ไดอารี่สีเลือด - ไดอารี่สีเลือด นิยาย ไดอารี่สีเลือด : Dek-D.com - Writer

    ไดอารี่สีเลือด

    เมื่อวันหนึ่งชัยต้องมาพบว่า สา ไม่สามารถที่จะอยู่เคียงข้างเขาได้อีกต่อไป....................................ไดอารี่เล่มนี้เท่านั้นที่จะสามารถไขปริศนาแห่งความตายอันน่าสยดสยองได้

    ผู้เข้าชมรวม

    573

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    573

    ความคิดเห็น


    9

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 มิ.ย. 47 / 18:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      28 มิถุนายน ผมแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะยืนอยู่ ได้แต่ทรุดตัวลงกับพื้นมือทั้ง 2 ยกขึ้นกุมขมับราวกับคนไร้สติ น้ำตาคลอเบ้า “สา!” ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักและไม่คิดที่จะรักใครอีก แต่มาบัดนี้สาได้จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ ชลดาเพื่อนสนิทของสาและยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมบอกว่าสาเพิ่งจะผูกคอตายเมื่อวานนี้เองทำไม…ทำไม เธอต้องคิดสั้นอย่างนี้ เธอไม่รู้เลยหรือว่ามี่ใครคนหนึ่งที่รักเธอ ใครคนหนึ่งที่แทบจะขาดใจเมื่อรู้ว่าเธอจากไป เย็นวันนั้นพวกเราไปที่บ้านของเธอกันยกห้อง พบเพียงห้องนอนที่ไม่มีเธอออกมายิ้มแย้มต้อนรับเหมือนเดิม มีเพียงแม่ที่นั่งกอดรูปลูกสาวสุดที่รักพลางร้องไห้ราวกับจะเป็นสายโลหิต ชลดาถึงกับเป็นลมหมดสติลงต่อหน้าพวกเรา พวกผู้หญิงจึงรีบพาไปปฐมพยาบาลในบ้าน ตำรวจนายหนึ่งซึ่งผมคิดว่า คงจะเป็นเจ้าของคดีนี้ เดินเข้ามาซักถามผมถึงเรื่องของสา สาไม่ใช่เด็กที่น่าจะคิดสั้น เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น ผลการเรียนที่น่ายกย่อง บุคลิกที่ร่าเริง แจ่มใส เป็นที่รักของทุกคน แต่..แต่ทำไมเธอถึงทำแบบนี้.. ผมเหลือบไปเห็นสมุดเล่มหนึ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าผม มันคงจะเป็นผลหรือไม่ก็สำนวนคดีการฆ่าตัวตายของสา ผมเปิดอ่านไปได้ซักพักก็ต้องสะดุดกับตัวอักษรสีแดงที่เขียนว่า “มีร่องรอยการต่อสู้” “ไอ้ระยำ…!” ผมสถบในใจ มนุษย์ใจหมาคนไหนที่กล้าทำกับเธอแบบนี้ ผมแทบจะคลั่งอยากจะกระชากไอ้นรกนั้นมาฉีกเป็นชิ้นๆ รู้สึกตาร้อนผ่าว มือกำแน่น ตัวสั่นเทาด้วยความอาฆาต “ศร..! ไอ้ศร..!” ผมสะดุ้งเฮือกกับเสียของชิดชัยเพื่อนสนิท “กูไม่อยากเชื่อเลยว่าสาจะคิดสั้นขนาดนี้” ชิดชัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ไม่หรอก สาไม่ได้ฆ่าตัวตาย” ผมตอบ “ทำไมมึงคิดอย่างนั้นวะ?” “กูไม่รู้หรอก แต่กูต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้ชาติชั่วคนไหนมันทำกับสาแบบนี้” ผมเดินเข้าไปในห้องของสา ปล่อยให้ชิดชัยยืนงงอยู่คนเดียว ห้องของเธอยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ต่างกับตอนที่เธอมีชีวิต ผมเคยเข้ามาในห้องเธอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือตอนที่แอบเอาของขวัญมาไว้ใต้หมอนเธอ ในงานวันเกิดของเธอเมื่อปีที่แล้ว กล่องดนตรีสีชมพูนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง เธอคงไม่รู้หรอกว่าผู้ให้ดีใจมากขนาดไหน ผมเดินสำรวจไปรอบๆห้อง ยิ่งคิดถึงสาน้ำตาก็ยิ่งจะไหล ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ผมก็พลันมองไปเห็น ไดอารี่เล่มหนึ่ง สีแดงสด “ศร! ดูไดอารี่เล่มนี้สิ! สาอุตส่าห์เก็บตังค์ซื้อตั้งนาน” “ไหน..!โห! สีแดงแจ๋เลยจะเอาไปทำอะไรล่ะ?” “อ้าว..ก็เอาไว้เขียนน่ะสิ เนี่ยมีเล่มเดียวในร้านด้วยนะ ไปแย่งซื้อกับพวกน้องๆมาเกือบไม่ได้” “หา..ว่าไงนะ!” ผมนึกหวนไปถึงวันที่เธอเอาไออารี่เล่มนี้มาอวด ด้วยความที่เธอเป็นคนมีนิสัยเป็นตัวของตัวเอง แบบนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมรักเธออย่างหมดหัวใจ ผมเอามือลูบที่ปกไดอารี่ น้ำตาก็พาลจะไหลพรูออกมา เผอิญเพื่อนคนหนึ่งเดินเข้ามาตามบอกว่าจะกลับกันแล้ว ผมเลยรีบเดินออกมาไหว้แม่ของสาแล้วก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์คู่ใจกลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมลงมากินข้าวปลา ได้แต่นอนเอามือก่ายหน้าผากคิดถึงแต่เรื่องของสา ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อแม่เข้ามาไล่ให้ไปอาบน้ำ ผมเลยลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำอย่างเสียไม่ได้ ราดน้ำซูมๆ2-3 ที ก็เดินออกมาเช็ดตัวแล้วนุ่งกางเกงขาสั้นล้มตัวลงนอนต่อ ผมไม่มีกะใจจะทำอะไรเลย ไม่อยากไปไหน ไม่อยากพบใคร กะว่าพรุ่งนี้จะลาหยุด เพราะยังทำใจเรื่องของสาไม่ได้ คิดไปคิดมา ผมจึงลุกขึ้นหยิบเป้ขึ้นมากะว่าจะเขียนจนหมายลาหยุด แต่ก็รู้สึกผิดสังเกตว่าทำไมเป้ถึงหนักขึ้น เมื่อผมเปิดดูก็รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ไดอารี่ของสามาอยู่ในเป้ของผมได้ยังไง หรือผมอาจหยิบติดมือมาตอนจะกลับก็เป็นได้ ผมจึงวางมันไว้ข้างๆตัวพรุ่งนี้ค่อยเอาไปคืนที่บ้านของเธอ แต่ด้วยไอ้ความสงสัยซึ่งเป็นเหมือนกิเลศอย่างหนึ่งของมนุษย์ ทำให้ผมรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเหลือเกินว่าข้างในนั้นเธอเขียนอะไรเอาไว้บ้าง ผมชั่งใจตัวเองอยู่นิดหนึ่ง เพราะรู้สึกเสียมารยาทที่มาแอบอ่านไดอารี่ของคนอื่น แถมยังเป็นของคนตายอีกด้วย แต่ไอ้ความอยากรู้อยากเห็นมันก็เอาชนะผมได้ ผมจึงหยิบมันขึ้นมาอ่าน 2 มิ.ย. วันนี้ฝนตกเล็กน้อยในตอนเช้า ชั้นจึงพกร่มไปที่โรงเรียนด้วย เบื่อเสียจริงทั้งกระเป๋า ทั้งเป้แถมยังร่มคันโตอีก … : : 3 มิ.ย. เลิกเรียนแล้ว ทำเวรจนถึง 4โมงเย็นก็ไปหาหนังสือทำรายงานที่ห้องสมุด คิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องมาทำคนเดียวเพื่อนคนอื่นช่างใจดำเสียจริง แม้แต่ชลดาแล้วก็เขาคนนั้นก็ช่างใจจืดหายหน้าไปทั้ง2คนเลย “เขาคนนั้น? ใครวะ..?” ผมพูดกับตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านไดอารี่ของสาต่อไป มันทำให้ผมรู้จักเธอมากขึ้น และหลงรักเธอมากขึ้นแต่เธอคงไม่มีทางมารับรู้ได้อย่างแน่นอน ผมได้แต่คิดในใจว่าถ้าวิญญาณเธอมีจริงก็ขอให้รับรู้เรื่องนี้ด้วยเถอะ วันนี้ห้องเรียนดูเงียบเหงาไม่มีแม้เสียงพูดคุย หยอกล้อ คนที่ผ่านไปมาอาจคิดว่านักเรียนห้องนี้ตั้งใจดีเหลือเกิน แต่กลับกัน แม้กระทั้งผมหนังสือก็ไม่อยากมอง ปากกาก็ไม่อยากจะจับ ชลดาก็ไม่มาเรียนในวันนี้เพื่อนบอกว่าเธอป่วย คงเป็นเพราะเสียใจมาก ในชั่วโมงพักเที่ยงผมแอบหยิบไดอารี่ของสาขึ้นมาอ่าน ผมรู้สึกเหมือนว่าสามาพูดคุยให้ผมฟังอีกครั้ง 17 มิ.ย. วันนี้ดีใจที่สุดที่มาโรงอาหารทันก่อนพักเที่ยง เพราะจะได้ไม่ต้องแย่งต่อแถวกับพวกรุ่นน้อง ระหว่างที่กำลังลวกช้อนส้อม อยู่ก็เหลือบไปเห็นเขาคนนั้นพอดี เขาคงไม่รู้หรอกว่าเราแอบมองเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่เคยมาสนใจเราซักที เขาจะรู้รึเปล่านะว่า เราน่ะสนใจเขาอยู่ ผมอ่านได้ยังไม่ถึงครึ่งหน้าก็แทบจะทรุด นี่สามีคนที่ชอบอยู่แล้วงั้นเหรอ ผมรู้สึกเสียใจจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หลังเลิกเรียนผมกลับมาบ้านด้วยสีหน้าที่ไม่สดใส นั่งเหม่ออยู่บนแคร่หน้าบ้าน ในหัวผมสับสนไปหมดกับคำว่า “เราน่ะสนใจเขาอยู่” “สนใจเขาอยู่”มันวิ่งพร่าน อยู่ในสมอง คิดอยู่ในใจว่าสาคงผูกคอตายเพราะไม่สมหวังในความรักกับคนที่เธอแอบสนใจ ผมได้แต่ถอนหายใจ ก่อนที่จะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ในสำนวนคดีเขียนว่ามีร่องรอยการทำร้ายร่างกาย “ใช่แล้ว” ผมนึกในใจ “คนร้ายคงจะแอบเข้าไปในบ้านของสาแล้วก็ทำร้ายเธอ จากนั้นก็คงจับเธอแขวนคอเพื่ออำพรางคดี” สมองบผมวิเคราะห์เหตุการณ์ราวกับนักสืบ แต่..ก็ยังคงสงสัยว่าใครกันล่ะที่ทำเช่นนั้น ผมคิดจนปวดหัวก่อนจะขึ้นบ้านไปอาบน้ำ ผมอยู่ทำเวรกับเพื่อนๆจนเย็นวันนี้ห้องสกปรกเหลือเกิน พวกเราช่วยกันเก็บกวาดจนเหนื่อยชิดชัยกับเพื่อนอีก2คนอาสาเอาขยะไปทิ้ง ขอให้ผมช่วยเก็บไม้กวาดให้แล้วจะซื้อน้ำมาฝาก ผมนั่งลงกับโต๊ะด้วยความเหนื่อยและร้อน หยิบกระดาษข้อสอบเก่าๆใต้โต๊ะขึ้นมาพัดหวังว่าจะคลายร้อนได้บ้าง พลางหยิบไดอารี่ขึ้นมาอ่าน ผมอ่านจนเกือบจะจบเล่มแล้วเหลือเพียงไม่กี่หน้า ซึ่งก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะเขียนอะไรที่แสดงถึงความไม่ปลอดภัยหรือถูกใครหมายปองจะทำมิดีมิร้ายเลย อ่านไปนิดหนึ่งผมก็สะดุดกับประโยคที่ว่า 27 มิ.ย. วันนี้เขาคนนั้นนัดเจอชั้นที่หลังตึกคหกรรม พอหมดชั่วโมงเรียนชั้นก็ไปพบเขาตามนัด ท่าทางเขาดูเขินอายอย่างบอกไม่ถูก ชั้นจึงเดินเข้าไปแล้วถามว่า “มีอะไรเหรอ?” แต่สิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ..เขาลวนลามชั้น ชั้นสะบัดตัวสุดแรงแล้วเดินหนีออกมาโดยเร็ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้…………… …. : : : เมฆเริ่มตั้งเค้าดำทะมึน ฝนคงตกจะหนักไม่ใช่เล่น ผมจึงรีบบึ่งมอเตอร์ไซด์ให้เร็วขึ้น เพราะไม่อยากให้ตัวเองเปียกเสียก่อน “มาทำไม! เราไม่มีอะไรที่ต้องจะคุยกันอีก” “เดี๋ยวสิ เรารักเธอนะ ทำไมเธอทำกับเราอย่างนี้” “ปล่อยนะ! ใครมาเห็นมันจะน่าเกลียด” “ไม่!เราอยากให้เธอรู้ว่าเรารักเธอ” “จะทำอะไรน่ะ! ปล่อยนะ!! บอกให้ปล่อย!” “เอ้า!ของมึง” ชิดชัยยื่นแก้วโค้กให้ผมก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเตรียมตัวกลับ “เฮ้ย..มึงไปซื้อมาจากไหนวะไดอารี่สีแดงแจ๋เลย” “เฮ้ย!ไม่ใช่ของกู สงสัยใครลืมเอาไว้มั้ง เดี๋ยวกูจะเอาไปไว้ห้องพักครูก็แล้วกัน” “เออๆ! เเล้วแต่มึง งั้นกูกลับก่อนนะ บาย “บาย” “เฮ้ย! ศร แล้วมึงก็ขี่รถกลับบ้านดีๆนะโว้ย อย่าไปเสยกับปิ๊กอัพเหมือนวันนั้นอีกล่ะ” ชิดชัยตะโกนบอกผมก่อนเดินลงบันไดไป ผมโยนไดอารี่เล่มนั้นเข้าไปในเตาเผาขยะหลังโรงเรียนก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์ออกไป พลางคิดในใจ..ถึงแม้ว่าความจำผมยังกลับคืนมาได้ไม่หมด แต่ที่จำได้ก็คือ ถ้าวันนั้นสายอมผมแต่โดยดีเธอก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงแบบนี้

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×