ตอนที่ 26 : : JunHyuk 22 :
JunHyuk 22
ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของฮันบินที่ค่อยๆเดินออกไปจากเราทั้งสามคนช้าๆ มือหนายกขึ้นปาดน้ำตาและเดินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่หันกลับมามอง จุนฮเวยังคงยืนนิ่งไม่แสดงท่าทางใดๆทั้งสิ้น แม้แววตาของพี่จินจะขอร้องอ้อนวอนความเห็นใจจากเขามากเท่าไหร่ก็ตาม
พี่จินฮวานสบตาผมที่หันกลับมามองพี่จินฮวานและฮันบินสลับกันไปมา ผมยิ้มให้พี่จินและกุมมือเอาไว้ความเย็นแผ่ซ่านเข้าไปถึงความรู้สึกข้างในและผมรับรู้ได้
“เราผิดพลาดกันได้นะครับพี่จินไม่มีใครที่เดินถูกทางเสมอ ทุกคนล้มและเจ็บปวดกับทางเดินผิดๆที่เราเลือก ถ้าเราลุกขึ้นไหวเราก็จะเจ็บน้อย...ถึงแผลที่เรามีจะไม่หายไปแต่มันก็จะไม่ลุกลามกว่าเดิม”
“.....”
“ผมบอกพี่จินไม่ได้ว่าต้องทำยังไง แต่ถ้าพี่จินลองเปิดใจสักนิดทำลายกำแพงที่มีอยู่ในใจและปล่อยวางผมเชื่อว่าพี่จินจะเข้าใจดีทุกอย่างครับ”
“ดะ ดงฮยอก”
“ผมอยากให้พี่จินมีความสุขนะ เพราะว่ารอยยิ้มของพี่จินทำให้ผมมีความสุขไปด้วยและผมก็เชื่อว่ายังมีอีกคนที่รู้สึกแบบผม”
“.....”
“เรากลับไปแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่ได้นะครับพี่จิน ผมอยากให้พี่เริ่มใหม่อีกครั้งไม่ต้องกลับไปลบแผลเดิมหรอกนะครับแค่เยียวยามันก็พอ เก็บมันเอาไว้เป็นภูมิต้านทานดีกว่าเนาะ”
ใบหน้าของพี่จินเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ผมร้องไห้และยิ้มไปพร้อมๆกัน พี่จินค่อยๆหันหลังและเดินออกไปจากสนามเด็กเล่นช้าๆจนหายไปจากสายตา
“.....”
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของจุนฮเว ไม่มีคำแก้ตัว ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีสิ่งที่ต้องการจะอธิบายเหตุผลมากมายที่เขาทำแบบนี้ สายตาคมสบตากับผมด้วยความรู้สึกมากมาย ความรู้สึกที่ถูกเพื่อนและคนรักหักหลังมันคงจะมากพอให้คนคนหนึ่งกลายเป็นคนที่เย็นชาได้...ผมเชื่อแล้วจริงๆ
ถึงจุนฮเวจะรู้สึกดีกับผมมาก่อนแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกถ้าจะเดินหน้าตามความรู้สึกของตัวเองทั้งที่มีความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวและสำคัญกับผม ถ้าผมเป็นจุนฮเวในตอนนั้นผมก็บอกไม่ได้ว่าผมจะทำยังไง
ระหว่างเห็นแก่ตัวและเสียสละ...
แต่ไม่ว่าผมจะเลือกทางไหนก็ตามถ้าสุดท้ายสิ่งที่ได้รับคือการถูกหักหลังจากคนที่ผมไว้ใจทั้งสองคนมันก็จะเจ็บปวดมากๆ
คล้ายกับสิ่งที่ฮันบินได้รับ...
ที่ที่ยืนอยู่คือการมีความหวังที่จะทำความรู้จักกับพี่จินฮวาน แต่เมื่อความหวังนั้นหายไปด้วยฝีมือของเพื่อนตัวเองมันก็คงจะเจ็บปวดไม่ต่างกัน
บาดแผลที่พวกเขาสร้างขึ้นและปล่อยเอาไว้ สร้างเกมส์ที่เล่นกับความรู้สึกของตัวเองเพราะความอยากชนะ เลือกที่จะทำตามความต้องการของตัวเอง มองข้ามเหตุผลและความถูกต้อง...
แผลที่มีอยู่มันถึงลึกและชัดเจนมากขึ้น...ยากที่จะรักษาได้
ผมมองสบตาจุนฮเวที่นิ่งอยู่นาน การตัดสินในทางของผมที่มีก็เริ่มที่จะไม่มั่นคงอีกต่อไป ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้จุนฮเวหยุดนิ่งตรงหน้าและยิ้มให้เขาเหมือนเดิม ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบแก้มของผมเบาๆ
“ไม่เป็นไรจุนฮเว...”
ผมสวมกอดคนตัวโตเอาไว้แน่นและปลอบเบาๆ เสียงสะอื้นเบาๆจากคนตัวโตดังแว่วอยู่ในสนามเด็กเล่นที่เงียบงัน ตอนนี้ความรู้สึกอ้างว้างและผิดหวังในตอนนั้นคงกำลังกลับมาเล่นงานเขาเหมือนครั้งก่อน สิ่งที่กลายเป็นเกราะป้องกันของจุนฮเวจึงกลายเป็นเพียงความเงียบและการวิ่งหนี
แม้จุนฮเวเลือกที่จะแสดงท่าทีเกลียดฮันบินกับพี่จินมากขนาดไหนก็ตาม ผมรู้ว่าลึกๆแล้วเขาก็ต้องการให้สิ่งที่เสียไปย้อนคืนกลับมา อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดที่จุนฮเวเรียกร้องก็ตาม
“ยิ้มสิ อย่าทำหน้าแบบนั้น”
ผมดึงแก้มทั้งสองข้างของจุนฮเวให้ยืดออกและยิ้มกว้างเป็นตัวอย่างไปด้วย ปลายจมูกคมก้มลงจรลที่ปลายจมูกของผม
“ขอโทษ...”
“....”
“ฉันผิดไปแล้วดงฮยอก” ผมส่ายหน้าตอบจุนฮเวและยกมือขึ้นลูบแก้มอีกคนบ้าง
“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอกจุนฮเว นายไม่ได้ผิดอะไรอย่าโทษตัวเองเข้าใจไหม”
“....”
ผมโอบกอดจุนฮเวและเงยหน้าส่งยิ้มไปให้อีกครั้ง จุนฮเวยิ้มให้ผมและโอบกอดตอบ ริมฝีปากค่อยๆทาบทับลงมาช้าๆและค้างเอาไว้เนิ่นนาน จนผมใจหายเมื่อสัมผัสนั้นค่อยๆถอนออกไปและริมฝีปากที่เอ่ยคำขอที่ผมตอบรับและโกหกมาตลอด
“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งฉันดงฮยอก...ขอบคุณที่นายให้โอกาสฉัน”
“....”
“ฉันรักนาย มันอาจจะฟังดูไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่เพราะฉันใช้มันจนชาชินไปแล้ว แต่มันคือความรู้สึกทุกอย่างที่ฉันมีตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้...ฉันก็รักนายดงฮยอก”
“....”
“แล้วนายรักฉันบ้างไหม”
“....”
“ดงฮยอก...”
“รัก...ฉันรักนายจุนฮเว”
สาบานได้เลยครับว่าประโยคนี้คือความจริง...ผมไม่ได้โกหก!
50%
Junhoe part
รอยยิ้มของเพื่อนสนิทของผมกำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆกันบนกระดาษแผ่นเล็กในมือ ผมนอนมองรอยยิ้มงี่เง่าของไอ่ฮันบินมาแล้วเป็นเวลานาน ในห้องที่เงียบและเหงาตั้งแต่วันที่ผมและมันแตกคอกันก็ไม่มีเสียงหัวเราะนั้นอีกเลย ผมยอมรับว่าดูตุ๊ดไปหน่อยกับการที่มานั่งคิดถึงอะไรแบบนี้แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากมันแล้วก็ไม่มีเพื่อนคนไหนที่ผมไว้ใจอีก
คนคนเดียวที่ทั้งทำให้ผมไว้ใจและเสียใจมากที่สุด
ก๊อก ก๊อก
“คุณจุนฮเวคะ คุณดงฮยอกมาค่ะ”
ผมยันตัวเองลุกขึ้นปล่อยภาพในมือทิ้งและเดินออกจากห้องไปในทันที แม้แต่กล่าวตอบรับคุณแม่บ้านผมยังไม่ทำ ผมเดินลงมาที่ชั้นล่างแต่กลับไม่พบใคร มีแต่กลิ่นของซุปที่ลอยออกมาจากในครัว
แผ่นหลังเล็กกำลังหันหลังให้ผมอยู่ มือบางจับทัพพีเอาไว้และตักซุปขึ้นชิมก่อนจะหันกลับมาที่โต๊ะยาวกลางห้องหยิบเอาขวดปรุงรสไปเทลงในหม้อใหญ่
“ทำอะไร...หอมจังเลย”
“มาสักทีฉันนึกว่านายหลับอยู่ซะอีก”
“กลิ่นซุปหอมขนาดนี้จะหลับลงได้ไง”
“.....”
ดงฮยอกไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับจ้องมองผมอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มให้ผมอย่างเช่นทุกครั้ง ผมรู้ว่าดงฮยอกกำลังคิดอะไร เขาเอาแต่คิดว่าผมยังคงคิดมากอยู่กับเรื่องวันนั้น ทุกวันดงฮยอกจะถามผมเสมอว่าเป็นยังไง ทำให้ผมมีดงฮยอกอยู่ข้างๆเสมอ
“มองทำไม ฉันโอเคบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว” ผมยกมือขึ้นบีบจมูกเล็ก
“เปล่าสักหน่อยก็แค่...”
“แค่อะไร” ผมถามอีกคนเมื่อเงียบไปและหลบสายตา
“แค่อยากมอง....”
เสียงตอบแผ่วเบาทำให้ผมหลุดขำและโอบกอดอีกคนเอาไว้ หลายวันมานี้ดูดงฮยอกแปลกไป บางครั้งก็เหมือนจะมีความสุขแต่บางครั้งก็ทำเหมือนว่ามีอะไรให้เขาต้องคิดอยู่เสมอ ผมไม่ชอบที่คิ้วสวยบนใบหน้าเล็กจะขมวดเป็นปม
“ฉันจะอยู่ให้นายมองจนเบื่อไปเลยล่ะคิมดงฮยอก”
“......”
เงียบอีกแล้ว....
“ดงฮยอก!”
“ฉันว่าเราไปกินข้างกันดีกว่า ซุปโอเคแล้วแหล่ะ”
ดงฮยอกผละออกจากผมและเดินออกจากครัวไป ผมที่ได้แต่มองตามด้วยความสงสัยบางอย่างท่าทางหลบตาของคนตัวเล็กมันดูแปลกๆ
บนโต๊ะอาหารในเวลากลางวันมีแค่ผมกับดงฮยอกที่นั่งอยู่ ในบ้านที่เงียบเหงาอย่างเช่นทุกวันเพราะทั้งแม่และพ่อต้องออกไปดูแลงานในบริษัทที่ท่านเปิดเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อก่อนที่ผมไม่มีคนตัวเล็กก็จะมีเพียงแค่ฮันบินที่แวะเวียนมาหา
ผมยังคงนั่งนิ่งจ้องมองดงฮยอกที่เอาแต่กินอาหารของตัวเองเงียบๆ แม้บางครั้งสายตาคู่เล็กจะเงยหน้าจากอาหารมามองผมเพียงแวบเดียวก็ตาม ดงฮยอกก็จะกลับไปสนใจอาหารในชามต่อเหมือนเดิม
“จะเงียบไปถึงไหนดง”
“....”
“คุยกับฉันบ้างสิ”
“แล้วทำไมนายไม่กินล่ะ”
“....”
ดงฮยอกตักซุปในชามของผมและยื่นมาจ่อที่ปาก รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นเมื่อผมได้มองดู เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้ แค่มีดงฮยอกผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจริงๆ
กองหนังสือมากมายกำลังถูกรื้นค้นด้วยฝีมือของดงฮยอกที่ผมทำได้แค่ยืนดู พรุ่งนี้จะเป็นวันสอบวัดผลโครงการแล้วและเป็นการสอบครั้งสุดท้ายของนักเรียนเกรดสิบสองอย่างผมและดงฮยอก นั้นหมายความว่าวันนี้จะเป็นการติววันสุดท้ายนั้นเอง
“วันนี้วันสุดท้ายแล้วตั้งใจหน่อยนะจุนฮเว”
“พูดแล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นฮ่ะ”
“เปล่าสักหน่อย...ฉันแค่กำลังคิดว่าถ้านายสอบวัดผลไม่ผ่านมันคงจะแย่มากๆ”
“คิดไปเอง”
ผมเดินเข้าไปยกเอากองหนังสือมาถือไว้แล้วเดินไปวางไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กบนเตียง ผมเข้าใจว่าดงฮยอกคงกำลังจินตนาการว่าถ้าผมสอบวัดผลไม่ผ่านโรงเรียนก็จะมอบใบจบให้ผมช้าเพราะต้องประเมินอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งก็จะทำให้การยื่นคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยช้าไปอีก
“ฉันได้ไปเรียนมหาลัยพร้อมนายแน่นอนดงฮยอก...ไม่ต้องห่วง”
“.....”
“มาติวกันดีกว่า”
ผมดึงแขนดงฮยอกให้นั่งลงบนเตียงด้วยกัน เปิดหนังสือเล่มหนาออกและไล่หาบทเรียนสุดท้าย
“วันนี้คงติวดึกงั้นนายค้างที่นี่กับฉันนะ”
“.....”
“ฉันสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายจะไม่ทำอะไรดงฮยอก...นอกจากกอดและจูบน่ะนะ”
ดงฮยอกขำแรงใส่ผมก่อนจะพยักหน้ารับและยกมือขึ้นหยิกแก้มผมอีกแรงๆ ใบหน้าใสขึ้นสีระเรื่อเมื่อครั้งหัวเราะเสียงดัง ผมมองดูดงฮยอกและหัวเราะไปพร้อมกัน
“เอาล่ะ...งั้นเริ่มทบทวนวิทยาศาสตร์ก่อนแล้วมาทำโจทย์เพิ่มเติมทีหลัง”
“เริ่ม!!!”
ผมเขียนคำตอบข้อสุดท้ายและปิดหนังสือลงเบาๆ นาฬิกาที่ชี้เข็มสั้นและยาวไว้ที่เลขสิบสิงบนฝาผนังกำลังบอกว่าตอนนี้ได้เวลาที่จะเลิกได้แล้ว และดงฮยอกกำลังนอนหลับอยู่ข้างๆของผม
“ขี้เซา”
ผมยกมือขึ้นจิ้มแก้มดงฮยอกไปหนึ่งทีและจัดการเก็บของบนเตียงออกไปไว้ที่เดิม แต่พอหันกลับมาดวงตาใสแป่วของคนบนเตียงกลับกำลังจ้องมองมาที่ผมซะอย่างนั้น
“ฉันทำให้นายตื่นเหรอ”
“.....” ดงฮยอกส่ายหน้าตอบและลุกขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่คลอเต็มหน่วย
“ร้องไห้ทำไม...ฝันร้ายเหรอ”
“เปล่า...ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
ถึงแม้จะมีแต่ท่าทีปฏิเสธน้ำตาที่ไหลออกมากลับไม่ได้ยืนยันในคำตอบของคนบนเตียงเลย ผมได้แต่กอดปลอบดงฮยอกที่กำลังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ทั้งที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันไหลออกมาเพราะอะไร
วงแขนเล็กโอบกอดรอบตัวของผมเอาไว้เหมือนกลัวว่าจะหลุดไปไหน ถึงจะเป็นการร้องไห้แบบไม่มีเสียงสะอื้นผมก็รู้สึกถึงความกลัวบางอย่างที่ดงฮยอกกำลังมีอยู่
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว นอนดีกว่านะพรุ่งนี้มีสอบตอนนี้มันดึกแล้ว”
“จุนฮเว...”
“หืม...”
ดงฮยอกนอนลงอย่างว่าง่ายตามที่ผมบอกพร้อมกับเบียดตัวเข้ามาใกล้ ทั้งที่แขนทั้งสองข้างก็ยังคงไม่ปล่อยออกจากผม ใบหน้าเล็กเงยขึ้นสบตาผมที่ก้มมองตอนที่ได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบา
“นายกอดฉันได้ไหม...กอดฉันทีจุนฮเว”
“เป็นอะไรดงฮยอก...กอดอยู่นี่ไง”
“......”
ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น เรากำลังนอนกอดกันภายใต้ผ้านวมผืนใหญ่ผืนเดียว ผมรู้สึกได้ถึงเสื้อที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของดงฮยอก แต่พอก้มมองดวงตากลมกลับถูกปิดสนิทไว้ด้วยเปลือกตาสีมุก ลมหายใจร้อนที่สม่ำเสมอรินรดอยู่ที่ซอกคอของผม
“จุนฮเว...ฉันรักนายนะ”
“.....”
“ไม่ว่าจะยังไงฉันก็รักนายจุนฮเว”
“ฉันรู้แล้ว...ดงฮยอก ฉันก็รักนาย”
ผมตอบคนที่ยังคงปิดตาเอาไว้แล้วก้มลงซุกตัวเข้าหาผมเพียงอย่างเดียว ถึงผมจะยังไม่เข้าใจอะไรดีนักแต่เหตุผลเดียวที่ดงฮยอกเป็นแบบนี้คงเป็นเรื่องล่าสุดที่เราเพิ่งจะผ่านมา มันคงยังเป็นเรื่องยากมากที่จะทำใจยอมรับกับสิ่งที่ผ่านมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับดงฮยอกที่ยังคงมีแต่รอยยิ้ม
“พรุ่งนี้ต้องดีกว่าเดิมนะดงฮยอก...”
“......”
100%
แต่งเองไรท์ก็เศร้าเองอยู่นะ อีกไม่กี่ตอนน้าา สู้ๆทุกคน
ปล. อาจมีคำผิดเยอะอยู่ ไรท์ไม่ได้ตรวจ555 ขกอ่ะ
#ฟิคจุนฮยอก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล.ไรท์สู้ๆนะคะรอนาจา ^^