คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : เครียด!!
หมดทั้งชั่วโมงเรียนที่ผ่านมา ลู่หานก็แทบจะเรียนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เลคเชอร์ที่อาจารย์พึ่งอธิบายมาอย่างละเอียด มันมิได้ซึมเข้าสมองอันฉลาดเท่าหางอึ่งของร่างบางแม้แต่นิดเดียว ซึ่งสาเหตุทั้งหลายแหล่ก็เนื่องมาจากเรื่องอุบัติเหตุในครั้งนั้น….
ไม่รู้ว่าเขาจะทานยาที่หมอกำชับแล้วหรือยัง จะมีอาการปวดมากแทรกซ้อนขึ้นมาบางไหม...... แล้วที่สำคัญก็คือ ข้อความปองร้ายนั่น ลู่หานแทบไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าความรักไม่ได้ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปแค่คนเดียว แต่ก็ทำให้อดีตคนรักเปลี่ยนมากเช่นกัน มากจนถึงจะฆ่าคนๆหนึ่งให้ตายได้
หลังจากที่เลิกเรียนได้สักพัก ลู่หานก็รีบเก็บเข้าของเข้ากระเป๋าก่อนจะพายมันเดินออกมาจากห้องเรียน แล้วก็เดินหาที่นั่งเงียบๆใกล้ๆกับตึกคณะของตัวเอง เพราะยังไม่คิดจะกลับบ้าน แค่อยากจะนั่งสงบจิตสงบใจไว้สักพัก แต่ถ้ามีคนให้ระบายอารมณ์ภายในก็คงดีไม่น้อย เพราะคนตัวเล็กไม่อยากจะทนเก็บความรู้สึกไว้เพียงคนเดียว
“ไอ้ลู่”
เป็นเสียงแหลมๆของจีซกที่ตะโกนร้องทักทายตรงบริเวณด้านในตึกคณะ ก่อนที่จะสาวเท้าเดินตรงเข้ามาหา เลยทำให้สติของลู่หานที่จมอยู่ในภวังค์กลับคืนมาโดยอัตโนมัติ
“มีอะไรเหรอ”
ลู่หานหันหน้าไปถามคนที่มาใหม่ หลังจากที่เดินมาถึงก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งด้านตรงกันข้าม... เวลานี้ คงจะมีแค่จีซกสินะ ที่จะเป็นคนให้ลู่หานได้ระบายอารมณ์
“ทำไมแกถึงได้นั่งซึมอย่างนี้วะ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“แล้วในนั้นมันก็มีเรื่องของเซฮุนอยู่ด้วยหรือเปล่า” จีซกถามเข้าถึงประเด็นหลัก... เป็นทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่ก็อย่างนี้แหละ รู้จักดีไปหมดซะทุกอย่าง
“ก็มีนิดหน่อย แล้วพี่ยุริหายไปไหนล่ะครับ”
“มันกลับบ้านแล้ว.... เอ่อถ้าแกมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”
“ที่จริง ผมก็ไม่อยากจะเล่าหรอกนะ” ลู่หานตอบพร้อมทั้งถอนหายใจเหนื่อยๆ
“งั้นแกไม่ต้องเล่าก็ได้”
“โคตรหนักเลยว่ะ!!”
“อ้าว!!”
“เป็นเพราะเรื่องอุบัติเหตุในวันนั้น ที่ทำให้ผมคิดหนักจนจะบ้าตายแบบนี้”
“ไหนแกบอกว่าไม่อยากจะเล่าไง”
“แล้วพี่คิดว่าผมจะเก็บมันไว้หาพระแสงอะไรวะ”
“อ้าว ไอ้เวรนี่ ... แล้วยังไงก็ต่อวะ”
“ก็พอดีเซฮุน เขามาดึงผมไว้ก่อน ไม่งั้นผมก็คงโดนเหยียบไปแล้วแน่ๆ ส่วนมือเขาก็มีแผลเย็บสิบกว่าเข็ม... แล้วผมก็มีเรื่องหนึ่งจะบอกให้พี่ฟังอีก” ลู่หานระบายอารมณ์ออกมาด้วยสีหน้าที่เครียดกว่าเดิม
“เรื่องอะไร” จีซกเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“คือผมสงสัยว่าคนที่ตั้งใจขับรถชนผม จะเป็นแกรนด์”
“เฮ้ย จริงเหรอ... แล้วแกเอาอะไรมายืนยันว่ายัยนั้นเป็นคนตั้งใจขับรถชนพวกแก... อีกอย่างแกก็เคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่ารถมันไม่มีป้าย”
“ที่ทำให้ผมมั่นใจ เพราะมีข้อความหนึ่งส่งมาหาผมว่า ถ้าผมยังไม่เลิกกับเซฮุนอีก คราวหน้าผมไม่รอดแน่... เฮ้อ...” ลู่หานถอนหายใจเหนื่อยๆจนไม่รู้กี่รอบ... แต่เมื่อมีเพื่อนที่ไว้ใจคอยเป็นห่วงเป็นใยอยู่ด้วย ก็พอจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นนะ ฉันบอกแกได้คำเดียว ถอยออกมาซะ เพราะแค่เนี่ย มันก็เป็นการเตือนแกแล้วว่า ยัยแกรนด์เอาแกตายแน่”
ลู่หานนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ในเมื่อเป็นความจริงดั่งที่จีซกพูด ซึ่งลู่หานก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะจงใจจะฆ่ากันให้ตายกันไปข้างหนึ่งซะขนาดนั้น ...
แต่ยังไงซะ ลู่หานเป็นคนที่เจ็บแล้วจำ แค้นจนฝังหุ่น เพราะฉะนั้นเรื่องราวทั้งหมดมันต้องถูกชำระ
“ไม่!!” ลู่หานขยับริมฝีปากเรียวพูดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
“ผมไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆหรอก เคยได้ยินไม่ว่า บุญคุณต้องตอบแทน แค้นต้องชำระ”
“เคย แล้วแกเคยได้ยินไหมว่า เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร ... แก้แค้นกันไปมา สุดท้ายก็วนเวียนกับความเจ็บปวด... นี่ไอ้ลู่ แกก็เห็นแล้วนี่ว่า ผลสุดท้ายมันต้องมีใครเจ็บปวด แล้วก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ โดยเฉพาะกับเซฮุน... เขาไม่รู้เรื่องอะไรกับพวกเลยด้วยซ้ำ แต่กลับโดนลูกหลงแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่... ฉันน่ะ โคตรสงสารเขามากเลยนะ กลายเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นของแก ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย” จีซกหยิบเรื่องราวความจริงที่ตนพอทราบมาบ้างออกมาพูด อดสงสารเซฮุนไม่ได้
“พี่ก็รู้เรื่องอีกคนด้วยเหรอ ที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง” ลู่หานเอ่ยถามขึ้น
“ก็เออนะสิ นังยุริพึ่งบอกฉันมา เพราะถึงอย่างงี้ไงฉันถึงมาบอกแกอีก ทั้งที่เมื่อก่อนฉันก็กะจะปล่อยวางไปแล้วนะ... โดนแกสั่งสอนซะบ้างก็ดีอยู่เหมือนเพราะฉันก็เคยไม่ชอบคนเจ้าชู้อย่างเขามาก่อน... แต่เดี๋ยวนี้ ความจริงมันไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดแล้ว... เพราะฉะนั้นแกลองไปคิดดีๆเหอะนะ แกรู้ไหมตั้งแต่แกรู้จักเขา แกเปลี่ยนไปมาก แล้วที่แกบอกว่าอาจจะไม่ได้ชอบผู้ชาย บางทีตอนนี้แกอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้วก็ได้ เพียงแต่แกยังไม่ได้ชัดเจนกับความรู้สึกก็เท่านั้น”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนเป็นการซ้ำเติม เพราะลู่หานกำลังจมกับความคิดของตัวเองเป็นอย่างหนัก ในเมื่อร่างบางนั้นเริ่มที่จะเชื่อคำตักเตือนเพื่อนของตัวเองอยู่บ้าง..
แต่ยังไงการเริ่มต้นของทั้งสองมันไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักแต่เกิดขึ้นจากความแค้นต่างหาก
“ไม่รู้ล่ะ ก็เหมือนที่ผมเคยบอกพวกแกตลอด ผมเดินมาไกลเกินกว่าจะหันกลับไปอีกแล้ว”
“ฉันก็อยู่หรอกน่า เพราะฉันก็ได้ยินแกพูดมาจนเหนื่อยมากแล้วเหมือนกัน... แต่คราวนี้แกก็ควรจะฟังฉันบ้างก็ได้นะ ถ้าแกไม่อยากโดนไฟเผาตาย ก็อย่าไปเล่นกับมัน เพราะว่าสิ่งที่แกเจอมันก็บอกแกได้อย่างชัดเจนแล้ว”
ทุกอย่างมันก็บอกได้อย่างชัดเจน
ลู่หานเก็บคำสุดท้ายไปคิดอย่างจริงจัง เพราะ ทุกอย่างมันชัดเจนในความรู้สึกที่กำลังเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ใกล้เขา
ชัดเจนทุกอย่างที่ฝ่ายนั้นมอบความไว้ใจให้
ชัดเจนทุกคำพูดที่ร่างสูงนั้นพร่ำบอก
และชัดเจนจากทุกการกระทำร้ายๆของแกรนด์ ที่ตัวเองพาตัวเข้าไปอยู่บ่วงแค้น จนยากจะถอนตัวออกมา
สามวันต่อมา ที่ร้านอาหาร
หลังจากเลิกงานจากร้านเบเกอรี่
ถึงแม้ว่าหลายวันมันจะผ่านไป แต่ยังไงแบคฮยอนยังคงไม่ลืมเรื่อง นั้นได้สักครั้ง ในเมื่อใบหน้าของเด็กหนุ่มชานยอล มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวร่างบางเรื่อยไปซ้ำๆ พยายามสะบัดความคิดออกเท่าไหร่ รอยยิ้มกวนๆก็ปรากฏขึ้นมาตลอด แม้แต่เวลาที่เข้าห้องน้ำ ใบหน้าของชานยอลนั้นก็ยังสะท้อนออกมาจากกระจกทุกครั้งที่มอง....
สรุปแล้ว หายใจเข้าออกก็นึกถึงแต่หน้าเขา
“นี่เจ้ จะนั่งซึมแบบนี้อีกนานไหม”
จีซกเอ่ยถามขึ้นในขณะที่กำลังทานอาหาร หลังจากที่เห็นผู้เป็นเจ้านายกำลังนั่งเขี่ยอาหารไปมา จะตักขึ้นทานสักคำก็ไม่มี
“ใช่” ยุริพูดขึ้นต่อ “ถ้าไม่กิน เอามาให้พวกหนูก็ได้นะ”
“งั้นก็ไปเถอะ พี่ยังไม่ค่อยหิว” แบคฮยอนตอบแบบปัดๆ เพราะไม่มีอารมณ์จะทานจริงๆ เลยเปิดโอกาสให้มือน้อยใหญ่นั้นตักเอาจนหมด ยิ่งกว่าจะแย่งเอาทองเป็นกิโล
“พี่สั่งมามีแต่ของอร่อยๆทั้งนั้นเลย ทำไมไม่ทานละคะ”
“ก็คนมันไม่หิวอ่ะ ยุริ”
“ไม่ใช่เป็นเพราะคิดถึงน้องชานยอลหรือเปล่า”
ฉึก แบคฮยอนนิ่งค้างแบบกะทันหัน เพราะโดนพูดจี้ใจดำสุดๆ
“ก็คงจะเป็นอย่างงั้นนั้นแหละยัยยุริ เพราะดูจากสภาพก็รู้แล้ว..... เอ่อ เจ้คะ แล้วหนูก็ได้ข่าวมาเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เจ้ยังไม่ได้บอกใครในร้านเลย”
“เรื่องอะไร” เป็นยุริที่ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ พลางทำหน้ารอคำตอบอย่างใจจดจ่อ เนื่องจากเจนภพพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นจนเกินเหตุ
“ก็เรื่องที่น้องชานยอลหนีออกจากบ้านแล้วไปค้างที่บ้านของเจ้น่ะสิ”
“เฮ้ย จริงเหรอ” พอได้คำตอบเท่านั้น ยุริก็หันหน้ามาถามด้วยความตกใจ
“อืม” แบคฮยอนเลยพยักหน้ายืนยันในคำตอบ
“มิหน้าล่ะ ถึงไม่เข้ามาทำงานตั้งสองวัน... แล้วนี่เจ้กินเด็กไปแล้วหรือยังเนี่ย เจ้ เป็นอัมมะตะ!” ยุริทำหน้าทำตาแบบโอเวอร์
“จะบ้าหรือไง พี่ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ร่างบางรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว จนลิ้นแทบจะพันกัน
“แต่ยังไงเจ้ก็คิด”
“เฮ้ย ถ้าเป็นอย่างงั้นนะ มันเท่ากับทำให้น้องมันเสียอนาคตเลยนะ เจ้ก็อายุยี่สิบกว่าๆแล้ว ส่วนน้องมันพึ่งสิบหกสิบเจ็ดยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ แล้วถ้าเอาเรื่องหลักศีลธรรมมาพูดนะ เจ้ผิดเต็มๆเลย”
“ใช่ห่างกันหลายปีแบบนี้ จะเปลี่ยนให้มันเหลือสองสามเดือนมันเป็นไปไม่ได้ อีกอย่าง ชานยอลก็กำลังอยู่ในวัยที่สับสนตัวเองอยู่ แล้วถ้าเปรียบน้องมันเป็นอย่างหนึ่งนะ น้องมันก็เหมือนกับไฟที่ร้อนแรง ยิ่งเอาน้ำมันมาราดมันก็ยิ่งลุกลามแรงขึ้น”
หลายๆคำพูดถูกถาโถมเข้ามาพร้อมกันคราวเดียว จะตั้งมือรับก็คงจะไม่ไหวแล้ว
“นี่พวกเธอ หยุดเพ้อกันสักทีเหอะครับ พี่ไม่ได้คิดอะไรกับมันสักหน่อย... พี่ไม่มีทางชอบไอ้เด็กปากหมานั้นหรอก” ร่างบางบอกออกไปทั้งที่ข้างในนั้นก็ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่
“ถ้าเจ้คิดแบบนั้นได้ก็ดีแล้ว เพราะอายุประมาณเจ้เนี่ย เดี๋ยวนี้เขาก็มีแฟนกันหมดแล้ว...เอ่อเอางี้ไหม ลองนัดบอดกับใครสักคนดู เดี๋ยวเรื่องนี้หนูจัดการให้เอง” จีซกเสนออย่างเป็นจริงเป็นจัง
“เออดีๆ ความคิดนี้ดี ฉันเห็นด้วย.. เจ้คะ ลองนัดบอดกับใครสักคนดูสิคะ เรื่องนี้หนูจะช่วยเต็มที่เลย จะหาคนหน้าตาดีมาให้ เอาไหมคะ”
ยุริพูดเชิญชวนด้วยคน แบคฮยอนจึงเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดอย่างหนักในชั่วขณะ ซึ่งความจริงก็เป็นอย่างที่สองคนนั้นพูด อายุของแบคฮยอนก็เกินเลยมายี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเหมือนคนอื่นกับเขาสักที...
แถมช่วงนี้หมอดูยังชอบทักอยู่เสมอว่า ถ้าเลยปีนี้ไป ร่างบางก็อาจจะไม่มีคู่ไปตลอดชีวิต ยิ่งตนเป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงอยู่ด้วยอยู่แล้ว ก็ยิ่งต้องทำอะไรสักอย่างให้มันเป็นจริงๆจังๆ
“ก็ได้ พี่จะยอมทำตามที่พวกเธอบอก”
ความคิดเห็น