลอดมากำลังเดินสวนทางมาทางนี้แล้ว ต่างกันแค่ที่เขาเดินอยู่ที่ชั้นนี้ ส่วนเธอก็เดินอยู่อีกชั้นหนึ่ง... 








                   2 วันต่อมาจองกุกได้มาเยือนร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ที่มาก็เพราะมีพนักงานที่รีสอร์ทแนะนำเขามา ได้ยินว่ากาแฟและเค้กของที่นี่อร่อยมาก น่ามาทาบทามให้ไปเปิดอีกสาขาในรีสอร์ทของเขา ใช่แล้วล่ะ รีสอร์ทที่ว่านั้นเขาเป็นเจ้าของมันเอง หลังจากที่เรียนจบและมีประสบการณ์การทำงานจากทั้งในและต่างประเทศแล้วพ่อก็ไว้วางใจให้เขามาบริหารที่นี่แทน ถึงสาขาของที่นี่จะเป็นสาขารีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ แต่สำหรับเขาแล้วการบริหารที่นี่มันก็แค่เรื่องจิ๊บๆ เท่านั้นแหละ 







                   "คุณลูกค้ารับอะไรดีคะ?" พนักงานสาวที่ถึงจะกำลังยุ่งอยู่แต่ก็ต้อนรับลูกค้าด้วยมิตรภาพที่ดี 


                   "ขอเป็นเอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลหนึ่งที่และลาวาบราวนี่ด้วยครับ" 


                   "เอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลและลาวาบราวนี่อย่างละที่นะคะ กินที่นี่หรือเอากลับบ้านคะ?" ใส่ใจลูกค้าทุกรายละเอียด ไม่ถามแค่ส่งๆ 


                   "ที่นี่ครับ" 


                   "งั้นเชิญคุณลูกค้านั่งรอซักครู่นะคะ เดี๋ยวพอกาแฟเสร็จแล้วพนักงานจะเอาไปเสิร์ฟที่โต๊ะให้เองค่ะ" 


                   "ขอบคุณครับ" 


                   ในวันอาทิตย์ที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้เขาคิดถูกแล้วแหละที่เลือกมาดื่มกาแฟอุ่นๆ ที่นี่ อีกอย่างทางร้านก็เซอร์วิสดีด้วย บรรยากาศก็อบอุ่น ละมุนดี การตกแต่งก็เรียบราบไม่รกหูรกตาแต่กลับดูดี ที่ผมเช็คดูทุกอย่างก็ผ่าน สมแล้วที่ถูกแนะนำมา 







                   "อ้าวซึลกิ ซองโซไปไหนอ่ะ ทำไมยังไม่เห็นมาร้านเลย?" 


                   ทันทีที่ได้ยินพนักงานอีกคนพูดถึงชื่อที่วนเวียนอยู่ในหัวของตัวเองมา 2 วันเต็มๆ แล้วจองกุกก็ต้องหยุดชะงักกาแฟที่กำลังจะดื่ม เพราะโต๊ะที่เขานั่งมันอยู่ใกล้เคาน์เตอร์เขาจึงได้ยินสิ่งที่พนักงานคุยกันค่อนข้างชัดเจน 


                   "น้องก็ไปเที่ยวกับแจฮยอนไง พี่อะเคยจำอะไรกับเขาได้บ้างมั้ยเนี่ย" 


                   แจฮยอน... จอง แจฮยอน งั้นหรอ?? 


                   "อ่อ จริงด้วย ก็คนมันลืมอ้ะ! ขอโทษได้มั้ยล่ะ" 


                   "อายุแค่นี้ก็ความจำไม่ค่อยดีละ ระวังแก่ไม่รู้ตัวนะพี่ หัดกินน้ำมันตับปลาซะบ้าง" 


                   "ย่าห์! ฉันก็แค่เป็นคนขี้ลืมแค่นั้นเอง เหมือนปลาทองตัวเล็กๆ ที่มันน่ารักๆ แต่ขี้ลืมอะ เมื่อเช้าฉันไปช่วยย่าสั่งของแทนขุ่นพี่โยซอบมาต่างหากย่ะ ไม่ได้ขี้เกียจตัวเป็นขนเหมือนที่แกชอบว่าฉันนะ อีกอย่างยัยหมวยนี่ก็หยุดงาน 2 วันติดกันละ ถ้านางอยู่นะฉันก็คงไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเดินไปหาย่าที่บ้านเป็นครึ่งกิโลหรอก หาว ~" 


                   "ถ้าอยากหยุดได้บ่อยๆ เหมือนเขาพี่ก็ขยันทำงานแล้วเลื่อนขั้นมาเป็นเจ้าของร้านเองซะเลยสิ" 


                   "ฉันขี้เกียจคุยกับแกละ นับวันยิ่งรู้สึกว่าแกเหมือนแม่ฉันเข้าไปทุกที ไปเปลี่ยนชุดละ" 


                   จากที่ประติดประต่อเรื่องมา ถ้าคนที่ชื่อซองโซรู้จักกับคนที่ชื่อแจฮยอน งั้นซองโซคนนั้นก็น่าจะเป็นซองโซที่เขารู้จัก... หรือว่าเธอจะเป็นเจ้าของร้านที่นี่เหมือนที่พนักงานสองคนนั้นพูดกัน 


                   "ขอโทษนะครับ" 


                   "มีอะไรให้ดิฉันช่วยหรอคะ?" พนักงานที่ดวงตาเรียวรีเพราะมีหนังตาชั้นเดียวถามจองกุกกลับ 


                   "เจ้าของร้านที่นี่คือใครหรอครับ?" 


                   "ทางร้านเรามีเจ้าของร้านด้วยกันทั้งหมดสามรุ่นค่ะ คนแรกก็คือ คุณจอง อีมาน ส่วนเมื่อคุณจอง อีมานเสียภรรยาของท่าน คุณจอง โบยอง ก็ได้มาสานแทนค่ะ แต่เมื่อคุณ จอง ซองโซ เรียนจบตั้งแต่กลางปีนี้ ต่อจากนั้นมาเธอก็ได้มาบริหารร้านแทนอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ" 


                   "แล้วคุณ จอง ซองโซ นี่คือใครหรอครับ?" 


                   "หลานสาวของคุณจอง อีมาน และคุณจอง โบยอง ค่ะ" 


                   "เธอเรียนจบคณะอะไร ที่ไหนหรอครับ?" 


                   "คณะบริหารธุรกิจ สาขาการท่องเที่ยวและบริการที่มหาวิทยาลัยปูซานค่ะ" 


                   เขาคิดไม่ผิดหรอก 


                   "มีอะไรรึเปล่าคะ?" 


                   "เปล่าครับ กาแฟและเค้กอร่อยดีนะครับ ไว้วันหลังผมจะมาใหม่" 


                   "ขอบคุณค่ะ โอกาสหน้าเชิญที่นี่ใหม่นะคะ" คัง ซึลกิ เอ่ยลาลูกค้าหน้าใหม่ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนทุกๆ ครั้ง แต่ภายในใจเธอกลับรู้สึกแหม่งๆ ยังไงไม่รู้ ลูกค้าคนนี้มาแปลกจังแฮะ 


                   ปัง! 


                   จองกุกกลับเข้ามานั่งอยู่ในรถของตัวเอง 5 ปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอ จอง ซองโซ และมันก็คือ 5 ปีที่เขาไม่สามารถเอาผู้หญิงคนนี้ออกจากหัวไปได้เลย เขาสับสนกับตัวเองมานาน ไม่อยากจะยอมรับว่าความรู้สึกนี้มีจริง แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็หลอกตัวเองไม่ได้อยู่ดี ลองดูซักตั้งมันจะเป็นอะไรไปล่ะ จอน จองกุก 


                   "ฮัลโหล แบมแบม มึงช่วยเช็คดูให้กูด้วยว่าคณะบริหารการท่องเที่ยวและบริการที่มหาวิทยาลัยปูซานเคยมีนักศึกษาที่ชื่อ จอง ซองโซ เรียนอยู่รึเปล่า




                   นานแล้วที่ซองโซไม่ได้พาโรซี่ออกไปเที่ยวเล่นทั้งวันแบบนี้ ถ้าไม่มีแจฮยอนที่คอยพาเธอและลูกออกไปเที่ยวอยู่เรื่อยเธอก็คงทำแค่งานจนลืมไปแล้วว่าเด็กอายุเท่านี้ควรที่จะได้ออกไปเล่นเปิดหูเปิดตามากกว่าอยู่แต่ที่ร้านกับผู้ใหญ่แบบนี้ ดูซิยัยหมาน้อยของแม่ เล่นเหนื่อยจนหลับปุ๋ยคารถเลย ลำบากลุงแจฮยอนให้ต้องอุ้มมาส่งจนถึงที่นอนอีกละ 


                   "ขอบใจมากนะแจฮยอน บอกละว่าไม่ต้องพาตะลอนไปหลายที่ แต่นายก็พาไป สปอยล์จนลูกฉันจะกลายเป็นผู้ดีตีนแดงละ" พอพาโรซี่ขึ้นไปนอนข้างบนแล้วซองโซก็ลงมาส่งแจฮยอนถึงหน้าประตูร้าน 


                   "เว่อร์น่า ก็แค่นิดเดียวเอง" 


                   "เลียนแบบคำพูดของฉันอีกแล้วนะแจฮยอน" 


                   ทั้งสองหัวเราะคิกคักกันตามประสาคนที่รู้จักกันมานาน บางครั้งแจฮยอนก็จะเลียนแบบการพูดของซองโซ นั่นคืออารมณ์ขันบางอย่างที่แจฮยอนมักจะทำให้ซองโซหัวเราะได้ ถึงคนอื่นจะมองว่าแจฮยอนเป็นคนสุขุม แต่สำหรับซองโซแล้วแจฮยอนก็มีมุมตลกบ้างนะ นั่นทำให้เธอไม่เบื่อเมื่อต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้ 


                   "เธอก็รู้ว่าฉันรักโรซี่เหมือนลูกสาวของฉันเอง เรื่องแค่นี้มันยังน้อยไป ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ฉันอยากทำให้พวกเธอทั้งสองคนมากกว่านี้ด้วยซ้ำ" 


                   ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้สายตาของ จอง แจฮยอน ที่มองมายัง จอง ซองโซ ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว ทุกคนรอบตัวรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับซองโซ แม้กระทั่งซองโซเอง แต่แจฮยอนก็รู้ดีว่าความรู้สึกที่ซองโซมีต่อเขาน่ะมันต่างกันกับที่เขามีต่อเธออย่างสิ้นเชิง 


                   "ขอบใจมากนะที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันและลูก" 


                   หลายคนที่ได้รับรู้ข่าวเกี่ยวกับการท้องในวัยเรียนของเธอก็ล้วนแต่ตีตัวห่างออกไป มีไม่กี่คนหรอกที่ยังอยู่เคียงข้างเธอมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี่แหละ 


                   นอกจากคนใกล้ตัวของเธอก็ไม่มีใครเข้าใจซองโซได้ดีเท่าแจฮยอนอีกแล้ว ร่างบางตรงหน้าเขาเคยเจอเรื่องร้ายมาเยอะเท่าไหร่แจฮยอนรู้ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เร่งหรือพยายามบังคับจิตใจของซองโซให้เป็นไปในแบบที่เขาต้องการ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทางเลย แต่ไม่ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เพื่อผู้หญิงที่เขารักแล้ว แจฮยอนก็จะรอ 


                   "ต้องขอบใจเธอกับโรซี่ต่างหากที่มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน ถ้าไม่มีพวกเธอทั้งสองคนชีวิตของสัตวแพทย์แสนโสดอย่างฉันคงต้องน่าเบื่อตายแน่ๆ แน่ใจนะว่าจะไม่พาโรซี่ไปดูหอไอเฟลจริงๆ?" 


                   "ฮ่ะๆ ปากหวานนะเรา อีกอย่างฉันก็ต้องทำงาน ปีใหม่ก็ต้องอยู่ดูแลย่าด้วย จะให้ฉันกับโรซี่ไปด้วยได้ยังไงล่ะ ฝรั่งเศสตั้งไกล อีกครึ่งซีกโลกนู่น นายใช้เวลาอยู่กับครอบครัวนั่นแหละดีแล้ว รออยู่นี่นะ ฉันมีอะไรจะให้" 


                   พอหายขึ้นไปข้างบนได้ไม่นานซองโซก็กลับลงมาพร้อมกับสิ่งในมือแล้วพันมันรอบคอให้แจฮยอนอย่างพอดี 


                   "ฮ่ะๆๆ ผ้าพันคอ? คุณย่าคงเป็นคนถักสินะ สีน้ำเงิน แดง ขาว ตามธงฝรั่งเศสเลย" 


                   "ใช่ ฉันถักนิตติ้งเป็นซะที่ไหนล่ะ พอดีย่าเห็นว่านายจะไปฝรั่งเศสน่ะเลยถักให้เป็นของขวัญ" 


                   "คุณย่านี่รู้ใจฉันจริงๆ เลย ฝากขอบคุณท่านด้วยนะ" 


                   "อื้ม ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็บ๊ายบายนะ เที่ยวฝรั่งเศสให้สนุกล่ะ" 


                   "ฉันไม่อยู่ก็ดูแลตัวเองและโรซี่ดีๆ ด้วยล่ะ อย่าหักโหมงานมาก เดี๋ยวจะไม่สบายเอา ฝันดีครับ" 


                   "ฝันดี" 


                   แจฮยอนยิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือลา แค่รอยยิ้มบางๆ ของซองโซก็ทำให้เขานอนหลับฝันดีได้แล้วแหละ 


                   ต่างกับอีกคนในรถคันหรูที่แล่นมาจอดบริเวณหน้าร้านเป็นรอบที่สองของวันแล้ว ตั้งแต่ที่รถสีขาวคันใหญ่คันนั้นแล่นมาจอดที่หน้าร้าน ทั้งตอนที่ จอง แจฮยอน อาสาอุ้มเด็กผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อ 2 วันก่อนเข้าไปข้างในจนตลอดเวลาที่ทั้ง 2 คนยืนคุยกันอยู่ในร้านจนเสร็จสรรพแล้วแยกทางกันไป เขาได้เห็นและรับรู้ถึงทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อซักครู่นี้ และคงไม่ต้องเดาว่าตอนนี้ จอน จองกุก รู้สึกยังไง เขาไม่เคยชอบ จอง แจฮยอน และจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังคงไม่มีแพลนว่าจะญาติดีกับมัน 


                   "อ้าว แจฮยอนกลับแล้วหรอซองโซ มัวแต่นั่งอึอยู่เลยไม่ได้บอกลาคนหล่อเลยอ่ะ" 


                   "กลับแล้วพี่โบมี แล้วพี่ล่ะจะกลับตอนไหน ร้านปิดได้ครึ่งชั่วโมงแล้วนะ พี่กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว" 


                   "จะไปตอนนี้แหละจ้าา บายจ๊าา พี่แบ่งทิปส์ให้ทุกคนครบกันแล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เปิดร้านแล้วจะมาแต่เช้านะ ฝันดี จุ๊บๆ" 


                   "ฝันดีค่ะ" 


                   แต่เมื่อโบมีออกจากร้านไปได้ไม่นานซองโซก็เหลือบไปเห็นชิ้นส่วนของเครื่องเอสเพรสโซ่ที่ยังไม่ถูกล้างให้สะอาดแถมยังแช่อยู่ในอ่างล้างจานอีกด้วย 


                   "โอ๊ยยยพี่โบมี!" สุดท้ายก็ได้กลายเป็นงานของ จอง ซองโซ คนนี้อีกเหมือนเดิม พี่โบมีนะพี่โบมี ปิดร้านทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีเลย ถ้าทำขนมไม่อร่อยนะไล่ออกตั้งนานละ 


                   พูดเล่นน่ะ เธอไม่ได้โกรธโบมีหรอก จะโกรธลงได้ไงล่ะ ที่โบมีดีกับเธอและครอบครัวมันก็ตั้งมากมาย ซองโซ ซึลกิ และโบมีอยู่ด้วยกันมานานจนเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันแล้วแหละ โกรธกันไม่ลงหรอก 


                   กริ๊งง 


                   เสียงประตูร้านดังขึ้นแต่เธอก็ไม่ได้สนใจซักเท่าไหร่หรอกเพราะกำลังยุ่งๆ อยู่ 


                   "ร้านปิดแล้วค่ะ พรุ่งนี้สิบโมงเช้าค่อยมาใหม่นะคะ" เธอรู้ว่านั่นต้องเป็นลูกค้าแน่นอน เพราะถ้าโบมีได้ออกจากร้านไปแล้วจะไม่หันหลังกลับมาแน่นอน ก็ ยูน โบมี ซะอย่าง ถึงจะลืมของไว้ก็ต้องรอมาเอาในวันรุ่งขึ้นอยู่ดี 


                   นอกจากจะล้างทุกชิ้นส่วนให้สะอาดแล้วยังต้องเช็ดให้เครื่องมันดูดีสะอาดหูสะอาดตาอีกด้วยมันถึงจะน่าดูหน่อย พี่โบมีนี่พลาดตรงนี้ตลอดเลย 


                   แต่ก็แปลกนะที่บรรยากาศตอนนี้มันเงียบงันจนเกินไป สรุปคุณลูกค้าได้ออกจากร้านไปยังเนี่ย เมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้วซองโซถึงได้มีเวลาหันกลับมาดูสถานการณ์ในร้านอีกครั้ง และสิ่งที่เธอไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น 


                   จอน จองกุก... 


                   ผู้ชายคนเดียวที่เธอเคยรัก และผู้ชายคนเดียวที่ทำให้เธอได้สัมผัสและรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดที่ไม่มีวันหายไป เธอมักจะขอพรกับพระเจ้าอยู่บ่อยๆ ให้เธอกับเขาไม่ได้มาเจอกันอีกในชีวิตนี้ แต่พระเจ้ากลับหักหลังเธอ ปล่อยให้ผู้ชายที่เธอไม่อยากเห็นหน้าที่สุดในชีวิตมายืนอยู่ตรงหน้าของเธอในตอนนี้ 


                   ซองโซรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ลมหายใจหนักหน่วง และภาพในอดีตที่ผู้ชายคนนี้เคยทำไว้กับเธอก็ย้อนไหลกลับคืนมาทำร้ายหัวใจสีดำดวงนี้อีกครั้งราวกับว่ามีม้วนฟิล์มแห่งความเจ็บปวดมาฉายอยู่ตรงหน้าเธอ 


                   "ไม่ได้เจอกันนาน เธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ จอง ซองโซ" 


                   "ออกไป" 


                   "ผ่านไปแค่ 5 ปี ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเธอจะเป็นแม่คนแล้ว แถมลูกสาวก็โตขนาดนี้แล้วซะด้วยสิ" ใช่ เขารู้ หลายวันมานี้เขาได้คิดไตร่ตรองดูแล้ว และมันก็ไม่เข้าท่าเลยที่เด็กคนนั้นจะเป็นลูกสาวของ แชนนอน วิลเลี่ยมส์ และเขาก็ได้มาเห็นกับตาในวันนี้แล้วว่าที่จริงแล้วแม่ของเด็กคือใคร ถ้าซองโซอยากจะโกหกเขา ถึงจะทำแบบนั้นไปมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพรามะเขาก็คงไม่เชื่อมัน 


                   "ฉันบอกให้ออกไป" 


                   "ฉันไปแน่ แต่หลังจากที่เธอตอบคำถามฉันให้เสร็จก่อน" 


                   "ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย อีกอย่าง ที่นี่ไม่ต้อนรับนาย มาทางไหน กลับไปทางนั้น" ซองโซหันหลังกลับ 


                   "พ่อของเด็กคือใคร?


                   เธอชะงัก ทั้งที่รู้เต็มอกอยู่แล้วว่าความจริงมันคืออะไร แต่เธอไม่มีคำตอบให้ผู้ชายคนนี้ และจะไม่มีวันบอกออกไปด้วย 


                   "จะสนใจทำไม มันไม่ใช่เรื่องของนาย" 


                   "แน่ใจหรอว่าไม่ใช่เรื่องของฉัน?? หันกลับมามองหน้าฉันตรงๆ สิ จอง ซองโซ!" 


                   "นี่ปล่อยฉันนะ จอน จองกุก!" 


                   "เด็กคนนั้นคือลูกของฉันใช่มั้ย???


                   "ไม่ใช่!!" 


                   "มันจะไม่ใช่ได้ยังไงในเมื่อฉันเป็นคนแรกของเธอ! คงไม่ต้องให้ฉันรื้อฟื้นหรอกนะว่าคืนนั้น ฉันและเธอ เราทำอะไรกันบ้าง" 


                   เพี้ยะ! 


                   "ถึงนายจะเป็นคนแรก แต่ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นคนสุดท้าย อย่ามาวางท่าแถวนี้ ฉันไม่ชอบ" 


                   เฮ่อะ ถึงจะโดนตบ แต่จองกุกก็ไม่สนมันหรอก สิ่งเดียวที่เขาสนใจในตอนนี้ก็คือความจริงจากปากของซองโซเท่านั้น 


                   "ทำไม? เกลียดฉันจนยอมรับความจริงไม่ได้เลยหรอ?? อย่ามาโกหกฉันหน่อยเลย อายุเด็กก็ดูเข้าท่าถ้านับตั้งแต่วันที่ฉันมีอะไรกันกับเธอ อีกอย่าง มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อดอกไม้ที่ฉันชอบที่สุด ดอกกุหลาบไงล่ะ" 


                   "นายนี่มโนเก่งนะ จอน จองกุก ที่ฉันตั้งชื่อลูกแบบนี้ก็เพราะว่าเขาเกิดในวันวาเลนไทน์ต่างหาก ไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย" 


                   "ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยังปากแข็งไม่มีเปลี่ยนเลยนะ จอง ซองโซ ยอมรับมาซะเถอะว่าเด็กน่ะ คือลูกของฉัน" 


                   "โอ๊ยย จอน จองกุก ฉันเจ็บนะ! ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ใช่ บายมันบ้า!" ด้วยความเจ็บที่ต้นแขนซองโซจึงพยายามทำให้ตัวเองเป็นอิสระแต่มือหนากลับบีบรัดแน่นจนเธอไม่สามารถทำได้ตามที่ใจต้องการ 


                   "งั้นก็ยอมรับความจริงมาดีๆ ซะสิ! ฉันคือพ่อของลูกเธอใช่มั้ย???" 


                   "เขาคือลูกของแจฮยอน!


                   คำตอบที่ได้มาจากปากของซองโซทำให้จองกุกอึ้งไปชั่วขณะ ดวงตาคมแสดงให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างแรง 


                   "พอใจรึยัง?? จอง โรซี่ ก็คือลูกสาวของ จอง แจฮยอน ชัดเจนนะ? ได้คำตอบที่นายต้องการแล้วก็ไปจากที่นี่ซะ และปล่อย นายไม่มีสิทธิ์มาแตะเนื้อต้องตัวฉัน" 


                   "ไม่จริง เธอกำลังโกหกฉัน" 


                   "ฉันไม่แคร์หรอกนะว่านายจะเชื่อว่ายังไง แต่ฉันพูดความจริงไปหมดแล้ว ต่อจากนี้ไปก็อย่ามารังควานฉันกับลูกอีก ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจข้อหาที่นายมาบุกรุกฉันถึงพื้นที่ส่วนบุคคลและหมิ่นประมาท" ซองโซหันหลังกลับอย่างไม่ใยดี แต่ก็ต้องหยุดฝีก้าวอีกครั้งเมื่อเดินไปข้างหน้าได้เพียงไม่กี่ก้าว 


                   "ในเมื่อเธอไม่ยอมรับความจริงกับฉันมาดีๆ ฉันก็จะหาทางพิสูจน์เองว่าที่จริงแล้วเธอปิดบังอะไรฉันไว้บ้าง เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย จอง ซองโซ" 


                   จองกุกเดินออกจากร้านมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เด็กเป็นลูกของไอ้ จอง แจฮยอน งั้นเหรอ เฮ่อะ โกหกกันหน้าด้านๆ ชัดๆ ซองโซไม่ได้รักไอ้แจฮยอนหรอกเขารู้ดี เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เด็กจะเป็นลูกของมันได้แน่นอน 


                   ส่วนซองโซก็รู้สึกร้อนรนใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จอน จองกุก มีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าเธอ ในเมื่อในชีวิตของโรซี่ก็มีแค่เธอที่คอยอยู่ดูแลมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโตจนถึงทุกวันนี้ คนที่อยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือในวันที่เธอตกยากลำบากก็มีแค่คนใกล้ตัวเท่านั้น นอกจากอดีตอันเลวร้ายที่ จอน จองกุก มอบให้เธอแล้วเขาก็ไม่เคยเป็นส่วนไหนในชีวิตของเธอกับลูกเลย 


                   เมื่อมองใบหน้าเล็กของลูกสาวที่กำลังหลับฝันดีอยู่บนเตียงเล็กซองโซก็น้ำตาไหลออกมา เธอกลัว กลัวว่าภายในซักวันหนึ่ง จอน จองกุก จะมาพรากลูกจากอกเธอไป เธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ เธอคงทำใจไม่ได้หรอกถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ 


                   "โรซี่ แม่รักหนูนะ รักมากที่สุดในชีวิต และไม่มีวันที่อะไรจะมาทดแทนได้" พอจบคำกล่าวก็จุมพิตไปที่หน้าผากของลูกสาว 


                   เธออยากหยุดเวลานี้เอาไว้ ไม่มีอะไรมีค่าเท่ากับการที่เธอได้อยู่กับลูกเช่นในตอนนี้อีกแล้ว เพราะเธอรู้ว่าต่อไปนี้ชีวิตของเธอคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป... 





                   หลายสัปดาห์มานี้ถึงจองกุกจะไม่ได้โผล่มาให้เห็นหน้าอีกเลยตั้งแต่วันที่เขาขู่เธอไว้ในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีวันไหนเลยที่ซองโซจะสงบจิตสงบใจตัวเองได้อย่างเต็มที่แม้แต่วันเดียว คำพูดประโยคนั้นของจองกุกยังคงตามมาหลอกหลอนเธออยู่ทุกที่ทุกเวลา ไม่มีวันจบสิ้น เพราะถึงแม้ว่าเธอจะพยายามหนีมันซักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ายังไงความจริงมันก็คือความจริง 


                   "สวัสดีค่ะคุณครูนารา" 


                   "สวัสดีค่ะคุณซองโซ วันนี้มาถึงเร็วจังเลยนะคะ แต่พอดีเลยค่ะ เมื่อกี๊โรซี่กำลังบ่นคิดถึงคุณแม่อยู่เลยค่ะ" 


                   "เพราะวันนี้เปิดเทอมวันแรกน่ะค่ะ โรซี่บ่นว่าอยากกินไอติมกลางหน้าหนาวอีกแล้วก็เลยต้องรีบลางานมา วันก่อนก็บอกว่าอยากเอากระทะไปนั่งสไลด์เล่นหิมะเพราะเห็นว่ามันกลมดี อะไรแปลกๆ นี่ชอบดีจริงๆ สงสัยได้ทุกอย่างที่คิดขึ้นมาได้" 


                   "ฮ่ะๆๆ ลูกสาวคุณแม่น่ารักนะคะ คุณครูปลื้มมากเลย เด็กฉลาดก็แบบนี้แหละค่ะ" คุณครูสาววัยกลางคนกระซิบ ซองโซก็ได้แค่ยิ้มตอบ 


                   "แล้วนี่..." ถึงจะมองดูรอบห้องเรียนก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แววลูกสาวเลย "ไม่ทราบว่าโรซี่อยู่ที่ไหนหรอคะ?" 


                   "นั่งต่อจิ๊กซอว์อยู่ห้องสมุดกับหลานชายของผอ. น่ะค่ะ" 


                   "หลานชายของผอ.?" 


                   "ใช่ค่ะ หลานชายคนเดียวของผอ. แต่คุณซองโซไม่ต้องกังวลนะคะ หลานชายของผอ. ใจดีค่ะ" 


                   "โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ" 


                   นี่หลานชายของผอ. ซอนฮวามาทำอะไรที่นี่เนี่ย แต่ช่างเถอะ ยังไงมันก็ไม่ไช่เรื่องของเธออยู่แล้ว ใจดีกับเด็กก็ดีไป 


                   "เย้ๆๆๆ ในที่สุดหนูก็ต่อจิ๊กซอว์ซัลลี่ และ ไมค์ วาซอว์สกี้ เสร็จแล้ว ~ แม่!" พอเห็นคุณแม่ของตัวเองมาถึงหน้าห้องโรซี่ก็วิ่งเข้ามากอดเอวซองโซทันที 


                   "โอ๊ะ ยัยหมาน้อย คิดถึงแม่ขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย เปิดเทอมวันแรกได้การบ้านเยอะมั้ย?" 


                   "เสร็จแล้วๆ คุณลุงช่วยโรซี่ทำการบ้านเสร็จแล้ว แล้วคุณลุงก็ช่วยโรซี่ต่อจิ๊กซอว์ด้วยน๊า แม่ดูสิ" 


                   "จริงง่ะ? เก่งจังเลยย ไหนดูซิ" 


                   แต่เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจของซองโซเมื่อเธอได้เห็นหน้าของผู้ชายที่เธอคิดว่าจะไม่เคยเจอมาก่อน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เพราะแบบนี้สินะ จอน จองกุก ถึงได้รู้เรื่องราวของเธอเกี่ยวกับโรซี่ บ้าจริงๆ! เธอเกลียดสถานการณ์ตอนนี้มากเลย 


                   "โรซี่ กลับบ้าน" ซองโซดึงข้อมือลูกสาวให้เดินตามตัวเองมา แต่เด็กน้อย 4 ขวบกลับงง ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ แม่ก็อารมณ์เสียขึ้นมาทั้งที่เมื่อซักครู่ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เลย 


                   "แต่แม่ โรซี่อยากเล่นกับคุณลุงต่อนะ คุณลุงใจดี ให้โรซี่อยู่กับคุณลุงต่อเถอะนะ นะๆๆ" 


                   "ไม่ได้นะโรซี่ แม่ขอสั่ง ต่อไปนี้ห้ามยุ่งกับผู้ชายคนนี้อีก" 


                   "แต่แม่ ~ โรซี่ไม่อยากไป" 


                   "จะรีบไปไหนล่ะ จอง ซองโซ ลูกไม่อยากไปก็อย่าบังคับเขาสิ" 


                   "เงียบไปเลย จอน จองกุก มันไม่ใช่เรื่องของนาย และฉันก็เคยบอกนายแล้วว่าอย่ามายุ่งกับฉันและลูกอีก" เพราะอยู่ต่อหน้าของโรซี่เธอจึงพยายามที่จะใช้น้ำเสียงที่นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


                   "ทำไมอะแม่ คุณลุงไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ทำไมแม่ใจร้ายกับคุณลุงจังเลย คุณลุงใจดีกับโรซี่นะ" 


                   "โรซี่ นี่มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ต้องออกความคิดเห็น" 


                   "ใช่แล้วครับโรซี่ นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก เพราะฉะนั้นหนูไปรออยู่กับครูนาราก่อนนะ ลุงมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับแม่หนู เดี๋ยวลุงกับแม่ตามไป" 


                   "โอเคค่ะ" ถึงจะเป็นห่วงคุณลุงที่โดนแม่ซองโซใจร้ายใส่แต่สุดท้ายโรซี่ก็ยอมทำตามคำพูดของผู้ใหญ่ 


                   "นี่เป็นแผนการของนายใช่มั้ย ฉันเคยบอกแล้วนะว่าอย่ามายุ่งกับฉันและลูกอีก แต่เหมือนนายจะไม่เข้าใจ" 


                   "เข้าใจอย่างชัดเจนเลยแหละ แต่ฉันดันมีสิทธิ์ที่จะไม่ทำแบบนั้นไง" 


                   "นายไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น จอน จองกุก ถ้านายคิดว่าการที่เรื่องคืนนั้นที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวจะทำให้เรื่องราวมันสาวยาวมาได้ถึงขนาดนี้ นายคิดผิด" 


                   ตุ้บ! 


                   "แล้วนี่มันคืออะไร!" 


                    ซองโซรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้เห็นอย่างเต็มสองตาว่ากระดาษสีขาวในซองสีน้ำตาลที่จองกุกเขวี้ยงมาตรงหน้าเธอมันคือเอกสารอะไร 


                   "คุ้นมั้ย?? นี่คือเอกสารสำรองใบเกิดของลูกสาวเธอไง ในนี้ไม่มีชื่อพ่อผู้ให้กำเนิดของโรซี่ มีแค่ชื่อของแม่ ซึ่งก็คือเธอ" 


                   ซองโซกล้ามากที่กล้าโกหกเขาว่าไอ้แจฮยอนมันคือพ่อของโรซี่ 


                   "เธอกล้ามากนะที่ตัดสินใจโกหกฉันแบบนั้นทั้งที่รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าความจริงมันเป็นยังไง ไม่คิดบ้างหรอว่าฉันจะรู้จักเธอดีกว่าที่เธอคิดด้วยซ้ำ ฉันเป็นคนแรกของเธอและเธอก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น ส่วนไอ้แจฮยอนผู้ชายคนเดียวที่เธอใกล้ชิดด้วยเธอก็ไม่เคยรักมัน เพราะฉะนั้นไม่มีทางแน่นอนที่โรซี่จะเป็นลูกของคนอื่น... นอกจากลูกฉัน" 


                   ซองโซได้แต่หันหลังกลับมา ดวงตาแดงก่ำพยายามกลั้นอารมณ์อ่อนไหวที่กำลังเล่นงานเธอจากข้างใน 


                   "ทำไมถึงไม่บอกฉันว่าเธอท้อง?" 


                   "..." 


                   "ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำไมเธอไม่เคยบอกให้ฉันได้รับรู้เลย เขาก็เป็นลูกของฉันเหมือนกันนะ ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้" 


                   "เพราะฉันเกลียดนาย" ซองโซกดเสียงต่ำ ถึงน้ำตาจะไหลลงมาจนเปื้อนแก้มและคางจนเปียกไปหมดแต่เธอก็ไม่ยอมให้ จอน จองกุก ได้เห็นด้านอ่อนแอของเธอหรอก 


                   "..." 


                   ยอมรับว่าคำพูดของซองโซทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าซองโซรู้สึกยังไงกับตัวเอง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่จองกุกได้ยินคำๆ นี้จากปากของเธอตรงๆ 


                   "ตลอดเวลาที่เราเคยใช้ร่วมกันมามันไม่เคยทำให้ฉันอยู่ในสายตาเธอได้เลยสินะ" 


                   "อย่ามาใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับฉันนะ จอน จองกุก คนที่โดนทำร้ายหัวใจก็คือฉันต่างหาก นายเคยทำอะไรกับฉันไว้... นายก็รู้ตัวเองดี อย่าทำให้ฉันเกลียดนายไปมากกว่านี้เลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงไม่มีนายเราสองคนก็มีความสุขกันดี ฉันดีใจด้วยซ้ำที่นายไม่เคยมีส่วนร่วมในชีวิตของโรซี่เลย เพราะฉะนั้นก็อย่าพยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราเลย กลับไปใช้ชีวิตอันสุขสำราญของนายเถอะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีก เพราะระหว่างเรา 2 คนมันจบไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว" 


                   ถึงแม้ว่าน้ำเสียงที่พูดออกมาจะฟังดูเหมือนไร้ซึ่งความรู้สึก แต่จองกุกก็มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาได้รู้ความจริงอย่างกระจ่างใสแล้ว ลูกและเมียทั้งคนเขาจะทิ้งไปได้อย่างไร ยิ่งเขาได้รู้ว่าในชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเขาคนเดียวต่อไปแล้วเขายิ่งต้องทำทุกอย่างให้มันถูกต้องที่สุดอย่างที่มันควรจะเป็น 


                   "ไม่ โรซี่ก็คือลูกฉันทั้งคน คิดหรอว่าฉันจะทำเหมือนว่าที่ผ่านมามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็มีสิทธิ์ดูแลเลี้ยงดูเขาไม่น้อยไปกว่าเธอ ต่อไปนี้เธอจะผลักไสไล่ส่งให้ฉันออกไปจากชีวิตของเธอและลูกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน เธอและโรซี่คือส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน


                   "แม่


                   "โรซี่!" 


                   จองกุกและซองโซตกใจไม่ต่างกัน นี่ไม่ใช่บทสนทนาที่โรซี่ควรจะมาได้ยิน แต่หารู้ไม่ว่าโรซี่ไม่ได้เดินไปหาคุณครูตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลับยืนฟังบทสนทนาระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองคนอยู่ที่หน้าห้อง 


                   "คุณลุงคือพ่อของหนูจริงๆ หรอคะแม่?" 


                   "ใช่" ไม่ใช่ซองโซ แต่กลับเป็นจองกุกที่ตอบออกไป "โรซี่ ลุงคือพ่อของหนูเอง" 


                   "จอน จองกุก!" ซองโซมองจองกุกตาเขียว พอกันกับผู้ชายคนนี้ เขากำลังจะทำลายชีวิตของเธอ 


                   "ฮึกๆ พ่อ" เด็กน้อยเบะปากร้องไห้ ทั้งดีใจและเสียใจที่ในที่สุดความฝันเดียวที่ตัวเองต้องการมากที่สุดในชีวิตตลอดมาก็เกิดขึ้นแล้ว เธอได้เจอพ่อแล้ว และพ่อกำลังยืนอยู่ตรงหน้า 


                   "หยุดนะโรซี่" ซองโซคว้าเอาตัวลูกสาวที่กำลังจะวิ่งไปกอดจองกุกมาไว้ในอ้อมแขนแทน มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ เธอจะทำลายหัวใจตัวเองโดยการให้โรซี่ไปกับจองกุกไม่ได้หรอก 


                   "ฮื่อๆๆ แม่ปล่อยโรซี่นะ โรซี่จะไปหาพ่อ" เด็กน้อยร้องลั่น ดิ้นไปมาพยายามที่จะไปหาคนเป็นพ่อ แต่ด้วยแรงรัดของคนเป็นแม่เธอถึงทำอย่างใจหวังไม่ได้ 


                   "ซองโซ เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เธอไม่มีสิทธิ์กีดกันฉันกับลูกนะ" ส่วนจองกุกก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน 


                   จองกุกพยายามยื้อยุดลูกสาวไว้กับตัวเองแต่ก็ไม่สำเร็จ และเมื่อเขาไปเอารถออกมาเพื่อหวังที่จะตามทั้งสองคนให้ทันพวกเขาก็ได้หายไปแล้วโดยไร้วี่แวว... 


                   ส่วนทางซองโซเองก็อุ้มลูกสาวออกมาที่รถของตัวเองด้วยความรีบร้อน เธอร้องไห้เสียใจไม่แพ้กันกับลูกสาวสุดที่รัก เธอเสียใจมาก ความคิดที่จะเลี้ยงดูโรซี่คนเดียวจนสิ้นสุดลมหายใจ ในชีวิตที่จะมีแค่เธอและลูกสาวเติบโตและอยู่ด้วยกันตลอดไปมันพังทลายลงแล้ว 


                   "ฮื่อๆๆๆ คุณแม่ใจร้าย ฮึกๆๆ โรซี่จะไปหาพ่อจองกุก ฮื่อๆๆ" 


                   เสียงร้องไห้ของลูกสาวบีบรัดหัวใจเธอจนเจ็บปวดไปหมดทั้งหัวใจ โรซี่แม่ขอโทษที่ปกป้องหนูไม่ได้ เรื่องทั้งหมดมันไม่น่าเกิดขึ้นเลย ถ้า จอน จองกุก ไม่กลับเข้ามาในชีวิตของเธออีกเรื่องทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว เพราะมันผิดตั้งแต่แรกแล้ว ผิดตั้งแต่วันแรกที่เธอมอบหัวใจให้ จอน จองกุก แล้ว 


                   ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอขอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลยดีกว่า... 








    แล้วความรักของทั้ง 2 คนจะลงเอยยังไง

    ติดตามกันได้ในบทต่อๆ ไปเร็วๆ นี้นะคะ










    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×