ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพเพซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 54


     บทนำ

    “หยุด!!   อย่าขยับ!! เสียงออกคำสั่งของร่างบางท่าทางเชื่อมั่นในตนเองที่ยืนถือปืนพร้อมที่จะยิง คนร้ายข้อหาโจรกรรมเพชรกลางงานจัดแสดง ที่เธอวิ่งไล่ล่าจนมาจนมุมที่ลานจอดเครื่องบินชั้นบนสุด ของโรงแรมชื่อดังกลางเมือง

    “สมแล้วที่เป็นเพชรยอดมงกุฎของกรมตำรวจ ผู้หมวดอัจฉริยา”  อัจฉริยา นิ่วหน้าไม่ชอบใจนักกับฉายาที่ใครๆชอบเรียก  

    ตำรวจวิ่งเข้ามาล้อมเพื่อควบคุมตัวคนร้ายหลังจากการขับกุมใส่กุญแจมือไพล่หลัง   ก่อนที่จะถูกพาออกไปจากที่เกิดเหตุพลันดวงตาชายในชุดสูทสีดำสบตากับดวงตากลมโตฉายแววฉลาดที่จ้องอยู่ก่อนแล้วด้วยความเย็นชา

    มิสเตอร์. ที หรือ วิลเลียม  ไทรทัน  มองกลับมาด้วยสายตาเกรียวกราด ยังหรอก  ...มันยังไม่จบแค่นี้ เราต้องได้พบกันอีก คำพูดทิ้งท้ายของนักโจรกรรมที่วางแผนขโมยเพชรในครั้งนี้  นี่ไม่ใช่คดีแรกที่เขาทำ  แต่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนจับได้ต่างหากเขาประเมินเธอต่ำไป  ต่ำไปจริงๆ “อัจฉริยา...”

    -------------------------------

    “ไง ผู้หมวดเพชรคนเก่ง” เสียงทักแบบกวนๆ ของเพื่อนตำรวจ

    อัจฉริยาหยุดยืนอยู่ข้างรถของตัวเองที่มีต้นเสียงยืนพิงอยู่  แล้วมองหน้าเพื่อนชายคนสนิทอย่างรู้ทัน

    ...นายคงไม่มาหาฉันแน่ ถ้านายไม่มีเรื่อง นที 

    “แหะ แหะ  ก็เรื่องเดิมๆ...” นทีบอกเพื่อนสาวคนสวยแถมรู้ทันเขาทุกเรื่อง เขาเคยคิดที่จะจีบเธอแต่ด้วยความเก่งและอัจฉริยะสมชื่อไปซะเกือบทุกเรื่องไม่ว่าจะด้านสมอง โดยเฉพาะด้านการต่อสู้อย่าได้คิดสั้นไปสู้กับเธอเชียว  มันเลยทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจเพราะเขาไม่มีอุดมการณ์มีเมียฉลาดและเก่งกว่าและยังไม่อยากตายก่อนได้เมียครบร้อยคนตามที่ตั้งใจฉะนั้นการเป็นเพื่อนกันท่าจะดีที่สุด

    “ฉันไม่ว่าง ฉันขอบาย...” อัจฉริยาตัดบทอย่างไร้เยื่อใยแล้วเปิดประตูรถ

    นี่แกใจดำกับฉันขนาดนี้เลยเหรอไอ้เพชร  นทีอ้อนวอน จับประตูรถไว้ทันก่อนที่จะมันปิดโอกาสเขา 

    ฉันเหนื่อยต้องการพัก  ... มีอะไรพูดกันพรุ่งนี้ โอเค้? อัจฉริยาชิงปิดประตูก่อนที่นทีจะทันได้คัดค้านแล้วขับรถออกไปจากโรงแรมที่เกิดเหตุไม่คิดที่จะฟังเสียงเรียกของเพื่อนรักอีก

    -----------------------------------

    “ยัยโง่” คำนี้ฝังอยู่ในใจของปัญจรีย์ สาวน้อยวัย 17 ปี มาเนิ่นนาน

    “ฮือๆ ๆ ฉันนี้โง่อย่างที่ใครเขาชอบว่าจริงๆ ...ฉันมันโง่ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จแค่สอบให้ผ่านก็ทำไม่ได้ ฮือๆ ๆ”  

    วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบที่โรงเรียน ปัญจรีย์ร้องไห้กอดกระเป๋าที่ใส่ใบเกรดไว้แน่น เดินไปตามทางเท้าข้างถนนยามเย็นอย่างท้อแท้ เธอถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนูลูกคนเดียวของนายจักวาลและนางกัลยา   วัฒนาธร เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ พ่อและแม่ตั้งความหวังไว้ที่เธอสูงมากแต่เธอก็ทำให้ทั้งคู่ผิดหวังเป็นประจำเพราะเธอเรียนไม่เก่งเข้าขั้นโง่เลยที่เดียวถึงพ่อกับแม่จะไม่ว่าอะไรแต่เธอก็รู้ว่าท่านทั้งสองผิดหวังมากแค่ไหน แถมที่โรงเรียนเธอต้องทนถูกเพื่อนล้อ ว่า “ยัยโง่”  ประจำมันทำให้เธอศูนย์เสียความมั่นใจ  นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอสอบได้เกรดแย่ๆ พ่อกับแม่ของเธอจะเสียใจและผิดหวังมากแค่ไหนเธอจะทำยังไงดี

    เอี๊ยด !!!    เสียงเบรกดังสนั่นหวั่นไหว  โครม !!!! 

    “ฉันอยู่ที่ไหน??”  

    ผู้หมวดสาวคนสวยร้องขึ้นมาอย่างสงสัย ทันทีที่เธอลืมตามาพบกับสถานที่ที่เธอไม่คุ้นเคย เธอหันรีหันขวางมาหาสิ่งที่จะบอกเธอได้ว่าที่ที่เธออยู่คือที่ไหนแต่ก็จนปัญญา เธอพยายามเค้นสมองอันแสนฉลาดนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่เธอทำ เธอจำได้ว่าเธอกำลังขับรถออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วเพื่อหนีคำขอร้องให้ไปเป็นไม้กันหมาของเพื่อนรัก ในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้าน  อัจฉริยากำลังคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเธอในการก้าวตามความฝันที่อยากเป็นตำรวจ จนถึงเหตุการณ์ที่เธอต้องสูญเสียครอบครัวคนสุดท้าย คือพ่อของเธอด้วยโรคหัวใจเมื่อ 3 ปีก่อน ส่วนแม่ตายตั้งแต่เธอยังเด็กเพราะถูกลูกหลงตอนโจรปล้นร้านทองซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นแรงผลักดันให้เธอมายืนจุดนี้   ขณะกำลังคิดพลันสายตาก็มองเห็นเด็กนักเรียนหญิงที่อยู่ๆก็เดินมาตัดหน้ารถของเธอ  อัจฉริยาเหยียบเบรกกะทันหันและพยายามหักพวงมาลัยรถหลบ  แล้ว โครม!!!!  นั้นคือเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยิน  พลันก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น  อัจฉริยาเริ่มสำรวจร่างกายว่าเธอเป็นอย่างไรบ้างแต่น่าแปลกที่เธอเจออุบัติเหตุขนาดนั้นแต่เธอไม่ยักเป็นอะไรเลย  แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ? ทำไมไม่อยู่ที่โรงพยาบาล  สายตาของเธอมองสำรวจสถานที่อันแสนแปลกเพราะสิ่งที่เธอเห็นมันขาวโพลนไปหมดเหมือนสมองเธอตอนนี้ไม่มีผิดเลย

    “อย่ามองหาเลย”  เลยใสกังวานดังมาจากด้านหลังของเธอ  “ไม่มีประโยชน์ที่จะมองหา”

    อัจฉริยาหันหน้ามาทันที่ “เธอเป็นใคร ?  หรือว่าเธอ!  ...เธอคือเด็กคนที่เดินตัดหน้ารถฉันนี้นา..... ใช่ ...ใช่จริงๆ ด้วย”

    เธอได้รับบาดเจ็บบ้างไหม? อัจฉริยาถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมทั้งสองสำรวจอาการของเด็กสาวตรงหน้า

    “....”    

    “ฉันมีเวลาคุณกับคุณได้ไม่นานเขาไม่อนุญาต แต่ฉันมีเรื่องจะขอร้องให้คุณช่วย ได้โปรด...” สาวน้อยกล่าวขอร้องโดยไม่สนใจกับคำถามเหมือนมันทำให้เธอเสียเวลาอันมีค่า

    “...”     อย่างที่ใครๆ ชอบว่าจริงๆ เลย”----"-----ที ้เธอต้องหลุดออกมาจากความคิดลายรอบคุณดชคอัจฉริยา งงกับอาการของสาวน้อยตรงหน้าที่เธอไม่รู้จัก อายุไม่น่าจะเกิน 17 – 18 ปี จากการคาดเดา

    “ได้โปรดรับปาก ” สาวน้อยเร่งเร้าผู้สูงวัยกว่า

    “...ก็ได้  ก็ได้  ว่ามา ...ถ้าฉันช่วยได้” เธอรับปากแบบเซ็งๆ ระคนงงๆ

    “ชีวิตของฉันที่เหลืออยู่ฝากให้คุณช่วยสานต่อด้วยนะคะ ฉันคิดว่าคุณคงทำได้ดีกว่าฉัน ฝากด้วยนะคะ” สาวน้อยมองขึ้นไปข้างบนคล้ายสบตากับใคร อัจฉริยามองตามแต่เธอไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า

    “หมดเวลาของฉันแล้ว” อัจฉริยาหันกลับมามองที่หน้าของเด็กสาว

    “ต้องไปจริงๆ ซะที ขอบคุณนะคะ  ลาก่อน” เสียงนั้นแผ่วเบาลง พร้อมร่างที่ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ

    “...อะไร เกิดอะไรขึ้น อย่าพึ่งไป เดี๋ยวก่อน!!!....” ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรมากกว่านี้ก็มีแรงดูดจากที่แสนไกลทำให้เธอซวนเซไปในทิศทางของแรงดึงดูดอันมหาศาลที่มาพร้อมเสียงร่ำไห้ร้องเรียกชื่อใครสักคน  แน่นอนว่ามันไม่ใช่ชื่อเธอ แล้วใครหละที่เรียก !!

     

    “จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้กรมตำรวจไทยสูญเสียบุคลากรอันมีค่ายิ่งที่ได้รับขนานนามว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎแห่งกรมตำรวจ ร้อยตำรวจเอกอัจฉริยา  ปรีดาพงษ์ ผู้หมวดยอดอัจฉริยะผู้ที่สามารถไขคดียากๆ ได้อย่างง่ายดาย......”

    อัจฉริยากำลังสะลึมสะลือจากฤทธิ์ยาและอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้ยินเสียงผู้รายงานข่าวสถานีชื่อดัง

    “ใครตาย ? ฉันเหรอ? ฉันยังไม่ตายซะหน่อย   ข่าวมั่วอย่างนี้ รายงานได้ยังไง” อัจฉริยาคิดในใจอย่างเหนื่อยล้าแล้วยกแขนค้ำพยุงตัวเพื่อที่จะลุกขึ้นนั่งด้วยคิดว่าไม่ได้เป็นอะไร 

    “โอ๊ย!!  เจ็บเป็นบ้าเลย ” อัจฉริยาสถบออกมาเสียงแผ่วเบา  

    “ฟื้นแล้วเหรอคะ อย่าพึ่งขยับตัวนะคะยังไม่หายดี เดี๋ยวคุณหมอจะมาดูอาการนะคะ” เสียงพยาบาลสาวเฝ้าไข้ปลอบใจอย่างใจดีพร้อมทั้งกดสัญญาณเรียกคุณหมอ

    “อาการดีขึ้น นะครับ สมองที่ได้รับความกระทบกระเทือนตอนที่กระแทกจากการเช็คสมองโดยละเอียดไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมีเพียงแผลศีรษะแตก และขาหักเท่านั้นครับ” คุณหมอบอกอาการของเธอกับชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่ง อัจฉริยาปรือตาขึ้นมาดูอย่างยากลำบากเพราะฤทธิ์ยาแก้อักเสบที่พยาบาลฉีดให้ มันทำให้เธอง่วงจนไม่อาจฝืนทนแต่เธอก็ฝืนเพราะต้องการจะรู้ว่าพวกเขาเป็นใครดูจากการแต่งตัวดูมีฐานะ จากการสันนิฐานทั้งสองคนอาจจะเป็นผู้ปกครองของเด็กที่เธอขับรถชน แต่พวกเขามาทำอะไรที่นี้ ? คิดได้เท่านี้อัจฉริยาก็ต้องยอมแพ้ความง่วงที่ถาโถมเขามา  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×