ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานจักรพรรดิเทพมังการ

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 46


    ศักราชทีเฟรติสที่ 221 ณ นครเอเมส อาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุดของเหล่ามนุษย์



    ที่ร้านเหล้าแห่งนั้น เป็นดังศูนย์รวมคนทุกประเภท บัดนี้ สิ่งที่ทำให้สายตาทุกคู่มาอยู่รวมกัน กลับเป็นผู้ชายสองคนที่เดินเข้ามาในร้าน



    ผู้ชายตนหนึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นชายชรา เรือนผมสีขาวโพลน เค้าหน้ามีแววยับย่น หากแต่อีกผู้หนึ่งที่ค่อยๆประคองชายชราเข้ามา กลับเป็นชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองเป็นประกาย ยาวถึงกลางหลัง



    เพียงแค่ชายหนุ่มผู้นี้เดินเข้ามา ทุกคนยังบอกได้ว่าคนผู้นี้ ไม่เหมาะกับสถานที่เช่นนี้เลยแม้สักนิด กระนั้น ชายหนุ่มผู้นี้ยังมีสีหน้าไม่ขัดเขิน จัดเก้าอี้ให้ชายชรานั่ง ก่อนจะกล่าวกับพนักงานของร้านว่า



    \"ขอเหล้าแรงๆให้คุณตาสักขวดหนึ่งนะครับ แล้วก็ขอเหล้าอ่อนๆให้ผมสักแก้ว\"



    เสียงนี้กล่าวขึ้นอย่างสุภาพ ด้วยท่าทางและน้ำเสียงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกขัดสายตาของลูกค้าในร้านหลายคนนัก ดังนั้น ในไม่ช้า ค่อยปรากฏชายฉกรรจ์หลายสิบคน มารุมล้อมโต๊ะที่ตาหลานคู่นี้นั่งอยู่ด้วยกัน



    ชายชรานั้น ดูท่าทางไม่ตื่นตกใจแม้สักน้อยนิด ครานี้เอง บุรุษผู้คล้ายจะเป็นหัวหน้าของเหล่าอันธพาล ค่อยกระโดดขึ้นกระแทกตัวบนโต๊ะตัวนั้นอย่างเต็มที่ ก่อนจะกล่าวขึ้น ด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวว่า



    \"รู้หรือเปล่าว่าที่นี่เป็นร้านเหล้า!!\"



    แทนคำตอบนั้น ชายชรากลับได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะนี้ คล้ายจะเพิ่มความโกรธให้กับเหล่าอันธพาลมากขึ้น หากแต่ว่า ในมิช้า กลับถูกแก้สถานการณ์ไว้ โดยหลานชายของชายชราผู้นี้เอง



    \"ผมเป็นกวีพเนจร พวกเราออกเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมือง หาเลี้ยงชีพด้วยการร้องเพลงและเล่านิทานตามร้านอาหาร ตามร้านเหล้าครับ\"



    \"เฮอะ! ใครจะไปฟังเสียงผู้ชายร้องเพลง มันต้องผู้หญิงสิโว๊ย!\"



    \"นั่นสิ ผู้ชายร้องเพลงไม่น่าฟังหรอก แต่ผมจำเป็นต้องหาเลี้ยงตัวเองนี่ครับ\"



    \"หน้าตาอย่างแก ไปอยู่กับพวกแม่ม่ายรวยๆ คงจะหาเงินได้มากโขหรอกนะ\"



    \"ไม่ได้นะ ลูกผู้ชายต้องมีศักดิ์ศรี อย่างมากถ้าหาคนฟังไม่ได้จริงๆ ผมก็รับจ้างวาดรูปได้น่ะ ถ้าไม่มีจริงๆ ให้ตักน้ำผ่าฟืน หรือทำงานหนักๆก็ได้\"



    ชายหนุ่มกล่าวขึ้นเช่นนี้ พลางหัวเราะออกมาเบาๆ เหล่าอันธพาลในร้านคล้ายจะหาเรื่องต่อ แต่แล้ว ทั้งหมดกลับต้องพลันเงียบเสียงลงไปสิ้น เมื่อได้ยินเสียงร้องที่ชายหนุ่มขับออกมาจากลำคอ



    นั่นเป็นเพลงที่ไพเราะจนคาดไม่ถึงจริงๆ ด้วยเสียงที่ราวกับจะรวมความงดงามของทะเล ฟากฟ้า และสายรุ้ง กับความสดชื่นของผืนป่าเข้าไว้ด้วยกัน ประสานรับกับภาษาสำเนียงประหลาด ก่อเป็นความลึกลับที่ยากจะหยั่งถึง



    ในมือของชายหนุ่มนั้น มีพิณเก่าๆอยู่อันหนึ่ง เสียงเพลงสอดประสานกับเสียงดนตรี ก่อเป็นความตื้นตันจนยากจะบรรยาย ดังนั้น ในไม่ช้า หลังจากเพลงจบลง ความเงียบสงบค่อยก่อตัวขึ้น พร้อมๆกับเสียงปรบมือและโห่ร้องที่ตามมาหลังจากนั้น



    \"นั่นเป็นภาษาอะไรน่ะ? ภาษาปีศาจ ภูต หรือภาษาเทพ หรือว่ามังกร?\"



    เสียงถามดังพร้อมๆกันจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ กระนั้น ชายหนุ่มยังยิ้มนิดๆ พลางตอบขึ้นว่า



    \"ภาษาอัลเกรเชีย\"



    \"อัลเกรเชีย?\"



    \"ภาษาที่รวมเอาทุกภาษาในโลกไว้ด้วยกัน ภาษาของดินแดนที่ล่มสลายไปแล้ว\"



    เสียงซุบซิบเบาๆดังขึ้นทั่วร้านอีกคราหนึ่ง พร้อมๆกับที่เสียงเงียบลง ครานี้ ค่อยมีเสียงๆหนึ่ง กล่าวถามขึ้นจากชายหนุ่มร่างท้วมผู้หนึ่งว่า



    \"ข้าได้ยินว่ามันเป็นภาษาชั้นสูงที่อนุญาตให้ศึกษาเฉพาะคนระดับสูงไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกท่านยังรู้ภาษานี้..\"



    \"ไม่มีภาษาใดที่เหมาะกับลำนำนี้เท่าภาษาอัลเกรเชีย นักกวีพเนจรหวังเพียงภาษาที่ใช้เป็นที่จับใจคนฟังเท่านั้นเอง เราจะเรียนรู้ทุกภาษาเพื่อใช้ขับลำนำกวี\"



    \"แต่ตอนนี้ มันเป็นภาษาที่ใช้เพื่อการทหาร\"



    \"ภาษามีไว้ เพื่อสื่อใจคนทั้งโลก\"



    ชายหนุ่มตอบ พลางหัวเราะเสียงสดใส ครานี้เอง ชายหนุ่มร่างท้วมจึงค่อยหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวว่า



    \"ชั้นชื่อไชลิส ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าแผนกราชเลขาธิการของเอเมส\"



    ชายหนุ่มผมทองผู้นั้นคล้ายจะแนะนำตัวบ้าง แต่แล้ว กลับถูกขัดขวางไว้โดยชายชราผู้นั้นเอง ที่กระแอมไอขึ้นเบาๆ ดังนั้น ชายหนุ่มค่อยกล่าวขึ้นว่า



    \"ผมเป็นนักกวีพเนจร ไม่มีค่าพอจะให้ฟังชื่อ\"



    \"เหลวไหลน่า นายใช้ภาษาอัลเกรเชียได้ดีขนาดนี้ น่าจะไปทำงานที่ก่อประโยชน์มากกว่านี้\"



    \"ผมก็แค่จำลำนำที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้คิดขึ้นเอง\"



    \"แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่คิดจะหาอนาคตที่ดีกว่านี้หรือไง?\"



    \"แต่ผมรักอิสระ….\"



    ชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ก่อนจะวางเงินให้พนักงาน แล้วประคองร่างชายชราจากไปในทันที



    ………………………………………………………………………………………………..



    \"ข้าบอกเจ้าแล้ว อย่าได้บอกชื่อกับใคร คราวหน้า ห้ามใช้ภาษาอัลเกรเชียอีก..\"



    ชายชรากล่าวขึ้น พลางกระแอมไอออกมา ด้วยสีหน้าซีดขาว ดังนั้น แทนที่ชายหนุ่มจะคิดต่อปากต่อคำด้วย กลับจำต้องประคองร่างชายชราไว้ ก่อนกล่าวรับปากในทันทีว่า



    \"ท่านตา ต่อไปผมไม่กล้าแล้ว\"



    \"ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ต้องไม่ทำ จำไว้ มันอันตราย..\"



    \"แล้วทำไมไม่ให้ผมเปลี่ยนชื่อ?\"



    \"อย่าเปลี่ยนชื่อ…ชื่อนี้ เป็นความภาคภูมิใจของท่านตาผู้นี้…\"



    ชายชรากล่าวขึ้น พร้อมกับไอออกมาอีก ดวงตาคู่นั้น คล้ายจะกลวงลึกลงไปข้างในแล้ว เบ้าตาลึก ดวงตาทั้งฝ้าฟางทั้งขุ่นขาว น้ำเสมหะกระเด็นออกมาจากลำคอแทบทุกครั้งที่ไอออกมา บางครั้ง ยังแทบจะถูกเสื้อผ้าของหลานชายผู้นี้



    ชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจน้ำเสมหะนี้แม้แต่น้อย ค่อยๆเช็ดใบหน้าที่มีเหงื่อออกทั่วของชายชรา ก่อนจะยื่นขวดยาใบน้อยให้ พลางกล่าวว่า



    \"ดื่มยาเสียหน่อยดีกว่า ท่าทางอาการท่านแย่ลงมาก\"



    \"ข้าไม่กินยา!\"



    \"อย่าดื้อสิ..\"



    ชายหนุ่มกล่าว พลางทำท่าคล้ายจะป้อนยาให้ชายชราจริงๆ กลับมิคาด เมื่อชายชราเป็นฝ่ายปัดขวดยาหกเสียเอง ก่อนจะกล่าวกระแทกเสียงขึ้นว่า



    \"บอกว่าไม่กินก็ไม่กิน!! จะวางยาฆ่าข้าเรอะไง!!\"



    \"ผมเพียงแต่เป็นห่วง…\"



    ชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่ง ครานี้เอง ชายชราจึงค่อยเปลี่ยนทีท่า มองใบหน้าของชายหนุ่มนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน พลางกล่าวขึ้นว่า



    \"ให้ข้าเรียกชื่อเจ้าก็หายเจ็บแล้ว เด็กเอ๋ย…\"



    \"ท่านตา?\"



    \"ชื่อของเจ้า เป็นของที่ระลึกของตาคนนี้ ไรอา…อย่าให้คนอื่นเรียกชื่อนี้…\"



    \"ผมไปหาที่พักก่อนนะครับ…\"



    \"ไปเถิด..หลานเอ๋ย…\"



    ………………………………………………………………………………………………….



    ศักราชทีเฟรติสที่ 219 ในงานเทศกาลบูชาไฟของเซเรล่า อัศวินมังกรผู้หนึ่งสาบสูญไป พร้อมกับการหายตัวอย่างลึกลับขององค์ชาย



    ศักราชทีเฟรติสที่ 220 องค์หญิงอิลเร่ หมั้นหมายกับเอริค อัศวินมังกรครึ่งมนุษย์ ลูกชายแม่ทัพใหญ่แห่งเซเรล่า หลังจากที่เอริคผ่านช่วงเปลี่ยนวัยสำเร็จ วีกัซกลายเป็นอดีตองค์ชาย ถูกตีตราเป็นคนทรยศ แล้วเนรเทศออกนอกราชอาณาจักร ในฐานะผู้ต้องสงสัย ที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวขององค์ชายอีกผู้หนึ่งและอัศวินมังกร



    ศักราชทีเฟรติสที่ 221 บัดนี้ การจัดงานเลือกคู่ขององค์หญิงแห่งเอเมส เอเลน่า ฟาร์เรนซ่า ได้กำหนดขึ้นแล้ว อัศวินจากทั่วทุกสารทิศ ล้วนแต่หมายปองตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้



    เอริคเป็นผู้หนึ่ง ที่เข้าร่วมการเลือกคู่ครั้งนี้ด้วย ถึงแม้จะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว หากแต่ตามธรรมเนียมแล้ว ฝ่ายชายสามารถที่จะผูกสัมพันธ์กับฝ่ายหญิงได้หลายคน ดังนั้น ถ้าเอริคได้เป็นคู่ครองของเอเลน่า ก็หมายความว่าเซเรล่า จะได้เกี่ยวดองกับเอเมส สร้างขุมกำลังทางทหารให้ยิ่งใหญ่ขึ้น



    นอกจากเอริคแล้ว เซรุส ผู้ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งเซเรล่าก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน หากแต่จุดประสงค์ของเซรุสนั้น นอกจะเพื่อหมายเพิ่มกำลังทางทหารแก่เซเรล่าแล้ว ยังหมายที่จะขัดขวางเอริคผู้เป็นเพื่อนร่วมสงครามด้วย เพราะเซรุสกลับถือคติว่า ควรมีสตรีผู้เป็นที่รักที่สุดอยู่ผู้เดียว ต่างกับบุรุษผู้อื่น ที่คิดจะมีอำนาจต่อสตรีหลายคน



    บัดนี้ วงล้อแห่งชะตากรรมได้หมุนเข้ามาบรรจบอีกครั้งหนึ่งแล้ว



    ……………………………………………………………………………………………………



    หลานชายผู้นั้น ทิ้งชายชราไว้ ออกไปหาที่พักอยู่ครู่ใหญ่แล้ว หากแต่ว่า เมื่อย้อนกลับมา ชายหนุ่มกลับตามหาท่านตาของตนเองไม่พบ



    เรือนผมสีทองนั้นปลิวไสวยามต้องลม ชายหนุ่มกลับไม่สนใจที่จะรวบผมให้เรียบร้อย วิ่งไปมาเพื่อตามหาท่านตาของตนที่หายไป จวบจนกระทั่งชนเข้ากับคนผู้หนึ่งโดยแรงจนล้มลงไปทั้งคู่



    เริ่มแรก คนผู้นี้ไม่คิดใส่ใจ หากแต่ว่า เมื่อลุกขึ้นมาแล้ว ได้พบกับใบหน้าและดวงตาคู่นั้น กลับต้องส่งเสียงอย่างแตกตื่นออกมา พลางคว้าจับข้อมือของชายหนุ่มผมทองไว้แน่น



    \"ไรอา!? นายอยู่ที่นี่ได้ยังไง!\"



    \"ปล่อยนะ! ผมไม่รู้จักคุณ แล้วก็กำลังรีบด้วย\"



    \"นายลืมชั้นไปแล้วหรือไง? ไรอา? จำชั้นไม่ได้หรือ?\"



    \"ผมไม่รู้จักคุณ!! ตอนนี้ผมต้องตามหาคนนะ!\"



    \"รู้จักสิ ชั้นชื่อไททารอส นายจำไม่ได้หรือไง?\"



    \"ไม่รู้จักทั้งนั้นล่ะ!!\"



    ชายหนุ่มกล่าวขึ้นเช่นนี้ ก่อนที่จะสะบัดข้อมือที่ถูกคว้าจับไว้ แล้ววิ่งจากไปในทันที



    ……………………………………………………………………………………………………..



    ชายชราผู้นั้น หายไปอยู่ที่ใดกันเล่า?



    บัดนี้ รอยย่นที่รอบดวงตาและใบหน้าหายไปแล้ว ดวงตาที่โหลลึกกลับดูอ่อนเยาว์ เปล่งประกายอย่างน่าพิศวง เหลือที่มีเค้าเดิมเพียงเรือนผมสีขาวโพลนนั้น



    ที่เบื้องหน้า ปรากฏมีร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ตรงข้าม เรือนผมของคนผู้นั้น ทอประกายดำขลับ ดวงตาสีแดงก่ำราวสีของเลือด คล้ายดังว่าเป็นการประจัญหน้าของแสงสว่างและความมืด



    ชายผมดำผู้นี้ สวมหน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าไว้ครึ่งซีก กระนั้น ยังเห็นได้ถึงรอยยิ้มอันแสดงความยินดี ต่างกับสีหน้าอันซีดสลดของชายผมขาว



    \"ไม่เลวที่เดียว เจ้าทำให้ข้าแทบคลั่งได้ถึงสองปี มังกรขาวเอ๋ย…\"



    \"เป็นสองปีที่ทรมานสำหรับข้าเช่นกัน แต่ที่จริง การใช้ชีวิตอยู่กับลูกชายท่านก็ไม่ได้เลวร้ายเลย เด็กคนนั้นมีน้ำใจ ดูแลข้าอย่างดี\"



    \"ไรอาเสียความทรงจำแล้วใช่มั้ย?\"



    \"แน่นอน รวมทั้งพลังเวทย์ทั้งหมด ข้าผนึกพลังทั้งหมดรวมทั้งพลังของผลึกศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้ว\"



    \"ที่จริง ข้าน่าจะขอบใจเจ้า ที่ไม่พาไรอาไปเข้าพิธีชำระบาป\"



    \"ถ้าพาไปเข้าพิธีนั้น พวกมังกรบ้าคลั่งพวกนั้น ถ้าไม่ขังลืมตลอดชีวิตก็ต้องฆ่าหลานชายคนนี้แน่ ข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น\"



    \"แม้แต่ตัวเจ้าก็รู้ จ้าวมังกรช่วยอะไรไม่ได้ ถึงได้ไม่ยอมกลับไป\"



    \"ท่านรู้ได้อย่างไร?\"



    \"เจ้าเองก็รู้ ข้าตามรอยพวกเจ้าจนยอมทิ้งงานอื่นทั้งหมด เจ้าทุ่มเทพลังไปปิดผนึกพลังของไรอา แต่ไม่รู้หรือว่าพลังของไรอาค่อยๆเพิ่มขึ้นจนล้นจากผนึกของเจ้า\"



    \"พลังหลุดจากผนึก?\"



    \"ตอนนี้ท่านราชาปีศาจกำลังสนใจพลังของไรอามาก ข้าต้องพาลูกชายคนนี้กลับให้ได้\"



    \"ไรอาไม่ใช่ลูกชายที่เชื่อฟังคำพูดของท่านอีกแล้ว!\"



    \"อย่างไรข้าก็จะฟื้นความทรงจำให้เขา เจ้าก็ทำให้เรื่องง่ายขึ้น\"



    \"อะไรนะ!?\"



    \"ดีแล้วที่พามาที่นี่ งานชุมนุมนี้พวกเทพก็มากันด้วย ถ้ายังมีพลังปีศาจอยู่ ไรอาจะทำตัวผิดสังเกตได้ถ้าเกิดว่าต่อต้านพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพ\"



    \"หมายความว่า…\"



    \"ข้าจะชักจูงให้ไรอาผ่านพิธีเลือกคู่ แล้วค่อยฟื้นความทรงจำให้เขาเอง!\"



    \"ใครจะยอมให้ทำ!!\"



    มังกรขาวกล่าวขึ้น พร้อมกับโถมร่างเข้าจู่โจมเรนัสด้วยพลังเวทย์ทันที แต่ครั้งนี้ กลับไม่เหมือนครั้งก่อน เรนัสเพียงแต่ยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแม้แต่นิดเดียว



    ชั่วขณะที่มังกรขาวยืนตกตะลึงอยู่นั้นเอง แสงสีดำค่อยคืบคลานเข้ามารายล้อมร่างพันธนาการตัวมังกรขาวผู้นี้เอาไว้แน่น แปรเปลี่ยนเป็นกรงขังสีดำ!



    แสงประหลาดสีดำค่อยๆจางหายไป พร้อมกับเสียงหัวเราะ..เสียงของสตรี ที่หัวเราะอย่างเปรมปรียินดี



    ………………………………………………………………………………………………………



    ไรอาเที่ยวตามหาตัวท่านตาของตนไม่เจอ ท้ายที่สุด ค่อยจำต้องทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกวูบลงคล้ายกับหน้ามืดขึ้นอย่างกระทันหัน



    เสียงหัวเราะของผู้หญิงที่ดังข้างหู ปลุกให้ไรอาตื่นขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ครานี้เอง ไรอาถึงกับได้พบว่า มีคนมากมายที่มาดูอาการของเขาอยู่รอบอาหารเล็กๆนี้ พร้อมกับแสดงสีหน้าเป็นห่วงอย่างยิ่ง



    ผู้หญิงในชุดดำผู้หนึ่ง อยู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด สตรีผู้นี้เอง ที่เป็นเจ้าของเสียงหัวเราะเมื่อครู่ หากแต่..ผู้หญิงคนนี้หัวเราะเพราะอะไรกัน?



    คนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเขา คล้ายกับว่ามองไม่เห็นผู้หญิงคนนี้แม้สักนิด ตอนนี้เอง ไรอาถึงเพิ่งสังเกต ว่าสตรีเบื้องหน้า คล้ายกับไม่มีตัวตนในสายตาของคนอื่น



    เสียงหัวเราะเงียบลงแล้ว พร้อมๆกับที่ไรอาเห็นผู้ชายคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามาในร้าน ก่อนจะประคองร่างของเขาขึ้นด้วยท่าทางห่วงใย แปลกที่เขากลับรู้สึกเหมือนในหัวมันโล่งจนคิดอะไรไม่ออกเลย



    ผู้ชายคนนั้น..ใช่แล้ว..คนที่เดินชนกับเขาเมื่อครู่นี้เอง…ชื่ออะไรนะ..



    ไม่มีคำตอบออกมาจากความทรงจำ เมื่อไรอาหลับไปเสียแล้ว พร้อมกับภาพของผู้หญิงคนนั้น ที่ประทับอยู่ในสมอง





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×