ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Attack On Titan Fan fic: Libido

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1: Snow White

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 59


    Libido

    Chapter 1: Snow White

     

    ปุ ปุ ปุ

    เสียงไม้ปัดฝุ่นดังเป็นจังหวะเคล้าคลอกับทำนองฮัมเพลงในลำคอของเด็กหนุ่ม อาจจะเรียกได้ว่าทั้งเป็นเรื่องที่โชคดีและโชคร้ายที่เจ้าของร้านขายของเก่าแห่งนี้เป็นคนรักความสะอาด แม้จะเป็นจองเก่าแต่ของทุกชิ้นเขาบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าไม่ไรฝุ่นติดแม้แต่น้อย ก็เพราะว่าคนรักษาความสะอาดอย่างท่านรีไวจะคอยตรวจเช็คความสะอาดของร้านอยู่ทุกเช้า ไม่เพียงตรวจด้วยสายตาแต่ถุงมือสีขาวที่ชายหนุ่มสวมใส่จนเจนตานั่นเป็นเครื่องมิอย่างดีที่ช่วยตรวจสอบความสะอาดในแต่ละวัน บางทีอดสงสัยไม่ได้ว่าถุงมือที่สวมใส่คงมีไว้เพื่อการนี้ และเพราะอยู่ด้วยกันทำให้เอเลนต้องคอยดูแลเรื่องความสะอาด เรียกว่าเขาหมดเวลาไปกับการทำความสะอาดร้านมากกว่าการขายของในร้านก็ว่าได้

    หลังจากใช้ไม้ปัดฝุ่นจัดการเรียบร้อย เอเลนจึงใช้ผ้าผืนเล็กชุบน้ำหมาดๆเช็ดซ้ำ แล้วจัดการต่อด้วยการใช้ผ้าแห้งเช็ดเพื่อไม่ให้เป็นคราบน้ำอยู่บนสินค้า ก่อนจะตบท้ายด้วยการลงน้ำยากันฝุ่นและขัดเงา ถึงแม้จะมีหลายขั้นตอนแต่ด้วยความเคยขิน และเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือเบื่อหน่ายที่ต้องทำความสะอาด อีกทั้งยังทำได้ดีจนเป็นที่พอใจของเจ้าของร้าน เวลาว่างของเอเลนจึงหมดไปกับการทำความสะอาดเสียส่วนใหญ่

     

    “เธอนี่ช่างทำตัวเป็นเจ้าสาวที่ดีของรีไวจังเลยน๊า….

    เสียงที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้คนกำลังทำงานเพลินๆถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปค้อนมองเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยพลางถอนหายใจ

    “คุณฮันซี่ ช่วยเข้ามาทางหน้าร้านแบบปกติบ้างสิครับ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นมองคนรุกรานที่ชอบบุกเข้ามาทางหน้าต่างของร้าน อีกทั้งยังมีของในร้านเขาอยู่ในอ้อมแขนราวกับนักย่องเบา

    “ถ้ามาทางหน้าร้านปกติ ฉันก็ไม่ได้เห็นสิว่าพวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่ บางทีฉันอาจได้เจอสภาพดูไม่ได้ของหมอนั่นบ้าง เผื่อเอาเป็นข้อต่อรองข่มขู่ได้บ้าง”

    คนรุกรานเอ่ยอย่างสนุกโดยไม่มีท่าทีจะสำนึกว่าที่ทำอยู่นั้นเขาสามารถฟ้องข้อหาบุกรุกได้ แต่คงเพราะเป็นคนรู้จักของท่านรีไวมานาน เขาถึงปล่อยให้เข้ามาวุ่นวายในร้านโดยไม่คิดจะไล่ออกไป ถ้าไม่มีคำสั่งของเจ้าของร้าน อีกทั้งเอเลนก็รู้สึกว่าคุณฮันซี่ไม่ใช่คนเลวร้าย แต่เป็นคนที่แปลกอยู่สักหน่อย

    “วันนี้ท่านรีไวไปข้างนอกอีกสักพักคงกลับมา จะอยู่รอพบไหมครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางถือโอกาสจัดการเอาของในอ้อมแขนของคนบุกรุกกลับคืนที่เดิมโดยไม่สนสายตาที่มองมาอย่างเสียดายของฮันซี่ พอเจ้าของร้านไม่อยู่ที่ไร คนคนนี้ชอบที่จจะมาฉวยโอกาสขโมยของให้ได้ทุกที

    “วันนี้ฉันแค่ผ่านมาไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยน หมอนั่นคงไม่อยากเจอเท่าไร” ฮันซี่ยังคงมองของแต่ละชิ้นที่ถูกพรากไปไม่วางตา

    “ถ้างั้นจะดื่มชารึเปล่าครับ?” เอเลนถามพลางแบมือให้อีกฝ่ายที่เลิ่กคิ้วเป็นเชิงถาม

    “ขนนกฟินิกซ์ และผงเขายูนิคอร์นในกระเป๋าเสื้อคลุมของคุณขอคืนด้วยครับ” เอเลนถอนหายใจพลางหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน

    “แฮะ แฮะ ตาไวเหมือนหมอนั่นเลยนะนาย” ฮันซี่หัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะหยิบของจากกระเป๋าเสื้อส่งให้อย่างอิดออด แล้วต้องคอตกเมื่อทุกอย่างในตัวถูกริบไปจนหมด

    “ไหนๆก็ไม่ได้อะไรติดกลับไปแล้ว ฉันขอชาสักถ้วยแล้วกัน” ว่าพลางลงไปนั่งยังเก้าอี้รับแขกเคานท์เตอร์หน้าร้าน

    เด็กหนุ่มรินชาร้อนใส่ถ้วยสำหรับแขกวางให้กับฮันซี่ ไอร้อนของชาทำให้แว่นหนาของหญิงสาวเกิดฝ้า แต่กระนั่นหล่อนก็ไม่ใส่ใจจัดการเป่าความร้อนก่อนจะยกขึ้นจิบอย่างสบายใจ อย่างน้อยชาของร้านนี้ก็รสชาติดีที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ลิ้มลอง

    Diabolus enim et alii dæmones a Deo quidem naturâ creati sunt boni, sed ipsi per se facti sunt mali.

    เอเลนเอียงคอสงสัยกับประโยคที่หญิงสาวเอ่ย

    ฮันซี่เงยหน้ามองเด็กหนุ่ม รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เอเลนไม่คุ้นเคยกับภาษาละตินโบราณ ไม่สิการที่เอเลนไม่รู้ภาษาละตินแบบนี้คงเป็นเพราะเจ้าคนหน้าตายคนนั้น ใบหน้าของฮันซี่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างยียวน

    “เหล่าปีศาจทั้งหลายนั้นถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมาโดยมีความดีตามธรรมชาติ แต่เป็นเพราะตัวมันเองที่ทำให้มันชั่วร้าย…. คำจารึกโบราณภาษาละตินที่ฉันเคยอ่าน นายคิดว่ามันจริงรึเปล่าเอเลน?”

    ใบหน้ามนนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนริมฝีปากบางจะยกยิ้มน้อยๆ

    “ผมว่าคนที่เคยทำสัญญากับปีศาจคงเข้าใจคำตอบมากกว่าผมนะครับ” เพราะเป็นคนที่มาเยี่ยมเยียนนายท่านรีไวเป็นประจำ เรื่องความเป็นมาของหญิงสาวเขาจึงพอรู้อยู่บ้างแม้จะไม่ละเอียดนัก แต่ก็จับใจความได้ว่าในอดีต หญิงสาวเคยขอทำสัญญาแลกเปลี่ยนบางอย่างกับนายท่านรีไว

    ฮันซี่ได้แต่หัวเราะในลำคอกับคำตอบกลับของเอเลน ต้องเรียกว่าสมกับที่หมอนั่นเลี้ยงมา กินกันไม่ลงเลยจริงๆ

     

    กริ้ง

    เสียงกระดิ่งหน้าร้านดึงความสนใจของทั้งสองให้หันไปมอง เด็กสาวผิวขาวผ่องผมสีรัตติกาลเดินเข้ามาในร้านอย่างเก้ๆกังๆ เอเลนผู้เป็นผู้ช่วยเจ้าของร้านจึงเข้าไปทักทายด้วยอัธยาศัยดี

    “สวัสดีครับคุณลูกค้า มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าฮะ?” เอเลนยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรให้กับเด็กสาว

    เด็กสาวแปลกหน้ามีท่าทีประหม่าก่อนจะเอ่ยขอโทษอย่างสุภาพ

    “เออ ขอโทษนะคะ คือฉันเห็นร้านของคุณตกแต่งสวยมาก พอรู้สึกตัวก็เผลอเดินเข้ามาเสียแล้ว” เด็กสาวก้มศีรษะพลางขอโทษ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะซื้อสินค้าใดแต่กลับเดินเข้ามา เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังทำเรื่องเสียมารยาท

    “ไม่ต้องห่วงครับ แค่เข้ามาเยี่ยมชมร้านผมก็ยินดีแล้ว ไหนๆก็มาแล้วเชิญดูได้ตามใจชอบเลยนะฮะ ถ้ามีตัวไหนที่สนใจสามารถสอบถามได้หรืออยากจะเดินดูเฉยๆก็ได้เช่นกันฮะ”

    เด็กสาวหายใจโล่งอก ดูเหมือนพนักงานที่นี้จะใจดีกว่าที่เธอคิด

    “ถ้าไม่เป็นการรบกวนขอเดินชมร้านได้ไหมคะ?”

    “ยินดีครับ ว่าแต่คุณผิวขาวมากเลยนะฮะ”

    เอเลนมองไปยังแขนของเด็กสาวที่โผล่พ้นเสื้อนักเรียนแขนสั้น ผิวของเด็กสาวขาวนวล อีกทั้งเส้นผมที่ดำขลับยิ่งขับให้ผิวของเด็กสาวผ่องยิ่งขึ้น ถึงแม้จะไม่ใช่คนที่มีใบหน้าโดดเด่นอะไร แต่เพราะผิวที่ขาวผ่องจึงทำให้รู้สึกสะดุดตา

    “หลายคนก็บอกว่าฉันมีผิวที่ขาวราวกับเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ในเทพนิยาย” เด็กสาวมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำคลับชำเลืองมองเด็กหนุ่มก่อนจะยิ้มพลางถอนหายใจ

    “แต่เพราะผิวขาวแบบนี้หน้าของฉันจึงดูจืดชืดมาก แม้แต่คุณทั้งที่เป็นผู้ชายยังสวยกว่าเลย แบบนี้คงทำให้เจ้าหญิงสโนว์ไวท์เสียชื่อแน่ๆ” ครั้งแรกที่เธอเห็นเด็กหนุ่มเธอเข้าใจว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อมองใกล้ๆและสรรพนามที่ใช้ทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นเด็กหนุ่มจริงๆ

    “ไม่หรอกฮะ ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ อีกไม่นานคุณต้องสวยงามสมชื่อ บล็องค์ ของคุณแน่นอน”

    บล็องค์มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ เธอจำได้ว่ายังไม่ได้บอกชื่อตัวเองออกไป สายตาแปลกใจของเธอทำให้เอเลนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เด็กหนุ่มจึงชี้ไปยังกระเป๋านักเรียนที่เธอถือเข้ามา

    “บนกระเป๋าคุณมีป้ายชื่อติดอยู่ เพื่อความสบายใจผมขอแนะนำตัวแล้วกันครับ ผมเอเลน ผู้ช่วยเจ้าของร้าน”

    เมื่อเข้าใจกันดีแล้วเอเลนจึงอาสาพาเดินแนะนำส่วนต่างๆของร้านที่จัดไว้เป็นโซน มีทั้งเครื่องประดับที่จัดเรียงตามยุคสมัยต่างๆ หนังสือตำรา ของตกแต่ง นาฬิกา รูปปั้น เสื้อผ้า ไปจนกระทั่งของใช้ประเภทต่างๆ ทุกชิ้นถูกจัดอย่างเป็นระเบียบและหมวดหมู่ อีกทั้งยังดูสะอาดราวกับมีการใช้งานอยู่บ่อยครั้งจนดูไม่เหมือนร้านขายของเก่า ราวกับเธอกำลังเดินอยู่ในร้านที่ตกแต่งสไตล์ยุควิคตอเรีย

    ดูจากภายนอกร้านนี้ไม่น่าจะใหญ่โตเท่าใดนัก แต่บล็องค์รู้สึกว่าทางเดินภายในร้านดูทอดยาวจนน่าแปลกใจ อีกทั้งของต่างๆมากมายที่จัดเรียงราย เธอพยายามก้าวช่วงเท้าให้ยาวและรวดเร็วขึ้นให้ตามทันเอเลน ด้วยเกรงว่าถ้าเธอพลัดหลงกับเด็กหนุ่ม เธออาจหลงทางภายในร้านที่ราวกับเป็นโลกอีกมิติก็ว่าได้

                    ทั้งสองเดินผ่านห้องต่างๆมากมาย แต่ละห้องถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และแสดงถึงช่วงยุคสมัยต่างๆของสิ่งที่อยุ่ภายในห้อง บางห้องประดับตกแต่งราวกับห้องนอนของชนชั้นสูงในยุคกลาง บางห้องจัดวางราวกับปราสาทหิน บางห้องเป็นไม้ที่ให้ความรู้สึกมีมนต์ขลังอย่างประหลาด บางห้องเป็นห้องว่างเปล่าที่ราวกับคอกม้า หรือมีแม้กระทั่งห้องที่ราวกับคุกใต้ดิน บล็องค์เริ่มรู้สึกว่าเธอเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ ที่ช่างแตกต่างกับลักษณะภายนอกที่เธอก้าวเข้ามา ทางเดินที่ปูพรมสีแดงทอดยาวราวกับไม่สิ้นสุดจนทำให้เธอรู้สึกกังวลจนบ่อยครั้งที่เร่งฝีเท้าขึ้นจนเสียงดังและเหมือนคนนำทางจะรู้สึกตัวจึงหยุดเหลียวมองเธอเมื่อแน่ใจว่าเธอยังคงเดินตามเขา เด็กหนุ่มจึงค่อยๆก้าวเดินต่ออีกครั้ง

                    “ต่อไปเป็นห้องเก็บของที่ยังไม่ได้จัดเรียงตามหมวดหมู่ครับ ท่านเจ้าของร้านยังไม่สะดวกที่จะจัดวางจึงนำมารวมกันไว้ที่นี้ บางทีอาจมีของที่คุณสนใจนะครับคุณลูกค้า”

                    เอเลนเดินนำเข้าไปในห้องที่กั้นไว้ด้วนม่านซาตินสีแดงเข้ม บล็องค์รู้สึกว่าห้องนี้เป็นห้องที่ดูธรรมดาที่สุดนับตั้งแต่ที่เธอได้ชมห้องต่างๆมากมายภายในร้าน เรียกได้ว่าเป็นห้องเก็บของปกติที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่สิ่งที่รู้สึกได้เช่นเดียวกับทุกห้องคือ ความสะอาด แม้แต่ห้องนี้แม้เป็นเพียงห้องเก็บของที่ยังไม่ได้จัดหมวดหมู่ของสินค้า แต่พื้นห้องไม้นั่นถูกขัดจนขึ้นเงา ผ้าม่านที่เธอเดินผ่านเข้ามามีกลิ่นหอมของแสงแดดยามเช้า เครื่องเรือนและสินค้าต่างๆจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และถูกขัดจนสะอาดเอี่ยม ยิ่งชิ้นใดเป็นพื้นผิวโลหะยิ่งสะท้อนราวกับกระจก จนนึกไม่ออกจริงๆว่าร้านที่กว้างใหญ่เพียงนี้จะต้องใช้คนทำความสะอาดกี่คนกับการจัดการสิ่งของมากมายขนาดนี้ได้

                    บล็องก์กวาดสายตามองสิ่งของต่างๆ พลันไปสะดุดกับกระจกถือด้ามสีทองประดับด้วยอัญมณีหลากสีสรร เธอจ้องมองอยู่นานจนกระทั่งเอเลนหยิบออกมาจากตู้กระจกตั้งโชว์ส่งให้กับเธอ

                    “ผมคิดว่าคุณคงชอบกระจกนี้”

                    บล็องค์ดึงมือกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะส่งกระจกที่ดูมีมูลค่ามหาศาลให้กับเธอ เด็กสาวมีท่าทีเลิ่กลั่กก่อนจะพยายามพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักด้วยความตกใจ

                    “ของราคาแพงขนาดนี้ฉันซื้อไม่ไหวหรอกค่ะ” แต่เดิมเธอเห็นแค่ว่ากระจกบานนี้สวยสะดุดต้องตาเธอ แต่มูลค่าคงพอๆกับความงามของมันที่เธอไม่อาจเอื้อมถึง อีกทั้งกระจกที่สวยงามขนาดนี้ถ้าต้องมาอยู่กับคนที่แสนจะธรรมดาจืดชืดอย่างเธอคงน่าเสียดาย

                    เอเลนส่องกระจกพลางเอียงหน้ามองอย่างใช้ความคิด เด็กหนุ่มเหลือบมองบล็องค์ที่มีท่าทางเลิ่กลั่กแต่สายตาของบล็องค์ยังคงเปี่ยมไปด้วยความเสียดายเมื่อมองกระจกด้ามงามในมือของเขา ใบหน้ามนยกยิ้มพลันคว้ามือของเด็กสาวพร้อมทั้งวางกระจกใส่ลงบนมือของบล็องก์ก่อนจะจัดการให้เด็กสาวกำด้ามกระจกในมือ

                    “ไว้เธอพร้อมค่อยให้ให้ค่าตอบแทนก็ได้”

                “แต่แบบนั้น ฉันอาจเอาไปโดยไม่ยอมจ่ายคุณเลยก็ได้นะคะ”

                “ไม่ต้องห่วงฉันมั่นใจว่าเรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่”

    อาจเป็นเพราะห้องที่มืดสลัว ชั่วขณะนึงเธอรู้สึกว่ารอยยิ้มของเด็กหนุ่มน่าขนลุกอย่างแปลกประหลาด หรือไม่เธออาจจะคิดไปเองเพราะตอนนี้ใบหน้านั่นก็ส่งยิ้มที่ดูใสซื้อให้กับเธอเหมือนเดิม

    “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมว่าคุณจะต้องชอบมันแน่ๆ ถ้าคุณกังวลใจเพียงแต่ตอนที่กระจกนี้อยู๋กับคุณ คุณช่วยรักษาสัญญาแค่ไม่กี่ข้อกับผมก็พอ”

    “สัญญา?” บล็องค์ทวนคำ อกซ้ายเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ถึงไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรแต่การที่ได้กระจกนี้ไปกับการรักษาสัญญาไม่กี่ข้อนับเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่หอมหวาน

    ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มมองบล็องค์นิ่งงันก่อนก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเกาท้าทอยของตัวเอง

    “ผมจำข้อตกลงไม่ได้ อ๊ะแต่ไม่ต้องห่วงนะฮะ มันจะต้องมีคู่มือการใช้งานอยู่สิน๊า” เอเลนควานของในตู้โชว์ บ้างก้มๆมองๆใต้ชั้นวางและใต้โต๊ะ ของในร้านมีตั้งหลายอย่าง แถมแต่ละอย่างยังมีวิธีการใช้งานที่ต่างกัน นายท่านจะต้องเก็บข้อมูลและวิธีใช้ไว้ที่ไหนสักแห่งแหละน๊า ยังไงคงไม่มีใครจำวิธีใช้งานของเป็นพันๆอย่างได้หมดหรอก

     

    “ห้ามให้ใครอื่นแตะต้องกระจก จงส่องด้วยความรู้สึกที่บริสุทธิ์”

    เสียงทุ้มลึกกังวาลพร้อมกับม่านสีแดงก่ำที่เลิ่กขึ้น ชายหนุ่มร่างสันทัดในชุดราวกับท่านเคานท์ยุคเก่าเดินเข้ามา ใบหน้าคมแสนเฉยชาและดวงตาสีเงินยวงราวแสงของพระจันทร์ยามค่ะคืนให้ความรู้สึกน่าหลงใหลจนบล็องค์รู้สึกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

    “นายท่านกลับมาแล้วหรือครับ ให้ผมเตรียมชาให้ไหม?”

    เอเลนที่กำลังพยายามส่องหาคู่มืออยู่ใต้โต๊ะรีบลุกขึ้นเป็นพัลวันก่อนจะโค้งทักทายชายหนุ่ม จากท่าทางถ้าเธอเดาไม่ผิดชายหนุ่มผมสีเข้มดุจรัตติกาลคงเป็นเจ้าของร้านขายของเก่าที่เด็กหนุ่มเอ่ยถึง

    “กระจกนั่นเธอต้องชอบมันแน่ และมันจะทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง”

    คำที่ฟังราวกับนิทานขนยากจะปักใจเชื่อ แต่สีหน้าและแววตาของเจ้าของร้านนั้นทำให้บล็องค์ร็สึกมั่นใจอย่างไร้ข้อกังขา

    “ความปรารถนางั้นเหรอคะ?” คำทวนซ้ำราวกับย้ำเตือนและเป็นคำถามให้แก่ตนเองไปพร้อมกัน

    รีไวปรายตามองกระจกในมือของหญิงสาวก่อนจะเบนสายตามองหน้าของเด็กสาว

    “เธอคงรู้จักเรื่องเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ในนิทาน กระจกนี้เรียกได้ว่าเปรียบดั่งกระจกวิเศษของราชินี เพียงแต่เธอนำกระจกบานนี้อาบแสงจันทร์ยามค่ำคืน พร้อมส่องมันแล้วท่องมนต์ที่ราวกับต้องสาปของราชินี”

    สายตาของเด็กสาวจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่มไม่วางตา มือกระชับด้ามกระจกแน่นไว้กับอก มนตราอันใดที่ซ๋อนอยู่นี้จะทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงอย่างนั้นหรือ?

    “กระจกเอ๋ย กระจกวิเศษ ผู้ใดงามเลิศในปฐพีเพียงเท่านี้ สิ่งที่เธอปรารถนาจะสมดั่งหวัง”

    เด็กสาวรู้สึกว่าลมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ บล็องค์มองกระจกในมือก่อนจะยกยิ้มน้อยๆหัวเราะออกมา

    “สนุกจังเลยนะคะ ช่างเป็นร้านขายของเก่าที่เข้าใจใช้วิธีขายของ แต่กระจกแพงขนาดนี้ฉันคงซื้อไม่ได้จริงๆ” ถึงจะรู้จักวิธีการขายของที่สรรเรียกลูกค้ามามากมาย แต่ต้องยอมรับว่านี้เป็นวิธีการขายที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา

    “นิทานก็เป็นเพียงนิทาน ไม่สามารถเป็นเรื่องจริงได้หรอกค่ะ กระจกที่สวยงามแบบนี้ฉันคงไม่ริอาจเป็นเจ้าของ”

    บล็องค์ยื่นกระจกคืนให้กับเข้าของร้าน แต่รีไวดันกลับคืนมือของเธอ

    “ไม่ต้องห่วงคุณลูกค้า ร้านนี้ไม่ได้ใจดีถึงขนาดจะยอมมอบให้ฟรีๆ แต่เมื่อคุณรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่คู่ควรกับคุณจริงๆ ถึงตอนนั้นค่อยนำมาคืน”

    นัยน์ตาสีเงินที่น่าหลงใหลทำให้ยากที่จะปฏิเสธ เด็กสาวจึงพยักหน้ารับอย่างจำยอม

    “กระจกของราชินีในนิทาน ไม่รู้สิคะ ถ้าคุณว่าอย่างนั้นฉันขอลองทำตามที่คุณบอก แต่อีกไม่นานฉันจะเอามาคืน ถึงตอนนั้นคุณต้องรับคืนนะคะ” เมื่อไม่อาจปฏิเสธเธอจึงยื่นเงื่อนไข ถ้าเอากลับบ้านไปอีกสักสองสามวันเอามาคืนโดยอ้างว่ากระจกนี้ไม่ได้ช่วยให้ความปรารถนาเป็นจริง ถึงตอนนั้นต่อให้โดนยัดเยียดเธอก็จะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

    “ถ้าคุณไม่ชอบจริงๆ ผมยินดีรับคืน แต่มีเรื่องที่คุณควรต้องรู้ไว้”

    มือหยาบของชายหนุ่มสัมผัสที่แก้มของเด็กสาว ใบหน้าจืดชืดแสนธรรมดาสุกปลั่งกับใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นมาใกล้

    “นิทานและเรื่องเล่ามักมีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง เพียงแต่ผู้ที่พบเจอมีน้อยจึงเป็นได้แค่เสียงลือเสียงเล่าอ้างเท่านั้น……

     

     

     

    เสียงกระดิ่งขอร้านดังขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งลูกค้าที่เดินจากไป เอเลนมองเจ้าของร้านนั่งจิบชาดำที่เขารินเสริ์ฟทันทีตามหน้าที่ ใบหน้ามนเอียงคอไปมา และดูเหมือนท่าทางและใบหน้าที่มองราวกับอยากจะถามบางสิ่งนั้นทำให้มือที่ยกถ้วยชาขึ้นจิบต้องหยุดชะงักแล้ววางถ้วยลงบนจานรอง

    “มีอะไรรึไงเจ้าเด็กเหลือขอ?” แววตาขี้รำคาญและใบหน้าดุทำให้คนสงสัยผงะเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแห้งๆส่งให้

    “ก็แบบ ผมแค่สงสัยว่านายท่านเอาคู่มือการใช้ต่างๆไว้ที่ไหนน่ะครับ”

    “ของแบบนั้นไม่มีหรอกเจ้าหนู”

    “เอ๊ะ แล้วนายท่านจำวิธีใช้งานแต่ละอย่างได้ยังไงฮะ?”

    มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอแทนคำตอบ และดูเหมือนนายท่านรีไวจะเลิกสนใจคำถามของเขาเมื่อชาร้อนที่วางทิ้งไว้ถูกยกขึ้นดื่มอีกครั้ง อย่าบอกนะว่าของต่างๆมากมายในร้านี้นายท่านสามารถจำได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง

    แต่ถ้าเป็นนายท่านบางทีคงไม่น่าแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะทำคู่มือไว้ให้เขาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรไว้บ้าง

    “แล้วถ้าคุณหนูคนนั้นเอาของมาคืนนายท่านจะรับคืนอย่างนั้นเหรอฮะ?”

    นัยน์ตาสีเงินเหลือบมองเด็กหนุ่ม ริมฝีปากบางยกยิ้มที่มุมปากอย่างขบขัน

    “ร้านอื่นลูกค้าจะเป็นผู้เลือกสินค้า แต่ร้านของข้า….สิ่งของต่างหากที่เป็นผู้เลือก

     

     

     

    หลังจากออกจากร้านขายของเก่าที่แสนจะประหลาด เธอจึงเรียกใช้บริการรถแท๊กซี่แทนที่จะโทรเรียกคนขับรถประจำตระกูลมารับ คฤหาสน์หลังงามตั้งออกไปห่างไกลผู้คนหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองหลวง แต่ถึงกระนั้นก็ใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีสำหรับเดินทางโดยรถยนต์เข้าเมือง แม้จะเป็นเด็กสาวที่แสนจะดูจืดชืดธรรมดา แต่ตระกูลของบล็องค์เป็นถึงขุนนางเก่าผู้ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ในอดีต แม้ปัจจุบันฐานันดรนั้นช่างดูเลื่อนลอย แต่คำว่าขุนนางเก่าก็ยังคงมีบารมีกับการทำให้เธอดูเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ อีกทั้งธุรกิจค้าเพชรพลอยของบิดาทำให้ครอบครัวเธอยังคงเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม ผิวที่ขาวผ่องราวหิมะของบล็องค์อาจเรียกได้ว่าเป็นเพราะเชื้อสายของตระกูลสูงศักดิ์ที่มี

    คฤหาสน์กว้างใหญ่ที่แสนจะเงียบเหงาสำหรับเธอ แต่เดิมเธอเคยรู้สึกว่าที่นี้เป็นบ้านและสถานที่ที่อยู่แม้หลายครั้งเธอจะต้องอยู่ตัวคนเดียวกับเหล่าคนรับใช้เมื่อพ่อของเธอจำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อค้าขายที่ต่างประเทศ แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนพ่อผู้เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่ได้กลับมาบ้าน กลับมาพร้อมหญิงสาวที่อายุไม่น่าจะมากไปกว่าเธอมากนัก หญิงสาวผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มราวเปลือกไม้ ผิวขาวเรียบเนียนราวไข่มุก ใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างงดงามน่าหลงใหล และพ่อของเธอเองก็คงหลงใหลในความงามนั้นเช่นกัน

    หลังจากลงจากรถแท๊กซี่ บล็องค์ยังคงยืนจ้องบานประตูไม้ที่หนักอึ้งเบื้องหน้า เฉกเช่นที่เคยเป็น วันนี้พ่อของเธอยังคงง่วนกับการเจรจาติดต่อธุรกิจที่ต่างแดน มีเพียงเธอกับแม่เลี้ยง และเหล่าคนรับใช้ที่อาศัยอยู่ที่คฤหาสถ์แห่งนี้ แม่เลี้ยงผู้มีรูปโฉมงดงามจนทำให้ใครต่อใครหลงใหล เด็กสาวเงยหน้ามองหน้าต่างที่ชั้นสองของคฤหาสน์ ม่านสีกรมท่าเข้มที่ชั้นสองถูกดึงปิดลงมา เงาสะท้อนที่เคลื่อนไหวไปมาทำให้เธอรู้ว่าวันนี้แม่เลี้ยงของเธอก็ยังคงใช้ความงามนั้นล่อลวงผู้คนมากมาย ไม่ต่างจากพ่อของเธอที่เป็นหนึ่งในนั้น ปีแรกที่แม่เลี้ยงเข้ามาบ่อยครั้งที่เธอรู้สึกแปลกใจกับการเดินสวนกันที่ทางเดินกับแม่เลี้ยง หญิงสาวเพียงแค่ส่งยิ้มให้เธออย่างเย้ายวนก่อนจะแตะลงที่ริมฝีปากอิ่มของหล่อน และบ่อยครั้งที่เธอได้ยินเสียงร้องสราญดังออกมาจากห้องพักของแม่เลี้ยงเมื่อบิดาเธอไม่อยู่ และไม่นานทุกอย่างก็กระจ่างชัด เมื่อดูเหมือนแม่เลี้ยงไม่คิดจะปิดบังเธอเช่นกัน บางค่ำคืนคฤหาสน์ที่ควรจะเงียบงันกลับต้อนรับผู้คนมากมาย เสียงบรรเลงของเพลงคลอกับเสียงรัญจวนที่ดังระงม กลิ่นหอมหวานแปลกๆที่ชวนให้รู้สึกเวียนหัวขจรไปทั่ว แต่ภาพที่เธอได้เห็นตรงหน้าทำให้เธอได้แต่กลั้นเสียงแล้ววิ่งกลับเข้าห้อง เหล่าชายหนุ่มหญิงสาวที่เต้นเริงระบำด้วยร่างกายเปลือยเปล่าคือที่มาของเสียงครวญครางที่ระงมอยู่ทั้งคืน

    แม่เลี้ยงของเธอคืออสรพิษ ใบหน้าสวยงามที่ล่อหลอกนั่นมีพิษร้ายเคลือบแฝง ทั้งที่เธอพยายามบอกความจริงนี้กับพ่อของเธอ แต่บิดาที่หลงเสน่ห์แม่มดร้ายนั่นไม่เชื่อเธอแม้แต่น้อย ด้วยความรู้สึกกังขาที่ยากจะทำให้เธอกลับเข้าไปในบ้าน สองขาจึงเดินเลี่ยงไปยังสถานเด็กกำพร้าที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

    เดินออกไปด้านหลังคฤหาสน์จะเป็นอาคารสงเคราะห์ที่พ่อของเธอเป็นผู้อุปถัมภ์ หลายครั้งที่เธอมาช่วยงานที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้ เพราะเป็นสถานสงเคราะห์ที่อยู่ไกลออกมาจากตัวเมืองทำให้มีผู้อาศัยไม่มากนัก มีตั้งแต่เด็กกำพร้าไปจนถึงคนชราซึ่งเธอเองรู้จักและทุกคนก็คุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี

    “วันนี้ก็จะมาช่วยงานที่นี้งั้นเหรอสาวน้อย” ปีแอร์คนครัวกำลังจัดเตรียมมื้อเย็นเอ่ยทักทันทีที่เห็นบล็องค์

    “มาก็ดีแล้วโทมัสบ่นอยากให้เธอช่วยออกไอเดียเรื่องสวนใหม่ด้านหลัง พอฉันบอกจะจัดการเองให้หมอนั่นก็ไม่ยอมเสียด้วย” ยอร์ชคนสวนของสถานสงเคราะห์ยีหัวโทมัสที่วิ่งมาหาบล็องค์ทันทีที่เห็น

    “วันนี้เธอมาช้านะยัยหน้าจืด”

    “นายไม่ควรเรียกบล็องค์อย่างนั้นนะแม๊ก”

    “ฉันเห็นด้วยกับฟรานซ์นะ”

    “โธ่! อลัน ฟรานซ์ฉันเป็นน้องชายพวกนายนะเข้าข้างกันบ้างเซ่!!

    เด็กหนุ่มแฝดสามช่วยกันถืออุปกรณ์เพื่อจัดเตรียมโต๊ะอาหาร แม้แม๊กจะชอบยุแหย่เธอแต่ฟรานซ์และอลันที่หน้าเหมือนกันทจะคอยปกป้องเธอเสมอ เธอจึงไม่เคยถือสากับคำพูดของแฝดคนเล็กสุด

    “นั่งที่กันได้แล้วเจ้าพวกตัวยุ่ง จัดการไปเรียกคนอื่นๆมาทานข้าวด้วย” คริสชายหนุ่มผู้เรียกได้ว่าเป็นผู้ดูแลที่นี้เอ่ยสั่งทันทีเมื่อเห็นว่าแต่ละคนยังคงเอาแต่เล่นกัน

    ทั้งเจ็ดคนเป็นคนที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ ทั้งยังเป็นคนที่เธอรู้สึกสนิทสนมมากที่สุด ถึงแม้จะมีทะเลาะกันบ้างแต่ทั้งเจ็ดช่วยดูแลสถานสงเคราะห์แห่งนี้เป็นอย่างดี

    “ยังคงไม่สบายใจกับเรื่องของคุณโจเซฟินอย่างนั้นเหรอ?” คริสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าวันนี้เธอเข้ามาร่วมรับประทานอาหาร

    “คนแบบนั้นฉันไม่วันสนิทสนมได้อย่างเด็ดขาด”

    “ฉันว่าเธออาจคิดมากไป ลองเปิดใจรับดูเสียหน่อยบางทีเธออาจชอบแม่เธอขึ้นมาบ้าง” ปีแอร์ช่วยเสริม

    เด็กสาวชะงักงัน ทั้งที่เธอคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของเธอ ทั้งที่คิดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจเธอ แบบนี้อาจเป็นเธอที่คิดไปเองคนเดียวสินะ

    “พวกคุณไม่อยากให้ฉันมาที่นี้งั้นเหรอคะ?” ริมฝีปากสีสดเอ่ยถามออกไป สองมือกำแน่นขยุ้มกระโปรงที่หน้าขาของเธอ

    “ไม่เลย เรายินดีต้องรับเธอเสมอบล็องค์ เพียงแต่เราอยากให้เธอลองเปิดใจเข้ากับแม่เลี้ยงของเธอบ้าง” คริสโตเฟอร์พยายามไกล่เกลี่ยอธิบายเพิ่มเติม เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเด็กสาวฉายแววตึงเครียด

    “ยัยบ้า ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยแม่เลี้ยงเธอออกจะสวยและใจดีแบบนั้น เรียกได้ว่าโชคดีแล้ว”

    ปึง!!

    ทั้งโต๊ะเงียบสงัด ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอจนไม่รู้ว่าเธควรจะตอบโต้อย่างไร บล็องค์จึงทำเพียงโค้งลาทุกคนก่อนจะคว้ากระเป๋าก้าวเดินออกจากสถานสงเคราะห์กลับไปยังห้องในคฤหาสน์ แม้ตอนนี้จะเริ่มมืดแล้วแต่เสียงครวญคลอเพลงบรรเลงยังคงดังอย่างไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด

    เด็กสาวรีบก้าวฝีเท้าอย่างรวดเร็ว สองมือปิดบังใบหูหวังให้ไม่ได้ยินเสียงที่น่าสะอิดสะเอียนนั่น ประตูห้องนอนเปิดออกพร้อมร่างของเด็กสาวที่ล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างหมดแรง เพราะความสวยของแม่เลี้ยงจึงทำให้ทุกคนต่างถูกลวงหลอก ไม่ได้เห็นถึงความจริงที่เธอได้สัมผัสอยู่ทุกคืน ไม่สิคนนั้นไม่ใช่แม่เลี้ยงแต่เป็นแม่มดร้ายที่เข้ามาในชีวิตเธอต่างหาก แม่มดร้ายที่ใช้เสน่ห์และมารยาล่อหลอกให้ทุกคนหลงเชื่อ ถ้าเพียงแต่เธอมีความงดงามเช่นเดียวกับชื่อของเธอ บางทีทุกคนคงจะเข้าใจและรับรู้ความจริงกับสิ่งที่เธอต้องเจอบ้างก็เป็นได้

    แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่องกระทบกับกระจกที่กระเด็นออกมาจากกระเป๋านักเรียน คงเพราะช่วงจังหวะที่เธอโยนมันลงกับพื้น คำพูดของเจ้าของร้านขายของเก่าดังก้องขึ้นมาในโสตประสาท เด็กสาวหยิบกระจกให้บานกระจกกระทบแสงจันทร์พลางส่องใบหน้าของตน ใบหน้าที่ขาวซีดจืดชืดสะท้อนเด่นชัด

    เพียงแต่ถ้าเธอเป็นคนที่สวยราวกับเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ในนิทาน บางทีเธอคงโชคดีเหมือนเจ้าหญิงในตอนจบ แต่ในความเป็นจริงใบหน้าเธอแสนจะจืดชิดและไร้เสน่ห์ ยิ่งตอนนี้ใบหน้าที่ดูอ่อนแรงทำให้ดูซีดเซียวราวกับร่างที่ไร้วิญญาน

    “หึกระจกของราชินีอย่างนั้นเหรอ..

    การใช้งานกระจกที่เจ้าของร้านได้กล่าวไว้ แม้จะรู้ดีว่าเป็นแค่เรื่องหลอกลวงที่ต้องการขายสินค้าให้กับเธอ แต่ตอนนี้หัวใจอันบอบบางของเธอคงกำลังต้องการหาที่พักพิงกระมัง บล็องค์ส่องกระจกให้ใบหน้าของตนกระทบแสงจันทร์ฉายส่องบนกระจกด้ามงาม ริมฝีปากบางพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา

    กระจกเอ๋ย กระจกวิเศษ ผู้ใดงามเลิศในปฐพี”

    แสงจันทร์ยังคงตกกระทบสะท้อนเงาของเด็กสาวไม่เปลี่ยนแปลง บล็องค์จ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่สักพักก่อนจะวางกระจกลงไว้ที่หน้าตัก

    นี่เราช่างทำเรื่องที่ไร้สาระชะมัด

    [ผู้ที่งามเลิศในปฐพีคือท่านยังไงล่ะบล็องค์]

    เสียงสะท้อนในโสตประสาททำให้เด็กสาวตระหนกหาที่มาของเสียง แต่เมื่อมองไปรอบห้องทุกอย่างยังคงเงียบสงัดและว่างเปล่า…. เด็กสาวหงายกระจกขึ้นมาด้วยความหวาดระแวง แต่ถาพที่สะท้อนยังคงเป็นภาพของเธอที่ดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิม บล็องค์ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจเก็บกระจกเข้าลิ้นชักโต๊ะหัวเตียง พรุ่งนี้และมะรืนเป็นวันหยุดกว่าเธอจะได้เข้าเมืองเอากระจกไปคืนร้านขายของเก่าคงเป็นเย็นวันจันทร์

     

     

     

    แสงอาทิตย์ส่องกระทบเปลือกตาบาง เด็กสาวค่อยๆยันกายลุกขึ้นจากเตียง เพราะมัวแต่คิดเรื่องของแม่เลี้ยงทำให้วันนี้เธอตื่นสายกว่าทุกวัน บล็องค์ค่อยๆลงจากเตียงเดินเข้าไปยังห้องน้ำส่วนตัว มือบางกวักน้ำเย็นขึ้นล้างหน้า ให้ความเย็นช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง ผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มซับหยาดน้ำบนผิวหน้า นัยน์ตาที่ปรือด้วยความงัวเงียค่อยๆกลับมาสดชื่นอีกครั้ง นัยน์ตาสีราตรีชะงักกกับภาพสะท้อนของตนเองในกระจก เด็กสาวผมสีดำยาวรับกับผิวขาวผ่อง ริมฝีปากสีแดงดุจโลหิต ดวงตาที่ส่องประกายราวดวงดาวยามราตรี ช่างเป็นเด็กสาวที่สวยงามสมบูรณ์แบบอย่างที่เธอไม่เคยเจอ แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปจากเดิม ชุดนอนที่เด็กสาวในกระจกสวมใส่ ช่างเหมือนกับชุดนอนของเธอเสียเหลือเกิน เมื่อลืมตาเต็มตื่นเด็กสาวหันมองรอบกายเพื่อหาเด็กสาวที่ปรากฏในกระจก แต่ในห้องมีเพียงเธออยู่ผู้เดียว บล็องค์หันมองกระจกอีกครั้ง มือค่อยๆยกขึ้นแตะกระจกที่เย็นเฉียบพร้อมกับภาพสะท้อนที่ทำกริยาเดียวกัน

    ไม่น่าเชื่อ กระจกจากร้านขายของเก่านั้นจะเป็นเรื่องจริง!

    บล็องค์วิ่งออกจากห้องน้ำเปิดลิ้นชักที่เก็บบานกระจก ภาพของเด็กสาวผู้งดงามสะท้อนลงบนกระจกในมือของเธอ รอยยิ้มเป็นประกายสดใสยิ่งทำให้ใบหน้าที่สะท้อนในกระจกมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น เสื้อผ้าที่ได้แต่เด็บซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าถูกรื้อออกมา ชุดสวยงามหลากสีสันที่เธอไม่เคยกล้าใส่ ตอนนี้ทุกชุดช่างทำให้เธอเฉิดฉาย  สายตาตะลึงงันด้วยความชื่นชมที่เธอไม่เคยได้สัมผัส กว่าเธอจะอธิบายให้เหล่าคนรู้จักในคฤหาสน์เข้าใจว่าเธอเป็นใครก็ใช้เวลาอยู่มาก โดยเฉพาะกับแม่เลี้ยงคนงามเมื่อรู้ว่าเธอคือบล็องค์รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงส่งยิ้มให้เธอเช่นเคย รอยยิ้มที่ใครหลายคนบอกว่าดูอบอุ่นใจดีแต่สำหรับเธอแล้วมันคือการเสแสร้งจนน่าสำรอก

    “เหมือนได้รับการอวยพรจากพระเจ้า เพราะเธอเป็นเด็กที่แสนดีแน่เลยจ้ะบล็องค์” โจเซฟินลูบไล้บนผมสีดำเงาของเด็กสาว

    “ไม่มีใครสู้ความงามของคุณแม่ได้หรอกค่ะ” ความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่โดนแม่เลี้ยงสัมผัสทำให้เธอพยายามเลี่ยงมือที่ยื่นมาอีกครั้ง ใบหน้าขาวผ่องส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายพลางเดินนำไปยังห้องอาหารเฉกเช่นปกติ

    บล็องค์รู้สึกได้ว่าสายตาของทุกคนวันนี้จับจ้องมาที่เธอมากกว่าผู้เป็นแม่เลี้ยง หัวใจดวงน้อยพองโตกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับผู้มีชัย เพียงเท่านี้ทุกความปรารถนาที่เธอต้องการจะเป็นจริง

    ช่วงบ่ายบล็องค์ไปช่วยงานที่อาคารสงเคราะห์เช่นทุกวัน แม็กที่ชอบล้อเลียนเธออยุ่เป็นประจำวันนี้ได้แต่หลบสายตาพร้อมทั้งซ่อนใบหน้าเขินอายไว้ใต้หมวกที่สวมใส่ แต่ก่อนเธอเคยคิดว่ารูปลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญแต่ดูเหมือนเธอจะคิดผิด ท่าทางของทุกคนดูจะต้อนรับเธอเป็นพิเศษ

    นี่สินะความรู้สึกของผู้หญิงคนนั้น ถูกมองด้วยสายตาที่ชื่นชม เพียงแค่ปรายตาและยกยิ้มให้ คนเหล่านั้นราวกับเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิดของเธอ

    ช่างวิเศษนัก

     

    “บล็องค์ฉันอยากให้เธอเลิกไปที่อาคารด้านหลังนั้นเสียที”

    โจเซฟินเปรยขึ้นขณะกำลังร่วมรับประทานอาหารเย็น วันนี้เธอยังคงทานอาหารร่วมกับแม่เลี้ยงสองคนเช่นเคย

    “หนูแค่ไปช่วยงาน การช่วยเหลือคนอื่นเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือคะ”

    “แต่ที่นั่นมีแต่ผู้ชาย เธอเองก็โตแล้วควรระวังให้มากกว่านี้”

    “แล้วคุณที่พาผู้ชายมากมายเข้ามาในบ้านช่วงที่คุณพ่อไม่อยู่นั่นคือถูกต้องแล้วสินะ”

    “ฉันกับเธอต่างกันบล็องค์!” โจเซฟินส่งเสียงดุ ใบหน้างดงามแสดงสีหน้าจริงจัง

    บล็องค์เขม่นมองผู้มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยง ต่างกันยังไง? ในเมื่อตอนนี้เธองดงามเฉกเช่นเดียวกับโจเซฟิน..

    นางแม่มดคงกำลังริษยาเธฮสินะ คงรู้สึกว่ากำลังจะโดนแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปเช่นเดียวกับที่เธอเคยเป็น พอคิดดังนั้นใบหน้าบึ้งตึงเผยรอยยิ้มพราวพลางหัวเราะในลำคอ

    แน่นอนเธอไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังเพราะกระจกกำลังทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง เป็นอีกคืนที่เธอส่องกระจกวิเศษกับแสงจันทร์พร้อมพึมพำคำถามราวมนต์สะกด เมื่อเธองดงามขึ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาเป็นของเธอ

     

    ยามค่ำคืนมีเพียงแสงจันทร์ช่วยส่องสว่างพอให้เห็นทางเดิน แต่คนที่คุ้นเคยแม้ไม่ต้องใช้แสงจันทร์นำพาก็สามารถเดินไปยังจุดหมายได้อย่างรู้ทาง ประตูอาคารสงเคราะห์ที่ปิดสนิทถูกเปิดออก เด็กสาวเดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบงันตรงดิ่งไปยังห้องนอนรวมของเหล่าชายหนุ่มที่เธอคุ้นเคย ใบหน้างามยกยิ้มพราวเมื่อเห็นว่า แฝดทั้งสามคน อลัน ฟรานซ์ แม๊ก รวมถึงปีแอร์ ยอร์ช คริส และโทมัส กำลังนอนหลับสนิทบนเตียงนอนของพวกเขา เด็กสาวเดินไปที่เตียงของแม๊กซ์ริมฝีปากสีสดสัมผัสกับริมฝีปากของคนที่หลับใหล ความรู้สึกที่แปลกประหลาดทำให้คนที่กำลังเคลิ้มฝันรู้สึกตัว

    แม๊กซ์ดีดตัวขึ้นจากเตียงเมื่อเห็นคนที่ควรจะกลับไปแล้วยังคงอยู่ที่นี้ อีกทั้งยังบุกรุกเข้ามาถึงห้องของเขา แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะได้เอ่ยปากโวยวายตามนิสัยริมฝีปากสีสดก็ทาบทับลงมาจนคำพูดทั้งหลายถูกกลืนเข้าไปในลำคอ ความหวานราวน้ำผึ้งทำให้เคลิบเคลิ้ม อาจเป็นเพราะค่ำคืนที่เงียบกว่าคืนไหนหรือเสียงเพรียกของภูติไพร เมื่อเสียงรัญจวนสุขสราญทำให้เหล่าภุมรที่สลบไสลลืมตาตื่น แสงจันทร์กระทบร่างอรชร หยาดน้ำที่รินไหลอาบร่างช่างรัญจวนสะกดให้อยู่ในภวังค์ การร่ายรำกลางราตรีเพิ่งจะเริ่มต้น เมื่อเหล่าหมู่ภมรไม่อาจต้านทานกลิ่นหอมหวานที่เชิญชวนเบื้องหน้า ความหวานและสุขสราญถูกแลกเปลี่ยนให้แก่กันและกัน เรียวแขนงามโอบกอดเหล่าผู้คนที่กำลังจมดิ่งในความหฤหรรษ์ ใบหน้าและผิวขาวมีสีสุกปลั่ง เสียงหวานราวเสียงเพรียกของภูติพรายดังระงมทั่วห้องสี่เหลี่ยม

     

    ดอกไม้งามที่ส่งกลิ่นหวาน เมื่อได้ลิ้มรสยากที่เหล่าภุมราจะปฎิเสธ

     

    เมื่อใกล้รุ่งส่างบล็องค์จัดแจงตนเองให้กลับไปใสชุดตามเดิม เพื่อไม่ให้ใครสงสัยเธอจะต้องกลับไปที่คฤหาสน์ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ใบหน้างดงามเหลียวมองเหล่าชายหนุ่มที่กอดก่ายเธอตลอดทั้งคืน ทุกคนต่างมองเธอด้วยแรงปรารถนาที่ไม่อาจเติมเต็ม

    “ถ้าอยากให้ฉันเป็นของพวกคุณ ช่วยทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริงสิ”

     

     

     

     

     

     

    โจเซฟินเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง เสียงของคนตรีออเครสต้าที่คุ้นเคยทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ม่านสีกรมท่าถูกดึงลงปิดเช่นทุกครั้ง หญิงสาวสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอดก่อนจะเปล่งเสียงใสดุขแก้งให้ดังก้องกังวาล ฉับพลันไฟฟ้าที่ส่องสว่างพลันดับลง คฤหาสน์ตกอยู่ในความเงียบสงัด โชคดีที่เธอพกโทรศัพท์มือถือไว้ติดตัว แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาค่ำแต่เพราะเมฆฝนที่ตั้งเค้าทำให้วันนี้ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าทุกวัน

    “มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง ช่วยไปดูหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น” โจเซฟินเปิดประตู แต่ทั้งทางเดินนั้นยังคงมืดสนิท และดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกนของเธอ

    “บล็องค์เธอทำอะไรอยู่น่ะ?”

    โจเซฟินส่องไฟไปยังมุมบันได เด็กสาวยืนสงบนิ่งท่ามกลางความมืด ไม่มีท่าทีสนใจว่าตอนนี้ทั่วทั้งคฤหาสน์ไฟกำลังดับ

    “ถ้าไม่คิดจะช่วยอะไรแล้วล่ะก็อย่างน้อยเธอควรเรียกให้ใครสักคนมาจัดการตู้ไฟ” โจเซฟินไม่คิดจะสนใจลูกเลี้ยงมากนัก แต่เดิมเธอก็รู้แล้วว่าบล็องค์ไม่ชอบเธอเท่าไรนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ แต่ด้วยเรื่องของพ่อของบล็องค์ทำให้เธอไม่อาจทิ้งเด็กสาวไปได้เช่นกัน

    “มืดๆแบบนี้ระวังจะเกิดอุบัติเหตุนะคะ”

    น้ำเสียงราบเรียบกล่าวเตือนทำให้โจเซฟินรู้สึกประหลาดใจ เธอจังจับราวบันไดมั่นตามคำเตือนของเด็กสาว

    พลั่ก!

    “กรี๊ดดดดดดดดดดด!!

     

    แผ่นหลังโดนกระแทกอย่างรุนแรง ร่างของโจเซฟินกลิ้งตกจากบันได หญิงสาวแหงนมองด้วยความเจ็บปวด ร่างกายที่ถูกขั้นบันไดกระแทกทีละขั้นอย่างหนักหน่วงทำให้ตัวเธอรู้สึกชาและปวดร้าว

    “คุณช่างเป็นคนที่ดวงดีจริงๆนะคะ”

    แสงแวบจากหน้าตาพร้อมทั้งเสียงฟ้าร้องเผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่ก้มมองต่ำลงมา แววตาสีดำสนิทไม่สะท้อนสิ่งใดจนน่าขนลุก

    “เธอเป็นบ้าอะไรยัยเด็กนี่!! ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูเธอมา” โจเซฟินตวาดเสียงลั่น ทั้งหวาดกลัวและหวาดหวั่นแต่คนตรงหน้าเป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดา แรงโทสะจากความเจ็บปวดจึงปะทุข่มความรู้สึกหวั่นเกรง

    “เลี้ยงดูงั้นเหรอคะ คุณน่ะมันเป็นแค่ส่วนเกินที่เข้ามาทำลายชีวิตฉันต่างหาก” เสียงตอบกลับอย่างราบเรียบทำให้โจเซฟินร็สึกสันหลังเย็นวาบ

    “แกจะบ้าไปแล้วเรอะไง มีใครอยู่บ้าง ช่วยจับยัยเด็กบ้านั่นที!” เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือไร้การตอบสนอง แบบนี้มันแปลกเกินไปแล้ว เด็กผู้หญฺงคนเดียวจะทำอะไรได้!?

    เสียงฝีเท้าหลายคนเดินเข้ามาใกล้ทำให้โจเซฟินรู้สึกใจชื้นขึ้น อย่างน้อยแค่มีใครสักคนผ่านมาก็จะสามารถช่วยเธอไปจากสถานการณ์บ้าๆตรงนี้ได้

     

    “ที่นี้กว้างชะมัดกว่าจะจัดการปิดปากทุกคนได้หมดเล่นเอาหมดแรง”

    ไฟที่ดับเริ่มกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อโจเซฟินปรับสภาพม่านตาได้ สิ่งที่เธอเห็นยิ่งทำให้ความหวาดหวั่นเพิ่มทวีคูณ เหล่าชายฉกรรจ์ที่เธอคุ้นหน้าทั้งเจ็ดคน ในมือนั้นเต็มไปด้วยคราบเปียกชื้นของของเหลวและกลิ่นคาวที่ฉุนกึก

    “บล็องค์ เธอบ้าไปแล้วหรือไง ทำไมถึงยังคงไปยุ่งกับคนพวกนั้น ทั้งที่ฉันอุตส่าห์ซ๋อนเจ้าพวกนั้นไว้เพราะอยากให้เธอเป็นแค่เด็กสาวธรรมดา!

    “พูดอะไรกันคะ คนเหล่านี้เขาเป็นอัศวินของหนู”

    เสียงฝีเท้าค่อยๆก้าวลงบันไดทีละขั้น เข้าใกล้ร่างของโจเซฟินที่ยังคงนอนแน่นิ่งไม่อาจขยับตัวไปไหน แม้จะพยายามตะเกียดตะกายแต่ขาที่หนักอึ้งทำให้ไม่สามารถที่จะก้าวได้

    “ตอนจบของนิทาน เหล่าอัศวินช่วยกันปกป้องเจ้าหญิงและกำจัดแม่เลี้ยงใจร้าย”

    ใบหน้างามก้มลงไปไกลหน้าของโจเซฟินที่ฉายแววหวาดหวั่นจนแทบไร้สีเลือด

    ริมฝีปากสั่นกระทบจนไม่เป็นคำพูด ค่อยเอ่ยขึ้น

    “บล็องค์ เธอบ้าไปแล้วมองความจริงเสียที”

    ปัง!

    เลือดสีแดงฉานกระเซ็นกระทบผิวขาวผ่องบนใบหน้าของเด็กสาว ใบหน้านิ่งเฉยงดงามไม่แสดงท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ในมือของบล็องค์มีปืนขนาดเล็ก และร่างของโจเซฟินที่ไหลลงไปนอนกองกับพื้น เธอใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างที่ไร้วิญญาณของโจเซฟิน เมื่อเห็นว่าร่างนั้นไร้การตอบสนองใบหน้าที่นิ่งเฉยยกยิ้มแพรวพราวอย่างปิติ

    กำจัดแม่มดได้แล้ว ที่นี้ฉันจะได้อยู่อย่างสงบสุขตลอดกาล….

     

    แขนใหญ่กระชับเอวบางของบล็องค์เข้าแนบกับอกแกร่งที่รองรับ แม็กซ์กระซิบลงบนหูของเด็กสาวเอ่ยทวงสัญญาที่เธอเคยให้ไว้

    “เอาล่ะบล็องค์พวกเราหวังว่าเธอจะยอมจ่ายค่าแรงให้เราอย่างงาม”

    บล็องค์อี้ยวตัวมองชายหนุ่มทั้งเจ็ด ใบหน้างามยกยิ้มอ่อนหวานราวกับมนต์สะกด

    “ทุกคนทำได้ดีมาก แต่ฉันมีเพียงคนเดียว แต่พวกคุณมีตั้งเจ็ดคนแบบนี้เหมือนจะไม่ลงตัวจริงไหม ทั้งฉันและคฤหาสน์ รวมถึงมรดกมากมายนี้คงไม่เพียงพอกับพวกคุณทั้งเจ็ดคน”

    ราวกับเสียงกระซิบเชิญชวนของปีศาจ เหล่าชายหนุ่มทั้งเจ็ดยิ้มเหี้ยมก่อนจะเข้าฟาดฟันกันเอง เด็กสาวขยับเดินถอยหลังเพื่อรอดูสมรภูมิเลือดตรงหน้า แฝดสามดูจะเข้าขากันได้ดีและพยายามเข้าฟาดฟันกับอีกสี่คนที่เหลือ เลือดสีสดสาดกระเซ็นราวกลีบกุหลาบสีแดงร่วงโปรยปราย เมื่อเหลือเพียงแฝดสามพี่น้อง จากที่ร่วมมือกันแปรเปลี่ยนเข้าห้ำหั่นกันเอง จนสุดท้ายคนที่ยืนอยุ่เป็นคนสุดท้ายก็คือ แม๊กซ์

    “ที่นี้ก็เหลือแต่เรา มาสร้างโลกของเราให้ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับพ่อของเธอดีไหม?” แขนแข็งแรงรวบกระชับเด็กสาวเข้าไปไว้ในอ้อมกอด ใบหน้างามยกยิ้มตอบรับ ริมฝีปากสีสดที่เชิญชวนทำให้แม๊กซ์อยากก้มลงไปช่วงชิง

     

    ปัง!

     

    เสียงลั่นไกดังสนั่นอีกครั้ง เลือดสีสดกระอักจากปากของแม๊กซ์ก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น

    “นนี่เธอ..” เสียงแหบพร่าพยายามตะโกนถาม ทั้งที่ทำตามที่เธอปรารถนาทุกอย่างแต่ทำไม

    “ทีนี่จะเหลือเพียงฉันและคุณพ่อเท่านั้น ขอบคุณที่ทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริงนะคะ”

    บล็องค์มองร่างที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยแววตาเฉยเมย เมื่อร่างที่พยายามตะเกียดตะกายนั่นนิ่งสงบเสียงหัวเราะของเด็กสาวกังวาลลั่นทั่วทั้งคฤหาสน์

    เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เธอและพ่อจะได้อยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนเฉกเช่นเดิม ในที่สุดเธอก็สมความปรารถนา เป็นตอนจบของนิทานที่สมบูรณ์แบบอย่างเปี่ยมสุข

     

    จ๋อม

    จ๋อม

     

    เสียงย่ำกับของเหลวทำให้เธอหันไปมอง นัยน์ตาสีราตรีแปลกใจกับแขกไม่ได้รับเชิญเบื้องหน้า

    “ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามานะ แต่ดูเหมือนเธอคงต้องทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่” ใบหน้ามนหวานของเด็กหนุ่มร้านขายของเก่าส่งยิ้มทักทาย

    “คุณมาที่นี้ได้ยังไง?” ที่นี้อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง อีกทั้งเธอไม่ได้บอกที่อยู่ของเธอแน่นอน

    “ผมมาเก็บค่ากระจก” เอเลนไม่สนใจคำถามของอีกฝ่าย ตอนนี้เขามีเพียงหน้าที่ที่ต้องทำ

    “คุณอยากได้เท่าไร หรือ…. อยากให้ฉันจ่ายด้วยสิ่งอื่น?” บล็องค์ขยับกายเข้าชิดเด็กหนุ่ม มือขาวลูบไล้ใบหน้ามนของเอเลนพลางขยับเข้าใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น

    “คุณรู้ไหม บางครั้งกระจกก็ช่วยสะท้อนความจริง”

    เอเลนเอากระจกขึ้นมากั้นกลางก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะทาบทับกับเขา

    “คุณไปหยิบมันมาได้ยังไง?” เธอมั่นใจว่ากระจกยังคงอยู่ในลิ้นชักห้องของเธอ แต่ตอนนี้กลับอยุ่ในมือของเด็กหนุ่ม

    เอเลนลูบไล้กระจกไปมาอย่างไม่ใส่ใจท่าทีของบล็องค์

    “หลายเดือนก่อนมีข่าวกวาดล้างองค์กรค้ายารายใหญ่ หนึ่งในนั้นรู้สึกจะเป็นคนที่มีฐานันดรน่าดู แต่เพราะขัดขืนการจับกุมอีกทั้งยังโต้ตอบเจ้าหน้าที่”

    นัยน์ตาสีมรกตหรี่มองใบหน้าของเด็กสาวที่ตอนนี้พยยามฝืนด้วยท่าทีสงบนิ่ง

    “แล้วก็ ปัง หนึ่งในนั้นโดนลูกหลงแล้วจบชีวิตทันที ได้ยินมาว่าทางตำรวจพยายามสืบหาครอบครัวที่สูญหาย รวมถึงพวกหน่วยในองค์กรที่รับส่งยาอีกเจ็ดคนแต่ตอนนี้ก็ยังไม่พบเบาะแส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจเซฟิน เดอ ชาเต้ นักแสดงโอเปร่าสาวที่หายไปทันทีหลังจากข่าวนี้ออกแถลงการณ์ มีคนบอกว่าพบเห็นเธอกับหนุ่มสูงศํกดิ์ผู้ตายอยู่บ่อยครั้ง”

    “คุณเล่าเรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์ให้ฉันฟังทำไม?”

     “บางครั้งกระจกก็ช่วยสะท้อนความจริง”

    เอเลนหันกระจกให้สะท้อนกับบล็องค์ นัยน์ตาสีราตรีที่จ้องมองภาพสะท้อนราวกับถูกดึงดูด ภาพความทรงจำต่างมากมายแล่นเข้าสู่สมองราวกับม้วนฟิลม์ ภาพของข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และโจเซฟินที่มาปรากฏกายในวันนึงก่อนจะพาเธอและคนรับใช้มากมายขึ้นรถตู้แล่นออกจากตัวเมือง ในรถตู้อีกคันมีชายหนุ่มเจ็ดคนที่เธอคุ้นตาอยู่บ่อยครั้งเพราะมาหาที่คุณพ่อที่บ้านบ่อยๆ เธอถกพามาอยู่ในคฤหาสน์กลางหุบเขา และชายปริศนาทั้งเจ็ดที่อาศัยอยู๋ในอาคารที่ไกลออกไป ทุกวันเธอถูกไม่ให้พบเจอกับผู้คน นานๆครั้งถถึงจะสามารถเข้าไปในเมืองได้ ภาพของหน้าบิดายังคงกระจายอยู่ทั่วทุกทีในเมืองถึงการจากไปของหัวหน้าแก๊งค์ค้ายารายใหญ่ที่มีศํกดิ์เป็นถึงขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์ เพราะต้องปิดบังตนเองใบหน้าที่สวยงามของเธอถูกปกปิดเป็นเด็กสาวที่หน้าตาแสนจะธรรมดาและจืดชีด จนเธอเกือบลืมหน้าที่แท้จริงของตนเองไป เมื่อได้กระจกมาความรู้สึกที่ต้องหลบซ่อนใบหน้าถูกพังทลาย เธอจึงเลิกที่จะปกปิดใบหน้าด้วยใบหน้าที่จิดชืดไร้ชีวิตชีวา แต่กลับมใช้ชีวิตตามใบหน้าที่แสนจะงดงามของเธออีกครั้ง

    “เหมือนเธอจะพอนึกอะไรออกแล้วนะบอกฉันหน่อยสิ ทำไมเธอถึงยึดติดกับพ่อเพียงคนเดียวไม่สิ เธอมีความสัมพันธ์ยังไงกับพ่อเธอต่างหาก”

    คำถามของเอเลนทำให้บล็องค์ชะงักงัน ความลับของเธอกับพ่อที่ไม่มีใครล่วงรู้ ความรู้สึกที่มากเกินกว่าคำว่าลูกสาว และการกระทำที่ผิดบาป ทั้งที่เธอรักพ่อมากมายถึงเพียงนี้ แต่เมื่อครั้งที่คุณพ่อพาเธอไปดูละครโอเปร่าและพบกับ โจเซฟิน เดอ ชาเต้ นางเอกละครคืนนั้น ทุกอย่างก็ราวกับพังทลาย พ่อที่กกกอดเธออยู่ทุกคืนและพร่ำพรรนณาความรักที่มีต่อเธออย่างเปี่ยมล้นกลับสารภาพบาปต่อเธอ ทั้งขอให้เธอยกโทษให้ เพราะเธอไม่งดงามเหมือนโจเซฟินงั้นเหรอ หรือเพราะเธอยังเด็ก หรือเพราะสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ผิดบาป แล้วความรู้สึกของเธอล่ะคืออะไร? พ่อที่บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องผิดบาปที่มีสัมพันธ์กับลูกในไส้ของตนเอง พยายามผลักไสเธอแล้วไปมีความสุขกับนักร้องสาว แล้วความรู้สึกของเธอเล่า ทั้งที่เธอรักพ่อร่วมสายเลือดสุดหัวใจ ทั้งที่คิดว่าพ่อเองคงรู้สึกกับเธอไม่ต่างกัน แต่สุดท้ายคนคนนั้นก็ทรยศเธอ วันนั้นเธอร็ดีว่าพ่อของเธอมีนัดเจรจาการค้าก่อนที่จะไปโรงละคร ความริษยาและความเจ็บแค้นที่ถูกหักหลังจึงทำให้เธอโทรไปแจ้งกับตำรวจ หวังแต่เพียงว่าถ้าพ่อของเธอถูกจับนักร้องสาวที่กำลังมีชื่อเสียงคงไม่อยากติดร่างแหและจะเป็นผู้ที่ทอดทิ้งพ่อของเธอไป ถึงตอนนั้นเธอเองที่จะเป็นคนผสานใจที่แตกสลายอีกครั้งของผู้เป็นบิดาให้กลับคืน ทั้งๆเธอวางแผนไว้เช่นนั้น แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อพ่อของเธอคนที่เธอรักถูกยิงและตายทันที ผู้ที่เปิดประตูมาที่ห้องของเธอกลับเป็นโจเซฟินที่เธอเกลียดแสนเกลียด ชังแสนชัง หัวใจที่แตกสลายยากจะเกินรับทำให้เธอสร้างโลกในจินตนาการ โจเซฟินผู้ช่วยพาเธอหลบหนีคือแม่มดใจร้ายที่ขัดขวางความสุข พ่อผู้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับเธอกลับคิดว่าเขาไปทำงานที่ต่างแดน ชายฉกรรจ์ต้องโทษคดีอาญาทั้งเจ็ดผู้ซึ่งหลบซ่อน เธอคิดว่าเขาคือผู้ลี้ภัยที่ควรอนุเคราะห์ โลกในจินตนาการที่เธอสร้างขึ้นกำลังพังทลาย ไม่ใช่เพราะใครแต่เพราะตัวเธอเอง!

    “เสียงครวญครางที่เธอได้ยินจากห้องของโจเซฟิน เธอคิดว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ล่ะบล็องค์?”

    เอเลนยังคงไล่ถามฟื้นความทรงจำที่บิดเบือนของเด็กสาว

    แน่นอนเธอร็ดี เสียงก้องกังวาลและม่านที่ปิดลงมาเพื่อบดบังสายตาผู้คนนั้นเป็นเพียงเสียงที่โจเซฟินใช้ฝึกร้องตามบทละครโอเปร่าเท่านั้น ม่านที่ต้องปิดบังเพราะเกรงว่าจะมีผู้ที่ผ่านมาเจอจะจำเธอได้ เหล่าคนมากมายที่เข้าออกคฤหาสน์ตอนกลางคืนคือเหล่าคู่ค้าทางธุรกิจของพ่อผู้ล่วงลับซึ่งโจเซฟินพยายามจัดการสานต่อจนจบ ชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดที่โจเซฟินไม่อยากให้เธอเข้าใกล้ ด้วยรู้ดีว่าทั้งเจ็ดคนนั้นพยายามหาทางล่อหลอกเธอเพื่อหวังจะกุมอำนาจที่เหลืออยู่

     

    “กระจกเอ๋ย กระจกวิเศษ บอกข้าเถิดความจริงแท้เป็นเช่นไร

     

    ปัง!

    เสียงกระสุนดังขึ้น เอเลนกุมขมับเข้าที่ช่วงอก ใบหน้ามนกระตุกเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เด็กสาว

    “ยิงใกล้ๆแบบนั้นแรงกระแทกก็ทำให้เจ็บได้นะครับ โชคดีที่เจ้านี่รับไว้แทนไม่อย่างนั้นคงเจ็บน่าดู”

    เศษกระจกร่วงกราวลงบนพื้น กระจกสีทองประดับอัญมณีที่งดงามตอนนี้แตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ

    “จริงสิ นายท่านบอกว่าลืมบอกข้อสำคัญให้กับคุณไปอย่างหนึ่ง”

    ใบหน้าหวานยกยิ้มมให้กับหญฺงสาว รอยยิ้มที่บล็องค์ร็สึกสันหลังเย็นวาบ

    “อย่าทำให้กระจกแตกเด็ดขาดแต่ผมคงบอกคุณช้าไป”

     

    เปรี๊ยะ!

    “นนี่มันเกิดอะไรขึ้น!!

    บล็องค์กรีดร้องโวยวาย ร่างกายของเธอปรากฏรอยร้าวเฉกเช่นเดียวกับกระจก เศษชิ้นเนื้อหลุดร่วงลงกับพื้นจนเผยให้เห็นกระดูกสีขาวและอวัยวะภายในที่ยังคงทำงาน

    “งั้นผมขอเก็บค่ากระจกไปเลยแล้วกันนะฮะคุณลูกค้า

    เอเลนกระแทกฝ่าเท้าลงบนแผ่นกระจกที่ยังเหลืออยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่มีเสียงกรีดร้องของเด็กสาวมีเพียงเสียงของชิ้นเนื้อที่แตกกระจายร่วงลงสู่พื้น ลูกแก้วสีอำพันปรากฏขึ้นตรงหน้าของเด็กหนุ่ม มือเรียวคว้าลูกแก้วใส่ไว้ในขวดแก้วที่ติดตัวมา ใบหน้าหวานยกยิ้มก่อนจะโค้งศีรษะ

    “ขอบคุณที่ใช้บริการครับ”

    เด็กหนุ่มเก็บขวดแก้วเข้ากระเป๋าเสื้อคลุม ใบหน้ามนมองไปยังรอบๆคฤหาสน์ที่บัดนนี้ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว

    “เพื่อเป็นการตอบแทน ผมจะขอช่วยทำความสะอาดแล้วกันนะฮะ”

    ลูกไฟสีส้มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เอเลนจุดไฟกับผ้าม่านสีเข้มที่หน่าต่าง เพลิงโลกัณฑ์เผาไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็วเด็กหนุ่มจึงดิ่งตัวลงจากหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์แล้วหายไปกับความมืด ปล่อยให้เปลวเพลิงลุกโชติช่วงตลอดยามค่ำคืน

     

    จุดจบสโนว์ไวท์ผู้มีผิวขาวดุจหิมะ เส้นผมสีดำดุจรัตติกาล ริมฝีปากสีแดงสดดุจเลือด และหัวใจที่ดำทมิฬเช่นเดียวกับเส้นผมของนาง

     

     

     

    รีไวกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ที่วันนี้ยังคงมีข่าวน่าเบื่อเฉกเช่นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ถึงการล่มสลายขององค์กรค้ายา และเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ที่ซ่อนของอาชญากรผู้หลบหนี

    “รีไววันนี้นายอยู่ร้านงั้นเหรอ น่าเบื่อชะมัด” เสียงโหวกเหวกที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคงไม่พ้นยัยสี่ตาน่ารำคาญ

    “ครั้งก่อนเธอเอาผงพิกซี่ไป อย่าลืมจ่ายค่าสินค้าย้อนหลังล่ะยัยแว่นผี” นัยน์ตาสีเงินหรี่มองคาดโทษคนแอบชอบขโมยของในร้านเขา

    “ขี้งกชะมัด ทีเอเลนยังไม่เห็นว่าอะไรฉันเลย” คนผิดพยายามหาคนช่วยแต่เด็กหนุ่มเพียงยิ้มให้เท่านั้น

    “จริงสิฮะ วันก่อนเรื่องที่คุณฮันซี่ถาม ผมว่าผมได้คำตอบแล้วล่ะ”

    ฮันซี่ที่เดินดูของในร้านอย่างถือวิสาสะหยุดชะงักหันมองเด็กหนุ่มที่นั่งเช็ดถ้วยกระเบื้องโบราญญด้านหลังเจ้าของร้าน

    “สำหรับผมแล้วไม่เพียงแต่ปีศาจที่ล่อหลอกมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ต่างหากที่เรียกหาปีศาจเอง จริงไหมฮะ มิสเตอร์เฟาส์”

    ชื่อเก่าที่ถูกเรียกออกจากปากเด็กหนุ่มทำให้คนมีสีหน้าขี้เล่นฉายแววไม่พอใจวูบหนึ่ง ถึงกระนั่นเด็กหนุ่มไม่คิดจะใส่ใจกับสีหน้าของคนที่เขาเอ่ยเรียก หลังเช็ดกระเบื้องเสร็จเอเลนจึงยกกาน้ำชาที่เริ่มเย็นเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อจะรินน้ำร้อนเติม

    ริมฝีปากช่างจ้อของฮันซี่ยกยิ้มขันขึ้นอีกครั้ง

    “นับวันเอเลนยิ่งเหมือนกับยัยนั่น ถ้านายชอบเล่านิทานนัก ทำไมนายไม่คิดเล่าเรื่องที่มาที่ไปของเด็กนั่นให้เจ้าตัวฟังบ้างล่ะลูซิเฟอร์?”

    นัยน์ตาสีเงินสะท้อนเป็นสีแดงชั่ววูบก่อนจะกลับเป็นสีเงินดั่งเช่นปกติ ใบหน้านิ่งงันดุดันส่งบรรยากาศที่ไม่ชวนให้เข้าใกล้ออกมาทำให้ฮันซ่จึงได้แต่ผิวปากไม่สนใจกับท่าทางของอีกฝ่าย

     

     

    ใครจะไปคิดว่าครั้งหนึ่งปีศาจก็ลุ่มหลงจนมัวเมาจนโดนล่อลวงให้จมดิ่งเสียเอง


    TBC.

    ...........................................................
    Talk: เปลี่ยนอารมณ์ค่ะในที่สุดก็ได้อัพ Intro แล้วอิชุ้นหายไปเป็นปี...

    อย่างน้อยก็มีเรื่องอื่นให้อ่านนะคะแหะๆ(แก้ตัว) 

    ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ชื่อบล็องค์ เป็นภาาาฝรั่งเศส แปลว่า สีขาว เช่นกัน

    ดังนั้นในตอนนี้ชื่อว่าสโนว์ไวท์ ตัวดำเนินเรื่องเลยชื่อบล็องค์ค่ะ 

    อยากบอกว่า Libido เนื่องจากเป็นฟิคที่พยายามให้จบเป็นตอนๆ แต่ละตอนจึงยาวมว๊ากกกกกกกกกกกกกก แต่ถ้าเข้าเรื่องคู่หลักเรื่องเกี่ยวกับรีไวและเอเลนแต่ละตอนอาจสั้นลงค่ะ(เพราะถ้าเขียนที่เดียวจบคงได้แบ่งเป็น 1.1 1.2 1.3)

    ที่จริงเพราะล่ารักใกล้จบเลยหาเรื่องอู้(เหตุผลคงมีคนอยากปาหม้อไห กาละมังใส่)

    สำหรับเรื่องนี้มีตอนต่ออีกนิดหน่อย แต่ขออัพในบล็อกนะคะ

    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ คาดว่าจะพยายามไปปั่นล่ารักต่อในเร็ววัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×