ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รัก

    ลำดับตอนที่ #2 : สามี

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 54


     ตอนที่ 2  สามี

    “คุณค่ะ “ภรรยา” คุณฟื้นแล้วค่ะ” เสียงจากพยาบาลสาวทำให้เขาต้องหันไปมองรอบๆ ตัวด้วยความสงสัยว่าเธอหมายถึงตัวเขารึเปล่าแต่ที่นี่ก็ไม่มีใครนอกจากเขา ชายหนุ่มยกมือขึ้นชี้เข้าหาตัวเองเป็นเชิงถามว่าหล่อนพูดอยู่กับเขารึเปล่า

    “ใช่ค่ะ” พยาบาลสาวตอบกลับมา

    “...ผมไม่ใช่สามีของเธอครับ คุณคงเข้าใจอะไรผิด” ภูชนะเอ่ยแก้ข้อผิดพลาด

    “แต่เธอบอกว่าคุณคือ “สามี” ของเธอ” พยาบาลยังย้ำคำเดิม

    ภูชนะทำหน้างง อ้าปากค้างไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร

    “เชิญข้างในดีกว่าค่ะ   เชิญค่ะ”  ภูชนะเดินตามพยาบาลไปยังห้องตรวจที่หญิงสาวอยู่

    พยาบาลสาวเปิดประตูให้แล้วปิดประตูลงเมื่อภูชนะเดินเข้าไป ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหน้าหวานของหญิงสาวที่อ้างว่าเป็นภรรยาของเขาขวางๆ

    “... เป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงห้วนอย่างไม่ชอบใจ

    “...หมอบอกว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมีแต่หัวแตก... เท่านั้นเอง” บารวีตอบ

    “... แล้วเธอเป็นใคร” ภูชนะตัดสินใจเอ่ยถาม “ทำไมมาอยู่ในรถฉัน แล้วยังโกหกว่าเป็น... “เมีย”  ฉัน” ภูชนะคาดคั้น

    “ฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่าฉันเป็นภรรยาของคุณ” บารวีส่ายหัวดิกๆ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น

    “อะไรนะ?... ไม่รู้!” ภูชนะตะโกนดังลั่น อ้าปากค้างอีกรอบ

    หญิงสาวพยักหน้ารับ งึกๆ พยามแอ๊บน่าสงสารที่สุดในชีวิตให้เขาเชื่อเธอให้ได้ ถึงจะคิดอยู่ว่าเขาคงไม่โง่เชื่อเธอง่ายๆ แน่

    “ฉันจำได้แค่นี่” บารวีตอบเสียงอ่อย

    “คุณจะบอกว่า... คุณจำอะไรไม่ได้อย่างนั้นเหรอ” ภูชนะเอามือตบหน้าผากอย่างอ่อนใจกับคำตอบ

    “...” หญิงสาวไม่ตอบอะไร ได้แต่มองอาการนั้นอย่างเกรงๆ

    “คอยอยู่ที่นี่...  อยู่ที่นี่ อย่าไปไหนนะ” ภูชนะชี้นิ้วสั่งแล้วเดินออกจากห้องไปโดยเร็ว ตลกแล้วเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มคิด เขาต้องไปคุยกับหมอโดยด่วน และด่วนต้องมากด้วย...

    บารวีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขอโทษขอโพยเขาซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ เธอจำเป็นที่ต้องแกล้งความจำเสื่อมเพราะเธอกลัวว่าเขาจะส่งเธอกลับถ้ารู้ว่าเธอเป็นใคร อีกอย่างเธอไม่มีอะไรติดตัวมาเลยเธอต้องการความช่วยเหลือ

    ภูชนะกลับมาอย่างหัวเสีย เพราะหมอบอกเขาว่าหญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรมาก ส่วนอาการความจำเสื่อมคงเป็นอาการชั่วคราวให้เขาพา “ภรรยา” กลับบ้านได้เลย  นี่ก็ดึกมากแล้วกว่าจะถึงบ้านอีกหลายชั่วโมง ชายหนุ่มตัดสินใจพาหล่อนกลับไปด้วยอย่างน้อยก็เพื่อมนุษยธรรม ตลอดทางมามีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรจนชายหนุ่มอึดอัดเอ่ยถาม

    “หิวไหม”

    บารวีหันมาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินแต่ถึงเธอจะหิวไส้แทบขาดในตอนนี่แต่ก็ไม่มีทางซะหรอกที่เธอจะลงจากรถเป็นอันขาด ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะหลอกทิ้งเธอไว้ข้างทางซะมากกว่าที่จะถามด้วยความเป็นห่วง

    “...”

    “ไม่หิวรึไง” ภูชนะถามเสียงแข็ง

    “งั้นก็อยู่ในรถ ฉันหิวแล้ว” พูดจบพร้อมกับหักพวงมาลัยรถเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันหน้าร้านสะดวกซื้อเพื่อลงไปกินข้าวอย่างที่เขาพูดไว้  ภูชนะเดินไปได้ไม่ไกลก็ต้องเดินกลับมาเปิดประตูด้านผู้โดยสารแล้วดึงแขนกระชากเธอลงจากรถโดยที่บารวีได้แต่ร้องเสียงหลง

    ตลอดทางที่ชายหนุ่มเดินลากเธอเข้าไปในศูนย์อาหารของปั๊มน้ำมันมีสายตาของผู้คนที่กำลังทานอาหารอยู่มองมาที่เธอกับชายหนุ่มอย่างสงสัยใคร่รู้จะไม่ให้สงสัยก็คงไม่ได้ เพราะสภาพเธอตอนนี่มันชั่ง... เหมือนคนหลงทางไม่มีผิด ผมฟู  เสื้อผ้ามอมแมมแถมยังเป็นชุดนอน หัวแตกอีกตะหากนี่ถ้าเดินเก็บขยะละก็ใช่เลย

    “นั่งตรงนี่” ชายหนุ่มออกคำสั่ง

    “กินซะ...” ภูชนะวางจานอาหารลงตรงหน้าแล้วลงมือกินอาหารในจานของตนไม่พูดพร่ำ

    “พอจะคิดออกรึยัง ...ว่าเธอเป็นใคร” ชายหนุ่มถามขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากทานเสร็จ

    “...อึก” บารวีถึงกับสำลักอาหาร จนภูชนะวุ่นวายหาน้ำมายื่นให้

    “เธอนี่มัน...”

    “แล้วคิดออกรึยัง” ภูชนะยังถามต่อ

    “...ฉัน ฉัน...จำไม่ได้ ฮือฮือออออออออออออ” บารวีแกล้งร้องไห้เสียงดังกลบเกลื่อนจนคนแถวนั้นพากันมอง

    “พอ... พอได้แล้ว เอาเถอะจำไม่ได้ก็ไม่ได้ เฮ้ย...” ชายหนุ่มถอนใจเสียงดัง

    “บอกให้หยุดไงเล่า”  ภูชนะหันซ้ายหันขวา เมื่อรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมาย

    “ไปได้แล้ว...” ภูชนะออกคำสั่งพลางเดินนำไปที่รถ

    การเดินทางดำเนินต่อไปเนินนานไร้เสียงสนทนาเพราะผู้โดยสารเข้าสุภาษิต หนังท้องอิ่มหนังตาก็หย่อนทันทีที่ขึ้นรถ จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าสู่ประตูไร่กลางภู ตามถนนที่ทอดยาวในความมืดเข้าสู่ใจกลางของไร่เป็นที่ตั้งของบ้านสองชั้นสร้างจากปีกไม้  โดยมีหญิงชราท่าทางอบอุ่นยืนชะเง้อคอยอย่างจดจ่อ

    แสงไฟจากด้านหน้าของรถที่ขับเข้ามาจอดยังหน้าบ้าน

    “นี่... เธอถึงแล้ว” ภูชนะส่งเสียงเพื่อปลุกคนที่เอาแต่หลับมาตลอดทาง

    “ตื่นได้แล้ว ตื่น ตื่น” ชายหนุ่มพยามปลุกพลางใช้มือเขย่าตัวเพื่อปลุก

    “อะไรคุณ” บารวีขยี้ตาหันซ้ายขวา “ถึงแล้วเหรอ... ที่นี่บ้านคุณเหรอ?”

    “ลงได้แล้ว” เขาสั่งพร้อมเปิดประตูรถ

    “คุณป้ายังไม่นอนหรือครับ” ภูชนะกล่าวพร้อมส่งของให้เด็กรับใช้ที่ยืนด้านหลังหญิงชรา

    “ป้าจะนอนได้ยังไง ถ้าภูยังมาไม่ถึง ป้าเป็นห่วง...”หญิงชรายิ้มละไมให้หลานชาย พลางมองผ่านเขาไปยังผู้ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

    “แล้ว... นั้นใครล่ะตาภู?”

    คนทั้งสองจ่องมองหญิงแปลกหน้าที่กำลังยกมือไหว้ผู้สูงวัย

    “...เออ คือ...” เธอจะตอบยังไงดีนะบารวีคิดซ้ำไปมา

    “เธอหลงทางมาครับ” ภูชนะชิงตอบก่อนที่เรื่องมันจะใหญ่โต

    “หลงทาง! เนื้อตัวมอมแมมจะไว้ใจได้เหรอตาภู?....แล้วนั้นหัวไปโดนอะไรมาเหรอ” 

    “อุบัติเหตุนิดหน่อยครับคุณป้า เดี๋ยวให้ไปนอนที่เรือนคนใช้ก็แล้วกันนะสร้อย” ภูชนะสั่งเด็กรับใช้

    “เรือนคนใช้!” เสียงบารวีอุทานเสียงดัง

    “ใช่ เรือนคนใช้นี่ก็ดึกมากแล้วพรุ่งนี่ค่อยว่ากัน ไปซิ” ภูชนะออกปากไล่ให้เธอตามเด็กรับใช้ที่ชื่อสร้อยไปเพราะกลัวว่าเธอจะพูดอะไรมากในตอนนี่พลางชักชวนหญิงชราเข้าบ้านทันที

    บ้านสองชั้นจากปีกไม้เปิดโล่งด้วยหน้าต่างรอบด้านเพื่อรับแสงธรรมชาติ  ตามระเบียงประดับไปด้วยกระถางดอกไม้เล็กๆ น่ารักสีสันสดใส รอบบ้านดูร่มรื้นด้วยร่มเงาของต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้าน บารวีนั่งลงที่ม้านั่งในสวนใต้ร่มไม้เฝ้ามองพระอาทิตย์ยามเช้า บรรยากาศอบอวนไปด้วยธรรมชาติที่มีขุนเขาและสายหมอกบนยอดเขาสงบร่มเย็นมองลงไปเห็นสวนส้มไกลสุดสายตาชั่งเป็นสถานที่สวยงามอย่างที่เธอฝัน

    “อากาศที่นี่ดีจังเลย....” บารวีมองบรรยากาศรอบตัว สูดลมหายใจรับอากาศยามเช้าวันแรกที่ไม่ต้องคอยฟังเสียงบ่นของผู้เป็นป้าและลูกสาว บารวีเดินสำรวจบริเวณของบ้านจนรอบแม้ว่าจะยังเจ็บแผลที่หัวอยู่บ้าง

    “หนู...”

    บารวีหันไปมองต้นเสียงที่ดังจากด้านหลัง

    “หนูคนเมื่อคืนใช่ไหม?” หญิงชราถาม

    บารวียังมือไหว้หญิงชรา ที่มีศักดิ์เป็นป้าของชายหนุ่ม

    “ไหว้พระเถอะจ๊ะ เมื่อคืนตาภูบอกว่าหนูหลงทางมาเหรอ?”

    บารวีไม่รู้จะตอบอย่างไรดี “นโมตัสสะ นะโมตัสสะ ขออย่าให้บาปเลยนะเจ้าคะ  ลูกจำเป็นจริงๆ....” บารวีภาวนาในใจ

    “คือ... หนูไม่ทราบค่ะ...”

    “หมายความว่ายังไง ...ไม่ทราบ?...” หญิงชราเอ่ยถามด้วยความฉงน

    “...คือ หนู...จำตัวเองไม่ได้... หนูหมายถึง ความจำเสื่อมนะค่ะ”

    “เวรกรรม! แล้วตาภูรู้เรื่องนี่ไหม?”

    “ทราบค่ะ...” บารวีกลั้นใจตอบทุกคำถามพร้อมทั้งสวดภาวนาในใจ

    “สร้อย... สร้อย....” หญิงชราร้องเรียกเด็กรับใช้ส่วนตัว

    “เจ้า แม่นาย”

    “ไปเรียกคุณภูมาพบฉันที่ห้องรับแขกเดี๋ยวนี่ ไป”

    “ตามฉันมา เรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนที่ตาภูจะมา”

     

    ภูชนะตื่นขึ้นมาพร้อมกับตาขวาที่เขม่นบอกลางแต่เช้า

    “ขวาร้าย ซ้ายดี... เอาไงวะท่าจะไม่ดีซะแล้ว เขม่นตาขวาแต่เช้าแบบนี่”

    เสียงเคาะประคูห้องพร้อมเสียงเรียกของคนสนิทคุณป้า

    “คุณภูเจ้า คุณภูตื่นรึยังเจ้า แม่นายเปิ้นให้หาตี้ห้องฮับแขกเจ้า”

    “บอกคุณป้าเดี๋ยวฉันลงไป”

    “เจ้า”

    “รึว่าจะเป็นเรื่องเมื่อคืน...” ภูชนะแค่คิดก็เสียงสันหลังวาบ

    ภูชนะเข้ามาที่ห้องรับแขกก็เห็นหญิงสาวนั่งพับเพียบที่พื้นข้างๆ คุณป้าของเขาก็นึกรู้ทันที่ว่าเป็นเรื่องอะไร นี่ล่ะมั่งเรื่องที่ทำให้เขาเขม่นตาขวาแต่เช้า

    “แม่หนูคนนี่เป็นใครตาภู”หญิงชราเอ่ยขึ้นคาดคั้น  ทันทีที่หลานชายนั่งลง

    “คือ...”

    “เขาว่าเขาเป็นเมียเรา!! จริงรึเปล่าตาภู”

    ภูชนะหน้าซีดถึงจะตอบอะไรก็คงไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้แน่ๆ พูดได้คำเดียวว่า “ซวย” ซวยแน่ๆ “ภูชนะ”

    ---------------------------------------------

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×