ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพเพซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : ยัยโง่

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 54


     บทที่ 1  ยัยโง่

    “กรี๊ด!!!!!!!!!!    เสียงนี้ดังลั่นออกมาจากห้องน้ำในห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนหลังจากที่คนไข้ขอเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นาน

    “ไม่จริง!!!!!! ...ไม่จริง เป็นไปไม่ได้...” 

    “คุณคะ... คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ  เปิดประตูได้ไหมคะ.... คุณ....”เสียงเรียกของพยาบาลที่อยู่ข้างนอกเร่งเร้าถาม 

    อัจฉริยายืนเบิกตาโพลงด้วยความกลัว และประหลาดใจในเวลาเดียวกัน คนในกระจกไม่ใช่เธอ ใบหน้าเรียวใสอ่อนวัย ดวงตาคมล้อมด้วยแพขนตา ผมยาวยักศกสีน้ำตาลตกกลางหลัง  แล้วมันจะเป็นเธอไปได้อย่างไร  เสียงประตูห้องน้ำเปิดดัง ผั๊ว!!  ตามด้วยคนไข้ที่เปิดประตูออกมาทั้งที่ยืนเบิกตาโพลง ท่าทางตกใจ

    “คุณค่ะ... เป็นอะไรรึเปล่าคะไปนั่งที่เตียงก่อนนะคะ” พยาบาลใจดีรีบปรี่เขามาพาเธอไปนั่ง โดยที่คนไข้ยังเดินตัวแข็งทื่อตกตะลึง

    “ไม่จริง...” เธอหันไปหาพยาบาลใช้คว้าตัวพยาบาลไว้แน่นอย่างลืมเจ็บ

    “ไม่จริงใช่ไหม คุณพยาบาล บอกฉันหน่อยซิว่าเกิดอะไรขึ้น!! บอกซิว่ามันไม่จริง กระจกนั้น !!  ...ขอกระจกให้ฉันที”  พยาบาลตกใจลนลานควานหากระจกให้เธอ

    “นี่ค่ะ...” อัจฉริยารีบคว้ามาถือเหมือนกลัวคนแย้ง เธอเลื่อนกระจกมาส่องใบหน้าเธออย่างช้าๆ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเหมือนโดยผีหลอกซ้ำอีกรอบ ใบหน้าสวยหวานนัยน์ตาคม ผมยักศกสีน้ำตาลมองเธอกลับมาอย่างดุดัน เธอจำเด็กคนนี้ได้ดีเด็กคนนี้ที่มาขอให้เธอช่วยเหลือ แน่หละเธอจำคำข้อนั้นได้แม่นยำ

     ชีวิตของฉันที่เหลืออยู่ฝากให้คุณช่วยสานต่อด้วยนะคะ ฉันคิดว่าคุณคงทำได้ดีกว่าฉัน ฝากด้วยนะคะ  คำขอร้องนั้นยังดังก้องอยู่ในหู

    “ทำไม ?” อัจฉริยาตั้งคำถาม โดยไม่รู้ว่าอีกไม่นานเธอคงได้คำตอบของภารกิจที่ได้รับมาอย่างไม่ตั้งใจ คำตอบที่อัจฉริยาฟังแล้วเจ็บจี๊ดเลยที่เดียว  “ยัยโง่ !

    แล้วตัวฉันจริงๆ อยู่ที่ไหน? อัจฉริยาคิด หรือว่าเด็กนั้นก็อยู่ในร่างฉันเหมือนกัน  

    คุณพยาบาล ฉัน... เออ ...คนที่ขับรถชนฉัน ตอนนี่เขาอยู่ที่ไหน? อัจฉริยา มองพยาบาลอย่างมุ่งมั่นน้ำเสียงร้อนรนเพื่อต้องการคำตอบ

    อ๋อ ผู้หมวดอัจฉริยา... พยาบาลสาวตอบ

    ใช่ค่ะ ...ใช่ อัจริยาตอบรับทันควัน

    เธอเสียชีวิตในที่เกิดเหตุค่ะ เธอเบรกกะทันหันทำให้รถเสียหลักไปชนเข้ากับสิบล้อที่แล่นสวนมาพอดี คุณโชคดีมากเลยนะคะที่รอดมาได้ ตอนแรกอาการคุณโคม่า หยุดหายใจชั่วขณะต้องปั้มหัวใจกันตั้งหลายรอบ คำตอบของพยาบาลทำให้อัจฉริยาเข่าอ่อน

    ฉัน ...ฉันตายแล้วเหรอ ...แล้ว เด็กคนนี่หละ ...ตายด้วยรึเปล่า งั้นที่เราพบเธอก็ในความฝันนะซิ อัจริยายิ่งคิดก็ยิ่งอ่อนล่า สวรรค์กำลังคิดอะไรกันอยู่? แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? อัจฉริยาตกตะลึงกับคำตอบ ไม่รู้ว่าจะร้องให้ลั่นโรงพยาบาลหรือยิ้มเยาะให้กับชีวิตและโชคชะตาบ้าบอที่เล่นตลกกับเธออย่างร้ายกาจ ดีกว่ากัน

    “ปัญจา... ปัญจา ยังไม่ทันที่อัจฉริยาจะทันได้กล่าวโทษดินฟ้าอย่างที่เธอตั้งใจเสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนรนของคนสองคนทำให้เธอต้องหลุดออกมาจากความคิด 

    เป็นไงบ้างลูก คุณหมอโทร. ไปบอกพ่อกับแม่ว่าลูกช็อกในห้องน้ำ โถลูกแม่...” นางกัลยากล่าวอย่างเร่งร้อนใจพลางใช้มือสัมผัสตามหน้าตาของบุตรสาวอย่างอ่อนโยนแล้วสวมกอดอย่างรักใคร่

    “พ่อเป็นห่วงแทบแย่ ...”  นายจักวาลกล่าวอย่างเป็นห่วงแล้ววางมือลงที่หัวของเธออย่างแผ่วเบาคล้ายให้กำลังใจ

    “เออ... คือ...” อัจฉริยารู้ในทันทีว่าพวกเขาสองคนเป็นใคร จากที่ฟังและดูแววตาที่แสนจะห่วงใยก็น่าจะเป็นพ่อและแม่ของเด็กคนนี่ จะน่าสงสารแค่ไหน? จะเสียใจแค่ไหน? ถ้ารู้ว่าคนที่เป็นที่รักตายจากไป เธอรู้ซึ่งถึงความรู้สึกนั้นดีเพราะเธอก็เคยสูญเสียมาก่อน ปากที่คิดจะเอ่ยความจริงก็จำต้องกลืนมันลงคอไปอย่างยากเย็น เพราะถ้าเธอบอกความจริงพ่อแม่ของเด็กคนนี้ต้องเสียใจมากที่ใครก็ไม่รู้มาอยู่ในร่างลูกของเธอแล้วถ้าหากว่าพวกเขาไม่เชื่อจะหาว่าเธอบ้านั้นไม่แย่กว่าเหรอ แต่เธอจะทำยังไงดีให้ไม่เป็นที่สงสัย อัจฉริยาไม่ต้องใช้สมองส่วนอัจฉริยะ(ถ้ามันยังมีอยู่นะน่ะ) คิด ก็รู้ว่าต้องโกหกเอาตัวรอดไปก่อน ส่วนข้อมูลต่างๆ ถ้าอยากรู้อย่างละเอียดคงต้องสืบหาที่หลังมันคงไม่ยากสำหรับเธอเลย  บางทีเธออาจจะต้องการความช่วยเหลือ ถ้าถึงเวลานั้น ฉันคงจะต้องทวงบุญคุณกับแกบ้างแล้ว หละ นที เพื่อนรัก

    -------------------------------------------------------

    อาการสะดุ้ง เสียวสันหลังวาบนี้มันอะไรกัน “...รึว่า”  นทียกมือขึ้นมาไหว้ลมไหว้แล้งรอบตัว

    “ไอ้เพชร ฉันรู้ว่าแกมีฉันเป็นเพื่อนคนเดียว ....ฉันรู้ว่าแกคิดถึงฉัน ฉันก็รักแล้วก็คิดถึงแกนะ  แต่....ไม่ต้องมาหาฉันหรอกนะ  ในฝันก็ไม่ต้องมา แล้วฉันจะทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้  สาธุ...สาธุ...สาธุ”  นทีบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงระแวงหลับตาปี๋

    “พุทโธ  ธัมโม  สังโฆ ......”

    “....ผมพึ่งรู้นะว่าคนอย่างผู้หมวดนทีสุดเท่ กลัวผีผผผผ  !!! กับเขาด้วย ฮาฮาฮา” จ่าจ้อยหัวเราะร่วน

    “หยุดเลยนะจ่า ไม่ได้กลัว  เขาเรียกเป็นห่วง กลัวเขาเหนื่อย...” นทีตอบเสียงอ่อย

    จ่าจ้อยมองหน้านทีแบบไม่เชื่อ “...เออ...ก็ได้ ฉันกลัว...แล้วไง ก็มันมีความรู้สึกนี่หว่า  ว่าหมวดเพชร ไม่ได้ไปไหนไกล  เหมือนว่าเราจะต้องได้เจอกันอีก ฉันรู้สึกแบบนี่จริงๆ นะจ่า”

    “เฮอะ... จ่าจ้อยฟังแล้วขนลุกตาม ผมว่าเราไปหาน้ำมนต์อาบซักรอบสองรอบก็ดีนะครับหมวด...” สองคนมองตากันเลิกลัก

    ---------------------------------------

    “นางสาวปัญจารีย์   วัฒนาธร ลูกสาวนายจักวาล และนางกัลยา   วัฒนาธร  เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่  วู้!! รวยไม่ใช่เล่น อืม...  ชื่อเล่น ปัญจา อายุ 17 ปี เรียนชั้นม. 5 ...โอ้โหโรงเรียนชื่อดังซะด้วย ...แต่...ทำไมเกรดมันน้อยจังสรุปยัยนี้มันเรียนหนังสือเป็นจริงรึเปล่าเนี้ย” อัจฉริยา กล่าวทบทวนสิ่งที่ตะล่อมถามจากพยาบาลและคนใช้ มาได้ พลางมองเอกสารที่ติดตัวมาเพียงชิ้นเดียวตอนเกิดอุบัติเหตุ สมุด ปพ.6 เปื้อนเลือด หรือระเบียนสะสม ที่บอกคะแนนเกรดพร้อมเกรดเฉลี่ยที่ปรากฎ มันทำให้เธอเซ็งเพราะมันมีแต่เกรด 1 กับ ศูนย์ตัวแดงโร่

    “คุณหนูปัญจาคะอยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ” เมี่ยง คนรับใช้ถามเธอ  ใช่ตอนนี้เธอมาอยู่ที่บ้านของปัญจารีย์หลังจากออกจากโรงพยาบาล เธอใช้เวลาปิดภาคเรียนในการพักฟื้นอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้วโดยการกินแล้วก็นอนพักฟื้นร่างกายให้หายดี แล้วพรุ่งนี้เธอก็ได้เวลาไปโรงเรียนแล้ว   

    “ไม่จ๊ะขอบใจ  แล้ว...คุณกัล เออ...คุณแม่...กับคุณพ่อไปไหน” เธอสอบถามเมี่ยงคนรับใช้ถึงจะอยู่ที่นี่นานแล้วก็ไม่ชินที่จะเรียกซะที  

    “วันนี้คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายไปงานเลี้ยงคะ คุณหนู”  

    “เมี่ยง ...ถามหน่อยซิ เออฉันมีเพื่อนสนิทมาเยี่ยมบ้างไหม” อัจฉริยาลองถามเพื่อจะมีประโยชน์บ้างหากต้องไปโรงเรียนพรุ่งนี้ 

    “ก็มีคุณ แพม  คุณนัตตี้ ค่ะเธอโทรจากเมืองนอกมาถามอาการบ้างค่ะ” เมี่ยงตอบ

    “เหรอ   ...ไปได้แล้วจ๊ะฉันจะนอนแล้ว”    

    “แพม...นัตตี้ เหรอ” อัจริยาพึมพำอย่างใช้ความคิด

    -------------------------------------------------

    “ปัญจา...ลูกแน่ใจแล้วเหรอที่ไม่ให้พ่อเข้าไปส่งข้างใน....” นายจักวาลกล่าว

    “ไม่ค่ะพ่อ” อัจฉริยาตอบอย่างมั่นใจ ทำให้ผู้เป็นพ่อแปลกใจในความมั่นอกมั่นใจที่ลูกสาวสุดที่รักไม่เคยมีมาก่อน มองลูกสาวด้วยความฉงน ตั้งแต่ออกจากโรงเพยาบาลมาลูกสาวก็เปลี่ยนไปหลายอย่างในทางที่ดี คล้ายๆ จะฉลาดขึ้นด้วยนั้นนับว่าดีที่สุด

    อัจฉริยาเดิน เข้าโรงเรียน ตลอดทางมีสายดาหลากหลายความรู้สึกมองตามมาด้วย มันคืออะไรสายตาแบบนั้น คล้ายๆ จะสมเพช นี่ยัยเด็กนี่มันไม่ได้เรื่องขนาดนี้เลยรึงัย ?

    “ว่าไง... ยัยเป๋ เดินได้แล้วนี่ ” เสียงเยอะเย้ยที่ดังฟังชัดและที่แน่ๆ แถวนี่ก็ไม่มีใครนอกจากเธอ อัจฉริยาหันไปเจอคนต้นเสียงที่มาพร้อม”พวก” ใช่พวก 4-5 คน

    “นี่ถ้าฉันเป็นเธอฉันคงไม่กล้ากลับมาที่โรงเรียนอีก ฮาฮาฮา สอบได้ที่โหล่ของชั้น น่าอายจริงๆ”  เด็กพวกนี้ถ้าไม่นับปากคอที่เราะร้ายนับว่าหน้าตาดีที่เดี่ยว เสียแต่ปากนี่แหละ ปัญหาเดิมๆ ที่มักเกิดในโรงเรียนมัธยมคือ การอิจฉานี่แหละ ไม่นึกว่าสมัยนี้มันจะทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมซะอีก  

    “....”  อัจฉริยาไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี ได้แต่ปลง ว่าเด็กหนอเด็ก อืม...มันน่าตบซักเปรี้ยงจริงๆ อัจฉริยา ยืนนิ่งสงบมองพวกเขาอยู่นาน แล้วหันหลังเดินมาเฉย ไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียอารมณ์

    “หยุดนะ หากอัจริยาไม่ฟังเสียงนกกา เธอยังคงเดินต่อไป

    นี่เดี๋ยว ....ไม่ได้ยินที่แมรี่สั่งรึไง  ยัยโง่...” แก๊งเด็กน่าตาดียังเรียกเธออีกอย่างสนุกครึกครื้น

    “ยัยโง่... ยัยโง่... ยัยโง่...”  ไอ้คำนี่ฟังแล้วมันจี๊ดเลย เด็กนี้ถ้าจะโง่จริงแฮะ อัจฉริยาคิด สงสัยต้องหาทางสยบคำว่า “ยัยโง่”  นี่ให้เงียบลงซะที แล้วก็คงต้องแสดงให้พวกนี้รู้ซะแล้วว่าคนอย่างฉัน ร้อยตำรวจเอกอัจฉริยา   ปรีดาพงษ์   ไม่เคย  “โง่”

    ------------------------------------

    “วันนี้เป็นไงบ้างคะลูก” กัลยาถามลูกสาว

    “ก็ดีคะ... คุณ...แม่” อัจฉริยาดอบอย่างไม่ชินนัก

    “แต่แม่ดูหนูเหนื่อยๆ นะลูก” คุณกัลยาถามบุตรสาวด้วยความห่วงใย

    “ก็มีปัญหานิดหน่อยที่โรงเรียนค่ะ หนูแก้ไขได้...” ก็จะให้บอกอย่างไร ตั้งแต่เช้าเธอต้องรบรากับพวกแก๊งยัยแมรี่จอมวีน  ต้องวิ่งวุ่นแก้ศูนย์เยอะแยะที่แดงโร่มานานของปัญจารีย์ และเรื่องหยุมหยิมอีกจิปาถะที่ต้องโกหกให้เนียนกับเพื่อนสนิทอีกสองคนยัยแพม กับยัยนัตตี้อีก  คิดแล้วก็แค่นิดหน่อยเอง ฮือๆๆๆๆๆ

    “ลูก... ดูเข้มแข็งขึ้นนะ...” คุณกัลยาตัดสินใจเอ่ยออกมา “แม่ดีใจที่ลูกโตขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้เอง...”

    “หมายความว่าไงคะ...” อัจฉริยาถามแบบงงๆ

    “ก็...เมื่อก่อนลูกนั่งซึมเป็นวันๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาเวลามีปัญหา มันทำให้แม่กับพ่อเป็นห่วง....”

    “...” อัจฉริยายิ้มแค่นๆ

    “เมื่อก่อนหนูเป็นอย่างไรค่ะ” อัจฉริยาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

    “ลูกเป็นเด็กน่ารักถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีหัวด้านการเรียน   แต่ลูกทำอาหารกับ เล่นดนตรี เก่งมากมันเป็นสิ่งที่ลูกของแม่ทำได้ดี แต่ลูกชอบคิดว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง แต่รู้ไหม แม่ภูมิใจในตัวลูกที่สุด” คุณกัลยาพลางสวมกอดบุตรสาวด้วยความรักของแม่ที่เธอมีทำให้อัจฉริยาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เธอโหยหา “อ้อมกอดของแม่”  

    “แล้ววันนี้หนูจะทำอะไรให้แม่ทานดีเอ่ย...”

    “...หา!!” อัจฉริยาเด้งออกมาจาอ้อมกอดกะทันหัน จนนางกัลยาสะดุ้งตาม

    “...อะไรนะคะ!!!   ทำกับข้าว” อัจฉริยาเบิกตาอย่างตกใจ ยังไงดีล่ะที่นี่ ในบรรดาความอัจฉริยะที่มีอยู่ของเธอมันไม่ได้หมายรวมถึงการทำอาหารกับเล่นดนตรีซะหน่อยสิ่งที่คุณกัลยาพูดถึงความสามารถที่ลูกสาวผู้น่ารักของเธอทำได้นั้นเธอทำไม่เป็นสักอย่าง สู้กับคนร้ายยังง่ายกว่าเลย

    “เออ ...หนูว่า”

    “เออ...แม่คะ    ...บ้านที่อยู่ข้างๆเป็นบ้านของใครเหรอคะ” อัจริยาเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ

    เมื่อเธอกลับมาจากโรงเรียนเธอก็ต้องแปลกใจกับการข้นข้าวของอย่างโกลาหลของข้างบ้านทั้งที่บ้านนั้นถ้าจำไม่ผิดมันไม่มีคนอยู่อย่างน้อยก็ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่

    “ข้างไหนเหรอลูก?  อ๋อ...หนูคงหมายถึงบ้านที่พึ่งย้ายเข้ามาใช่ไหม”  ผู้เป็นแม่คิด   “...ก็บ้านของคุณกวิน   กวินพัฒน์ เขาพึ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศมาอยู่กับหลานสาว รู้สึกจะชื่อหนูดา  ทำไมเหรอลูก?”

    “ไม่มีอะไรค่ะ หนูแค่สงสัย...”  

    “ดีเลย ...งั้นพรุ่งนี้แม่ว่าชวนเขามากินข้าวที่บ้านเราดีกว่า เป็นการเลี้ยงต้อนรับเขาด้วย ดีมั๊ย?   ....ดีเลย แม่ว่าดีมากๆ ” คุณกัลป์ยาถามเอง ตอบเองอย่างร่าเริงลืมเรื่องอาหารเสียสนิท

    ...ยังไม่ทันที่อัจฉริยาจะตอบหรือคัดค้านสิ่งใด ผู้เป็นแม่ก็หุนหันออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบ เพราะมันไม่มีประโยชน์เพราะถ้าคุณกัลยาเธอตัดสินใจแล้ว มันถูกต้องเสมอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×