ตอนที่ 2 : white cutter | 1 (100%)
1
“ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าลูกเราต้องไปแต่งงานกับไอ้เด็กนั่น”
เบซูยอนว่าพลางโยนกระเป๋าสะพายยี่ห้อดังลงกับเบาะรถอย่างไม่เบาแรง มือเรียวยกขึ้นกุมหน้าผากก่อนจะตวัดสายตากรุ่นโกรธไปหาผู้เป็นสามี
“เพราะคุณแท้ ๆ เชียว ไม่อย่างนั้นจองกุกก็ไม่ต้องมาลำบากแบบนี้หรอก!”
ใบหน้าเกรี้ยวกราดเสออกไปทางหน้าต่างรถ ขณะที่แผ่นหลังใต้ชุดเดรสผ้ากำมะหยี่ก็ทิ้งลงพิงกับพนักนิ่มด้วยความระอาใจ นึกเบื่อหน่ายความไม่เอาไหนของสามีตัวเองที่สุดท้ายก็พาลทำให้คนในครอบครัวต้องลำบากรับผิดชอบร่วมกันกับเจ้าตัวทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ลูก
ลำพังแค่เรื่องธุรกิจก็น่าปวดหัวมากพออยู่แล้ว พอมาตอนนี้ยังมีเรื่องของจองกุกเข้ามาเกี่ยวข้องอีก แค่คิดเบซูยอนก็อยากจะกลับไปเอาปืนที่เก็บไว้ในลิ้นชักหัวเตียงมายิงจอนซังฮุนให้ตาย ๆ ไปเสีย เธอกับลูกจะได้ไม่ต้องมาคอยช่วยตามเช็ดตามล้างความผิดให้เขาอีก
“นี่คุณจะมาโทษผมคนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ คุณเองก็มีส่วนเหมือนกันนั่นแหละ”
“เออ เพราะฉันมันผิดตั้งแต่เลือกแต่งงานกับคนอย่างคุณแล้วไง!”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะด้านหลังเพียงคนเดียวถอนหายใจยาว จองกุกกดปิดหน้าจอแท็บเล็ตที่กำลังแสดงผลการค้นหาเกี่ยวกับคดีเมื่อห้าปีก่อน แล้วจึงเอ่ยขัดผู้ให้กำเนิดทั้งสองเสียงเรียบ
“ทะเลาะกันไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้หรอกครับ ปวดหัวเปล่า ๆ”
“ขนาดลูกยังคิดได้มากกว่าคุณอีก” ซังฮุนว่าพลางหันหน้าหนีจากภรรยาตัวเองที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง “กลับบ้านเลยแล้วกันคุณอิม เหนื่อยกันพอแล้วล่ะวันนี้”
จองกุกนั่งหลับตาฟังเสียงของพ่อที่เอ่ยกับคนขับรถ ก่อนที่ยานพาหนะสัญชาติยุโรปจะเริ่มเดินทางออกจากลานจอดบริเวณหน้าโรงแรมที่พวกเขาเพิ่งได้ทานมื้อค่ำกับครอบครัวคิมไป ไม่ เขาควรจะเรียกมันว่าเป็นการนัดเจรจาต่อรองโดยมีอาหารมาตั้งไว้อย่างพอเป็นพิธี---แบบนั้นน่าจะถูกต้องกว่า
แม้ว่าจะรู้สึกล้ากับการนั่งปั้นหน้ายิ้มอยู่สามชั่วโมงกว่าในห้องอาหาร ทว่าความคิดมากมายที่โลดแล่นอยู่ในหัวก็ไม่ยอมให้เขาได้พักผ่อนอย่างใจ การต้องแต่งงานกับคนที่พ่อแม่หามาให้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดปรารถนา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้าน โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่ได้กำลังชอบพอหรือคบหาดูใจกับใครในตอนนี้ และในเมื่อมันเป็นหนทางเดียวที่สามารถช่วยเหลือครอบครัวของเขาได้ จอนจองกุกก็ยินดีจะทำมัน
เปลือกตาสีไข่เปิดขึ้นขณะที่รถตู้ของครอบครัวก็ค่อย ๆ หยุดลงที่สี่แยกบริเวณจัตุรัสกลางเมือง เจ้าของใบหน้าหล่อเหลามองออกไปนอกหน้าต่าง แสงไฟหลากสีกับฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่ทำให้ด้านนอกนั้นดูมีชีวิตชีวา แตกต่างจากตัวเขาสิ้นดี
เพียงแค่คิดว่าจะต้องแต่งงานกับคน ๆ นั้น หัวใจทั้งดวงของจองกุกก็พลันปวดหนึบขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันอยู่ในอก---กดทับกันและกันแน่นหนาจนไม่เหลือพื้นที่มากพอให้หัวใจของเขาได้เต้นต่อ จองกุกหวนคิดถึงช่วงเวลาเก่า ๆ สมัยที่เขาและคิมซอกจินยังพูดคุยกัน แน่ล่ะ ในเมื่อพ่อของพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน มันไม่แปลกหรอกที่จองกุกจะได้เห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก และถึงตอนนั้นพวกเขาจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากมาย แต่สำหรับเขาแล้ว คิมซอกจินก็เป็นคนดีคนหนึ่ง---คนที่ใคร ๆ ก็อยากพาตัวเองเข้าไปโคจรอยู่รอบ ๆ และเป็นที่รักเสมอ
เป็นคนที่ไม่น่าทำเรื่องราวเลวร้ายอย่างนั้นได้เลย
จองกุกมารู้สึกว่าสนิทกับอีกฝ่ายจริง ๆ จัง ๆ ก็ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เขาสอบติดได้ที่เดียวกับเจ้าตัวแต่ว่าเรียนกันคนละคณะ ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากวันที่เราทั้งสองคนบังเอิญได้นั่งเรียนข้างกันในวิชาเสรีวิชาหนึ่ง ตอนนั้นจอนจองกุกยังเป็นเพียงนักศึกษาใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศของมหาวิทยาลัย คิมซอกจินที่อยู่มาก่อนสองปีจึงเสนออย่างใจดีว่าจะคอยดูแลและแนะนำให้เอง แน่นอนว่าเขาตอบรับอย่างไม่ลังเล
เย็นวันนั้น จอนจองกุกยืนรอหนุ่มรุ่นพี่ที่ข้างประตูเข้าออกใหญ่ของมหาวิทยาลัย เนื่องจากอีกคนให้สัญญาว่าจะพาไปเลี้ยงเนื้อย่าง คิมซอกจินที่สายจากเวลานัดไปสิบนาทีเดินมาพร้อมกับใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก ใครคนนั้นถูกพี่ซอกจินแนะนำว่าชื่อมินยุนกิ เป็นเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่คณะเภสัชศาสตร์เหมือนกัน และจะขอติดสอยห้อยตามไปที่ร้านเนื้อย่างด้วยในเย็นวันนี้
มันเป็นมื้ออาหารที่อร่อยและสนุกมากจริง ๆ --- อย่างน้อยก็ในความทรงจำสีจางของเขา
เพราะแบบนั้น จองกุกจึงไม่คิดเลยว่าแรงกระพือของปีกผีเสื้อเมื่อเจ็ดปีก่อนจะยังผลให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรเป็นแบบนี้ไปเสียได้
หากเขาสามารถย้อนเวลากลับไป จอนจองกุกจะไม่ตอบรับข้อเสนอนั้น เขาจะไม่ไปทานมื้อเย็นกับคิมซอกจินและมินยุนกิ เราทุกคนจะต่างคนต่างอยู่และดำเนินชีวิตไปตามทางของตัวเองโดยไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันหากไม่จำเป็น
ถ้าหากทำแบบนั้นได้จริง ๆ ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนคงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยที่สุด บางทีพี่ยุนกิอาจจะไม่ต้องตาย ส่วนเขากับพี่ซอกจินก็อาจจะหลงเหลือมิตรภาพดี ๆ ต่อกันอยู่บ้าง
---ทว่าเขาก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
แววตาเศร้าเหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถ ภาพไว ๆ ของตึกสูงใหญ่และรถที่ขับสวนไปมาพร่ามัวจากหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ ยิ่งเมื่อคิดถึงภาพใบหน้าของคิมซอกจินเมื่อห้าปีที่แล้วในห้องเก็บยากับที่ศาล จอนจองกุกก็ยิ่งเสียใจและผิดหวัง
มิตรภาพดี ๆ อย่างนั้นหรือ?ในตอนนี้อย่าว่าแต่ความเป็นเพื่อนเลย แม้แต่ความเห็นใจเขาก็ไม่มีให้
ถ้าไม่เพียงแต่ว่าพ่อกับแม่กำลังเดือดร้อนอย่างหนักและเหลือครอบครัวคิมเป็นตัวช่วยสุดท้าย ให้ตายจองกุกก็ไม่ยอมแต่งงานกับคิมซอกจินหรอก เพราะเขาต้องสะอิดสะเอียนและหดหู่จนแทบบ้าแน่กับการใช้ชีวิตทุกวันไปกับคนใจดำอย่างนั้น---คนที่ฆ่าได้แม้กระทั่งเพื่อนสนิทของตัวเอง
คนที่เปลี่ยนความทรงจำสดใสของมิตรภาพและรักครั้งแรกของเขาให้กลายเป็นโศกนาฏกรรม
ไม่น่าต้องมาเจอกันเลย...คิมซอกจิน
-----
แกรก
มือเรียวรวบมีดและส้อมลงกับจานหลังจากฝืนกินไปได้ไม่กี่คำ ซอกจินหยิบน้ำขึ้นมาจิบขณะที่พ่อและแม่ยังคงก้มหน้าก้มตาทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างมื้ออาหารค่ำแสนอู้ฟู่นี้เลยตั้งแต่ครอบครัวของจองกุกกลับไปเมื่อประมาณสิบนาทีก่อน
ทุกอย่างเป็นไปตามที่แทฮยองและแม่พูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน---เขาต้องแต่งงาน
ซอกจินไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือเขาไม่ได้ยินดีกับการคลุมถุงชนครั้งนี้นัก แต่เมื่อวิเคราะห์ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างประกอบกัน คิมซอกจินก็คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วสำหรับเขา และต่อให้จอนจองกุกจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่เขาก็เชื่อว่าอีกฝ่ายคงจะเข้าใจดีว่านี่เป็นทางออกเดียวสำหรับเราทั้งคู่
นัยน์ตาโศกเหลือบมองพ่อที่กำลังม้วนเส้นพาสต้าคำเล็กเข้าปาก เขาอยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้พ่อกำลังคิดอะไร รู้สึกยังไง สุดท้ายแล้วพ่อเคยรักแม่จริง ๆ บางไหม แล้วถ้าไม่ เขาก็อยากจะถามต่อว่าแล้วเขาล่ะ พ่อรักเขาบ้างหรือเปล่า ลูกชายคนเดียวที่เคารพเทิดทูนและมีพ่อเป็นแบบอย่างมาทั้งชีวิต---ลูกชายไม่ได้เรื่องอย่างเขา พ่อจะยังคงหลงเหลือความรักให้อยู่บ้างหรือเปล่า หรือว่าจะผิดหวังจนไม่อยากมีคนอย่างคิมซอกจินเป็นลูกอีกต่อไปแล้ว
ซอกจินพยายามจ้องให้ลึกลงไปในแววตาเรียบนิ่งของพ่อ อยากได้รับรอยยิ้มและคำปลอบใจจากพ่ออีกสักครั้ง ทว่าแม้แต่ในตอนนี้---ตอนที่เขากำลังรู้สึกอ่อนแอและเปลี่ยวเหงาไปทั้งหัวใจ พ่อก็ไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลยสักนิดเดียว
จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าอะไรขนาดนั้นหรอก
เจ้าของร่างผอมบางละสายตาจากผู้เป็นบิดาแล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของโซลยามค่ำคืนยังคงดูสนุกสนานและทำให้ใจเต้นแรงได้เสมอไม่ว่าเมื่อไร
เขาปล่อยให้ความเงียบงันขับเคลื่อนความคิดมากมายในหัว และในจุดที่ลึกที่สุดของหัวใจ ซอกจินก็พบกับความทรงจำที่ยังตามหลอกหลอนเขามาตลอดห้าปี ภาพทุกอย่างยังคงฉายชัดเสมอสำหรับคิมซอกจิน ไม่ว่าจะเป็นภาพตอนที่อยู่กับมินยุนกิในห้องเก็บยา หรือจะเป็นสายตาของจอนจองกุกที่มองมาหาเขาด้วยความผิดหวังและกรุ่นโกรธ
แม้แต่ในวันนี้ ภายใต้รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนริมฝีปากบางนั่น ซอกจินก็ยังคงมองเห็นความรู้สึกของจอนจองกุกได้อย่างชัดเจน
ทั้งความโกรธ ความเสียใจ ความผิดหวัง และอีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่มพูนมาจากเมื่อห้าปีก่อน---ความเกลียดชังที่อีกคนไม่สามารถเก็บซ่อนมันได้มิด
มือข้างที่พันด้วยผ้าก๊อซสีสะอาดบีบเข้าหากันแน่นเมื่อคิดถึงใบหน้าของคนที่เขาไม่ปรารถนาจะพบมากที่สุด ใช่ว่าจะมีเพียงแค่จองกุกที่เกลียดเขาเสียเมื่อไร ซอกจินเองก็เกลียด และยิ่งรู้สึกแย่เมื่อคิดว่าเขาไม่ได้สามารถผลักความเกลียดชังเหล่านั้นกลับไปหาจอนจองกุกได้เลยสักนิดเดียว
อันที่จริงมันออกจะตรงกันข้ามด้วยซ้ำ
“พี่ซอกจิน เดี๋ยวออกไปซื้อของกันนะ”
แรงสะกิดที่ไหล่กับเสียงทุ้มของน้องชายเรียกให้ซอกจินหันกลับไปที่โต๊ะอาหาร เจ้าของแววตาเศร้าเหลือบมองพ่อที่ยังคงจัดการอาหารในจานอย่างละเมียดละไม ต่างจากแม่ที่ส่งยิ้มมาให้พวกเขาทั้งคู่
“จะไปกันแค่สองคนใช่ไหมจ๊ะ”
เสียงของแม่อ่อนหวานราวกับว่าแม่อีกคนที่ซอกจินได้พบในห้องน้ำไม่มีตัวตนอยู่จริง
“ครับ”
แทฮยองตอบกลับไปอย่างสุภาพ แม่เห็นแบบนั้นก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางเบาแล้วก้มลงกินต่อ ซอกจินนั่งมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างอึดอัดใจ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเมื่อนึกถึงความจริงที่ผู้เป็นมารดาระบายออกมาจนหมดเปลือกในห้องน้ำ จู่ ๆ เขาก็สงสัยขึ้นมาว่าคิมแทฮยองจะรู้อย่างที่เขารู้ไหม
จะรู้ไหมว่าเราไม่ใช่พี่น้องกัน จะรู้ไหมว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อกับแม่ แล้วจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าทำให้แม่ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานใจมากขนาดไหน
ใบหน้าหวานลอบมองน้องชายที่กำลังก้มหน้าไถจอโทรศัพท์ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว---รู้ตัวว่าถูกแอบมอง ก่อนจะหันมายิ้มสดใสให้จนคิมซอกจินรู้สึกผิด
เพราะเขาไม่สามารถทนมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้อย่างสนิทใจอีกต่อไปแล้ว
“ไปเลยไหมครับ”
ซอกจินพยักหน้ารับบางเบา มือใหญ่จึงคว้าข้อแขนเขาให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “งั้นเจอกันที่บ้านนะครับคุณแม่”
“กลับดี ๆ แล้วกันจ้ะ”
แทฮยองเหลือบมองพ่อที่ยังทำเหมือนว่าพวกเขาเป็นอากาศธาตุก่อนจะแค่นหัวเราะ “ทานให้อร่อยนะครับคุณพ่อ” คนตัวสูงว่าพลางกระตุกแขนของพี่ชายให้เดินตาม “ไปกันเถอะ”
คนเป็นน้องดึงประตูห้องอาหารเปิดอย่างแรงจนพนักงานที่ยืนอยู่แถวนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบปรี่เข้ามาถามว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ คิมแทฮยองทำเพียงส่ายหน้าตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้พนักงานสาวแก้มแดงฉ่า แล้วจึงพาคิมซอกจินเดินตรงไปที่ลิฟต์
“ไม่คิดเลยเนอะว่าจะเป็นจอนจองกุก”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะยื่นมือไปกดปุ่มบนผนังหินอ่อน คิมแทฮยองถอนหายใจยาวพลางส่ายศีรษะเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในห้องอาหาร ก่อนจะหันมองพี่ชายที่กำลังส่งรอยยิ้มจืดเจื่อนมาให้ “ครั้งนี้คุณพ่อทำเกินไปจริง ๆ แหละพี่ว่าไหม”
“อือ”
“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นเลย”
แขนยาววาดขึ้นคล้องคอคนเป็นพี่ที่สูงพอ ๆ กันแล้วดึงร่างผอมบางเข้ามาใกล้ จากระยะนี้แทฮยองสามารถเห็นหยาดน้ำที่คลอหน่วยอยู่บนดวงตาของคิมซอกจินได้อย่างชัดเจน และเขาก็คิดว่าตัวเองไม่ชอบที่จะเห็นมันสักเท่าไร
มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นยีผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายให้ยุ่งเหยิง จนผู้เป็นพี่ทนไม่ได้แล้วยกมือขึ้นตีหลังมือเขาเป็นรางวัล แทฮยองหัวเราะคิกคัก ขณะที่คิมซอกจินก็เผยรอยยิ้มออกมาให้คนเป็นน้องสบายใจขึ้น
“นึกว่าจะต้องเห็นพี่ทำหน้าแบบนั้นไปตลอดชีวิตแล้วเสียอีก”
คิมแทฮยองยักคิ้วกวนก่อนจะยกแขนกอดอก ซอกจินหัวเราะเสียงแผ่ว แววตาโศกของผู้เป็นพี่จ้องมองน้องชายตัวเองด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นทะลักใจ ทั้งที่อีกคนก็ทำดีกับเขามากขนาดนี้แท้ ๆ แต่เขากลับไม่สามารถห้ามตัวเองให้หยุดนึกถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายคือคนที่ทำให้แม่เจ็บช้ำน้ำใจไปได้เลย
ลึก ๆ แล้วซอกจินก็รู้ดีว่าแทฮยองไม่ได้มีส่วนผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เรื่องราวของแม่มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เขาและคิมแทฮยองจะลืมตาดูโลกเสียอีก ทว่าเมื่อคิดถึงเสียงสะอื้นของแม่ตอนที่พูดถึงพัคซอนฮวา---แม่แท้ ๆ ของน้องชายเขาคนนั้น ซอกจินกลับรู้สึกปวดหนึบในอก ไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าการต้องทนเลี้ยงดูลูกของคนที่สามีตัวเองรักมากว่ายี่สิบหกปี จะต้องใช้ความเพียรพยายามมากมายขนาดไหน
แต่เพราะคิมซอกจินก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง เขาถึงยังเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจจัดการอย่างมีเหตุมีผลไปเสียทุกอย่างได้
“แทฮยองอา...ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไมกัน พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” อีกฝ่ายว่าพลางเอามือล้วงกระเป๋า “คุณพ่อต่างหากที่ผิดเต็ม ๆ”
ซอกจินหัวเราะ ดูเหมือนว่าความผิดที่เขาและแทฮยองเข้าใจจะต่างกัน
“หือ”
คนเป็นพี่เลิกคิ้วขณะเงยขึ้นมองน้องชายที่กำลังทำตาโต อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้ามือทั้งสองข้างของเขาขึ้นไปจับไว้
“พี่เลือดออก”
ซอกจินก้มมองมือของตัวเองที่แบออก เลือดสีแดงฉานที่ฉาบอยู่บนฝ่ามือและผ้าพันแผลไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากสักเท่าไร หรือหากจะบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยก็คงไม่ผิดนัก
แผลบนฝ่ามือพวกนี้มันเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรวดร้าวในหัวใจของเขา
“ผมจะพาพี่ไปโรงพยาบาล”
“อ่า...ได้สิ”
เจ้าของผมสีดำขลับพยักหน้ารับ นึกสงสัยว่าแผลเท่านี้จำเป็นต้องถ่อไปถึงโรงพยาบาลเลยหรือ
“เพื่อนผมเรียนเป็นจิตแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลนงซาน เขาน่าจะช่วยอะไรได้”
-----
“พี่ซอนฮี สวัสดีครับ”
“อ้าว สวัสดีค่ะคุณหมอ มืดแล้วทำไมยังไม่กลับคะเนี่ย”
“พอดีอาจารย์บอกให้รอดูเคสศึกษาน่ะครับ”
พัคจีมินคุยกับพยาบาลที่รู้จักตรงเคานท์เตอร์อย่างอารมณ์ดี ในมือมีถุงกระดาษสำหรับขนมเค้กและกาแฟที่เขาตั้งใจจะเก็บไว้กินตอนดึกหลังจากเข้าไปพบกับคนไข้พร้อมอาจารย์เสร็จเรียบร้อย คิดว่ายังไงคืนนี้คงจะได้อยู่ที่วอร์ดจนเกือบเช้า
“...จีมิน พัคจีมิน!”
ร่างเล็กหมุนตัวหันไปตามเสียงเรียก ปรากฏร่างของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมาสักพักใหญ่กำลังเดินเร็ว ๆ เข้ามาหา ด้านหลังมีคนที่เขารู้สึกคุ้นหน้าเดินตามมาด้วย
“มาได้ไงเนี่ย”
จีมินว่าเสียงสดใส มือเล็กวางถุงกระดาษลงที่เคานท์เตอร์ ก่อนจะเดินไปกอดเพื่อนสมัยมัธยมที่ยังสนิทสนมกันอยู่ไม่เปลี่ยน เขาไม่ได้เห็นหน้าคิมแทฮยองมาสักสองสามเดือนเห็นจะได้ เนื่องจากอีกฝ่ายยุ่งกับงานของเจ้าตัว ส่วนเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนสายเฉพาะทางจนไม่มีเวลาได้ออกไปพบกับเพื่อน ๆ เวลาที่เขามีนัดกันสักเท่าไร
ดวงตาเรียวเหลือบมองเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ยืนถัดออกไปไม่ไกล ใบหน้าซีดเซียวและแววตาที่เจือไปด้วยความเศร้าหมองชวนให้ใจของเขาหดหู่ขึ้นมาหน่อย ๆ แต่นอกจากนั้นแล้ว พัคจีมินกลับยิ่งรู้สึกคุ้นหน้ามากขึ้นเมื่อได้มองอีกฝ่ายชัด ๆ
“พาใครมาด้วย”
เสียงนุ่มกระซิบแผ่วเบาให้ตัวเองกับเพื่อนได้ยินกันแค่สองคน แขนเรียวคลายอ้อมกอดออกจากคนตัวสูงกว่า แล้วจ้องมองรอยยิ้มชืดจางบนใบหน้าของคิมแทฮยองด้วยความสงสัย ก่อนที่คำตอบจากปากอีกคนจะทำให้พัคจีมินจำได้ว่าเจ้าของแววตาหม่นแสงคนนี้เป็นใครในทันที
“นั่นคิมซอกจิน...พี่ชายฉัน”
ฆาตกรที่เคยเป็นข่าวดังเมื่อห้าปีก่อนคนนั้นนั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนกับคิมแทฮยองมานานหลายปี จีมินก็ไม่ได้รู้จักครอบครัวอีกฝ่ายมากนัก เขารู้แค่ว่าเพื่อนคนนี้มีฐานะร่ำรวย ครอบครัวประกอบธุรกิจ และมีพี่อยู่หนึ่งคน ซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนจนกระทั่งวันนี้
ใครจะไปคิดว่าพี่ชายของเพื่อนสนิทจะกลายเป็นคนเดียวกันกับในข่าวฆาตกรรมที่เขาเคยดูกับแม่เมื่อห้าปีก่อน
น่าแปลกดีเหมือนกันที่แทฮยองเลือกจะปิดบังเรื่องนี้กับเขามาได้ตั้งหลายปี หรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นเพราะว่าพัคจีมินไม่ได้สนใจข่าวสารในแวดวงธุรกิจมากสักเท่าไร เขาถึงได้ไม่รู้ว่า‘ทายาทคนโตของบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่อย่างแทซันกรุ๊ป’ ในพาดหัวคดีฆาตกรรมจะกลายเป็นพี่ชายของคนใกล้ตัวอย่างคิมแทฮยองไปเสียได้
“พี่ซอกจิน สวัสดีครับ ผมพัคจีมินเป็นเพื่อนแทฮยองครับ”
คนตัวเล็กเอ่ยกับเจ้าของแววตาหม่นแสงด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายชะงักไปครู่ใหญ่พร้อมกับสองมือที่กำแน่นอยู่ตรงช่วงท้อง ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางให้พัคจีมินรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“นายคงจะสนิทกับแทฮยองน่าดูเลยนะ”
“ฮ่า ๆ อันที่จริงผมไม่ค่อยชอบหน้าเขาหรอกครับ”
ตั้งแต่เรียนมา จีมินไม่เคยเจอกรณีที่คนไข้เป็นนักโทษกับตัวเอง แต่เขาก็พอรู้ว่านักโทษส่วนใหญ่มักจะได้รับผลกระทบทางจิตใจมาจากในเรือนจำมาไม่มากก็น้อย บางคนก็มีอาการผิดปกติทางจิตตั้งแต่ก่อนก่อคดี หรือบางคนก็อาจมีภาวะเครียด ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล กับการออกจากเรือนจำมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติ
คิมซอกจินเองก็คงเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้น
ริมฝีปากอิ่มวาดยิ้มให้พี่ชายของเพื่อนสนิทจนตาปิด ก่อนจะใช้นิ้วโป้งชี้ไปหาคิมแทฮยองที่ยืนรออยู่ด้านหลัง “ผมขอคุยกับแทฮยองสักเดี๋ยวนะครับ พี่นั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้”
ไร้ซึ่งคำพูด พี่ซอกจินทำเพียงผงกศีรษะรับคำบางเบา ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้หนังบริเวณนั้นอย่างว่าง่าย จีมินยิ้มให้อีกฝ่ายทิ้งท้าย ก่อนที่มือเล็กจะดึงแขนของเพื่อนตัวสูงให้ตามไปยังโถงทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน
“คนเดียวกับในข่าวนั่นใช่ไหม”
ว่าที่จิตแพทย์เอ่ยเสียงเข้ม
“ข่าวอะไร”
“ฆ่าคนตายเมื่อห้าปีก่อน”
แทฮยองถอนหายใจยาวพร้อมกับพยักหน้า “ใช่”
พัคจีมินยกมือขึ้นกอดอกพลางเม้มริมฝีปาก คิมซอกจินดูเหมือนจะต้องการความช่วยเหลือ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะสามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งกับอะไรก็ได้ตามต้องการ
“อยากให้ฉันลองคุยกับอาจารย์ชเวให้ไหม”
“แบบนั้นไม่ได้” เพื่อนตัวโตส่ายหน้า “ฉันอยากให้นายเป็นคนดูแลพี่ซอกจิน”
“แต่ฉันยังไม่ได้บรรจุเป็นแพทย์เฉพาะทาง อยู่ ๆ ฉันจะไปรักษาคนไข้เองไม่ได้”
คิมแทฮยองเอามือขยี้ผมอย่างหัวเสียเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจ เขาไม่ต้องการให้พี่ซอกจินถูกจับตามองไม่ว่าจะจากทั้งครอบครัวของจอนจองกุกหรือสำนักข่าวไหน ๆ อย่างน้อยถ้าเป็นพัคจีมินก็มั่นใจได้ว่าชื่อคิมซอกจินจะไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติการรักษาของแผนกจิตเวชโรงพยาบาลแห่งนี้
“แล้วถ้า...” ริมฝีปากบางเม้มแน่นด้วยความลังเล ก่อนจะเหลือบตามองเพื่อนที่กำลังยืนกอดอก “...ถ้านายแค่ให้คำปรึกษาล่ะ”
“ฟังนะ ตอนนี้เรายังไม่รู้อาการที่แน่นอนของพี่นาย ฉันเลยรับประกันไม่ได้ว่าแค่การให้คำปรึกษามันจะเพียงพอหรือเปล่า”
จีมินแย้งเพื่อนสนิทด้วยเหตุผล คนตัวเล็กกว่าพรูลมหายใจออกทางริมฝีปาก ก่อนจะยื่นมือไปแตะแขนคิมแทฮยองที่กำลังยืนห่อไหล่อย่างเห็นใจ
“เอางี้ ฉันจะคุยกับพี่ชายนายให้ก็ได้ แต่สัญญากับฉันก่อนว่าเมื่อไรที่ฉันวินิจฉัยว่าเขาต้องได้รับยา นายจะพาเขาไปหาหมอจริง ๆ ทันที”
ใบหน้าหล่อเหลาเผยยิ้มกว้าง ก่อนที่แทฮยองจะโถมร่างเข้าไปกอดคอเพื่อนสนิทที่กำลังส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา “โธ่ พัคจีมิน นายก็เป็นหมอน่า”
คิมซอกจินเงยหน้าขึ้นจากพื้นเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาตามโถงทางเดิน แทฮยองและเพื่อนของน้องที่ชื่อจีมินดูสนิทสนมกันดี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร เพราะแม้ว่าซอกจินจะพบกับอีกฝ่ายแค่ไม่กี่นาที แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรและพลังบวกจากเพื่อนของน้องชายอยู่มากโข
ยิ่งไปกว่านั้นคือพัคจีมินมองเขาด้วยแววตาที่แตกต่างจากคนอื่น บางทีอาจเป็นเพราะว่าเด็กคนนี้เป็นหมอ สายตาของอีกฝ่ายถึงได้ปราศจากความรังเกียจหรือสมเพชอย่างที่คนทั่วไปทำกับเขา
คิมซอกจินมองภาพชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเขาสองคนที่กำลังหัวเราะสดใสแล้วระบายยิ้มตาม
---รอยยิ้มที่มีแต่ความขื่นขม เมื่อคิดว่าเขาเป็นคนปล่อยให้เพื่อนรักอย่างมินยุนกิตายเองกับมือ
-----
เช้านี้อากาศข้างนอกค่อนข้างขมุกขมัว ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก
แม่บ้านบอกให้เขามานอนห้องนอนแขกตั้งแต่เมื่อคืน เพราะห้องส่วนตัวของเขารกเกินกว่าจะทำความสะอาดให้เสร็จได้ในวันเดียว และคิมซอกจินก็คงต้องใช้เวลาพักผ่อนในตอนกลางคืนที่นี่ไปอีกสองสามคืน
คนตัวผอมนอนตะแคงพลางมองแพเมฆสีเทาหนาที่ปกคลุมไปทั่วฟ้า เตียงนุ่มสบายและผ้านวมที่ให้ความอบอุ่นได้ตั้งแต่คอจรดปลายเท้าพาลให้รู้สึกแปลกประหลาด ซอกจินรู้สึกไม่แน่ใจนักว่าเมื่อลุกขึ้นมาจากเตียง ตัวเขาจะทำให้เครื่องนอนสะอาดสะอ้านนี้เกิดรอยเปื้อนหรือไม่
ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง---หกโมงกว่าแล้ว ทว่าเขายังไม่มีความคิดอยากจะเริ่มลุกไปทำอะไรเลย แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง รถของจอนจองกุกจะมาจอดรับเขาที่หน้าบ้าน และถึงตอนนั้นคิมซอกจินก็จะต้องไปกับอีกฝ่ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
---ไปจดทะเบียนสมรส
ริมฝีปากอิ่มพรูลมหายใจยาวก่อนที่สองมือจะเริ่มกำเข้าหากันแน่น ทว่าความรู้สึกเจ็บปวดที่เขาเริ่มคุ้นเคยในระยะหลังกลับหายไป
ซอกจินยกมือขึ้นให้อยู่ในระดับสายตา แล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนพัคจีมินพูดอะไรกับเขาที่โรงพยาบาล
“...วันนี้ผมตัดเล็บให้พี่แล้ว แต่พอกลับบ้านไปพี่ก็ต้องห้ามไว้ยาวอีกนะครับ”
“...”
“แล้วตอนไหนที่รู้สึกว่าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาบ้าง หรืออยากโทรมาคุยกับผมก็ได้นะ ผมยินดีมากเลย ฮ่า ๆ”
“...ได้เหรอ”
“ครับ?”
“พี่โทรหาคุณหมอได้จริง ๆ เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ”
“...”
“...การที่พี่เก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจคนเดียวอย่างนั้น...มันเหนื่อยนะครับ”
“...”
“บางทีการคุยกับใครสักคนอาจจะทำให้พี่รู้สึกดีขึ้น หรืออย่างน้อยถ้าพี่ไม่อยากเล่า แต่ว่าการได้ร้องไห้กับคนที่พี่ไว้ใจ แบบนั้นก็น่าจะเศร้าน้อยกว่าตอนที่พี่ต้องทนเก็บกั้นความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้คนเดียวนะครับ”
มือเรียวคว้าโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่แทฮยองเพิ่งซื้อให้เมื่อวานมาถือไว้ หน้าจอที่ปลดล็อคอัตโนมัติเมื่อแสกนใบหน้าของเขาเสร็จสว่างวาบ นิ้วผิดรูปกดเข้าไปดูในรายชื่อผู้ติดต่อ---ปรากฏเบอร์โทรศัพท์ของคิมแทฮยองและพัคจีมินเพียงสองคนเท่านั้น
ซอกจินนอนจ้องหน้าจอมือถืออยู่นาน ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเอาเรื่องของตัวเองไประบายกับใคร
---ใครจะมาอยากฟังเรื่องราวน่าปวดหัวของชีวิตคนอื่น ต่อให้พัคจีมินจะเป็นหมอที แต่นั่นก็ยิ่งหมายความว่าเพื่อนของแทฮยองคนนี้คงต้องมีเรื่องชวนเครียดมากพออยู่แล้วไม่ใช่หรือ เขาไม่กล้าไปรบกวนอีกฝ่ายหรอก
สุดท้ายซอกจินก็เลือกที่จะคว่ำหน้าโทรศัพท์มือถือลงกับหัวเตียงอย่างเดิม กายผอมพลิกตัวเข้าหาหน้าต่างบานใส พอดีกับที่หยาดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟ้า อุณหภูมิภายนอกที่ลดต่ำลงทำให้คิมซอกจินต้องคว้าเอาผ้านวมมาห่มคลุมจนถึงคาง เนื่องจากเขาไม่ค่อยถูกโรคกับอากาศเย็น ๆ สักเท่าไรนัก
ความนุ่มสบายของเตียงบวกกับเสียงฝนที่กระทบกับขอบหน้าต่างชวนให้รู้สึกง่วงงุนขึ้นมาอีกคราว จนกว่าจะรู้ตัวอีกที คิมซอกจินก็ได้พบกับตัวเองในโลกแห่งความฝันเสียแล้ว
-----
จองกุกจอดรถที่หน้ารั้วบ้านของคิมซอกจินตอนเจ็ดโมงสามสิบนาทีพอดิบพอดี อีกฝ่ายบอกกับเขาเมื่อวานว่าจะออกมารอเพื่อที่จะได้ขึ้นรถเลยทันทีที่เขามาถึง พวกเขาทั้งคู่ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเพิ่ม
ดวงตากลมพยายามสอดส่องไปทั่วบริเวณหน้าบ้าน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนที่เขากำลังมองหา ดังนั้นจอนจองกุกจึงเอื้อมมือไปคว้าเอาร่มสีดำสนิทมาจากเบาะหลัง ฝนเม็ดใหญ่ที่กำลังสาดใส่กระจกหน้ารถจนตัวปัดน้ำฝนส่ายเป็นระวิงคือคำตอบที่ดีว่าทำไมคิมซอกจินถึงยังไม่ออกมายืนรอด้านนอก
คนตัวสูงตัดสินใจลงจากรถแล้วเดินกางร่มไปกดกริ่งที่หน้าประตู มีเสียงของแม่บ้านถามว่าเขาคือใคร ก่อนที่รั้วไฟฟ้าจะเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติ เมื่อจอนจองกุกเอ่ยถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาบ้านของครอบครัวคิมเสร็จสิ้น
ขายาววิ่งกลับไปที่รถ แล้วจึงพาตัวเองและรถสัญชาติยุโรปขนาดสี่ที่นั่งเข้าไปในอาณาเขตหลังรั้วเหล็กสูงตระหง่านโดยทันที
คงเป็นเพราะว่าฝนตกและอากาศก็กำลังเย็นสบาย บริเวณรอบ ๆ บ้านคิมในเวลานี้ถึงมีเพียงคนงานไม่กี่คนกำลังทำนู่นทำนี่กันอยู่ ไร้วี่แววของเจ้าบ้านคนอื่น ๆ---รวมไปถึงคิมซอกจินด้วย
มือหยาบเคาะพวงมาลัยรถรออยู่กว่าสิบนาที แต่จนแล้วจนรอดจอนจองกุกก็ยังไม่เห็นว่าคนที่เขากำลังรอจะออกมาสักที หรือบางทีเจ้าตัวอาจจะยังไม่รู้ว่าเขามาถึงแล้ว? ก็เป็นไปได้ คิดแบบนั้นแล้วก็ดับเครื่องยนต์ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาจะตรงไปที่ประตูไม้สลักลายสวยงามบานใหญ่ จองกุกปัดไล่หยาดน้ำฝนที่เกาะอยู่บนศีรษะและตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ ก่อนที่มือหนาจะผลักประตูบ้านที่เขาไม่ได้มาเยือนกว่าห้าปีออกด้วยความรู้สึกอึดอัดในใจ
ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจหนักทิ้ง ภายในแทบจะเงียบสนิทถ้าไม่มีแม่บ้านคนหนึ่งกำลังเดินมาหาเขา
“คุณจองกุกที่คุยกับป้าเมื่อกี้ใช่ไหมคะ ไม่ได้พบกันนานเลย”
หล่อนโค้งคำนับให้ ก่อนจะขยับแว่นตาที่หล่นมาตรงปลายจมูกให้กลับขึ้นไปอยู่บนสัน ฟังจากเสียงแล้วคุณป้าแม่บ้านที่ดูคุ้นตาคนนี้คงจะเป็นคนเดียวกับที่เปิดประตูให้เขาเมื่อครู่
เจ้าของแผ่นหลังหนาโค้งกลับไปให้หล่อน “ใช่ครับ แล้ว...พี่ซอกจินล่ะครับ”
“น่าจะเตรียมตัวอยู่ด้านบนนะคะ ป้ายังไม่เห็นลงมาเลย”
จอนจองกุกพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นคุณป้าช่วยขึ้นไปดูให้หน่อยได้ไหมครับ”
“เกรงว่าจะไม่สมควรค่ะ” คุณป้าแม่บ้านยิ้มน้อย ๆ อย่างนอบน้อมพลางขยับแว่นตาอีกครั้ง “ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ป้าไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเข้าห้องนอนของใครตามใจ”
“อ่า ไม่เป็นไรครับ”
คนตัวสูงยิ้มรับจืดเจื่อนก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาบุหนังตัวใหญ่ เขาถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าจะต้องเสียเวลานั่งรอคิมซอกจินอยู่อย่างนี้อีกนานแค่ไหน เดิมทีแค่ต้องก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้เขาก็รู้สึกอึดอัดมากพออยู่แล้ว ทว่าเมื่อบวกกับเสียงฝนข้างนอกและบรรยากาศมืด ๆ ทึบ ๆ รอบตัวก็พาลให้หัวใจของเขายิ่งหดหู่กว่าเดิมอีกหลายเท่านัก
“คุณลองขึ้นไปดูสิคะ”
เสียงนุ่มนวลของคุณป้าแม่บ้านเรียกให้จองกุกต้องเลิกคิ้ว ความคิดนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยสักนิด แม้ว่าในอดีตจะเคยขึ้นไปบนห้องของพี่ซอกจินอยู่บ่อย ๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่อาจเฉยชากับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วแสร้งทำเป็นว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ยังเหมือนเดิมได้หรอก
“แบบนั้นจะดีเหรอครับ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางเบาบนริมฝีปาก
“คุณเป็นเพื่อนของคุณซอกจิน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบเมื่อได้ยินคำว่าเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้น จอนจองกุกก็ยังคงระบายยิ้มให้กับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเช่นเดิม
คนอย่างคิมซอกจินไม่สมควรจะได้รับคำว่าเพื่อนจากใครหรอก
“...เมื่อคืนคุณซอกจินนอนที่ห้องแขก ขึ้นไปแล้วอยู่ทางซ้ายมือของบันได ห้องที่สามค่ะ”
จองกุกกล่าวคำขอบคุณให้กับคุณป้าแม่บ้านแล้วเดินไปที่บันได ขายาวก้าวขึ้นไปทีละขั้นอย่างเงียบเชียบ สภาพชั้นสองของบ้านหลังนี้ยังคงเหมือนเคยในความทรงจำ จอนจองกุกถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนของเช้าวันนี้ ก่อนที่กายสูงใหญ่จะไปหยุดอยู่ตรงหน้าบานประตูห้องที่แม่บ้านเพิ่งบอกมา
มือใหญ่ยกขึ้นแนบกับประตูไม้เคลือบด้าน เขาไม่มั่นใจนักว่าควรจะเคาะเรียกคนที่อยู่ด้านในให้ออกมาหรือไม่ แล้วคำพูดแรกที่ควรจะเอ่ยกับอีกฝ่ายคืออะไร อันที่จริงแล้วจองกุกไม่อยากจะข้องเกี่ยวอะไรกับคนที่นี่ด้วยซ้ำถ้าหากไม่มีความจำเป็น
แน่ล่ะ ครอบครัวคิมคงจะเกลียดเขาอยู่แล้วที่ทำให้ทายาทคนโตของบ้านต้องเข้าไปนอนคุกตั้งห้าปี ส่วนคิมซอกจินเองก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไร
---แต่จอนจองกุกไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ต้องได้รับความเกลียดชังพวกนั้นหรอก ในทางกลับกัน เขาคิดว่ามันปกติด้วยซ้ำที่ใครจะสักคนจะเกลียดเขา ในเมื่อเขาก็เกลียดคน ๆ นั้นเหมือนกัน
อีกครั้งที่เขาพ่นลมหายใจหนักออกมาจนหมดปอด จองกุกยกมือขึ้นอีกครั้ง กำลังจะเคาะประตูเรียกซอกจินอยู่แล้ว ถ้าไม่เพียงเพราะว่ามีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังลอดออกมาให้ได้ยิน ก่อนที่ประตูไม้บานใหญ่จะถูกกระชากออกจากด้านใน
จอนจองกุกเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าขาวใสของคนที่กระวีกระวาดออกมาจากห้อง---คิมซอกจินที่ดูตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังเตรียมตัวไม่เสร็จดีนัก ผมเผ้ายุ่งเหยิงและดวงตาที่บวมอยู่หน่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าพี่ซอกจินคงจะเพิ่งตื่นได้ไม่นาน ผู้เป็นแขกแค่นหัวเราะเสียงเบา ในขณะที่เขารีบแทบตายเพื่อที่จะมาถึงบ้านของครอบครัวคิมให้ทันตามเวลานัด แต่อีกคนกลับนอนฟังเสียงฝนจนลืมตื่น
แววตาคมเหลือบไปเห็นปลายเสื้อเชิร์ตสีขาวสะอาดของอีกคนที่ยังไม่ได้กลัดกระดุมแล้วจึงรีบเบือนหน้าหนี ขายาวก้าวถอยหลังออกมาจากประตูสองก้าว
“...”
“...”
“...ขอโทษที พอดีพี่ตื่นสาย”
เสียงนุ่มเอ่ยแผ่วเบาหลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองอยู่พักใหญ่ จอนจองกุกไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยกแขกขึ้นกอดอกเมื่อนึกประหม่าจนไม่รู้จะเอามือทั้งสองข้างไปวางไว้ตรงไหน
“ไปกันเลยไหม”
อีกครั้งที่จองกุกแค่ผงกศีรษะรับคำ แอบนึกขอบคุณคิมซอกจินอยู่ลึก ๆ ที่อีกฝ่ายอดทนได้เก่งกว่าเขา เพราะจอนจองกุกคงไม่สามารถทนทำเป็นว่าเขาปล่อยวางจากอดีตได้แน่
เจ้าบ้านเป็นฝ่ายเดินนำลงบันไดไปก่อนพลางกลัดกระดุมเสื้อต่อ แววตาเรียบนิ่งมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนกระทั่งอีกคนเอ่ยทักคุณป้าแม่บ้านคนเดิมที่เขาเจอ จอนจองกุกจึงเดินตามลงไปบ้าง
"...งั้นผมไปก่อนนะครับ”
“ไม่ทานมื้อเช้าแน่นะคะ”
ซอกจินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ล่ะครับ น้องรอนานแล้ว”
แม้จะขัดใจกับคำว่าน้องที่คนอายุมากกว่าใช้เรียกตัวเอง แต่จอนจองกุกก็ทำเพียงยกยิ้มบางให้แม่บ้านที่ยืนร่วมวงสนทนาอยู่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคิมซอกจินจะยังกล้านับว่าตัวเองเป็นพี่ชายของเขาทั้งที่เคยทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้ขนาดนั้น
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ซอกจินถึงได้ใจจืดใจดำนัก
จองกุกโค้งให้คุณป้าแม่บ้านเป็นการบอกลา ร่างสูงในเสื้อผ้าสีดำสนิทเดินนำไปหยิบร่มสีเดียวกันตรงกล่องแก้วหน้าประตู แล้วจึงตรงไปยังรถที่จอดไว้ไม่ไกล ตามด้วยคิมซอกจินที่วิ่งเหยียบส้นรองเท้ามานั่งข้างกัน เขาปรายตามองหยาดน้ำฝนที่เกาะอยู่บนเบาะหนังฝั่งของอีกคนอย่างนึกระอาใจ ก่อนที่มือใหญ่จะพับร่มเก็บแล้ววางไว้กับพื้นที่ด้านหลัง
“พี่ทำรถนายเปียก ขอโทษทีนะ”
“ครับ”
เขาเอ่ยตอบสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสุภาพจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทาง ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น โชคดีที่ยังมีเสียงฝนจากข้างนอกดังคลออยู่ไม่หาย บรรยากาศแสนอึดอัดในรถคันนี้จึงไม่ได้ดำเนินไปด้วยความเงียบจนเกินไปนัก
ใช้เวลามากกว่าปกติประมาณห้านาที รถยนต์ราคาเก้าหลักก็มาจอดอยู่หน้าสำนักงานเขตคังนัม ฝนหยุดได้สักพักแล้ว แต่มลพิษทางอากาศที่สาหัสในโซลก็ไม่อาจทำให้ท้องฟ้าโปร่งใสขึ้นได้มากเท่าไรนัก
แววตาหม่นแสงทอดมองไปนอกหน้าต่าง ใจหนึ่งจองกุกก็อยากจะแค่ทำทุกอย่างให้มันเสร็จ ๆ ไปตามที่พ่อกับแม่ต้องการ แต่อีกใจเขากลับอยากยื้อเวลานี้เอาไว้ให้นานที่สุด---เวลาที่เขายังมีชีวิตและเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ แต่ไม่หรอก เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางลำบากใจขนาดนี้แน่ถ้าต้องแต่งงานกับคนอื่น แต่เพราะว่าอีกฝ่ายคือคิมซอกจินต่างหาก จอนจองกุกถึงได้นึกเกลียดข้อตกลงของพ่อกับแม่นัก
---แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
(90%)
เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสีดำสนิทดับเครื่องยนต์แล้วปลดเข็มขัดนิรภัย หันไปมองข้างกายก็เห็นคิมซอกจินกำลังอีเลื่อยเฉื่อยแฉะอยู่ไม่ต่างกัน
จอนจองกุกถอนหายใจ ก่อนจะส่งกุญแจรถให้อีกคน
“ผมจะลงไปก่อน พี่ล็อครถแล้วตามไปแล้วกันนะครับ”
ใบหน้าเรียวเล็กขยับขึ้นลงเบา ๆ แล้วรับกุญแจรถมาถือไว้ คิมซอกจินไม่ได้มองว่าจองกุกทำสีหน้าแบบไหนตอนพูดกับเขา แต่เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เตรียมรอยยิ้มยินดีไว้ให้แน่
ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นขณะเงยขึ้นมองตามแผ่นหลังใต้เสื้อเชิร์ตสีดำสนิทของใครอีกคนที่หายเข้าไปในสำนักงานเขต เขารู้สึกนับถืออีกฝ่ายอยู่เหมือนกันที่สามารถก้าวออกไปจากรถได้อย่างไม่ลังเลใจเลยสักนิด ต่างจากตัวเขาที่พยายามยืดเวลาอย่างงี่เง่าไร้ประโยชน์
มันจะไปมีความหมายอะไร ในเมื่อท้ายที่สุดทุกอย่างก็ต้องลงเอยด้วยการแต่งงานของพวกเขาทั้งคู่อยู่ดี
คนตัวสูงตัดสินใจลงจากรถแล้วปิดล็อคให้เรียบร้อยตามคำสั่งที่ได้รับมาเมื่อครู่ ลมแรงที่เจือไปด้วยละอองฝนพัดผ่านร่างทันทีที่ซอกจินก้าวขาออกมาจากรถ ราวกับว่าโชคชะตากำลังเอ่ยทักทายเขาอย่างเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนาน รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้าขาวใส พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว ไม่ว่าจะมินยุนกิหรือจอนจองกุกต่างก็เหมือนกับสายลมนั้นทั้งสิ้น
---เพราะเมื่อมันพัดผ่านไปครั้งหนึ่งแล้ว สายลมนั้นจะไม่มีวันพัดหวนกลับมาอีก
คิมซอกจินรู้ดี ในคืนนั้นเมื่อห้าปีก่อน เขาไม่เพียงแต่คร่าชีวิตของมินยุนกิไป ทว่าเขากลับพรากจิตวิญญาณของจอนจองกุกออกมาด้วย
ขายาวก้าวช้า ๆ ไปยังสำนักงานเขตด้วยหัวใจที่สั่นระรัว สิ่งหนึ่งที่ซอกจินมั่นใจเกี่ยวกับตัวเองก็คือ อวัยวะใต้อกซ้ายของเขาไม่ได้เต้นแรงจากความตื่นเต้น ดีใจ หรือหวาดกลัว เขาห่างหายจากความรู้สึกแสนโลดโผนพวกนั้นมานานจนแทบจำไม่ได้ ทว่าเขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้เช่นกัน ว่าอะไรคือเหตุผลของความรู้สึกอุ่นวาบในอกและหัวใจดวงน้อยที่กำลังสั่นรัวแรงอย่างห้ามไม่อยู่นี้
บางทีมันอาจจะเป็นความรัก
สองมือกำเข้าหากันแน่นเมื่อสรุปกับตัวเองได้แบบนั้น รักงั้นหรือ ความรู้สึกแสนเปราะบางเช่นนั้นไม่ควรจะมีพื้นที่ในหัวใจแสนหยาบกระด้างของเขาเลยด้วยซ้ำ ยิ่งพอเป็นจองกุกแล้ว คิมซอกจินยิ่งไม่อาจดึงเอาอีกฝ่ายลงมาแปดเปื้อนความรู้สึกแสนสกปรกของเขาได้เลย
ซอกจินนึกเกลียดตัวเองอยู่เสมอ เวลาที่คิดถึงชั่วขณะหนึ่งก่อนมินยุนกิจะสิ้นลมหายใจ ปีศาจในตัวเขากลับลิงโลดด้วยความคิดที่ว่าตัวเองคงมีโอกาสได้เป็นคนที่จอนจองกุกรักที่อีกคนเป็นบ้าง
---และความลับทุกอย่างที่มินยุนกิถือเอาไว้ ก็จะตายลงไปพร้อมกับเพื่อนของเขา
ความรู้สึก ณ ชั่วขณะหนึ่งในจิตใจตอนนั้น คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่สมควรได้รับความรักหรือมอบมันให้กับใคร พอคิดมาถึงตรงนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ถึงสาเหตุของการกระทำของคนรอบตัวที่เขาเคยนึกสงสัยหนักหนา
ทำไมพ่อถึงเกลียดเขา
ทำไมแม่ถึงไม่เคยโทรศัพท์หา
ทำไมแทฮยองถึงได้สงสารเขานัก
และทำไมจอนจองกุกถึงได้เมินเฉยใส่เขาเสมอ
คำตอบของคำถามพวกนั้นมันไม่ได้ยากเลยสักนิด เพียงแต่คิมซอกจินเอาแต่ปฏิเสธตัวเองมาตลอดก็เท่านั้น
เพราะจริง ๆ แล้วซอกจินตั้งใจปล่อยมินยุนกิให้ตาย
เขาคือฆาตกรอย่างที่ใคร ๆ ว่า
ประตูอัตโนมัติเลื่อนออกเมื่อคิมซอกจินเดินเข้าไปใกล้ แววตาโศกมองตรงไปยังแผ่นหลังใต้เสื้อเชิร์ตสีดำสนิทที่นั่งรออยู่ไม่ไกล---จอนจองกุกนั่งอยู่ที่หน้าเคานท์เตอร์ของพนักงานหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เธอยิ้มต้อนรับเมื่อเขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัว
“คุณคนนี้เซ็นเรียบร้อยแล้ว ส่วนคุณเซ็นตรงนี้ค่ะ”
หล่อนผายมือไปทางจองกุก ก่อนจะจิ้มลงตรงช่องว่างบนกระดาษ ข้อมูลทุกอย่างถูกพิมพ์ออกมาเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่เขาจรดปลายปากกาลงไป ทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์---เขากับจองกุกจะแต่งงานกันตามกฎหมายทันที ปัญหามีอยู่แค่อย่างเดียว คือคิมซอกจินไม่อยากทำแบบนั้นเลย
สองมือบางกำเข้าหากันแน่นอยู่บนตัก ทว่าไร้ซึ่งความเจ็บปวด ซอกจินรู้สึกได้ถึงหยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่เต็มเบ้าขณะมองไปยังทะเบียนสมรส มันเป็นความจริงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยตกหลุมรักจอนจองกุกจนสุดหัวใจ และเศษเสี้ยวความรู้สึกน่ารังเกียจพวกนั้นก็ยังคงอยู่ ทว่าการต้องแต่งงานกับคนที่เกลียดเขามันก็น่าทรมานใจเหลือเกิน ไม่เข้าใจพ่อเลยสักนิดว่าทำไมต้องเป็นผู้ชายคนนี้---ทำไมต้องเป็นจอนจองกุก
คนตัวผอมยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนจะตัดสินใจหยิบปากกาจากบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้แล้วเซ็นลายมือชื่อลงบนกระดาษ ในเมื่อพ่อกับแม่สั่งมาแล้วก็ต้องทำ ถึงจะเสียใจแค่ไหนก็ไม่มีทางเลือกอื่น อีกอย่าง คนเลว ๆ อย่างเขา แค่ยังมีบ้านให้นอน มีข้าวให้กินทุกวัน เท่านั้นมันก็เกินกว่าที่ซอกจินควรจะได้รับแล้ว
“คุณไม่ใช่คนแรกที่ร้องไห้ตอนจดทะเบียนสมรสหรอกนะคะ” พนักงานหญิงพูดกลั้วหัวเราะ “นี่ค่ะ ของขวัญจากเขตคังนัมของเรา ยินดีกับคุณทั้งสองด้วยนะคะ”
จอนจองกุกค้อมหลังเล็กน้อยขณะรับกล่องของขวัญใบเล็กและซองเอกสารสีน้ำตาลมาไว้ในมือ ส่วนซอกจินก็รับกล่องอีกใบมาถืออย่างไม่มั่นใจนัก เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสีดำลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำไปที่รถ ทิ้งให้คนอายุมากกว่าเดินตามมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า
“เดี๋ยวพี่กลับเองก็ได้นะ...นายไปพักผ่อนเถอะ”
ริมฝีปากอิ่มเอ่ยขัดตอนที่จองกุกกำลังเปิดประตูรถ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะโยนเอกสารกับกล่องกระดาษลงบนเบาะแล้วยกแขนขึ้นกอดอก
“ผมคุยกับคุณลุงคุณป้าไว้แล้วว่าจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไร มันไม่ได้ไกล”
จองกุกพ่นลมหายใจทิ้งด้วยความหงุดหงิด ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าไกลหรือใกล้ แต่เพราะเขาให้คำสัญญากับพ่อแม่อีกฝ่ายไว้แล้วต่างหาก จอนจองกุกจึงจำเป็นต้องไปส่งคิมซอกจินให้ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ไม่อย่างนั้นคิดหรือว่าเขาจะอยากใช้อากาศหายใจร่วมกับคนพรรค์นี้
---ยิ่งอยู่ด้วยก็ยิ่งมีแต่จะอึดอัดใจจริง ๆ
“แล้วพี่มีเงินเหรอครับ”
“พอมีอยู่ แทฮยองให้ไว้เมื่อคืน”
ใบหน้าคมพยักรับ ถึงความพยายามของคิมซอกจินจะทำให้เขาต้องผิดสัญญาที่เขาให้ไว้กับพ่อแม่อีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาต้องรั้งตัวอีกคนไว้ ลึก ๆ แล้วจองกุกรู้สึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ซอกจินสามารถหาทางให้พวกเขาไม่ต้องใช้เวลาร่วมกันไปมากกว่านี้ได้
“งั้นผมไปก่อนนะครับ”
เจ้าของใบหน้าหวานระบายยิ้มบางขณะมองรถยุโรปคันหรูวิ่งออกไปตามท้องถนน จริง ๆ คิมซอกจินไม่มีเงินหรอก แต่เดินกลับบ้านก็ไม่ได้แย่นัก เมื่อเทียบกับบรรยากาศแสนอึดอัดเวลาที่ต้องอยู่กับจองกุกสองคน
อีกอย่าง ประกายสดใสในแววตาของอีกฝ่ายตอนที่รู้ว่าจะได้กลับบ้านโดยไม่มีเขา มันก็คุ้มที่จะให้คิมซอกจินเดินย่ำพื้นเปียกน้ำฝนเฉอะแฉะสักชั่วโมงจนถึงบ้านแล้ว
เป็น 10% ที่เพิ่มมาอีกพันคำค่ะ งงมั้ยคะ งง 555555
อืม จริงๆหายไปเกือบเดือนก็นานอยู่เหมือนกันใช่มั้ยล่ะคะ แต่เราไม่ได้ตั้งใจดองนะคะ งานรุมเร้ามากจริงๆค่ะ TT____TT อีกเรื่องที่เคยบ่นไปว่าปวดข้อมือ ตอนนี้เหมือนจะปวดกว่าเดิมอีกค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเราจากการเขียนฟิคได้หรอกนะคะ นี่ก็อู้งานมา 55555
ก่อนเปิดเทอม (ออนไลน์) ปี 3 ท่าทางจะต้องไปพบแพทย์จริงจังแล้วล่ะค่ะ ทุกคนก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ แล้วพบกันค่ะ! #whitecutterkj
90% publish: 29/5/2020
100% publish: 25/6/2020
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เราอ่านไปแล้วมันรู้สึกอึดอัดไปด้วยเลยค่ะแงงจินปล่อยยุนกิตายจริงๆหรอเนี่ยหรือเพราะรู้ว่าจินแอบชอบจองกุก(╥﹏╥)
ดูอึดอัดจังเลยนะ หน่วงๆยังไงไม่รู้ อยากรู้จังว่าพี่จินทำแบบนั้นไปทำไม แล้วความลับที่หายไปพร้อมกับมินยุนกิคืออะไร ใจเราก็อยากจะแบบคิดว่าซอกจินไม่ได้ทำ ซอกจินไม่ได้ทำมันอาจจะบังเอิญรึเปล่า..///เจ็บปวดจัง
เป็น10%ที่อ่านแล้วอึดอัดใจมากค่ะ อึมครึมมาก// เป็นกำลังใจให้นะคะคุณไรท์ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ความลับอะไรกัน อะไรที่ทำให้พี่จินยอมปล่อยให้เพื่อนตัวเองตายไปต่อหน้าได้แบบนั้น มันมีอะไรระหว่างเพื่อนรักทั้งสองคนนี้กันแน่ 😭😭
ทำไมเรารู้สึกเหมือนจองกุกุก็น่าจะรู้อะไรแต่ก็เหมือนจะไม่รู้ มันตะหงิดๆในใจยังไงชอบกล
รอฟิกคุณไรท์เสมอนะคะ
อยากรู้เหตุผลซอกจินจังว่าทำไมถึงยืนมองเพื่อนตัวเองจนเสียชีวิตได้ หรือยุนกิเป็นคนขอร้องเองว่าไม่ให้จินช่วย เขาฆ่าตัวตายเองรึเปล่า???//หน่วงๆอยู่นะ ปวดใจสุดๆ☹️☹️
คนอ่านมองไม่เห็นหนทางที่เขาจะลงเอยกันได้เลย แง๊ ดูทั่งสองฝ่ายฝืนทนให้มันจบๆไป เหมือนทุกอย่างมีเงื่อนงำแต่ไม่มีใครสนใจจะหาที่มาของมันแล้ว (หมอพัคจีมินอาจจะเป็นความหวังในเรื่องนี้)
อีก10%ที่เปลี่ยนชีวิตได้..... แอบกลัวนะคะไรท์