คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อยู่ไม่ได้แล้ว
บทที่ 1 อยู่ไม่ได้แล้ว
ก็อกๆๆๆ .... เสียงเคาะประตูดังรัวระงมทั้งบ้านที่กำลังจะมีพิธีการสำคัญที่เป็นที่กล่าวขานถึงสาเหตุของงาน ในครั้งนี่
“บัว ยัยบัว นี่ยัยบัว เปิดประตูให้ป้าเดี๋ยวนี้นะ ได้ยินที่ป้าเรียกไหม” เสียงของเจ้าของบ้านวัยสี่สิบปลายตะโกนโหวกเหวกให้ผู้ที่มีศักดิ์เป็นหลานในปกครองเปิดประตูห้อง
“ไม่ค่ะคุณป้า” เสียงตอบกลับมาเด็ดขาดไม่แพ้กัน
“ไม่มีทางที่บัวจะยอมทำในสิ่งที่คุณ
“นี่แกจะตะโกนโวยวายทำไม อายแขกเรื่อของฉันบ้างซิ แล้วนี้ก็วันแต่งงานของแก เสี่ยเขารึก็อุตส่าห์จัดงานซะใหญ่โตแต่งแกออกหน้าออกตา แก่จะเอาอะไรอีก”
“จะให้บัวแต่งงานกับไอ้เสี่ยทุเรศนั้นเพื่อที่จะเป็นเมียน้อยมัน ฝันไปเถอะ ถ้าคุณป้ากลัวขายหน้าก็ให้พี่รตีไปแต่งเองซิ ทำไมต้องเป็นบัว”
“หนอย นังเด็กดื้อ... ก็ถ้าเสี่ยเขาเลือกยายรตีป่านนี้ฉันไม่มานั่งง้อแกหรอกยัยบัว”
“อ้าว คุณแม่” เสียงดังมาจากด้านหลังของคุณนายรำไพ
“พูดแบบนี่ได้ยังไง ไม่เอานะ รตีไม่แต่งกับไอ้เสี่ยบ้ากามนั้นหรอกนะ” รติรสสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ ตอบอย่างเกรียวกราด
“แต่ว่า ...รตีมีนี่มาด้วย...” รติรสชูพวงกุญแจรวมของบ้านด้วยสีหน้าเย้ยหยันให้คุณนายรำไพ ผู้เป็นแม่ดู
“แกฉลาดได้ฉันจริงๆ ยายรตี” คุณนายรำไพพูดชมลูกสาว
เช้าวันนี่บารวีที่พึ่งจะตื่นนอนขึ้นมายังไม่ทันอาบน้ำก็ต้องตาโตเมื่อได้ยินคำบอกเล่าอย่างจวนตัวเพื่อกันเธอหนีของสองแม่ลูก ที่คิดจะเอาเธอไปเป็นเมียน้อยของเสี่ยเกรียง อายุคราวพ่อที่อ้วน อุ้ยอ้ายลงพุง แถมมีเมียเป็นโหล เพียงเพราะว่าคุณนายรำไพผู้เป็นป้าแท้ๆ ไปติดหนี้การพนันในบ่อนของเสี่ยเกรียง ถึงเธอจะเป็นเพียงเด็กกำพร้าเพราะพ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธออายุเพียง 15 ปี 10 ปีที่อยู่ที่นี่เธอต้องช่วยเหลือตนเองทุกอย่าง เธอต้องทำงานปากกัดตีนถีบก็ว่าได้เพื่อส่งตัวเองเรียนกว่าจะจบปริญญาตรี เธอยังจำได้ดีถึงวันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ วันนั้นเธอทั้งเสียใจกับการจากไปของ พ่อ และแม่ ทั้งหวาดกลัวที่จะต้องมาอยู่กับคนที่เธอไม่เคยสนิทชิดเชื้อแถมผู้เป็นป้ายังไม่ค่อยจะชอบหน้าเธอนักเพราะเธอต้องมาเป็นภาระในการเลี้ยงดูอีกทั้งเธอยังมี รติรสลูกสาวของป้าที่แสนจะร้ายกาจ ชอบเยาะเย้ย ว่าเธอเป็นลูกกำพร้า แต่ไม่อยู่ก็ไม่ได้เพราะเธอไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว ดังนั้นเธอต้องเข็มแข็ง ไม่ทำตัวเป็นภาระของใคร ต้องอยู่ให้ได้ จะอ่อนแอแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป...
บารวีจำต้องช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากบ่วงเวรบ่วงกรรมที่เธอไม่ได้ก่อนี้ให้ได้ ตั้งแต่ที่เธอรู้เรื่องนี้เมื่อเช้าเพราะพิธีที่จัดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัวแถมยังมีแขกเรื่อมากันเต็มบ้าน “ต้องหนี” คำนี้ผุดขึ้นมาจากสมองของเธอทันที หลังจากที่เธอขังตัวเองในห้องมา 2 ชั่งโมงกว่า ละครก็ดูมาเยอะคงต้องเลือกมาใช้ซักวิธีแล้วล่ะ ถึงเธอจะไม่ใช่นางเอกเพราะรู้ตัวดี ถึงเธอจะสวย หน้าหวาน หุ่นก็ดี (หลงตังเองด้วย)ยกเว้นนิสัยนางร้ายแก่นกะลา(อันนี่จริง) ที่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ร่างบางเลือกวิธีปีนระเบียงลงมาอย่างทุลักทุเลกว่าจะลงมาได้
“เปิดเลยยายรตี” เสียงคุณยายรำไพบอกลูกสาวคนสวย
เมื่อเสียงไขประตูดังคลิ๊ก รติรสเปิดประตูอย่างรวดเร็วเพื่อจับตัวคนที่ต้องการ เธอเดินสำรวจรอบห้องแล้วก็ต้องมาหยุดเดินที่ระเบียงทางเดินเมื่อเห็นว่าเปิดอยู่พร้อมทั้งมองออกไปเห็นเป้าหมายที่ตามหากำลังปีนรั้วหลังบ้านอยู่อย่างมุ่งหมั่นที่จะหนีงานแต่งงานครั้งนี้
“คุณแม่แย่แล้วค่ะ” เสียงร้องดังลั่นบงบอกสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
“เกิดอะไรขึ้นยายรตี” คุณนายรำไพร้อนใจรีบตามเข้าไป
“คุณแม่มันกำลังจะหนีคะ” รตีร้องเสียงหลงบอกผู้เป็นแม่
“ไปตามจับมันมาให้ได้ เร็วยัยรตี”
เสียงวิ่งอึกทึก ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวพาหุ่นอุ๊ยอ๊าย พร้อมด้วยบอดี้การ์ดวิ่งตามขึ้นมาด้วยความร้อนอกร้อนใจเมื่อเห็นว่าสายแล้วแต่ทำไมจ้าวสาวยังไม่ลงมาเข้าพีธี
“เกิดอารายขึ้งอาคุณนายรำไพ นี่งังแต่งอั๊วนะ”
“คือ...เอ่อ...คือว่า ยัยบัวหนีไปแล้วคะเสี่ย” คุณนายรำไพตอบเสียงอ่อยกระซิบกลัวความผิด
“อารายนะ” เสี่ยเกรียงตกใจเสียงดัง ลั่นบ้าน
“พวกลื้อไปตามจับอาหนูบัวมาให้ร่าย ไม่ยังงั้ง ลื้อไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่” พร้อมทั้งสั่งให้ลูกน้อง 3 คนไปตามจับตัวเจ้าสาวของเขามาให้ได้ แขกเรื่อที่อยู่ในงานต่างพากันชะเง้อชะแง้มาดูเมื่อว่าที่เจ้าบ่าวเดินลงบันไดมา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผิดเวลามามากแล้ว
“ม่ายมีอารายเจ้าสาวอั๊วยังแต่งตัวม่ายเสร็จเท่านั้งเอง แหะๆ” เขาจำต้องแก้ตัว
“อาหนูบัว...นะอาหนูบัว อย่าให้จับได้เชียวนะ...” เสี่ยเกรียงคาดโทษ
“วิ่ง... วิ่ง ไปทางไหนดี บารวี” บารวีพยายามวิ่งแม้ว่าเธอจะเหนื่อยจนก้าวขาไม่ออกจน บารวีพยายามคิดหาทางหนี ทั้งที่ใจเต้นแรงด้วยความกลัวและเหนื่อยหอบเธอไม่รู้จะไปทางไหนดี ตอนที่เธอหนีมันจวนตัวไปเสียหมดไม่มีอะไรติดตัวเลย แม้แต่รองเท้าเธอยังอยู่ในชุดนอนด้วยซ้ำดีที่เธอใส่ชุดนอนเป็นกางเกงไม่งั้นการหนีครั้งนี้คงทุเรศกว่าที่เธอคิดไว้
บารวีวิ่งหัวซุกหัวซุนเลี้ยวทุกซอยที่เธอคิดว่าจะรอด แต่...
“นั้นไง ” ลูกน้องของเสี่ยเกรียงร้องตะโกนบอกคุณนายรำไพ และรติรสที่วิ่งกระหืดกกระหอบตามมาติดๆ
“แย่แล้ว!!!” บารวีหันหลังกลับไปมองด้วยความตกใจออกแรงวิ่งสุดความสามารถรวบรวมกำลังที่มีอยู่วิ่งให้เร็วและต้องไปให้ไกลที่สุดพลันหางตาเหลือบไปเห็นรถ ยี่ห้อดังราคาแพงจอดอยู่ข้างทางบารวีไม่รอช้าวิ่งเข้าไปหลบข้างรถพลางลองเปิดประตู เสียงประตูรถที่เปิดออกดังเสียงระฆังจากสวรรค์มาโปรด เธอไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นไปหลบพร้อมปิดประตูอย่างเบามือ
“ไหน...อยู่ไหน” คุณนายรำไพรีบถามอย่างเหนื่อยหอบพ่ายแพ้สังขารที่ใกล้ห้าสิบ
“ไม่เห็นมีเลยค่ะ...คุณแม่...มันหาย...ไปแล้ว” เสียงพูดขาดเป็นห้วงๆ เพื่อเว้นระยะหายใจของรติรส
“ทำยังไงดี...ค่ะคุณแม่”
“จะทำยังไง...ก็ไปตั้งหลักที่บ้านก่อนซิยะ” คุณนายรำไพ ตอบกลับมาอย่างหัวเสียระคนหวั่นวิตก
เสียงฝีเท้าเดินมายังรถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนักแล้วเปิดประตูสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมที่จะเคลื่อนที่
ภูชนะหลังจากออกจากร้านประจำที่ต้องแวะทุกครั้งเมื่อมาทำธุระที่กรุงเทพฯ และเอาของที่ป้าอุ่น ญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขาฝากมาให้จันทร์จินดา หรือจีด้าเพื่อนที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกาของเขา
“ทำไงดีหล่ะ ออกไปตอนนี่ก็ไม่ได้ คงต้องรอให้รถวิ่งไปซักพัก ” บารวีคิด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนที่เขากำลังจะออกรถ ชายหนุ่มส่งยิ้มละไมให้กับโทรศัพท์เมื่อเห็นว่าใครโทร. มา “ครับป้า ...ครับผมส่งให้กับมือจีด้าเลย... ผมคิดว่าจะกลับไร่วันนี่ ...ครับผมจะระวัง ...ครับ”
“...กลับไร่” บารวีอุทานเบา อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าเขาคงไม่ใช่โจร แต่เป็นชาวไร่อะไรซักอย่าง
ในความเงียบและความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถที่กำลังวิ่งไปผสมกับความเหนื่อยล้าจากการออกแรงคิดหนีและต้องใช้กำลังในการวิ่งทำให้บารวีเผลอหลับไปอย่างง่ายดายไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ไกลแค่ไหนแล้ว
บารวีลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียยืดตัวเผลอบิดขี้เกียจลุกขึ้นมานั่งที่เบาะหลังอย่างเมื่อยขบก่อนที่จะต้องตกใจกับเสียงเบรกรถอย่างกะทันหันจนตัวเธอพุ่งไปข้างหน้ารถหัวกระแทกกับคอนโซนหน้ารถเข้าอย่างจัง
ภูชนะ ชายร่างสูงผิวเข้มเจ้าของ“ไร่กลางภู” ไร่ส้ม กลางหุบเขาอันเงียบสงบในจังหวัดทางภาคเหนือ ภูชนะเข้ามาทำธุระในกรุงเทพฯ ได้หลายวันแล้ววันนี่เขาแวะเอาของฝากจากป้าอุ่นมาให้เพื่อนสนิท และกำลังจะกลับไร่ เขาขับรถมาเพียงคนเดียวจนตอนนี่เวลาใกล้ค่ำเต็มทีพลันต้องตกใจคิดว่าเป็นผีหลอกเมื่อจู่ๆ กระจกหลังมีภาพผู้หญิงสวมชุดนอนผมเผ้ายุ้งเหยิงโผล่ขึ้นมานั่งที่เบาะหลังจนต้องเบรกรถกะทันหันจนตัวโก่งทำให้คนที่อยู่เบาะหลังพุงตัวมาข้างหน้าจนหัวโขกกับคอนโซนรถสลบไป หลังจากรวบรวมสติได้และพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ผี ภูชนะพลิกตัวหญิงสาวขึ้นมาสำรวจ วงหน้าหวานที่ซีดเซียวมีเลือดไหลเพราะหัวแตกทำให้ภูชนะร้อนใจกลัวว่าเธอจะมีอันตรายเขารีบพาเธอเข้าโรงพยาบาลทันที
-------------------------------------
“ไม่ร่าย” เสียงอันดังก้องของเสี่ยเกรียงที่ตวาดลูกหนี้สองแม่ลูกที่กลับมาพร้อมลูกน้องของเขาทั้งที่หาตัวบารวีไม่พบ แล้วยังมาขอให้เลิกล้มงานแต่งที่เขาสู้ลงเงินเป็นแสนจัดขึ้นมาเพื่อบารวี
“อั๊วะจ่ายเงิงเป็งแสงๆ จาให้ล้มเลิกงาน พวกลื้อคิดร่ายยังงาย ขายขี้หน้าเขาตายเลย” เสี่ยเกรียงเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายร้อนใจ
“แขกเต็มงาง ไม่รู้ล่ะยังไงวังนี้อั๊วะก็ต้องร่ายแต่ง พวกลื้อเลือกเอาจะแต่งรึนอนข้างถนน” เสี่ยเกรียงยืนคำขาด
“แต่เสี่ยคะ เจ้าสาวไม่มีแล้วเสี่ยจะแต่งยังไง” คุณนายรำไพเอ่ยทัดทาน
“ลูกสาวลื้อไง อั๊วะไม่ถือที่ลูกลื้อจะมาเป็งเจ้าสาวขั้งเวลาให้อั๊วะ ...คิดให้ลีลีนะอารำไพอั๊วะให้เวลาลื้อ 20 นาที แต่งตัว อั๊วะจะไปรอข้างล่าง” เสี่ยเกรียงเดินออกไปอย่างหงุดหงิดหัวเสียเมื่องานแต่งของเขาไม่เป็นอย่างที่หวัง
“คุณแม่ ไม่นะคะ คุณแม่อย่ายอมนะคะ” รติรสโวยวายเสียงดังไม่พอใจ
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง บอกซิจะให้ฉันทำยังไง” คุณนายรำไพ โวยกลับอย่างสติแตก
“เพราะนังบัวคนเดียวที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้” รติสรสกล่าวโทษอย่างเจ็บแค้น
--------------------------------------------
ความคิดเห็น