คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : C U T E [100%]
“เสือออ ไอ้เสือลูกพ่อ” ผมหยอกล้อเจ้าแมวในอ้อมแขนของตัวเองพลางเดินลงจากบันไดบ้านมาด้วย อิจฉาความรวยของไอ้หินชะมัด แค่ราวบันไดก็ดูมีมูลค่าจนผมไม่กล้าที่จะจับเพราะกลัวจะไปสร้างความเสียหายให้ ไม่อยากจะคิดภาพเจ้าลูกชายสุดที่รักของผมตอนที่หลุดจากอ้อมแขนและวิ่งซนไปทั่วเลย
ไอ้หินอาจจะมองข้ามเรื่องที่ตัวเองชอบผม จับยัดหม้อถ่วงน้ำตายอนาถ
หลังจากที่คุยกันเรื่องนั้นจบ เจ้าของบ้านก็บอกให้ผมไปอาบน้ำก่อนจะออกจากห้องไป ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะรออยู่ในห้อง แต่ผมได้ยินเสียงร้องของเสือลูกรักก็เลยรู้ได้ว่าไอ้หินมันคงจะไปเอามาให้เพราะกุญแจสำรองของห้องผมน่ะอยู่ที่ไอ้หิน
ผมตัดสินใจว่าจะพาแมวลงไปเดินเล่น หวังว่าไอ้หินจะไม่ว่าอะไรหรอกนะ อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้และผมมันก็ประเภทที่อยู่นิ่งๆ ไม่ได้นานด้วยสิ
“อย่าไปแตะข้าวของอะไรในบ้านนะลูก พ่อมึงไม่เงินจ่ายให้เขาแน่นอน ทุกวันนี้ก็จะแดกแกรบแทนข้าวอยู่แล้ว” ก้มลงพูดคุยกับไอ้เสือที่กำลังมองมาที่ผมอย่างเกียจคร้าน สายตาเหมือนจะไล่ไม่ให้มายุ่งวุ่นวาย ซึ่งมันเป็นสายตาที่ช่างน่ามันเขี้ยวอะไรขนาดนี้ กอดรัดฟัดเหวี่ยงจนสุดที่รักของผมเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างรำคาญใจ
แง้ววว!
“โวยวายทำไมม ไม่ชอบเหรอ ไม่ชอบให้พ่อหอมเหรอ ก็พ่อรักลูกมากๆ เลย ขอหอมหน่อยนะไอ้เสือออ” ผมก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายมา ถึงเสือมันจะดูรำคาญแต่ความขี้เกียจที่มีมากกว่าทำให้เจ้าแมวส้มนอนนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงเล็บที่เดี๋ยวจิกเดี๋ยวคลายอยู่บนแขน
น้องแค่แสดงความรัก อาจจะรุนแรงไปนิดหน่อย
มือผมยังคงลูบลงตามเนื้อตัวของไอ้เสือ สายตานั้นสอดส่องไปรอบๆ ถ้าหากว่าอ้าปากค้างลงไปถึงนิ้วหัวแม่โป้งเท้าได้ก็คงจะทำไปแล้วหลังจากที่ได้เห็นข้าวของแต่ละอย่างในบ้านหลังนี้ ลวดลายวิจิตร ไม่ต้องเรียนศิลปะก็มองออกว่ามันล้ำค่าและราคาแพงมากขนาดไหน จะปล่อยให้ไอ้เสือลงไปวิ่งเล่นไม่ได้เด็ดขาด
“โอ๊ะ เพื่อนพี่หินตื่นแล้ว แมวตัวเมื่อคืนด้วย”
“ทำไมมึงต้องเน้นคำว่าเพื่อนขนาดนั้นด้วยไอ้อลัน”
“อะไร๊ มึงอย่ามาใส่ร้ายนะ กูไม่รู้เรื่อง ..กำลังหาพี่หินอยู่หรือเปล่าครับ” ถกเถียงกันอยู่สองคนได้ไม่กี่ประโยค บุรุษแปลกหน้าทั้งสองคนก็หันกลับมาให้ความสนใจกับผมอีกครั้ง ทั้งคู่รูปร่างสูงใหญ่พอกันกับผมทั้งๆ ที่ปากเรียกแทนไอ้หินว่าพี่ นั่นแปลว่าอายุจะต้องน้อยกว่าผมด้วยอย่างแน่นอน
เด็กมันโตไวกันขนาดนี้เลยเหรอวะ
“พวกมึง..”
“ผมอลันครับ นี่เวลส์ เราสองคนเป็นคนของพี่หิน”
คะ คนของไอ้หิน?
สมองผมในตอนนี้แบ่งแยกคำว่าคนเป็นสองความหมายเรียบร้อย คนที่หมายถึงลูกน้อง กับอีกหนึ่งความหมายที่ เอ่อ หมายถึงเมียอะไรเทือกนั้น แล้วสภาพที่ดูไม่จืด ชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งร่างแบบนี้มันก็ชวนคิดดีไม่ได้เลยสักนิด
“พี่ชื่อเข้ม เป็น—..”
“เพื่อนพี่หิน แหม พวกผมรู้แล้วล่ะครับ เมื่อคืนพี่หินอุ้มพี่ขึ้นไปบนห้อง พวกผมจะช่วยก็ไม่ให้ช่วย แนบชิดกันขนาดนี้ จะไม่ใช่เพื่อนกันได้ยังไง” ฟังดูตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่พอจบประโยคไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเด็กอลันมันกำลังจับผิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้
ว่าแต่ว่า “อะ ไอ้หินอุ้มกูเหรอ”
“ใช่แล้วครับ พี่หินนะอุ้มพี่แบบนี้เลย ทะนุถนอมอย่างดี เดินก็ยังไม่ให้สะเทือน” อลันชี้มาที่เสือ ทำมือไม้คล้ายว่าไอ้หินอุ้มผมแบบเดียวกับที่ผมอุ้มแมว อีกทั้งคำพูดประกอบยังทำเอาผมรู้สึกโมโหจนควันขึ้นหน้า
กล้ามาก! ถึงผมจะเมาแค่ไหนมันก็ไม่มีสิทธิ์มาฉวยโอกาสอุ้มผมแบบนี้!!
“ไอ้หินอยู่ที่ไหน”
“โรงฝึกครับ ผมพาพี่ไปได้นะ”
“มึงปากมากจังวะ” ใครอีกคนที่ชื่อเวลส์ปรามขึ้นเสียงดุก่อนจะลากคอเพื่อนตัวเองออกห่างไปจากผม กระซิบกระซาบอะไรกันอยู่สองคนกลางมองมาเป็นระยะ
แค่ถามว่าไอ้หินอยู่ที่ไหน มันจำเป็นต้องปรึกษากันขนาดนั้นเลยเหรอ
ผมปล่อยให้ทั้งสองคนพูดคุยกัน การที่มีไอ้เสือนอนอยู่ในอ้อมแขนแบบนี้มันทำให้ผมดูเหมือนแม่ที่กำลังอุ้มลูกไม่มีผิด ซึ่งเป็นลูกที่รักมากๆ ด้วย นึกไปถึงคุณแอนดริวเลยทีเดียว แต่รายนั้นออกจะน่ารักกว่าเยอะ ชอบอ้อน ชอบมาคลอเคลียเวลาที่ผมแวะไปหาไอ้กำปั้น อาจจะเพราะรู้ว่าผมจะซื้อของกินเข้าไปฝาก
ถ้าเป็นเสือก็จะสะบัดตูดใส่แล้วเดินหนีไปหามุมเงียบสงบนอน ถ้าเข้าไปกวนมากๆ เข้าหน่อยก็ฝากฝังรอยเล็บเอาไว้ให้ดูต่างหน้า
ช่างเป็นลูกที่รักพ่อมันมากจริงๆ
อ้อ คุณแอนดริวเป็นแมวของน้องสกายซึ่งเป็นแฟนของไอ้กำปั้นอีกที งงหรือเปล่า ถ้างงก็ไม่อธิบายเพิ่มแล้วนะ ย้อนไปอ่านซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจก็แล้วกัน เพราะในตอนนี้สองคนนั้นคุยกันเสร็จแล้ว กำลังเดินกลับมาหาผม
“พี่เข้มใช่ไหมครับ ป่ะ เดี๋ยวผมพาไปที่โรงฝึก”
“เออ ..กูหยาบได้ใช่ไหม ถือหรือเปล่า?”
“ตามสบายเลยพี่ พี่หินก็พูดกับพวกผมงี้แหละ ใครเขาถือให้เมื่อยกัน”
ระหว่างทางที่เดินไปยังโรงฝึก ผมค้นพบว่าอลันมันเป็นเด็กที่โคตรจะพูดมาก พูดเป็นต่อยหอยเลยทีเดียว ยกยอไอ้หินให้ผมฟังจนผมยังรู้สึกเหนื่อยแทน แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าเด็กพวกนี้เทิดทูนเพื่อนสนิทผมมากขนาดไหน พูดไปสายตาก็ส่องประกายไปพลาง แย้มยิ้มราวกับแฟนคลับที่กล่าวถึงไอดอลของตน
“ดูมึงชอบมันมากนะ”
“ชอบดิพี่”
“...”
“เห้ย พี่อย่าเข้าใจผิดนะ ผมแค่อยากเป็นแบบพี่หิน ไม่ได้ชอบแบบที่พี่คิด ไม่หึงนะเว้ยพี่” อลันมันรีบร้อนพูดทั้งที่ผมยังไม่ได้มีความคิดอะไรอย่างที่มันว่ามาเลยสักนิด แค่หยุดคิดอะไรเฉยๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่อลันมันพูดออกมาเลย
“หึงเหี้ยอะไร ทำไมกูต้องหึงเพื่อนตัวเองด้วย?”
“พวกพี่เป็นเพื่อนกันจริงๆ ดิ”
“ก็ใช่ดิ”
กูก็บอกว่าเป็นเพื่อนๆ ย้ำขนาดนี้แล้วยังจะมาถามอีก
ผมกับไอ้หินดูไม่เหมือนเพื่อนกันตรงไหนวะ
“จะถึงแล้ว มึงเงียบๆ เลยไอ้อลัน ปากมากเดี๋ยวพี่หินก็เรียกซ้อมอีกรอบหรอก” เดินลัดเลาะมาได้ไม่ถึง 10 นาที ผมก็ได้ยลโฉมโรงฝึกที่ดูไม่ต่างอะไรจากบ้านหลังย่อม ถูกวร้างจากไม้อย่างดีทั้งหลัง หน้าต่างทุกบานเปิดออกให้ได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านใน ทั้งเสียงเตะ เสียงต่อย ดังออกมาจนผมเผลอสะดุ้งตามไปด้วย
“มีแรงแค่นี้เหรอ ขึ้นต่อยกับกูมากี่รอบแล้ว มึงไม่ได้พัฒนาอะไรเลยสินะ” น้ำเสียงคุ้นเคยทว่าดุดันอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินดังขึ้นเมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ไอ้หินยืนนิ่งอยู่ด้านบน Boxing ring หรือก็คือสนามมวยอย่างที่เราเคยเห็นกันผ่านโทรทัศน์
ไร้นวม ไร้เครื่องป้องกัน มีเพียงผ้าสีขาวที่พันอยู่รอบมือเท่านั้น และ..ใครอีกคนที่ยืนหมดสภาพอยู่ตรงข้ามกันกับไอ้หิน
“พี่หินยังเล่นหนักเหมือนเดิมเลย” อลันหันไปกระซิบกับเวลส์ ผมที่ได้ยินก็แอบพยักหน้าลงเห็นด้วย เท่าที่ตาเห็นก็บอกได้ว่าหนัก และผมคงไม่คิดที่จะไปท้ามันต่อยอีกแล้วแน่นอน คงจะโดนน็อกตั้งแต่หมัดแรก
“ไอ้ชินมันติดเล่น เวลาซ้อมก็ชอบหาย พี่เขาน่าจะรู้”
“สัปดาห์ก่อนกูพูดว่าอะไร มึงจำได้ไหม” ไอ้หินยังคงเล่นบทโหดโดยไม่หันกลับมาทางพวกผมเลยสักนิด ดึงผ้าที่พันอยู่ออกก่อนจะโยนมันลงไปให้ใครอีกคนที่อยู่ด้านล่างของสนามรับ
“จำได้ครับ” คนชื่อชินรับคำหนักแน่น ทว่าความขลาดกลัวกลับฉายชัดขึ้นมาในดวงตา ไม่มีใครกล้าพูดอะไร มีเพียงเสียงของไอ้หินที่ดังขึ้นสั่งสอนคนของตัวเองเท่านั้น จริงจังแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ เป็นเพื่อนกันมากี่ปี ผมทำอะไรขัดใจมันหรือทำเรื่องที่ชวนให้อารมณ์เสีย มากที่สุดก็แค่โดนดุทางสายตาเท่านั้นแหละ
“เพิ่มเวลาฝึกแล้วสัปดาห์หน้าขึ้นชกกับกูอีกรอบ มึงใกล้จะแข่งแล้ว ทำตัวให้มันกระตือรือร้นหน่อย อยากแพ้หรือไง เงินที่บอกจะเอาไปให้แม่มึงน่ะ ไม่อยากได้แล้วเหรอถึงได้ทำเล่นทำหัวไปวันๆ แบบนี้”
“ผมขอโทษ”
“วันนี้พอแค่นี้ ไปอาบน้ำแล้วก็มากินข้าวพร้อมกู” จบสิ้นสักที ไอ้หินโบกมือไล่ชินก่อนจะหันมาทางพวกผม ตาเรียวดุหรี่ลงก่อนที่เจ้าตัวจะลงจากสนามมา
“พวกผมไปก่อนนะพี่เข้ม”
“อ่า”
ไปกันหมด..
“มาทำอะไร” ถามผมแต่สนใจแมวมากกว่า ไอ้หินก้มหน้าลงยกมือขึ้นลูบหัวเสือที่ยอมให้ลูบแต่โดยดี ไม่มีขัดขืน ไม่มีว่าจะฝังเขี้ยวลงบนแขนแบบที่ทำกับผม ควรดีใจหรือเปล่าที่ดูเหมือนว่าผมจะโดนแสดงความรักแบบถึงเนื้ออยู่คนเดียว
“เดินเล่น บ้านมึงมีของเจ๋งๆ เยอะเนอะ น่าจะพากูมาตั้งนานแล้ว” ในนี้มีอุปกรณ์หลากหลายชนิดที่ใช้กับศิลปะการต่อสู้ต่างกันไป มันน่าสนใจมากๆ เลย
“ชอบเหรอ”
“อือ อยากลองอะ”
“ไว้วันหลัง”
“มึงจะพากูมาอีกเหรอ”
“หลังจากนี้คงพามาบ่อยๆ” ไอ้หินว่าตอบ ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วสัมผัสลงมาบนแก้มผม ขยับปัดเอาอะไรสักอย่างออกให้อย่างเบามือ “ขนไอ้เสือติด”
“ขอบคุณ แล้วมึง..ได้บอกแม่มึงหรือเปล่าว่าพากูมาที่นี่”
“เปล่า ทำไมต้องบอก”
“ก็ไม่ไง นึกว่ามึงบอก” ได้ยินแบบนี้แล้วผมก็ถอนหายใจออกมาได้ ไอ้หินไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ชักชวนผมให้กลับไปที่บ้านด้วยกันเพราะอีกเดี๋ยวจะถึงเวลากินข้าว ซึ่งมันจะต้องขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
ผมก็ตามขึ้นไปด้วย บอกตรงๆ ว่าไม่ไว้ใจที่จะปล่อยลูกรักให้วิ่งเล่น เสือมันคือศัตรูกับข้าวของภายในบ้าน เห็นเป็นไม่ได้ พร้อมจะฝึกฝนคมเล็บด้วยเสมอ
“สั่งอาหารมากินกันเหรอ กูเห็นบ้านนี้มีแต่ผู้ชาย”
“ผู้ชายก็ทำอาหารเป็น” หันมาตอบผมพลางถอดเสื้อไปด้วย ไม่รู้ว่าตั้งใจโชว์หรือยังไงกัน คิดว่าผมจะสนใจไอ้ก่อนซิกแพกที่เรียงกันอยู่นั่นหรือไง ไม่เห็นจะน่ามองเลยสักนิด สาบานเลยว่าผมไม่ได้มอง
…
ก็อาจจะมองไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้สนใจขนาดนั้น
“อย่าจ้อง เดี๋ยวกูเขิน”
“พะ พูดอะไร ใครจ้องมึง กูไม่ได้จ้อง!”
“อ้อ”
“มึงรีบไปอาบน้ำสักที กูหิวไส้จะขาดแล้วเนี่ย”
“กินกูสิ อร่อยนะ”
“ไอ้หิน!!”
“หึๆ”
หลังจากที่มื้อเช้าผ่านไป ไอ้หินก็พาผมออกมานั่งเล่นอยู่ที่ศาลาไม้ภายในสวนกว้างๆ พร้อมด้วยเจ้าแมวลายจอมขี้เกียจของผม ซึ่งก็ขอบอกว่าฝีมือในการทำอาหารของลูกน้องไอ้หินนั้นระดับโปรเลยทีเดียว อย่างกับมาสเตอร์เชฟมาเอง จัดจานอลังการจนผมนึกว่าตัวเองกำลังถ่ายทำรายการอะไรสักอย่างอยู่
“พวกอลันเป็นคนของพ่อมึงด้วยหรือเปล่า” ออกตัวก่อนว่า ผมรู้เรื่องของไอ้หินเท่าที่มันบอกให้รู้ บ้านไอ้หินทำธุรกิจ กิจการหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างก็เทาๆ ไม่ได้ใสสะอาด พ่อมันค่อนข้างเคร่งขรึม ส่วนแม่นั้นเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก ดูซับซ้อนเวลาพูดคุยด้วย
เวลาไปที่บ้านมัน ..หมายถึงบ้านที่พ่อกับแม่ของไอ้หินอยู่น่ะ บรรยากาศจะไม่เงียบแบบนี้ คนเต็มบ้าน เครือญาติที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ลูกน้องหลายสิบชีวิตทำให้มันดูวุ่นวายและน่ากลัวพอสมควร เรียกได้ว่าใครก็ตามที่เป็นศัตรูก้าวเข้าไป ก็เหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ย่างกรายเข้าสู่รังของพญาเสือนั่นแหละ
“เปล่า พวกมันเป็นคนของกู”
“มึง..คงไม่ได้สั่งให้เด็กมันไปทำอะไรไม่ดีหรอกนะ” ผมว่าออกไปเสียงเบา นึกถึงใบหน้าของอลันในตอนที่มันพูดถึงไอ้หินด้วยแววตาเทิดทูนแล้วก็อดกลัวไม่ได้ แต่ละคนยังดูเด็กกันอยู่เลย ถึงจะเข้าใจว่าแต่ละคนมีเหตุผลในสิ่งที่ตัวเองเลือกก็เถอะ
“ทำอะไรไม่ดีของมึงหมายถึงอะไรล่ะ”
“แบบ ทวงหนี้ ซ้อมคนหรือไม่—…”
“ฆ่าคน?”
“...”
“มึงดูหนังมากไปนะ” ไอ้หินยิ้ม นิ้วดีดลงบนหน้าผากของผมด้วยแรงที่ไม่มากนัก “หน้ากูเหมือนคนที่จะสั่งให้ใครไปฆ่าใครได้หรือไง”
“จะไปรู้เหรอ พ่อมึงยังสั่งให้คนของเขากระทืบลูกหนี้จนปางตายอยู่เลย” เหตุการณ์นั้นราวกับภาพที่ติดตามผม พูดถึงทีไรก็นึกขึ้นมาตลอด ช่วงวัยรุ่นหัวเกรียนที่ยกพวกต่อยตีกันนี่ดูจิ๊บจ๋อยไปเลยเมื่อได้เห็นภาพในวันนั้น
“จำได้ด้วย”
“ได้ดิ น่ากลัวฉิบหาย”
“ไม่ต้องกลัว กูไม่ให้ใครแตะต้องมึงแน่ พ่อกับแม่กูก็ไม่มีสิทธิ์” คนพูดคว้ามือของผมไปจับเอาไว้ ปลายนิ้วโป้งไล้แผ่วที่ข้อมือชวนให้เคลิบเคลิ้มตาม
ผมก้มหน้าลงจดจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนตัวนิ่ง
มันแปลกๆ ว่ะ
ไม่ ไม่ใช่แปลกแบบว่าเขินหรืออะไร แต่แบบ..ขาผม
...
“มึงมานอนตักกูตั้งแต่เมื่อไหร่” กูว่าแล้วว่าทำไมรู้สึกหนักขา ตอนแรกก็นั่งคุยกันอยู่ดีๆ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมขยับท่าทางให้ไอ้หินได้นอนหนุนลงมาอย่างสบายใจแบบนี้ ขนาดว่าแล้วก็ยังอีก ยังอีกนะมึง
“ยังไม่ลุก” ผมว่าเสียงขุ่น
“เมื่อคืนกูเหนื่อยกับมึงมากๆ ทำไมไม่ตอบแทนอะไรกูสักหน่อยล่ะ”
“เหนื่อยอะไร มึงอย่ามาโม้ว่ะ”
“เหนื่อยดิ อุ้มขึ้นบันไดมาตั้งกี่ขั้น กูขอนอนหนุนตักแป๊บเดียว มึงก็อย่าใจร้ายกับกูนักเลย” นอกจากจะไม่ลุกแล้วก็ยังมาตัดพ้อกันอีกต่างหาก ทำเอาผมที่เตรียมจะอ้าปากให้ลุกขึ้นนั้นถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว อ้ำอึ้งอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจออกและหลับตาลง ปล่อยไปสักครั้งก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
แต่ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยครั้งเข้า ผมคงจะแย่แน่ๆ เลย
หินมันรู้จักผมดีเกินไป รู้ว่าต้องทำแบบไหนแล้วผมจะใจอ่อน
“เออ กูยอมให้แค่ครั้งนี้นะ เรื่องที่มึงอุ้มก็ยังไม่ได้คิดบัญชีเลยไอ้สัส”
“หึๆ”
ยังจะมาหัวเราะอีก
น่าหมั่นไส้ฉิบหายเลย
“พี่หิน!”
ผมเงยหน้าขึ้นยามที่เสียงเรียกแตกตื่นดังขึ้น ไอ้เด็กอลันวิ่งหน้าตั้งตรงมาที่ผมกับหิน พอหยุดวิ่งได้ก็รีบกอบโกยอากาศเข้าไปยกใหญ่ หยาดเหงื่อไหลซึม คนที่นอนหนุนตักของผมอยู่ขยับลุกขึ้นมานั่งด้วยใบหน้าจริงจัง
“มีอะไร”
“ให้ผมพูดได้เลยเหรอ” อลันมองมาทางผม ท่าทางว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับสินะ ถ้าต้องการความส่วนตัวผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก
“กูไปตรงอื่นก่อนก็ได้”
“อยู่นี่แหละ” เป็นอีกครั้งที่มือผมถูกคว้าเอาไว้ อยากจะฟาดแม่งสักที เอะอะจับ เอะอะถึงตัวผมตลอด ผมไม่ว่าแล้วเอาใหญ่เลย เห็นแบบนี้ก็เป็นคนรักนวลสงวนตัวนะเว้ย จะยอมให้ใครมาจับมาแตะง่ายๆ ได้ยังไงกัน
“ปล่อยมือกูเลย ไม่ต้องมาเนียนมึงอะ”
“พูดมา”
ว่าไปก็ไม่สนใจ อีกทั้งยังหันไปคุยกับไอ้อลันราวกับว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ ข้อมือก็จับไว้ สิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรจะรับรู้ก็ได้รู้ทั้งหมด
“ทางนั้นต้องการเช็กของก่อน ถ้าถูกต้องตามรายละเอียดก็พร้อมจะจ่ายทันที”
“คืนนี้เหรอ”
“ครับ”
“เออ มึงไปบอกไอ้เวลส์ให้เตรียมตัว พวกมึงสองคนไปกับกูคืนนี้” คุยกันเสร็จ ไอ้หินก็ยกมือขึ้นโบกไล่อลันให้กลับไป มันก็ยังไม่วายที่จะหันมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผมนะ ถ้ายืนอยู่ใกล้กว่านี้อีกนิด กูจะโบกหัวให้แล้วเนี่ย
“ปล่อยสักที เด็กมึงแม่งมองก็ใหญ่เลย”
“เด็กกูก็มีแค่มึง”
“พ่อมึงสิ”
“นั่นก็พ่อมึงในอนาคตเหมือนกัน สนใจมาใช้นามสกุลเดียวกับกูไหมล่ะ เข้ากับมึงดีนะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาใกล้ ผมจะถอนหนีก็ไม่ได้เพราะติดเสา แม้แต่สถานการณ์ที่ถูกต้อนจนมุม เรียกว่าตกอยู่ในอันตราย เสือลูกรักของผมก็ยังคงนอนหงายท้องสบายใจ ไม่คิดที่จะช่วยกันเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาเรียกว่าเลี้ยงเสียข้าวคลุกปลาทูจริงๆ เลย
ทีกับพ่อมึงนะ เดี๋ยวข่วน เดี๋ยวโวยวายใส่
“กูอึดอัดเนี่ย ถอยไป”
“อึดอัดหรือว่าเขิน จมูกบานเชียว”
“ไอ้หิน ไอ้เหี้ยย” ผมรีบตะครุบจมูกตัวเองเอาไว้ นึกอับอายอยู่ในใจจนกระทั่งไอ้หินมันก้มหน้าลง ไหล่สั่นสะท้าน เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามกลั้นมันเอาไว้ก็ตาม เท่านี้ผมก็รู้ทันทีว่าตัวเองนั้นถูกกลั่นแกล้งเข้าแล้ว
“ทำไมน่ารักขนาดนี้วะ”
“มึงอยากตายหรือไง! สัส ชอบแกล้งกูดีนักนะ! เดี๋ยวกูก็ต่อยแม่ง”
“เอาเลย ถ้าเป็นมึง กูยืนนิ่งๆ ให้ต่อยยังได้”
“...”
“
มะ แม่งเอ้ย!
เกลียดว้อยยยย
23 : 48 น.
“ใส่นี่ไว้” สุ้มเสียงทุ้มกระซิบดังอยู่ข้างหู แมสสีดำสนิทถูกสวมใส่ลงมาให้อย่างเบามือโดยที่ผมไม่ทันได้ทักท้วงอะไร ความจริงแล้วไม่ได้อยากจะมาที่นี่ด้วยซ้ำเพราะรู้ดีว่าที่ไอ้หินกำลังทำอยู่นี้คืองานของมัน
“กูนั่งรอในรถไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“มึงอะ กูง่วงฉิบหาย เล่นเกมกับไอ้กำปั้นก็ไม่ได้เล่น น้องสกายอุตส่าห์ชวน” ผมบ่นออกไปไม่คิดเกรงใจอีกสองชีวิตในรถ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหันไปกัดหัวไอ้หินสักทีด้วย ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังชวนผมออกมาข้างนอกอีก แถมที่ที่พามายังเป็นแหล่งอโคจร ถึงจะถูกวงเล็บว่าสำหรับพวกคนรวย มีอันจะกินจนถึงขนาดเหลือใช้ถึงจะเข้าได้ก็เถอะ
สุดท้ายแล้วมันก็รวมเอาความโสมมไว้ไม่ต่างกัน
“ดึงฮู้ดขึ้นด้วย ไม่ต้องคุยกับใคร อยู่ข้างๆ กูไว้พอ”
“มึงฟังกูบ้างไหมเนี่ย”
“ฟังอยู่ แต่กูอยากให้มึงเห็นว่างานของกูเป็นยังไง” ไอ้หินตอบกลับมา จัดแต่งฮู้ดของผมให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะจ้องมาด้วยสายตาจริงจัง
“แฮ่ม ผมก็เอ่อ ไม่ได้อยากจะขัดเวลาสบตาของพวกพี่หรอกนะ แต่นี่ใกล้จะได้เวลาแล้ว”
ผมสะดุ้ง ขยับหนีฝ่ามือไอ้หินก่อนจะค้อนขวับไปยังอลันที่กำลังเคาะนิ้วลงบนนาฬิกาข้อมือ ยิ้มหยอกล้อไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของผม ถัดไปก็เป็นเวลส์ที่ไม่หือไม่อือ ทำราวกับไม่รู้ไม่เห็นสถานการณ์ใดๆ
ช่างเป็นการจับคู่ที่ลงตัวจริงๆ ไอ้หินคงคิดมาดีแล้วที่ให้สองคนนี้มาด้วยกัน
สุดท้ายแล้วผมก็จำใจต้องตามไอ้หินเข้าไปในสถานที่ใหญ่โตนี้ด้วย อลันกับเวลส์เปลี่ยนสีหน้า ท่าทางดูเป็นงานเป็นการกว่าที่ผมคิดเมื่อก้าวลงจากรถ เข้าไปด้านในสถานที่นี้ ท่าทางราวกับบอดี้การ์ดมือดีที่คอยระแวดระวังภัยให้กับเจ้านาย
กระทั่งเข้ามาในลิฟต์แล้วก็ยังไม่มีใครคิดจะปริปากพูดออกมา รวมถึงผมด้วยเช่นกัน
ก็คนอื่นไม่พูดอะ แล้วจะให้ผมพูดอะไรวะ
ไอ้หินแม่ง ผมก็บอกแล้วว่าไม่อยากมา สถานการณ์แบบนี้มันทำให้คนที่สุขนิยมตลอดเวลาแบบผมเคร่งเครียดไปหมด
“ทางนี้ครับ” คราวนี้เป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาโค้งกาย เชิญให้พวกเราเดินตามไป นัยน์ตาดุดันมองสำรวจผมได้ไม่นานก็ถูกร่างของไอ้หินบดบังมิด คุยอะไรกันสักอย่างก่อนจะออกเดินต่ออีกครั้ง
พาเข้าไปในห้องมืดสลัว กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้าคละคลุ้งจนผมเบ้ปาก ใช้งานห้องได้ไม่สมกับราคาเลยจริงๆ
“สวัสดีครับคุณลุง”
“มาแล้วๆ นั่งเลยหลานลุง ไม่ต้องมากเรื่อง พวกเราคนกันเองอยู่แล้ว อยากสั่งอะไรดื่มก็ตามสบาย ลุงดูแลเอง” เสียงหัวเราะดังก้องภายในห้อง ที่เขาว่ากันว่าคนเรามักจะชอบใช้ความดังของเสียงข่มกันนี่คงเป็นเรื่องจริงสินะ ตาลุงนี่ทั้งพูด ทั้งหัวเราะเสียงดังอีกทั้งยังทำท่าทางราวกับว่าไอ้หินเป็นแค่เด็กในสายตาเท่านั้น
“ไม่ดีกว่าครับ ผมเอาของมาให้ดู คุณลุงสามารถตรวจเช็กได้ตามต้องการ แต่ผมต้องขอบอกเอาไว้ก่อนว่าราคาของที่ได้มาจะสูงกว่าราคาประมูล 2 เท่า ถ้าน้อยกว่านี้ผมก็คงขายให้ไม่ได้” ประโยคพูดฟังดูแล้วคล้ายจะมีความนอบน้อมอยู่บ้าง แต่หากฟังจากน้ำเสียงผมก็รู้ได้เลยว่าไอ้หินไม่ได้แยแสอะไรกับคนที่ตัวเองเอ่ยปากเรียกว่าลุงเลยด้วยซ้ำ
“โถ่ จะเคี่ยวกันไปถึงไหนล่ะหลาน ความจริงแล้วทางนั้นเองก็ล่าช้าเหมือนกันนะ”
“ของหายาก ถึงจะล่าช้าแต่ก็ไม่ได้เกินระยะเวลาที่กำหนด ผมคิดว่าข้อนี้คงเอามาอ้างไม่ได้” ตอบกลับไปอย่างเด็ดขาด ผมแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยแต่ก็ยังคงนั่งฟังเงียบๆ ไม่พูดอะไรอย่างที่ไอ้หินกำชับเอาไว้
“ฮ่าๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ขอลุงดูของหน่อย”
อลันก้าวเข้ามา วางกระเป๋าที่บรรจุบางอย่างมาลงบนโต๊ะ ผมมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร แต่จากท่าทางแล้วคงจะมีค่าพอสมควร ตาลุงนั่นทำท่าอย่างกับว่าน้ำลายจะไหลยืดออกมา พลิกกล่องในมือดูสามตลบได้ ตาวาววับแสดงถึงความโลภจนน่าขนลุก
“ดีๆ เยี่ยมเลย เก่งมากที่หลานหามันมาได้! ไหนราคาประมูล หลานคงไม่ได้มาปากเปล่าหรอกนะ ของแบบนี้มันต้องเอกสาร หลักฐานชัดเจน”
ไอ้หินพยักหน้า เอกสารทุกอย่างถูกส่งจากมือเวลส์ไปให้ชายแก่หัวโล้นที่นิ่งชะงักไปหลังจากกวาดสายตามองแผ่นกระดาษได้พักหนึ่ง ตาเหลือกขึ้นมองเพื่อนสนิทผมสลับกับกระดาษในมือของตน ใช้เสียงดังลั่นโวยวายกดข่มออกมา
“นะ นี่มันอะไร ราคาประมูลเกือบร้อยล้าน! จะเป็นไปได้ยังไง ไหนจะต้องจ่ายเป็น 2 เท่าของราคาประมูลอีก”
“ของหายากที่เหลือแค่ไม่กี่ชิ้นในโลก ซึ่งมีเพียงชิ้นเดียวที่ถูกปล่อยประมูลในตลาดมืด เศรษฐี นักการเมืองหลายคนไม่ใช่แค่คุณลุงที่ต้องการของสิ่งนี้ ผมลำบากไม่น้อยกว่าจะได้มันมา ราคานี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว”
“ลุงเป็นลุงของหลานนะ อย่างน้อยก็น่าจะ—..”
“การซื้อขายสำหรับผมไม่มีคำว่าลุงหรือหลาน มีแต่ผู้ซื้อกับผู้ขาย ถ้าคุณลุงคิดว่าจ่ายไม่ไหวผมก็ขอรับของชิ้นนี้กลับ คนที่ต้องการมันและพร้อมจ่ายมากกว่ายังมี” พูดจบก็หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้อลันเก็บเอากล่องใบนั้นไป
ตาลุงใบหน้าบิดเบี้ยว สองมือยกขึ้นและฟาดลงบนโต๊ะจนผมสะดุ้ง ขยับชิดไปหาไอ้หินอัตโนมัติ
“ลุงกับพ่อหลานสนิทกัน การที่หลานทำแบบนี้แปลว่าไม่คิดจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราเลยสินะ! ได้ๆ พรุ่งนี้ลุงจะเข้าไปที่บ้านหลาน แล้วจะบอกกับพ่อของหลานว่าเหตุการณ์วันนี้มันทำให้ลุงรู้สึกแย่ขนาดไหน” ในตอนแรกก็เล่นบทโกรธกริ้วจนหน้าเบี้ยว พอมาตอนนี้พลิกกลับมาเล่นบทโศก น้ำตาพราก บอกตรงๆ ว่าผมได้แต่นั่งอิหยังวะอยู่ในใจ
แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้มองออกยากเลยว่านี่คือการแสดงละครบีบให้ไอ้หินขายของชิ้นนั้นให้ในราคาที่ตัวเองต้องการ
ก็ถึงกับยกพ่อมาขู่ล่ะนะ
“ก็เอาสิครับ” แต่ว่าร่างสูงข้างผมไม่คิดจะสนใจกับละครฉากนี้เลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีดำสนิทที่ต่อให้เพ่งมองยังไงก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ความคิดได้ ปกปิดทุกความรู้สึกจนผมที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบมองไปยังรู้สึกว่ามันน่ากลัวแปลกๆ
“วะ ว่ายังไงนะ นี่แกไม่คิดจะเห็นแก่ลุงของแกเลยใช่ไหม!” คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เสียงตวาด สรรพนามเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ลูกน้องของอีกฝ่ายเองก็ขยับมาใกล้เหมือนเตรียมพร้อมที่จะทำการบางอย่าง
อลันกับเวลส์ยังคงยืนนิ่ง ไอ้หินเองก็นิ่ง คงจะมีแค่ผมที่ยืดกายขึ้นสูดหายใจเข้ากลั้นเอาไว้อย่างตกใจ หยาดเหงื่อไหลซึมออกมาตามฝ่ามือที่กอบกุมกัน รู้สึกว่านี่มันฉิบหายแล้วชัดๆ ผมจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วเหรอ ยังไม่ทันได้บอกลากับไอ้เสือลูกรักเลย ที่ผ่านมาพ่อให้อภัยลูกทุกอย่าง แม้ลูกจะข่วน จะกัด หรือว่าเอาเล็บไปตะกุยผนังห้องของพ่อก็ตาม
“คิดดีแล้วเหรอที่จะทำแบบนี้” ไอ้หินไม่สะท้านแม้แต่น้อย น้ำเสียงฟังดูสบายๆ ไม่กังวลอะไรแม้ว่าทางฝั่ายนั้นดูเตรียมพร้อมที่จะฆ่าแกงกันแล้วก็ตาม
“...”
“เคยได้ยินหรือเปล่า ตีงูอย่าตีให้หลังหัก แต่ถ้าคุณลุงจะตี ก็ต้องตีมันให้ตาย ถอนรากถอนโคนอย่างเด็ดขาด คิดว่าตัวเองทำได้หรือเปล่า หึ ผมได้ข่าวว่าบริษัทของคุณลุงในตอนนี้ ภายนอกดูมั่นคง แต่จริงๆ แล้วกำไรในปีที่ผ่านมาลดฮวบไปเกินครึ่ง เงินทุนเองก็เริ่มจะหมุนไม่ทัน ต้องให้พ่อผมคอยช่วยประคับประคองให้ ถ้าในวันนี้ผมไม่มีโอกาสได้ก้าวเท้าออกจากที่นี่ไป คิดว่าพ่อผมจะยังช่วยเหลือคุณลุงอยู่หรือเปล่า..”
“แกกล้าขู่ฉันเหรอ!!”
“เปล่าเลย ผมไม่ได้ขู่ แต่ไม่ต้องพูดไปถึงตอนนั้นหรอก คุณลุงอาจจะลืมตัวไปว่าที่ที่นั่งอยู่ในตอนนี้มันคือที่ไหน คิดเหรอว่าจะได้ก้าวออกไปพร้อมกับของหลังจากที่คุณลุงกล้าลงมือในนี้ ที่นี่น่ะ..มีเงินเทียบไม่ได้กับมีอำนาจในการควบคุมหรอกนะครับ” รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“...” ตาลุงเริ่มเลิ่กลั่ก เหมือนว่าสติสตางค์จะกลับมาครบแล้ว รีบหันหลังไปโบกมือไล่ลูกน้องของตัวเองก่อนจะกลับมามีท่าทีสุขุมอีกครั้ง
“ราคานี้มันสูงเกินไป” พูดออกมาเสียงอ่อน ทอดมองสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะด้วยใบหน้าหนักใจ
“แปลว่าคุณลุงสู้ราคาไม่ไหว? ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอลา”
“เดี๋ยวสิ! เดี๋ยว ฉันจะซื้อมัน”
ความรู้สึกของผมหลังจากที่ผ่านพ้นการทำงานของไอ้หินมา ตาแข็งค้าง ความง่วงเตลิดเปิดเปิงไปไกล ตรงกันข้ามกับเจ้าของงานที่แย้มยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี ตีเนียนจับมือของผมเอาไว้ไม่ปล่อย
“อย่าได้หาคิดให้กูมาดูมึงทำงานอีกนะ”
“อีกเดี๋ยวเป็นแฟนกัน มึงก็ต้องมาอยู่ดี”
“กูเคยบอกหรือไงว่าจะเป็นแฟนกับมึงอะ บอกว่าเพื่อนก็คือเพื่อนดิ” ผมมุ่ยหน้า ขืนเอามือตัวเองออกมาจากพันธนาการเหนียวแน่น นี่มือคนหรือตีนตุ๊กแกก่อน ทั้งแงะทั้งแกะก็ยังไม่ออก จับแน่นขนาดนี้ก็เอากาวตราช้างมาทาติดมือกูเลยสิ!
“เพื่อนที่ไหนจับมือกัน”
“มึงจับของมึงเองเถอะ กูไม่ได้สมัครใจจับกับมึงสักหน่อย” เมื่อพยายามแล้วก็ยังไม่สามารถทำให้มือตัวเองหลุดออกมาได้ สุดท้ายผมก็เลยปล่อยตามเลยให้ไอ้หินมันจับต่อไป เออออ จับไปเลยนะ มึงอย่าปล่อยเชียวล่ะ
“หิวหรือเปล่า”
“บ้า ใครจะมาหิวตอนเที่ยงคืน”
“ผมไงพี่” เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียที่ยกมือขึ้นสุดแขน ไม่พอแค่นั้น หันไปจับมือเพื่อนตัวเองให้ยกตามด้วยต่างหาก “ไอ้เวลส์ก็หิว ใช่ไหมมึง”
“อ่า ใช่”
“พวกมึงหิว พวกมึงก็ไปหาอะไรกินกันสิ กูง่วง กูจะไปนอน!” ผมยังคงยืนยันคำเดิม ก็ผมไม่หิวอะ แล้วผมก็ง่วงมากๆ ด้วยในตอนนี้ นี่มันจะตี 1 แล้วนะ งานของไอ้หินทำเอาผมอกสั่นขวัญหนี ไม่มีอารมณ์จะไปหาอะไรกินในตอนนี้หรอก
“แต่ถ้าพี่ไม่หิว พี่หินก็ไม่พาพวกผมไปกินหรอก พี่จะใจร้ายปล่อยให้เด็กตาดำๆ แบบผมอดข้าวอดน้ำ ทนรอไปจนถึงพรุ่งนี้เช้าเลยเหรอ”
ดะ เด็กตาดำๆ
พวกมึงไม่เข้าเค้าเลยเถอะ
“พี่เข้ม..นะพี่”
โว้ยยย อะไรกันนักหนาวะเนี่ย “เออๆ ก่อนกลับเราแวะหาอะไรกินกันสักหน่อยก็ได้ มึงก็หยุดทำหน้าตาแบบนั้นสักที แล้วทีหลังก็ไปอ้อนไอ้หินนู่น จะมาอ้อนกูทำไม” สุดท้ายผมก็ต้องหลับหูหลับตายอมไปอย่างช่วยไม่ได้
ใครใช้ให้อลันมันทำหน้าลูกหมาแบบนั้นเล่า น่าหงุดหงิดจริงๆ เลย ไอ้หินก็เอาแต่จดจ้องผมราวกับว่าถ้าผมไม่เอ่ยปากมันก็จะไม่สนใจใครทั้งนั้น
“งั้นก็ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับ” ยิ้มมุมปากเหมือนกับว่ามันรู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องตอบรับแบบนี้ บางทีก็แอบคิดเหมือนกันว่าลูกน้องกับเจ้านายกำลังร่วมมือกันอยู่หรือเปล่า แต่จากท่าทางร่าเริงเมื่อพูดถึงของกินของไอ้อลันแล้ว คิดว่าคงมีแค่ไอ้หินเท่านั้นแหละที่รู้อยู่คนเดียว
“เยส! ไปเว้ย เอาร้านเดิมเลยไอ้เวลส์ มึงจำทางได้ใช่ไหม”
“จำได้”
“ยิ้มอะไร มึงแม่ง คนง่วงฉิบหายยังลากมา แล้วนี่ต้องไปกินข้าวด้วยอีก กินข้าวตอนตีหนึ่ง! ท้องไส้กูจะต้องทำงานผิดปกติแน่ๆ” ผมหันไปแยกเขี้ยว บ่นยืดยาวใส่เพื่อนตัวสูงที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังยิ้มและยังคงยิ้มมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
“กูชอบเวลาที่มึงโวยวายทำเหมือนอารมณ์เสียใส่กู”
“มึงมันโรคจิต”
“คงจะอย่างนั้น ช่วยไม่ได้ที่มึงคือคนที่กูชอบ”
ผมคว่ำปากอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวจากคนหน้าตาย
ขอบคุณตัวเองที่มีภูมิคุ้มกันต่อการถูกอีกฝ่ายจีบ ไอ้หินมันช่างสรรหาคำพูดมาสั่นคลอนความรู้สึกของผมได้ตลอดจริงๆ
มื้อดึกจบลงที่ร้านข้าวต้มยามดึกร้านหนึ่ง แน่นอนว่าผมที่ไม่รู้สึกว่าพยาธิในท้องมันเรียกร้องอาหาร ก็เลยได้แต่นั่งมองไอ้อลันจัดการสวาปามอาหารตรงหน้าแทน เวลส์ที่เอ่ยปากร่วมกันว่าหิวก็ยังกินได้ไม่เท่าอลัน ส่วนไอ้หินก็กินบ้าง มองหน้าผมบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มันจะชอบนั่งเท้าคางมองหน้าผมมากกว่าน่ะสิ
“อิ่ม เออะ!”
“ไอ้อลัน”
“แหะ โทษครับพี่ๆ”
เจ้าตัวตะกละตะกลามยิ้มแห้ง ผมที่ไม่ได้ถืออะไรแบบนี้อยู่แล้วก็เลยไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร ไอ้หินเองมันก็คงเคยชินกับเหล่าคนของมันนั่นแหละ เรียกพนักงานของร้านมาคิดเงินก่อนที่เราจะกลับมาขึ้นรถ
จากบรรยากาศอบอ้าวในร้านข้าวต้มสู่แอร์เย็นฉ่ำ เบาะรถแสนนุ่ม เปลือกตาของผมคล้ายถูกร้องเพลงกล่อม ปิดลงสนิทยามที่รถเริ่มขับเคลื่อน
“ง่วงมากเหรอ”
“ก็เออดิ กูไม่ใช่มนุษย์กลางคืนแบบมึงนะ” ผมว่าออกไปในตอนที่หลับตาอยู่ พลิกกายไปมา รู้สึกว่านอนด้วยท่าทางแบบไหนก็ไม่รู้สึกสบายตัวเลยทั้งนั้น พยายามที่จะไม่เข้าไปใกล้กับไอ้หินมาก พื้นที่มันก็เลยจำกัดเข้าไปใหญ่
“นอนแบบนั้นจะไปสบายได้ไง ขยับมาทางกูสิ”
“ไม่”
“เร็ว มึงง่วงไม่ใช่เหรอ”
“นอนแบบนี้ก็ได้”
“มานี่” ไอ้หินเหมือนจะหมดความอดทนที่จะใช้แค่คำพูด แม้ว่าผมกับมันจะมีรูปร่างไม่ต่างกัน แต่เรื่องเรี่ยวแรงนั้นเทียบไม่ติด ถูกคว้าแขนดึงทีก็เล่นเอาหน้าถลาแทบจะมุดเข้าไปหาซอกคอของคนดึง ดีที่ยังมีสติพอจะใช้มือยันเอาไว้ทัน ขมวดคิ้วมุ่น แยกเขี้ยวใส่มันก่อนจะเอ่ยออกไปเสียงห้วน
“กูบอกว่าไม่ไง!”
“นั่งตรงนี้” สองขาแยกออกเว้นที่ว่างให้ผมนั่ง ไม่ว่าผมจะพูดอะไรออกไป ไอ้หินก็สามารถทำหูทวนลมได้ตลอด
กลายเป็นว่าผมถูกจับให้นั่งแหมะลงระหว่างขาทั้งสองข้างของไอ้หิน ตะแคงข้างยืดขาพาดยาวไปตามแนวเบาะรถ ท่าทางอย่างกับคนรักที่อยากจะพักพิงกันในยามง่วงมันทำให้ผมแข็งทื่อไปทั้งร่าง ลมร้อนตีขึ้นมาวูบวาบอยู่บนใบหน้า
“สบายกว่าไหม” จัดแจงเสร็จก็กระซิบถามพลางสอดแขนเข้ามากอดกระชับอยู่รอบเอว ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะไอ้หิน และในตอนนี้ก็รู้สึกอยากที่จะโวยวายออกไปเต็มที่
“อย่ามากอดได้ไหม!”
“ไม่กอดจะนั่งยังไง”
“นั่งไม่ได้ก็ปล่อยให้กูกลับไปนั่งปกติเหมือนเดิม”
“ขับรถตอนกลางคืนต้องระมัดระวัง เอาความปลอดภัยไว้ก่อน ไม่ต้องรีบ” และยังคงเป็นอีกครั้งที่เจ้าของเรียวแขนไม่ฟังสิ่งที่ผมแหกปากออกไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงโอบรัดอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือฝ่ามือที่เลื่อนขึ้นมากดหัวผมให้ซบลงบนไหล่ของตัวเอง พูดคุยกับคนขับอย่างเวลส์ที่เพียงตอบรับกลับมาสั้นๆ เท่านั้น
“ครับพี่”
“นอนแบบนี้ไม่สบายกว่าหรือไง” ไอ้หินถาม
“...” ผมเม้มปากแน่น เก็บซ่อนความหงุดหงิดเก็บลงไปในใจ
แม่งเอ้ย ทำไมมันสบายกว่าที่ผมคิดวะ
กระดากปากที่จะต่อว่าอะไรเพราะใจผมมันเสือกรู้สึกไปคนละทาง
“เวลาดื้อก็น่ารัก ไม่ดื้อก็น่ารัก”
“หุบปากเลยมึงอะ”
“ตอนกระฟัดกระเฟียดใส่กู มึงก็ยังน่ารักเลย”
--100%--
*อัพถี่อัพไว กำลังใจต้องมา*
โอ้ยย พี่หินผู้ซึ่งคลั่งบ่ไหวแล้วน่อ หลงแบบหาทางออกไม่ได้
คอมเม้นให้พี่ๆ กันเยอะๆน้าาา จะไม่ปล่อยให้รอนานๆๆ
ใครรอพี่หินบ้าง! พี่หินยังคลั่งรักได้มากกว่านี้อี้กก มีแต่ความรักมอบให้เธอทุกตอน
คอมเม้นเยอะๆ นาจา สุมไฟให้ฉันหน่อยย คอมเม้นมารัวๆเลย!
สติกเกอร์ก็กดมา อย่าให้เงียบ อย่าให้เหงา แล้วพรุ่งนี้จะมาอัพต่อ!!
ฉันอยากได้คอมเม้นน อย่าให้ฉันเหงาาา มุแงงง
ไปเล่นแท็กกันก็ได้! #ใครว่าก้อนหินไม่มีหัวใจ
ความคิดเห็น