ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Just a friend #ใครว่าก้อนหินไม่มีหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : INTRO

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.78K
      576
      14 มี.ค. 64




    INTRO



         “เมาโว้ยย ไม่เมาไม่เลิก! มาเว้ยมาา” 

         “ชนแก้ว ไอ้สัสเข้มไปไหนวะ” 

         “ไอ้เข้มเหรอ เพิ่งเดินสวนกูไปเมื่อกี้เนี่ย นู่นไง! นู่นๆ ไปเรียกตีนไอ้พวกนักร้องอีกแล้ว” แหล่งสังสรรค์ยามดึกแน่นไปด้วยเหล่านักศึกษาที่พากันมาพักผ่อนหย่อนใจหลังจากผ่านการเรียนการสอนที่แสนจะหนักหน่วงมาในช่วงเช้า เครื่องดื่มมึนเมาแก้วแล้วแก้วเล่าที่หมดไป ไม่ได้ทำให้พลังกายหมดตามไปด้วย 

         ยิ่งดึกก็ยิ่งคึก แต่ละคนดูแทบจะไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้นก็พร้อมใจกันลุกขึ้น โบกไม้โบกมือ ส่งเสียงโห่ร้องให้กับเนื้อเพลงแสนเศร้าเรียกน้ำตา ประสานเสียงร้อง ทำตัวเป็นคนอกหัก ทั้งที่แฟนตัวเองก็นั่งอยู่ด้วยข้างๆ 

         ผมล่ะไม่เข้าใจเลยสักนิด

         คนที่ควรจะอินกับเพลงมันจะต้องเป็นผมสิ! หนุ่มโสดไร้คู่ควง มาเที่ยวร้านเหล้าดึกดื่นกับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อีกครึ่งโหลที่ตอนนี้ส่งเสียงแหกปากไม่เกรงใครอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน ตาตื่นกันเต็มที่ ยิ่งดึกก็เหมือนว่าจะมีพลังล้นเหลือ ซึ่งไอ้พวกมนุษย์กลางคืนก็มักจะเป็นแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละ 

         ตัดภาพไปในตอนเช้าสิ ..ซากศพเดินได้ก็ยังน้อยไป

         เพราะเพื่อนมันเสียงดังกันเกินไป ผมก็เลยต้องปลีกวิเวกออกมาในที่ที่..เอ่อ ก็เสียงดังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีลำโพงและเสียงร้องเพลงที่ทะลุทะลวงเข้ามาในโสตประสาทของผม ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพลงเศร้า ขี้หูผมคงจะลุกขึ้นมาโชว์ลีลาการเต้นให้ดูแล้วแน่ๆ 

         ว่าแต่ทำไมวันนี้เพลงเศร้าจังวะ หรือเพราะว่าผมรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย รู้สึกเหมือนอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้นจากผู้คน

         เห้อ..

         ก็วันนี้ไอ้หินมันไม่ว่าง

         ไอ้ปิงไม่อยู่

         ไอ้กำปั้นก็ติดแฟน น้องสกายอย่างนั้น น้องสกายอย่างนี้ ตัวติดกันราวกับเปลือกพริกที่ติดอยู่บนซี่ฟัน ไอ้เมียหลวงที่ไม่ถูกรักแบบผมมันก็เลือกอะไรมากไม่ได้ ถึงเวลาเขาจะมาเดี๋ยวเขาก็มาเองนั่นแหละ ใช่ไหมล่ะ

         ชีวิตผมมันก็เศร้างอย่างนี้แหละ

         …

         แฮ่ม ที่บอกว่าเป็นเมียหลวงน่ะ ผมแค่หยอกเล่นเฉยๆ อย่างที่บอกว่าผมน่ะมันเป็นหนุ่มโสด ชีวิตคล้ายจะมีสีสันแต่ก็เหมือนว่าจะขาดอะไรไปหลายอย่าง

         โดยเฉพาะเงิน

         ใครๆ ก็ต้องใช้เงินกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่มีค่าแบบผม ..ค่าอาหารแมว ค่าของเล่น ค่านั่น ค่านี่ที่ล้วนมีคำว่าแมวมาเกี่ยวข้อง กระเป๋ากรอบจนแม้แต่แบงก์ยี่สิบก็ยังโบกมือลาจากผมไป ทิ้งเศษเหรียญเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

         วันนี้จำใจต้องทิ้งลูกสุดที่รักออกมา บอกตรงๆ เลยนะว่าผมไม่ได้อยากจะมาเลยสักนิ้ดดดด ถ้าพวกมันไม่ขอร้อง อ้อนวอน จ้างให้ผมก็ไม่ทิ้งแมวตัวเองออกมาหาพวกมันหรอก แต่เห็นอยากจะให้มาใจจะขาด ผมก็เลยยอมไง

         “ไอ้เข้ม! พวกกูสั่งของแดกมาเต็มโต๊ะ มัวแต่เดินบอยไปลอยมาอยู่ได้ นานๆ กูจะเลี้ยงเลยนะเนี่ย รีบกลับไปที่โต๊ะได้แล้ว” 

         “...” 

         แหะ

         ก็นะ ของฟรีที่มีในโลก ใครเล่าจะไม่สนใจ 

         “เดี๋ยวตามไป ขอกูฟังเพลงใกล้ๆ ก่อน ตีตั๋วมาเกาะขอบเวทีอะ เข้าใจเปล่า” ผมว่ากลับไป ยักคิ้วหลิ่วตากวนส้นตีนเพื่อนตัวเองไม่พอ ลามไปหานักร้องบนเวทีที่กำลังชี้นิ้วมาด้วย ไม่ต้องห่วงว่าจะมีเรื่อง พวกผมรู้จักกันและในทุกครั้งที่มา การเสนอหน้าตัวเองมายั่วเกิบของอีกฝ่ายคืองานของผมเอง

         “หาทำไอ้สัส วันนี้มันอารมณ์ไม่ค่อยดี อย่าไปกวนตีนเล่นเยอะ” 

         “เป็นไรอะ” 

         “เมียทิ้ง” 

         “เอ้า เหมือนกูเลย” 

         “มึงไม่มีเมีย” 

         “...” 

         เจ็บช้ำเหลือเกิน เหมือนมีอะไรแทงจึ้กเข้ามาตรงกลางใจ แต่เพื่อนก็พูดถูกว่าผมไม่มีเมีย ทำพูดเล่นพูดหัวไปอย่างนั้นแหละ 

         “แล้วก็นะ ไอ้หินโทรหามึงเกือบจะ 10 สายได้แล้ว กูว่ามึงควรรับนะ” ก่อนจะจากไปก็ไม่วายทิ้งประโยคที่ทำเอาผมเสียวสันหลังวูบขึ้นมา กะพริบตาปริบ กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอไปก่อนจะรีบแจ้นกลับมาที่โต๊ะรวดเร็ว กระโดดตะครุบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ด้วยความเร็วดุจแสงเพื่อที่จะกดรับสายไม่ให้พลาด

         “ฮะ ฮัลโหล” 

         [อยู่ไหน] 

         “...” 

         [ไอ้เข้ม] 

         วิเคราะห์จากคำถามและน้ำเสียงแล้ว ผมว่า..การโกหกไม่ใช่หนทางที่ดีสักเท่าไหร่ ไอ้หินในตอนนี้คงจะยืนอยู่ในห้องของผมแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้มันจะกลับเร็ว ก็ไหนบอกว่าธุระสำคัญอาจจะไม่กลับมาจนกระทั่งตอนเช้าเลย

         “ตอนนี้เหรอ” ผมยิ้มกว้าง ถามกลับไปอย่างร่าเริง เราต้องใจดีสู้เสือเอาไว้ก่อน มันก็แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่เห็นจะต้องไปกลัวอะไรเลย “กูอยู่ร้านเหล้า” 

         เจริญล่ะกู ปากว่าไม่กลัว แต่เสียงเบาเป็นเสียงยุงบินเลย

         [...] 

         “พวกมันชวนอะ กูก็บอกแล้วว่าไม่อยากมา” 

         [กูรู้จักมึงดี ไม่ต้องอ้างพวกมัน ..อีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ] ปลายสายว่ากลับมา และนั่นทำให้ผมคอตกในทันที พยักหน้าลงและตอบรับกลับไปเสียงอ่อย ไอ้หินคือเพื่อนของผมคนหนึ่งในกลุ่ม เราสนิทกันมาก มันชอบทำตัวเป็นพ่อผมแบบนี้ตลอด และผมก็ไม่เคยที่จะดื้อรั้นกับมันได้เลยสักครั้ง

         อ้อ มีอีกเรื่องที่ควรจะรู้ด้วย

         ไอ้หินมันชอบผมล่ะ

         ชอบในที่นี้ไม่ใช่ชอบแบบเพื่อน ชอบแบบที่ไอ้กำปั้นชอบน้องสกายแฟนของมัน

         นั่นแหละ ผมเองก็รู้นะ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่เพราะเห็นว่าเราเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า ก็เลยทำตีมึนไม่รู้เรื่องมาจนถึงตอนนี้

         อย่างไอ้หินน่ะ ..เป็นเพื่อนกันดีที่สุดแล้ว

         “ผัวโทรตามหรือไง” เสียงแซวดังขึ้นเมื่อผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า คำว่าผัวทำเอาผมบิดปากคว่ำทันที พ่นลมหายใจก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ยกแก้วขึ้นกระดกทีเดียวหมดกะว่าจะเอาให้เมาจนพูดไม่รู้เรื่อง ไม่รับรู้อะไรไปเลย

         ไอ้หินมันจะได้หิ้วผมกลับโดยที่ไม่บ่น หรือถ้ามันบ่น ผมที่เมาจนหัวหมุนก็คงจะฟังไม่รู้เรื่อง

         เอาว่ะ แผนนี้มันโคตรจะเข้าท่าเลย

         “เอาเหล้ามาอีกดิ้” 

         “เห้ยๆ ไอ้หินมันจะมารับหรือเปล่า ขืนดื่มจนเมา เดี๋ยวแม่งก็ตาขวางใส่พวกกูอีก” ใครสักคนท้วงขึ้น

         “มึงกลัวมันเหรอ?” 

         “เออดิ! ฉิบหาย ทำอย่างกับมึงไม่กลัว” 

         “...” ถ้ากูไม่กลัว ก็คงจะไม่คิดแผนเมาหัวทิ่มขึ้นมาหรอกจ้า 

         ผมได้แต่ตอบโต้ไปในใจ แผนนี้ยังคงดำเนินต่อไม่มีการยกเลิกแต่อย่างใด ในเมื่อผมตั้งมั่นแล้วว่าจะเมา ผมก็ต้องเมาเว้ย! ไหนแก้วเหล้า เอามาอีก แค่นี้มันไม่พอทำให้คนอย่างผมเมาได้หรอก



         20 นาทีผ่านไป 

         “ไอ้เข้มมม ใจเย็นนน” 

         “ตายๆ ไอ้หินต้องฆ่ากูผ่านทางสายตาแน่นอน” 

         “ไม่หารนะเว้ย มึงเป็นคนชวนมันอะ” 

         “พวกมึงโวยวายอะไรกัน ให้มันมาเหอะ เดี๋ยวกูจะรับผิดชอบเอง กลัวที่ไหนวะ..มันเป็นเพื่อนสนิทกูเลยนะ” เถียงกันไปมาอยู่ได้ ดูผมสิว่าผมน่ะกลัวที่ไหนกัน ให้ยืนต่อหน้าแล้วถามว่ามีปัญหาอะไรยังได้เลย

         “...” 

        “เพื่อนอะ เข้าใจป่ะ” 

         “...” 

         “เพื่อนสนิทกู” นี่ไง ย้ำแล้วย้ำอีก ย้ำใส่ใจฝังสมองไปเลยว่าผมกับมันคือเพื่อนกัน อยู่กันมาตั้งนาน จะให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ยังไง 

         “ใครเป็นคนชวนมันมา” เสียงที่แสนจะคุ้นเคยถูกเปล่งออกมา ความน่ากลัวแผ่ซ่านจากนัยน์ตาสีดำเข้ม คาดคั้นเอาคำตอบจากเพื่อนร่วมวงเหล้าที่ในตอนนี้นั้นต่างก็ส่งสายตาโยนภาระในการตอบคำถามกันไปมา 

         “มึงบอกมันดิ” 

         “มึงก็บอกดิ” 

         “มึงนั่นแหละ” 

         “มึง—…” 

         “โอยยย จะเถียงกันทำหอกอะไรวะ พวกมึงนั่นแหละที่ชวนกูมาอะ พวกมึงทุกคนเลย บอกแล้วว่าไม่อยากมา ไม่อยากมา แต่ก็ยังชวนอยู่ได้ ดูดิ้ เพื่อนสนิทกูไม่พอใจแล้วเนี่ย” เมื่อแอลกอฮอล์ซึมลึก ยึดครองสติ สิ่งที่เคยยืดอกพูดเอาไว้ก่อนหน้าก็ลืมเลือนหายไปหมด พูดโพล่งไปกลางวงก่อนจะเอนเอียง ร่างอ่อนยวบไปในวงแขนแกร่งที่โอบมารอบบ่า

         “ไหนบอกจะรับผิดชอบไง โยนขี้ให้พวกกูเต็มๆ เลย ไอ้เหี้ยเข้มม” ชายหนุ่มเจ้าของผมสีโกโก้ได้แต่โอดครวญออกมา ส่งยิ้มแห้งให้กับร่างสูงใหญ่ที่ยังคงยืนนิ่ง หวังอยู่ในใจว่าพ่อคนหวงเพื่อนคนนี้จะไม่โกรธกริ้วจนแดกหัวใครสักคนที่ชวนไอ้เข้มมาร้านเหล้า

         ปกติแล้วหินไม่ได้น่ากลัว เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ค่อนข้างจะจริงจังกับเรื่องของไอ้เข้มเป็นพิเศษ

         “นี่ส่วนของมัน คราวหลังถ้าจะชวนมันให้ชวนกูก่อน” จำนวนเงินที่ถูกวางลงมาบนโต๊ะนั้นมากกว่าจำนวนที่จะต้องจ่ายด้วยซ้ำ เพียงแต่ในตอนที่เจ้ามือวันนี้จะได้ทักท้วงอะไร ร่างสูงใหญ่ก็แบกเอาเพื่อนสนิทของตัวเองหายลับออกไปแล้ว

         อ้อ พูดว่าเพื่อนสนิทไม่ได้สิ 

         แต่จะบอกว่าแอบชอบก็ไม่ได้อีก รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าไอ้หินชอบไอ้เข้ม หนักกว่านั้นก็คือ..

         ตัวไอ้เข้มเองมันก็รู้ว่าไอ้หินชอบ



         “จะพากูไปไหน เดี๋ยวไอ้หินมาา กูรอมันอยู่” เสียงของคนเมาว่ายืดยาน เดินเซไปมาพยายามจะขืนตัวออกจากวงแขนที่รัดแน่นให้ความรู้สึกราวกับถูกงูรัด ยิ่งดิ้นก็ยิ่งแน่นจนไม่สามารถจะกระดิกตัวได้อีก 

         “อยู่นิ่งๆ” 

         “บ่ มึงเป็นใครมาสั่งมากูอะ ไอ้หินมันยังไม่เคยสั่งกูเลยนะ หรือเปล่าวะ.. มันอาจจะเคยสั่งแต่กูก็ไม่เคยทำตาม จริงๆ กูก็ทำแหละ พูดให้ดูเก่งไปอย่างนั้น” ถึงปากจะถกเถียง ทำราวกับจะขัดขืนแต่ร่างกายกลับโอนอ่อนยอมให้ถูกควบคุมเพราะรู้สึกคุ้นเคยกับสัมผัส นัยน์ตาสีเดียวกันกับผืนฟ้าในยามดึกเลื่อนไปจับจ้องยังเสี้ยวหน้าหล่อเหลานิ่ง

         “ทำไมมึงหล่อ ไอ้หินก็หล่อแบบนี้แหละ” 

         “...” 

         “กูไม่ได้ชมมึงนะ กูชมไอ้หิน มันน่าจะมาถึงแล้ว มึงปล่อยกูสักที” 

         คำพูดคำจาที่ได้ฟังนั้นชวนให้เจ้าของร่างสูงถอนหายใจออกมา มุมปากยกขึ้นบ่งบอกว่าถึงแม้จะหงุดหงิดไปบ้างแต่ก็ยังมีเรื่องให้อารมณ์ดีอยู่ และเรื่องที่ว่านั้นก็เกี่ยวข้องกันกับคนเมาที่เพ้อเจ้อไปเรื่อยอยู่ในเรียวแขนของเขา

         ว่ากันว่าคนเมานั้นไม่โกหก พูดแต่สิ่งที่คิดอยู่ออกมา

         “เดี๋ยวไอ้หินเห็นกูโดนมึงหิ้วมาแบบนี้ มันจะต้องโมโหแน่ๆ” 

         “ทำไมต้องโมโห” เจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวอ้างถามออกไป หินอยากจะรู้เหตุผลจากปากของเข้ม มันรู้จักเขาดีอยู่แล้ว และสิ่งที่พูดมาก็ถูกต้อง ถ้าหากมาเจอใครสักคนกำลังกอดรัดพาเข้มที่เมามายสภาพนี้ไปที่ไหนสักแห่ง ตัวหินเองจะต้องโมโหมากแน่ๆ 

         “ก็มันชอบกู” 

         “เหรอ” 

         “จริงๆ มันชอบกูมาก” 

         “แล้วมึงไม่ชอบมันบ้างหรือไง” ได้โอกาสถามไถ่ความรู้สึกกลับบ้าง หินไม่รู้สึกกลัวคำตอบ ไม่ว่าเข้มจะตอบออกมาแบบไหนมันก็ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนใจของตัวเอง 

         “ชอบ แต่แบบเพื่อน” คำตอบเป็นอย่างที่คิด เมื่อได้ยินแบบนั้นหินก็ไม่คิดจะถามอะไรต่ออีก เพียงไม่กี่ก้าวก็จะเดินไปถึงรถของเขาที่จอดอยู่ คนเมานิ่งเงียบไปแล้วหลังจากตอบคำถาม ยอมก้าวเดินตามมาอย่างว่าง่าย กระทั่งถูกจับให้เข้าไปนั่งในรถก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะโวยวายออกมา เหมือนว่าจะสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว

         หรือไม่ก็อาจจะคิดอะไรอยู่สักอย่าง

         “คืนนี้ไปนอนกับกู” 

         “ไม่ไป บอกว่าไอ้หินจะมารับไง” 

         “แล้วกูไม่ใช่ไอ้หินของมึงเหรอ?” ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าไปใกล้ให้คนเมาได้พิจารณาชัดๆ หลังจากที่กดเข็มขัดนิรภัยให้ลงล็อกไปแล้วเรียบร้อย หินเลิกคิ้วขึ้นจ้องมองเข้มที่ใช้นัยน์ตาหยาดเยิ้มด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์มองสำรวจ

         “ก็คล้ายอยู่” ฝ่ามือยื่นออกมาไขว่คว้าสัมผัสลงบนแก้ม ดึงทึ้งไม่สนใจสายตาดุดันที่จับจ้อง “แต่ไม่ใช่หรอก ถ้าเป็นไอ้หินมันต้องบ่นกูแล้วสิ” 

         “ทำอย่างกับว่าบ่นแล้วมึงจะฟัง” 

         “ไม่ฟังอะ” 

         “...” 

         “มึงว่ามันได้ผลไหมที่กูทำ” 

         “มึงทำอะไรล่ะ” 

         “จุ๊ๆ ถ้ากูเล่าแล้ว มึงห้ามเอาไปบอกไอ้หินนะ” แรงของคนเมารั้งให้หินเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม ลมหายใจรดรินแทบจะแลกเปลี่ยนกันได้ กลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาไปจากใบหน้าเนียน ทว่ามันกลับทำให้หินอยากที่จะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น คอยฟังเสียงพูดเจื้อยแจ้วบอกเล่าแผนการของตัวเอง

         “ไอ้หินมันชอบบ่น รู้ว่ากูมาร้านเหล้าแบบนี้เดี๋ยวมันต้องว่ากูแน่ๆ กูก็เลยดื่มเข้าไปเยอะๆ ดื่มอีก แล้วก็ดื่มม ถ้ากูเมา ต่อให้มันบ่นอะไรมากูก็ไม่สะทกสะท้าน ฮ่าๆ ฉลาดป่ะมึงว่า กูว่ากูฉลาดมากที่คิดแผนนี้ได้” 

         “อ้อ” 

         “มึงอย่าไปบอกมันนะ” 

         “ไม่บอกหรอก” ก็ได้ยินชัดเต็มสองหูแล้วนี่ คนอะไรวางแผนมอมเหล้าให้ตัวเองเมาเพื่อที่จะไม่ต้องมาฟังเขาบ่น จะให้มองยังไง หินก็คิดว่ามันเป็นความน่าเอ็นดูของอีกฝ่ายล้วนๆ 

         “ปากเปล่าไม่ได้ ต้องสัญญาด้วย” 

         “...” 

         “เกี่ยวก้อย เร็วๆ ดิ้ กูจะได้เชื่อได้ว่ามึงจะไม่เอาไปบอกไอ้หิน” เข้มส่งเสียงเร่ง ขยับนิ้วก้อยส่ายไปมาเฝ้ารอให้ใครอีกคนเอานิ้วมาเกี่ยวเข้าด้วยกันเพื่อเป็นการให้สัญญา ซึ่งหินก็ไม่เข้าใจว่าไอ้สัญญาลอยๆ แบบนี้มันจะไปทำให้มั่นใจได้ยังไงกัน

         ไร้สาระสำหรับเขา แต่เพราะเป็นเข้ม ถึงจะคิดว่าไร้สาระแต่มือกลับยกขึ้นขยับนิ้วก้อยชิดเข้าไปเกี่ยวเอาไว้หลวมๆ สร้างความพึงพอใจให้กับคนเมาไม่น้อย

         “ดีๆ มึงสัญญาแล้วนะ ถ้าไอ้หินมาก็ไม่ต้องไปพูดอะไร กูง่วงอะ ของีบสักหน่อย พอมันมามึงก็ปลุกกู เคป่ะ” คนพูดวาดมือตบป้าบลงไปบนไหล่แกร่ง เปลือกตาสีเข้มปิดลงบดบังนัยน์ตาหวานเชื่อมที่หินได้บอกกับตัวเองไปอย่างจริงจังในใจว่าไม่สมควรให้ใครได้มาเห็นอีกนอกจากเขาเอง

         เมื่อผู้โดยสารหลับใหล พาหนะสี่ล้อราคาแพงก็ถูกขับเคลื่อนออกไปตามท้องถนน แสงไฟสองข้างทางสาดส่องลงนำทาง ไร้ซึ่งความวุ่นวายต่างจากในช่วงกลางวันอย่างสิ้นเชิง แม้จะใช้เส้นทางหลักที่คนทั่วไปเลือกใช้ ก็ไม่ได้ทำให้หินเสียเวลาเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายของเขาสักเท่าไหร่

         ปลายเท้ากดลงบนคันเร่ง สายตาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างมีสมาธิ 

         ปกติแล้วในช่วงวันหยุด ห้องของกำปั้นคือสถานที่รวมตัวของพวกเขา แต่เมื่ออีกฝ่ายมีแฟน จะให้ไปรบกวนอีกก็ไม่ใช่เรื่อง 

         ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีหรอก แต่เห็นแล้วหมั่นไส้ ไอ้กำปั้นเวลาออดอ้อนแฟนตัวเองนั้นชวนให้อยากจะประเคนฝ่าเท้าให้สักที ถึงแบบนั้นแล้วก็ยินดีที่ความรักของเพื่อนในครั้งนี้นั้นไปได้สวย ไม่ต้องมาคอยนั่งปลอบใจกันอีก น้องสกายเป็นเด็กที่ดี ท่าทางก็ดูน่าทะนุถนอมเหมาะสมกับคนที่ชอบดูแล ใส่ใจคนอื่นอย่างไอ้กำปั้น

         ขนาดตัวหินเองยังรู้สึกว่าต้องทำตัวให้ดูอ่อนโยนขึ้นเวลาที่อยู่ต่อหน้าแฟนของเพื่อน ถึงอย่างนั้นสกายก็ไม่ใช่แบบที่ชอบ ต้องปากหมา นิสัยเสียชอบกวนตีนคนอื่นแบบคนที่เมาหลับไม่รู้เรื่องนี่ต่างหาก 

         นัยน์ตาสีดำขลับเลื่อนมองไปตามความคิด สองมือยังคงบังคับพวงมาลัยรถอย่างมั่นคง เขาอาจจะดูแลคนอื่นได้ไม่ดีเท่าไอ้กำปั้น แต่ถ้ากับไอ้เข้ม ก็ทำเต็มที่เท่าที่คนแข็งกระด้างคนหนึ่งจะทำได้ 

         จากในเมืองใหญ่มุ่งหน้าสู่ชานเมืองที่ไร้ซึ่งความวุ่นวาย ความสะดวกสบายของเส้นทางเองก็แปรเปลี่ยนจากถนนลาดยางเป็นพื้นดินที่ถูกถากถางใช้สัญจรได้ สองฟากฝั่งไม้ยืนต้นเรียงกันรกทึบดูไม่น่าจะเป็นเส้นทางที่ผู้คนทั่วไปใช้กัน ซึ่งปกติแล้วก็ไม่มีใครได้ใช้เส้นทางสายนี้เพราะมันเป็นถนนส่วนบุคคล 

         ขับตรงเข้ามาเกือบ 2 กิโลเมตรก็จะพบกับบ้านหลังใหญ่โตขัดกันกับสภาพพื้นที่ หินเหลือบมองไปยังตัวบ้านที่มีไฟสว่างโร่ แม้ในยามดึกก็ไม่ได้ดูไร้ชีวิตชีวา

         พวกนั้นคงจะยังไม่หลับไม่นอนกัน

         นอกจากเขาแล้ว บ้านหลังนี้ยังมีอีกหลายชีวิตที่อาศัยอยู่ด้วยกัน พ่อกับแม่นั้นจำใจยอมให้เขาปลีกตัวออกมาอาศัยอยู่ในบ้านที่ปู่นั้นทิ้งเอาไว้ให้เมื่อปีที่แล้ว นอกจากหอพักที่ใช้อยู่ชั่วคราวระหว่างเรียนแล้ว นี่ถึงจะนับว่าเป็นบ้านที่แวะเวียนกลับมาอยู่ตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

         ไม่ใช่ว่าหินเป็นพวกที่พ่อแม่ไม่รัก รักจนเกินพอดีไปด้วยซ้ำ น้องชายของเขามักจะหาเรื่องมีปัญหาด้วยตลอดเพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความรักเท่าที่ควร อาจเพราะเป็นลูกคนโต งานของพ่อก็เหมือนงานของเขาด้วยเช่นกัน หินทำมันมาตั้งแต่เล็ก ควบคุมลูกน้อง สั่งการและลงมือทำด้วยตัวเอง คนที่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสนุกและอยากจะทำบ้างอย่างเด็กเอาแต่ใจก็เลยรับไม่ได้ หาเรื่องแกว่งปากเรียกให้ตีนเขากระแทกใส่ได้ทุกวัน

         ธุรกิจของครอบครัวค่อนข้างดำมืดพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตก็ไม่ได้ถูกกดดันอะไรมากมายอย่างในหนังที่ได้ดูกัน

         หินเต็มใจทำทุกอย่าง อำนาจ เงินทองที่ได้รับมาถือเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เขาไม่คิดโอดครวญ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ต้นตระกูลทำสืบต่อกันมา ขอแค่คนสำคัญรอบกายรับได้ ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจใครอีก

         ในวันธรรมดา ชีวิตของหินนั้นปกติ เรียน เล่น ไปเที่ยวตามร้านเหล้ากับกลุ่มเพื่อน ตกดึกมีงานที่รับมอบหมายจากพ่อให้เข้าไปควบคุมบ้าง นับว่าเป็นชีวิตที่มีสีสันดี

         เมื่อรอดจอดสนิทหน้าบ้าน คนด้านในก็รีบกุลีกุจอดึงประตูเหล็กให้เปิดออก ค้อมกายลงทักทายคนเป็นเจ้านายก่อนจะดันประตูปิด วิ่งตามหลังรถไปเตรียมตัวที่จะกล่าวต้อนรับด้วยท่าทางกระตือรือร้น

        “พี่หิน สวัสดีครับ!” ตะเบ็งเสียงดังหนักแน่นเมื่อร่างสูงใหญ่เปิดประตูก้าวลงจากรถมา คนถูกเรียกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นเป็นนัยว่ารับรู้แล้วก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่ง 

         “ของกินอยู่หลังรถ หยิบลงไปให้หมดเลย กระเป๋าผ้าไม่ต้อง” 

         “ได้ครับ แล้วนั่น.. เอ่อ” นานทีปีหนที่เจ้าของบ้านจะพาใครมาด้วย ครั้งล่าสุดคือคุณนาย เพราะเป็นสถานที่ที่เป็นส่วนตัวมากๆ แม้แต่เพื่อนของหินก็ไม่เคยได้มา จนกระทั่งวันนี้ชายหนุ่มหน้าตาดูดี ไร้สติกำลังถูกหิ้วปีกลงมาจากรถ

          “เพื่อน” 

         “ครับ ให้ผมเรียกพวกข้างในมาช่วยแบก— “

         “ไม่จำเป็น” อยู่ๆ บรรยากาศรอบกายก็ดุดันขึ้นมามากกว่าปกติ บอกไปแล้วไงว่าดูแลเองได้ หินพยุงร่างเพื่อนตัวเองขึ้นก่อนจะรับรู้ว่ามันลำบากเกินกว่าจะประคองเข้าไปได้ จัดการย่อกายลงช้อนร่างของอีกฝ่ายอุ้มขึ้นแนบอก ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาตื่นตกใจของลูกน้อง

         ถึงจะอยู่มายังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่บอกได้เลยว่าภาพที่หินอุ้มใครแบบนี้มันไม่เคยมีให้ใครได้เห็นมาก่อน

         “เดี๋ยวผมเปิดประตูบ้านให้” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าไม่กี่ปีหิ้วของฝากจากคนเป็นเจ้านายไว้เต็มไม้เต็มมือ วิ่งนำฉิวตรงไปยังหน้าประตูบ้านก่อนจะเปิดออกให้เจ้าของบ้านโอบอุ้มเพื่อนเข้าไปด้านใน ดวงตาหลายคู่จ้องมองมา ณ จุดเดียวกัน ต่างคนต่างเบิกตากว้าง เด้งกายขึ้นวิ่งมายืนเรียงแถวกันต้อนรับคนเป็นลูกพี่ที่มาพร้อมกับคนแปลกหน้าในวันนี้

         “สวัสดีครับพี่!” เสียงประสานดังก้องบ้านจนคนเมาสะดุ้งเฮือก สะลึมสะลือตื่นขึ้นขณะที่สองมือไขว่คว้าหาอะไรยึดเอาไว้เมื่อรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวคล้ายกำลังล่องลอยอยู่ ส่งเสียงฮึดฮัดลอดผ่านริมฝีปากบาง ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย

         “เสียงดังอะไรกันวะ คนจะนอน” 

         “กูซื้อของมาฝาก อยู่ที่ไอ้อลัน กินเสร็จแล้วก็แยกย้ายไม่ต้องสุมหัวกัน พรุ่งนี้ใครตื่นหลังกู รู้นะว่าจะโดนอะไร” หินเอ่ยกับเหล่าลูกน้องเสร็จสรรพก็ตรงขึ้นชั้นสองของบ้านในทันที บทลงโทษของคนที่ตื่นทีหลังในครั้งก่อน ทำเอาเหล่าคนที่ยืนเรียงกันขนลุกซู่ มองตากันเลิ่กลั่ก ส่งเสียงสั่งการว่องไว

         “รออะไรล่ะ รีบไปหาจานมาใส่ของกินดิ เสร็จแล้วจะได้แยกกันไปนอน” 

         “ไอ้เชนไปหยิบจานดิ้!” 

         “เออๆ กูไปเอง แต่ขอถามก่อนได้ไหม สงสัยว่ะ..คนที่พี่หินพามานี่ใครวะ” 

         “...” 

         “...” 

         อลันยืดอกขึ้นทันที มีเพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้ว่าคนที่หินอุ้มมาคือใคร และเมื่อได้เห็นท่าทางนั้น ความสนใจของทุกคนก็พุ่งเป้ามาที่เขาทันที

         “ไอ้อลัน” เชน

         “อย่ามาหมกนะเว้ย” ชิน

         “หึ พวกมึงถามถูกคนแล้วล่ะ ตั้งแต่ก้าวลงจากรถ เปิดประตูแล้วก็อุ้มลงมา กูนี่เห็นเต็มๆ สองตา จ้องอย่างนี้!” 

         “เออออ มึงบอกมาสักทีเถอะ พวกกูลุ้นจนผมจะร่วงแล้วเนี่ย” เทาบ่นอุบ ยกมือขึ้นกอดอกอย่างเบื่อหน่าย ชักจะโมโหขึ้นมาหน่อยๆ ไอ้เราก็เฝ้ารอไปเถอะ มัวแต่ยืดเยื้อทำเป็นกั๊กให้อยากรู้อยากเห็นอยู่ได้ 

         “ให้กูเกริ่นก่อนก็ไม่ได้ เออๆ บอกแล้ว เขาเป็นเพื่อนลูกพี่” 

         “เพื่อน?” 

         “กูว่าไม่ใช่ละ เพื่อนที่ไหนจะอุ้มกันแบบนั้น แล้วมึงดูสายตาพี่หินตอนพวกกูเสียงดังทำให้เขาตื่นก่อน แทบจะปรี่เข้ามาแหกอก” นึกๆ แล้วก็ยังขนลุกไม่หาย ซึ่งผู้ร่วมชะตากรรมที่ยืนอยู่ใกล้เคียงกันก็รู้สึกแบบเดียวกับเทา

         “ก็พี่หินเขาบอกว่าเพื่อนอะ” อลันย้ำอีกรอบ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดต่างจากคนอื่นสักเท่าไหร่ก็เถอะ

         เพราะฉะนั้นแล้ว…

         ..

         .

         “เรื่องนี้มันต้องเสือก เอ้ย สืบ!” 

         “สืบยังไงวะ” 

         คนเสนอความคิดยิ้มกริ่ม เชน ชิน และเทาได้แต่ยืนงงขณะที่เวลส์ได้แต่ภาวนาให้แผนในการสืบของเพื่อนตัวเองไม่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากนัก แต่จริงๆ แล้วการอยากรู้อยากเห็นเรื่องของพี่หิน ขาข้างขวามันก็เหมือนจะก้าวลงนรกไปแล้วครึ่งก้าว




         KHEM


         07.30 น.


         เคยรู้สึกโลกหมุนแล้วอยู่ดีๆ เราก็ร่วงตุบลงบนอะไรสักอย่างหรือเปล่า ผมเหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าตัวเองเพิ่งจะเผชิญกับสถานการณ์นั้นมาเมื่อกี้นี้เอง ต้องขอบคุณความนุ่มนิ่มของที่นอนที่โอบอุ้มร่างของผมเอาไว้ เพราะถ้ามันแข็งกระด้างหลังของผมคงจะหักไปแล้วเรียบร้อย 

         สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นคือแก้วเหล้า แล้วหลังจากนั้นก็..ภาพตัด

         “ดูเหมือนว่ามึงจะสร่างเมาแล้วนะ” ไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งสติคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน กับใคร พื้นที่ว่างข้างกายก็ได้ยุบยวบลง พลิกร่างผมให้หงายขึ้นจ้องสบตาหวานซึ้งกับเพดานห้องสีมืดทึบ

         ให้ตายเถอะ เจ้าของห้องจะต้องเป็นคนมืดมนมากแน่ๆ 

         “ว่าไง เช้าแล้ว จำกูได้หรือยัง” เจ้าของคำถามยื่นใบหน้าเข้ามาบดบังทุกสิ่งทุกอย่างจากสายตาของผม เส้นผมเปียกชุ่มมีหยดน้ำไหลซึมลงมาบนแก้มของผม

         “ไอ้หินเหรอ” เห็นอยู่ต่อหน้าขนาดนี้ ผมก็ไม่น่าจะถามออกไปหรอก ว่าแต่ที่นี่ไม่เหมือนห้องพักของไอ้หินที่ผมมักจะไปนอนค้างบ่อยๆ คิดแล้วก็ปวดหัว เมื่อคืนนี้ผมกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ 

         “รู้สึกยังไงตอนนี้” 

         “ปวดหัว” 

         “ลุกไปล้างหน้าไหวหรือเปล่า ..หรือจะให้กูอุ้ม” 

         อุ้ม? อุ้มอะไร

         “ไปตายเถอะ กูไม่ยอมให้มึงอุ้มแน่ๆ” ผมว่าออกไป ยกมือดันใบหน้าหล่อเหลาของไอ้หินให้ขยับถอยห่าง รอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์ของมันนับว่าเป็นสิ่งที่ผมเกลียดมากที่สุด เพราะสัญชาตญาณมันบอกว่าจะต้องมีอะไรบางอย่าง

         “อะไร มึงยิ้มอะไร” 

         “จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้หรือไง” 

         “ก็ ..ก็จำได้ มึงมารับกูเมื่อคืน” 

         “แล้ว?” 

         “รับแล้วก็มาอยู่ที่นี่ไง” 

         ไม่ใช่เหรอวะ หรือว่าเมื่อคืนนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

         ผมจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มันติดอยู่ในหัว เหมือนจะนึกออกแต่ก็ไม่

         เสียงหัวเราะของไอ้หินดังขึ้นหลังจากที่ได้คำตอบ ร่างใหญ่กำยำผละออกไปดึงผ้าม่านเปิดรับแสงแดดให้สาดส่องเข้ามากระทบใบหน้า ผมลุกขึ้นนั่ง ทิวทัศน์ข้างนอกดูแปลกตา มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ

         “มึงไม่ได้พากูกลับหอมึงหรอกเหรอ” 

         “เปล่า นี่บ้านกู” 

         “อ๋อ บ้านมึง” ก็ว่าอยู่— เดี๋ยวก่อนนะ “บ้านมึง!” ผมเบิกตากว้าง แหกปากเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร มันไม่มีอะไรน่าตกใจไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ เป็นเพื่อนกันมาโคตรนาน บ้านไอ้หินผมไม่เคยได้มาเหยียบ ทุกครั้งเวลาไปเที่ยวที่บ้านจะเป็นบ้านของพ่อกับแม่มัน หลังใหญ่ มีลูกน้องเดินกันวุ่นวายไปหมด ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยขอมาที่บ้านของมันหรอกนะ แต่จนแล้วจนเล่าอีกฝ่ายก็ไม่หืออืออะไร บอกว่าสักวันจะพามา

         สักวันมาจนถึงวันนี้เลยเชียว จนผมลืมไปแล้วว่าไอ้หินเคยพูดเอาไว้น่ะ ตั้งแต่ที่มันบอกว่าย้ายออกมา นี่ก็น่าจะปีนึงได้แล้ว 

         “ตกใจ? ก็เคยบอกแล้วว่าจะพามา มันค่อนข้างส่วนตัว กูพามึงมาก็เท่ากับว่าให้มึงเป็นคนสำคัญ” 

         เสือกจะรู้ความคิดผมอีกนะ

         “คนสำคัญอะไรของมึง พูดจาไม่รู้เรื่อง เมาหรือไง” ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าภูมิต้านทานในการถูกจีบของผมสูงมาก คำพูดแค่นี้ไม่ทำให้สะทกสะท้านได้หรอก..มั้ง

         “ถ้าเมารักก็อาจจะใช่” 

         “มึงไม่ใช่ไอ้หินแน่ๆ มึงเป็นใคร คายเพื่อนกูออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” ผมอยากจะจับร่างตรงหน้าเขย่าไปมา พูดจาได้ชวนอ้วกสุดๆ ไปเลย เมารักอย่างนั้นเหรอ? แล้วคนที่พูดก็เป็นไอ้หินอีกต่างหาก นี่ถ้าเป็นไอ้กำปั้นผมจะไม่คิดว่าแปลกเลยที่คนคลั่งรักน้องสกายแบบมันจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา

         “เข้ม” 

         “...” 

         “กูเอาจริงแล้วนะ” 

         “อะ เอาอะไร” พูดมาแบบนี้ ชวนคิดดีไม่ได้เลยจริงๆ บวกกับน้ำเสียงจริงจังด้วยแล้ว ผมอยากจะขอตัวหนีหายไปเลยตั้งแต่ตอนนี้ ขยับตัวเล็กน้อยยามที่เจ้าของบ้านย่างเท้าเข้ามาชิดกับปลายเตียง โน้มกายลงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้

         “เตรียมตัวเป็นแฟนกูได้เลย” 

         “เราเป็นเพื่อนกันนะเว้ย” 

         “กูชอบมึง” 

         “แต่กูไม่ได้ชอบ!” 

         “...” 

         “มึง อย่าทำหน้างั้นดิ กูหมายถึงว่ากูชอบมึง..แบบเพื่อน ไม่ได้ชอบแบบนั้น เข้าใจกูไหม” ผมละล่ำละลักอธิบายออกไปเมื่อเห็นใบหน้าเซื่องซึมของเพื่อนสนิท นั่นมันทำให้ผมรู้สึกแย่แปลกๆ จนไม่สามารถที่จะปล่อยผ่านไปได้

         “เห้อ มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลยนะ” 

         ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถเป็นได้มากกว่านี้อีกแล้ว



    --OPEN--


    ยิงลีต้อนรับสู่ เฟรนโซนนนนนนน

    ถึงเวลาของพี่หินแล้ววว!!

    เพื่อนสนิทที่คิดไม่ซื่อ กับทาสแมวค่ตซึน 

    ไม่ได้อัพนิยายสักพักแล้ว อ่านแล้วอย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจให้เรานะคะ

    แงงงง มีแท็กด้วย #ใครว่าก้อนหินไม่มีหัวใจ

    ฝากพี่หินกับพี่เข้มเอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคน

    คอมเม้นเยอะๆ จะได้มาอัพบ่อยยยยๆๆๆ 






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×