ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงร้ายพ่ายเงารัก

    ลำดับตอนที่ #4 : บ่วงร้ายพ่ายเงารัก ตอน 3 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 56


     

      

    ตอนที่ 3

                    "ทำไมคุณทำกับผมแบบนี้ ทำไม ผมรักคุณ ผมรักคุณ ได้ยินไหมแพรดาวว่าผมรักคุณ" นคินทร์พูดลิ้นพันเพราะความเมามาย พูดจบโทรศัพท์ก็หล่นจากมือไปเพราะความไร้สติ คนปลายสายได้แต่งงกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เพราะเบอร์โทรศัพท์ที่โชวร์หราหน้าจอโทรศัพท์เธอคือเบอร์ของแฟนหนุ่มพี่สาวสุดที่รักของตัวเอง

                    "เอ่อ...คุณคินทร์คุณเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ นั่นคุณอยู่ไหนค่ะเสียงดังมาก พราวได้ยินไม่ค่อยถนัดเลยค่ะ" พราวตะวันพูดพลางตะโกนเมื่อไม่ค่อยได้ยินสิ่งที่คนโทรมาสื่อสาร เวลานี้คนที่กดโทรไปหาผู้หญิงที่คิดว่าเป็นคนรักกลับไม่ได้สติหลับคาโต๊ะไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย และเสียงที่ตอบกลับหาพราวตะวันหลังจากนั้นคือบริกรชายคนหนึ่ง

                    "คุณนคินทร์ค่ะ คุณได้ยินเสียงพราวรึเปล่าค่ะ" พราวตะวันถามย้ำ

                    "เอ่อ...สวัสดีครับ ผมเป็นเด็กเสิร์ฟในผับที่คุณผู้ชายคนนี้มานั่งดื่มครับ ตอนนี้เขาเมาจนหลับคาโต๊ะไปแล้วครับ" พราวตะวันได้ยินที่เด็กเสิร์ฟหนุ่มบอก

                    "อ้าวเหรอค่ะ เขาไปดื่มคนเดียวหรือค่ะ ไม่มีเพื่อนหรือใครไปด้วยเลยเหรอ"

                    "มานั่งดื่มคนเดียวอยู่นานมากแล้วครับ"

                    พราวตะวันที่เวลานี้กำลังนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบอยู่กับกลุ่มเพื่อนใต้ตึกของมหาวิทยาลัย ละจากหนังสือที่อ่านทันที เพื่อนสองคนมองตามเพราะทั้งน้ำเสียง และสีหน้าหญิงสาวตอนนี้ราวกับมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

                    "ขอชื่อผับ และช่วยบอกเส้นทางให้ดิฉันทีค่ะ" บริกรหนุ่มอธิบายทางให้จนพราวตะวันเข้าใจแล้วจึงวางสายไป เธอรีบติดต่อหาพี่สาวตัวเองทันที แต่ก็เกินความสามารถเมื่อเบอร์นั้นปิดเครื่องไม่สามารถติดต่อได้

                    "ทำยังไงดีนะพี่แพรก็ปิดเครื่อง" พราวตะวันพูดพึมพำสีหน้ากังวลจนณิชานันท์เอ่ยถาม

                    "มีอะไรรึเปล่าพราว เกิดอะไรขึ้นกับคุณคินทร์เหรอ" พราวตะวันเดินกลับเข้ามาหาเพื่อน ก่อนจะพยักหน้ารัว

                    "คุณคินทร์เมาอยู่ที่ผับแถวสุขุมวิท ตอนนี้หลับไม่ได้สติอยู่ที่นั่น...ฉันจะทำยังไงดีติดต่อพี่แพรก็ไม่ได้ เบอร์โทรที่บ้านคุณคินทร์ฉันก็ไม่รู้"

                    "แล้วใครโทรมาบอกแก" ณิชานันท์เอ่ยถาม 

                    "คุณคินทร์นั่นล่ะที่โทรมาแต่ก็พูดจาอะไรฉันก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าให้ฉันเดาเขาคงหมดสติไป แล้วเด็กเสิร์ฟที่นั่นเห็นก็เลยเอาโทรศัพท์มาพูดสายแทน"

                    "งั้นเราก็ไปที่นั่นกันให้หมดนี่ล่ะ...ปราบ! นายไปเป็นเพื่อนพวกเราหน่อยนะ" ปราบดาพยักหน้าให้ณิชานันท์

                    "ได้สิ เราจะปล่อยให้เธอสองคนไปกันลำพังผู้หญิงได้ยังไง ไปรถเราเดี๋ยวเราขับไปส่งเอง" เพื่อนสองคนพยักหน้าให้ปราบดาเพื่อนชายอีกคนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปี.1 จนตอนนี้ปี.4เทอมสุดท้ายแล้ว

                    "ขอบใจนะปราบ ไว้เดี๋ยวเราจะช่วยติววิชานี้ให้ใหม่นะ" พราวตะวันบอกปราบดา เขายิ้มพลางพยักหน้าให้ก่อนจะเดินนำไปที่รถของตัวเองซึ่งจอดไว้ไม่ไกลจากตึกนัก

                    รถซีอาร์วีสีดำของปราบดาขับพาเพื่อนสาวสองคนมาจอดที่หน้าผับแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท พราวตะวันรีบเปิดประตูรถลงมาทำท่าจะเดินเข้าไปด้านในแล้ว แต่กลับถูกณิชานันท์ดึงไว้ก่อน

                    "เดี๋ยวก่อนพราว!! พวกเราใส่ชุดนักศึกษาอยู่เข้าไปในที่แบบนั้นมันจะเหมาะเหรอแก" พราวตะวันนิ่งคิดไปครู่

                    "เราเข้าไปเพราะมีเหตุจำเป็นนี่ณิชา เราไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยว อย่าคิดมากสิ รีบเข้าไปกันเถอะจะได้เสร็จๆ เรื่อง แล้วกลับไปอ่านหนังสือกันต่อ" พราวตะวันบอกเพื่อนก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในผับ ณิชานันท์ได้ยินแบบนั้นจึงหันไปพยักหน้าบอกปราบดาแล้วเดินเคียงเพื่อนเข้ามาติดๆ  ชายสองคนในชุดสูทสีดำยืนอยู่หน้าประตูมองหนุ่มสาวทั้งสามคนเป็นตาเดียว ก่อนจะขอตรวจบัตรประชาชน พราวตะวันหยิบบัตรขึ้นมาอย่างมั่นใจเพราะเธออายุถึงสามารถเข้าสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไม่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว แต่เพียงแค่ชุดที่เธอใส่อยู่มันอาจดูไม่สมควรกับสถานที่แบบนี้เท่าไรนัก แต่เพราะความจำเป็นเธอถึงต้องมาที่นี่ในวันนี้ ทั้งที่จริงๆ เธอไม่ได้อยากมาเพราะโดยส่วนตัวพราวตะวันรวมไปถึงณิชานันท์ไม่ชอบมาเที่ยวหรือย่ำกรายมาในสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว

                    พราวตะวันและเพื่อนอีกสองคนยื่นบัตรประชาชนให้ตรวจ เมื่อชายทั้งสองดูบัตรเห็นว่าอายุถึงแล้วจึงอนุญาตให้เข้าไปด้านในได้

                    "โอเคพวกน้องเข้าไปได้ แต่พี่ว่าถ้าคราวหลังจะมาเที่ยวในที่แบบนี้อีกก็ควรใส่ชุดอื่นมาดีกว่านะน้อง ชุดนักศึกษาเอาไว้ใส่ไปเรียนดีกว่านะ" ทั้งหมดหันมองหน้ากัน ก่อนที่ณิชานันท์จะพูดสวนขึ้นมา

                    "เราไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยวหรอกค่ะ เรามารับคนรู้จักด้านในน่ะ"  ชายสองคนยิ้มพลางพยักหน้า แต่รอยยิ้มที่ยิ้มออกมาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ณิชานันท์พูดเท่าไรนัก ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกถึงรอยยิ้มนั้นแต่ก็ไม่อยากจะพูดอธิบายอะไรให้เสียเวลา พราวตะวันหันมามองหน้าเพื่อนก่อนจะดึงแขนให้เข้าไปด้านในกับตัวเองไม่ต้องพูดอธิบายอะไรให้มากความแล้ว

                    "โอ๊ยฉันละเกลียดรอยยิ้มและสายตาแบบนี้จริงๆ อย่าเอาพฤติกรรมของวัยรุ่นคนอื่นมาตัดสินเหมารวมกันทุกคนได้มั้ย อารมณ์เสีย" ณิชานันท์พูดออกมาอย่างหัวเสีย

                    "เอาน่าณิชา แกจะหงุดหงิดทำไม เราทำอะไร เราเป็นยังไงเรารู้ตัวเองดีกว่าใครๆ แล้วแกจะไปแคร์อะไรกับคนที่เขาไม่รู้จักตัวตนของเรา...ฉันว่าฉันเห็นคุณคินทร์แล้วล่ะ นั่นไงอยู่ตรงนั้น"

                    "ไหนๆ" ณิชานันท์ชะเง้อมองไปตามมือเพื่อน "เออ!! ใช่จริงๆ ด้วย..."  ณิชานนันท์จำนคินทร์ได้เพราะเคยเจอตัวเป็นๆ อยู่สองครั้ง และเห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวของคนในแวดวงไฮโซ พราวตะวันเดินเบียดเสียดผู้คนตรงไปยังเคาท์เตอร์  ปราบดาเองก็เดินมาไม่ให้ห่าง พราวตะวันเดินมาถึงบริเวณที่นคินท์ฟุบหลับอยู่ก่อน บริกรเห็นจึงรีบเดินเข้ามาหาเธอ

                    "คุณเป็นแฟนของคุณผู้ชายคนนี้ใช่มั้ยครับ" พราวตะวันชะงัก ก่อนจะโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

                    "เอ่อ!! ไม่ใช่หรอกค่ะ...ยังไงรบกวนหน่อยได้มั้ยค่ะ ช่วยพยุงเขาไปที่รถให้ที"

                    บริกรชายคนนั้นพยักหน้าก่อนจะรีบเข้ามาพยุงนคินทร์ที่นอนเมาไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น ปราบดาเข้ามาช่วยพยุงด้วยอีกแรง พราวตะวันกับณิชานันท์จึงเดินนำมายังรถของปราบดาที่จอดอยู่ด้านหน้าผับ เจ้าของรถกดรีโมทปลดล็อค พราวตะวันจึงรีบเปิดประตูด้านหลังให้เปิดออกทันที จากนั้นร่างคนเมาจึงถูกพยุงให้นอนลงอยู่เบาะด้านหลัง นคินทร์พลิกตัวไปมาอย่างไร้การควบคุมปากก็พร่ำเพ้อไม่เป็นศัพท์ พราวตะวันยืนมองคนรักของพี่สาวตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกใจ เธอไม่เคยเห็นนคินทร์เมามายเช่นนี้มาก่อน หรือจะว่าไปแล้วนับครั้งได้ด้วยซ้ำกับการได้เจอหน้าคนรักของพี่สาวตัวเอง

                    "ขอบคุณมากนะคะนี่ค่ะถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่อุตส่าห์ช่วยแล้วกันนะคะ" พราวตะวันหันมาขอบคุณบริกรชายพร้อมกับหยิบธนบัตรในกระเป๋าขึ้นมาให้เป็นน้ำใจแก่เขา

                    "เอายังไงกันต่อดีล่ะพราว" ณิชานันท์เดินเข้ามาถามเพื่อนใกล้ๆ ได้ยินคำถามนี้พราวตะวันเองก็จนใจ เธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อเหมือนกัน พี่สาวตัวเองก็ติดต่อไม่ได้ และบ้านของนคินทร์เธอเองก็ไม่รู้จักว่าอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ  หญิงสาวส่ายหน้าไปมาให้เพื่อนอย่างคิดไม่ตก ปราบดายืนมองสองสาวก่อนจะเดินเข้ามาหา

                    "ไม่ต้องเครียดกันไป...เดี๋ยวเราจัดการให้เอง" สองสาวหันขวับมามองหน้าคนพูด และสายตาสองคู่ก็มองตามสิ่งที่ปราบดาทำ เขาล้วงไปหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าของคนที่นอนเมาอยู่ด้านหลังรถ จากนั้นเขาจัดการกับโทรศัพท์เครื่องนั้นอยู่พักทั้งคู่จึงได้ยินบทสนทนาระหว่างเพื่อนตัวเองกับคนปลายสาย

                    "สวัสดีครับ นั่นบ้านคุณนคินทร์ใช่มั้ยครับ" สองสาวมองเพื่อนตัวเองอย่างไม่ละสายตา

                    "ช่วยบอกทางไปบ้านให้หน่อยครับ ผมกำลังจะพาคุณนคินทร์กลับไปส่งที่บ้าน...อย่าเพิ่งถามอะไรเลยครับ ช่วยบอกตามที่ผมถามมาก่อนดีกว่าครับ" ปราบดานิ่งฟังอยู่ครู่ "โอเคขอบคุณมากนะครับ" แล้วโทรศัพท์จึงถูกกดวางสายไป

                    "ปราบ!! นายรู้เบอร์โทรที่บ้านของคุณนคินทร์ด้วยเหรอ" ณิชานันท์รีบเอ่ยปากถามหลังจากเห็นปราบดาวางโทรศัพท์แล้ว ปราบดายิ้มพลางส่ายหน้า

                    "ไม่รู้หรอกเราจะรู้ได้ยังไง เราไม่เคยรู้จักคุณคินทร์เป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ"

                    "อ้าวแล้วที่นายคุยเมื่อตะกี้ ไม่ใช่คุยกับคนที่บ้านเขาหรอกเหรอ" ณิชานันท์ถามด้วยความแปลกใจ

                    "ไม่ต้องแปลกใจหรอก เราก็แค่กดหาเบอร์ในโทรศัพท์ของคุณคินทร์ เราคิดว่ายังไงเขาก็ต้องเมมเบอร์บ้านหรือคนที่บ้านเขาไว้ในโทรศัพท์บ้างล่ะ แล้วก็มีจริงๆ" เพื่อนสองคนพยักหน้าด้วยความเข้าใจอย่างกระจ่างชัด ทำไมเธอทั้งคู่ถึงลืมนึกถึงวิธีนี้ไปได้ มัวแต่วิตกเกินไปจนคิดอะไรง่ายๆ แบบนี้ไม่ออก

                    "นั่นสินะ พราวก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไปเลย...ขอบใจมากนะปราบ เราสองคนมัวแต่ยืนงงทำไรไม่ถูก ถ้าไม่ได้ปราบก็ไม่รู้จะเป็นไง ขอบใจนะ"

                    "ไม่เป็นไรหรอกพราว ขึ้นรถกันเถอะจะได้ไปส่งคุณนคินทร์ให้ถึงบ้าน พราวกับณิชาจะได้สบายใจสักที" พราวตะวันยิ้มพลางพยักหน้ารัว

                    ณิชานันท์นั่งด้านหน้ากับปราบดา พราวตะวันจึงต้องนั่งด้านหลังไปกับคนที่นอนเมาไม่ได้สติอยู่ ระหว่างทางนคินทร์พูดเพ้อออกมาอยู่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักเป็นคำพูดที่ทำให้คนได้ยินอย่างพราวตะวันพอจับใจความได้คร่าวๆ นี่พี่สาวของเธอกับนคินทร์มีปัญหาทะเลาะกันอยู่อย่างนั้นหรือ แล้วน้องสาวอย่างเธอจะสามารถช่วยอะไรได้บ้างในเมื่อเธอเองแทบไม่เคยรู้ความเป็นมาเป็นไปในเรื่องหัวใจของพี่สาวตัวเองเลยสักนิด เธอรู้เพียงแต่ว่าพี่สาวคบอยู่กับนคินทร์มานาน แพรดาวเคยพาเธอมารู้จักกับเขา และเจอกันอยู่ไม่เกินสามครั้ง จากนั้นเธอแทบไม่เคยรู้ความเคลื่อนไหวหรือเรื่องราวชีวิตรักของคนทั้งคู่เลยด้วยซ้ำ พราวตะวันหน้าเครียดเมื่อได้ยินคำพูดที่นคินทร์พูดออกมา นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เธอไม่สามารถติดต่อพี่สาวได้ หญิงสาวเหลือบไปมองนคินทร์ที่หลับสนิทไปแล้ว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองกดหาพี่สาวตัวเองอีกรอบ แต่ทุกอย่างเหมือนเดิมแพรดาวปิดเครื่อง และเธอไม่สามารถติดต่อพี่สาวได้เช่นเคย

                    เวลาเกือบเที่ยงคืนรถของปราบดาขับมาจอดที่หน้าคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่ง หลังจากรถถูกดับเครื่องลง ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกอย่างอัตโนมัติ สาวใช้คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบออกมาพร้อมกับโบกไม่โบกมือส่งสัญญาณบอกให้เจ้าของรถขับเข้าไปด้านใน ปราบดาพยักหน้าเป็นที่เข้าใจเขาสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง แล้วจึงเลี้ยวรถเข้าไปด้านในทันที พราวตะวันกับเพื่อนสาวอีกคนมองบริเวณบ้านที่กว้างใหญ่อย่างตื่นตา นี่ขนาดเป็นช่วงเวลาไร้แสงทั้งคู่ยังรับรู้ได้ถึงบริเวณของบ้านหลังนี้ที่กว้างใหญ่ไม่ใช่น้อย และหากต้องเดินเข้ามาจริงๆ คงทำให้เหงื่อตกกันได้แน่นอน รถของปราบดาถูกใช้เวลาขับเข้ามาสักครู่จึงมาหยุดจอดอยู่หน้าบ้าน หญิงสาววัยกลางคนอยู่ในชุดคลุมผ้าแพรสีน้ำเงินเดินตรงรี่เข้ามา พราวตะวันกับณิชานันท์จึงรีบลงจากรถ

                    "พวกเธอเป็นใคร แล้วรถของนคินทร์ไปไหน ทำไมพวกเธอถึงต้องมาส่งลูกชายฉันถึงบ้าน" เจ้าของบ้านโวยวายเสียงดังทั้งที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พาให้คนที่มาส่งสะดุ้งโหยงรับรู้ถึงรังสีบางอย่างที่ออกมาจากสีหน้าแววตารวมไปถึงน้ำเสียง ของหญิงวัยกลางคนตรงหน้า

                    "พอดีคุณนคินทร์เมาไม่ได้สติอยู่ในผับค่ะ พวกเราก็เลยขับรถพามาส่งที่บ้าน" พราวตะวันบอกอีกฝ่ายอย่างเกรงๆ

                    "เมา ลูกชายฉันเนี๊ยะนะเมา ปกติเขาแทบไม่ค่อยดื่มด้วยซ้ำ...พวกเธอคงไม่ได้มอมเขาหรอกนะ" คนเป็นแม่เสียงดังมองยังผู้มาส่งด้วยแววตาไม่เป็นมิตรนัก

                    คนได้ยินถึงกับลอบถอนหายใจ ณิชานันท์จ้องหญิงตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่ถูกชะตาเท่าไรนัก ผู้ใหญ่อะไรช่างไม่มีความน่าเคารพเอาเสียเลย หญิงสาวคิดในใจ

                    "ขอโทษนะคะ พวกเราเป็นนักศึกษาปกติก็ไม่เคยไปเที่ยวในที่แบบนั้นอยู่แล้วค่ะ แต่พอดีได้รับโทรศัพท์จากคุณนคินทร์โทรมาพูดจาไม่รู้เรื่องจนเด็กเสิร์ฟต้องเอาไปคุยแทน พวกเราจึงได้ทราบว่าคุณคินทร์ไปเมาไม่ได้สติอยู่ที่นั่น เลยรีบไปรับแล้วพามาส่งให้ถึงบ้านนี่ล่ะค่ะ" พราวตะวันพูดขึ้นมา นลินจึงหันไปจ้องหน้าคนพูดเขม่ง

                    "อย่างนั้นเหรอ...แล้วพวกเธอเป็นใครรู้จักกับลูกชายฉันได้ยังไง" ผู้ใหญ่ตรงหน้ายังไม่เลิกสงสัย

                    "ดิฉันชื่อพราวตะวันค่ะ เป็นน้องสาวของพี่แพรดาว" คิ้วของคนได้ยินพลันเปลี่ยนเป็นขมวดปมโดยอัตโนมัติ เมื่อหญิงสาวคราวลูกตรงหน้าแนะนำตัวพร้อมบอกความสัมพันธ์กับชื่อผู้หญิงที่ตัวเองเพิ่งกำจัดไปให้พ้นทางรักของลูกชาย แววตาที่แข็งกร้าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉายแววชัดยิ่งกว่าเก่า พราวตะวันรับรู้ได้ถึงดวงตาดุจพญาเหยี่ยวของผู้หญิงคราวแม่ตรงหน้า มันมีความรู้สึกบางอย่างแผ่ขยายส่งตรงมาถึงเธอ

                    "หึหึ เธอเป็นน้องสาวของแพรดาวอย่างนั้นเหรอ...ถึงว่าหน้าตาละม้ายคล้ายกันไม่มีผิด" ยังไม่ทันที่คนพูดจะได้พูดอะไรต่อ คนที่นอนเมาไม่ได้สติอยู่บนรถก็ส่งเสียงเอะอะลอดออกมาดังลั่น

                    "แพรดาว ผู้หญิงใจร้าย เธอมันคนใจร้าย..." เมื่อสิ้นประโยคสุดท้ายของคนเมาสิ่งที่พุ่งออกมาจากปากกลับกลายเป็นน้ำเหลวสีสนิมที่ไหลเปรอะเปื้อนเจ้าตัว และรถของปราบดาจนเต็มไปหมด

                    "ว๊ายตายแล้วคินทร์ ไหวมั้ยลูก" คนเป็นแม่เดินปรี่เข้ามา กลิ่นน้ำเมาผสมกับกลิ่นอาเจียนส่งกลิ่นไม่น่าพิสมัยเตะจมูกผู้เป็นมารดาให้ต้องรีบยกมือขึ้นบดบังจมูก "หือ!! ตายแล้วลูกฉันทำไมสภาพเป็นแบบนี้ นี่พวกเธอช่วยพยุงลูกชายฉันเข้าไปในบ้านกันหน่อยได้มั้ย" นางนลินผู้เป็นมารดาหันมาพูดกับหนุ่มสาวที่ยืนมองอยู่ไม่ห่าง ทั้งหมดมองหน้ากันก่อนที่ปราบดาจะเดินตรงเข้ามาช่วยพยุงนคินทร์ที่เวลานี้เนื้อตัวเปื้อนอาเจียนเต็มไปหมด แถมกลิ่นไม่พึงประสงค์ยังส่งกลิ่นหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อเข้าใกล้ สองมือคนเมาปัดป่ายคนที่เข้าไปช่วยพยุง แต่ปราบดาเองก็พยายามประคองร่างสูงใหญ่พอๆ กับตัวเองไว้ได้

                    "ผู้หญิงใจร้าย คนใจร้าย!!!"

                    คนเมาไม่ได้สติพร่ำเพ้อพูดออกมา ทำให้คนได้ยินถึงกับงงไปตามๆ กัน โดยเฉพาะพราวตะวัน เพราะตลอดทางที่นั่งรถกลับมานคินทร์ก็ได้แต่พูดคำพูดแบบนี้จนหลับไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่สาวของเธอกับผู้ชายคนนี้กันแน่ สีหน้าพราวตะวันไม่สู้ดีนัก คิ้วสองข้างย่นมาชนกันอย่างตั้งใจก่อนจะเดินเข้ามาช่วยประคองคนเมาอีกแรง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ช่วย มารดาของคนเมาก็เข้ามากันเธอออก และตะโกนเรียกให้สาวใช้ที่ยืนเก้ๆ กังๆ เข้ามาช่วยประคองนคินทร์อีกข้างแทน

                    "นังลิ้นจี่ มัวยืนทำอะไรอยู่ได้มาช่วยประคองลูกชายฉันเข้าบ้านสิ เร็วๆ" สาวใช้หน้าตื่น สะดุ้งเมื่อถูกเจ้านายหญิงตวาดเสียงใส่ แต่แล้วก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยปราบดาพยุงเจ้านายตัวเองอีกข้างอย่างไม่ค่อยถนัดนัก

                    "หมดหน้าที่ของพวกเราแล้ว ยังไงขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะ" เมื่อร่างสูงใหญ่ของนคินทร์ถูกวางลงตรงโซฟากลางบ้าน พราวตะวันจึงรีบเอ่ยขอตัวกลับทันทีหลังเสร็จสิ้นหน้าที่

                    "อื้ม ตามสบาย....ยังไงก็ขอบใจที่มาส่งลูกชายฉัน" พูดจบเจ้าของบ้านไม่ได้คิดที่จะสนใจทั้งสามอีกเลย ได้แต่หันมาสนใจลูกชายที่นอนเมาไม่ได้สติอยู่บนโซฟา พาให้หนุ่มสาวสามคนมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น เพราะจะว่าไปแล้วทั้งพราวตะวันและณิชานันท์เองไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนัก ยิ่งได้เห็นท่าทางรวมไปถึงคำพูดของเจ้าของบ้านด้วยแล้ว ถ้าเป็นไปได้ทั้งคู่ไม่มีวันจะเข้ามาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด

                    "ลิ้นจี่...แกไปเอาน้ำเย็นกับผ้ามาเช็ดตัวให้คุณคินทร์ซิ" นลินหันไปสั่งสาวใช้ ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดเส้นผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงของลูกชาย รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์กระตุกยิ้มจ้องมองลูกชายตัวเอง

                     "ผู้หญิงแบบนั้นจะไปสนใจทำไมล่ะลูกเลิกกับมันไปดีแล้ว ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างคินทร์ต้องได้ผู้หญิงที่มีหน้ามีตาในสังคมและเพอร์เฟคเท่านั้นมันถึงจะคู่ควรกับลูกชายของแม่" นางนลินพูดกับลูกชายที่เวลานี้ไม่ได้รับรู้ถึงคำพูดใดๆ ของคนเป็นแม่เลยสักนิด

                    "พี่แพร!! อยู่ไหนทำไมถึงปิดเครื่อง แพรวเป็นห่วงนะรู้มั้ย" น้องสาวพูดขึ้นมาทันที หลังจากที่พี่สาวตัวเองกดรับสาย

                    "พี่ไม่ได้เป็นไรหรอกพราว ตอนนี้พี่อยู่ที่บริษัท" แพรดาวพยายามตอบคำถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงปกติ

                    "ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะพี่แพร" พราวตะวันถามย้ำ "จ๊ะ พี่ไม่ได้เป็นอะไร พราวมีอะไรรึเปล่า พี่มีงานที่ต้องทำอีกเยอะเลย"

                    "มีค่ะแต่คุยทางโทรศัพท์คงไม่สะดวก เย็นนี้พราวไปหาพี่แพรนะ" คนเป็นพี่นิ่งไปพัก "จ๊ะ งั้นเย็นนี้พราวมาเจอพี่ที่บริษัทนะ แล้วเดี๋ยวไปทานข้าวกัน"

                    พราวตะวันรับคำก่อนจะวางสายไป ส่วนแพรดาวรีบเข้าประชุมหลังจากเลขาเข้ามาบอกว่าผู้บริหารระดับสูงเรียกประชุมโดยด่วน ผู้จัดการแต่ละแผนกเข้ามาพร้อมหน้าพร้อมตา ปัญหาจากการประชุมเมื่อวานนี้ยังไม่มีใครรู้ที่มา แถมยังหาทางออกยังไม่ได้ มาวันนี้เจ้านายใหญ่เรียกเข้าประชุมอีกครั้งเล่นทำเอาทุกคนเสียวสันหลัง สีหน้าวิตกกังวลไปตามๆ กันว่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรตามมาอีก ทุกคนนั่งเงียบกริบก่อนที่ผู้บริหารจะพูดขึ้นมา

                    "เอาล่ะ!! ที่ผมเรียกพวกคุณทุกคนเข้าประชุมด่วนวันนี้ เพราะมีเรื่องที่อยากจะแจ้งให้ทราบ" ผู้บริหารวัยกลางคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทำให้ทุกคนต่างลุ้นไปกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไปนี้ ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือตรงกันข้าม

                    "หลังจากที่เมื่อวานพวกคุณก็ได้รับทราบเรื่องว่าบริษัทอัศววาณิชยกเลิกการสั่งสินค้าและยกเลิกสัญญากับบริษัทของเราอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย...หลังจากนั้นช่วงบ่ายทางผู้บริหารของอัศววาณิชได้เรียกทางเราเข้าไปคุยอีกครั้ง ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ทางอัศววาณิชจะยังสั่งสินค้าของเราทั้งหมดและจะเซ็นสัญญาซื้อขายกับทางบริษัทของเราต่ออีก 3 ปี นี่คือข่าวดีที่ผมจะแจ้งให้พวกคุณได้ทราบ"

                    ทุกคนในห้องประชุมต่างพากันยิ้มออกเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงของตัวเองบอกเมื่อครู่ มีเพียงแพรดาวที่นั่งนิ่งให้กับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ดลวัฒน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาดีใจยิ่งกว่าใครเพื่อนเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขารับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น เมื่อทุกอย่างพลิกกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างเช่นที่คุยไว้กับนลินไว้ เขาจึงรู้สึกโล่งใจมากไม่เช่นนั้นเขาเองก็ยังมองอนาคตตัวเองไม่ออกเช่นกันว่าจะต้องเป็นอย่างไร หากบริษัทจะต้องเสียรายได้มหาศาลเช่นนั้น

                    "คุณแพรไม่ดีใจเหรอครับ" ดลวัฒน์หันมากระซิบถามเมื่อเห็นสีหน้าแพรดาวดูเรียบเฉย แพรดาวหันมายิ้มบางๆ ให้กับคนถาม "ดีใจสิค่ะ" หญิงสาวตอบเพียงแค่นี้ แต่สีหน้าและแววตาไม่ได้บ่งบอกถึงความยินดียินร้ายกับข่าวนี้เลยสักนิด

                    "เอาล่ะ ผมมีเรื่องแจ้งให้พวกคุณทราบเพียงเท่านี้ ยังไงต่อไปนี้ก็ขอให้พวกคุณทำงานกันให้เต็มที่ เพื่อองค์กรของเรา...เชิญพวกคุณไปทำงานต่อได้ แต่คุณแพรดาวกับคุณดลวัฒน์อยู่ก่อน" ทุกคนทยอยออกจากห้องประชุมไปแล้ว จึงเหลือเพียงแค่ทั้งคู่ที่ผู้บริหารยังคงให้อยู่ต่อ

                    "ผมมีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับคุณสองคน...คุณรู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้บริษัทของเรากำลังขยายสาขาไปทั่วแถบเอเชีย" ทั้งคู่พยักหน้าให้เจ้านาย "ทราบครับ/ทราบค่ะ"

                     "อืม...ตอนนี้สาขาที่สิงคโปร์ก็กำลังใกล้จะเสร็จในเดือนหน้านี้แล้ว คุณเห็นว่ายังไงถ้าผมอยากให้คุณสองคนไปประจำสาขาที่นั่น" ทั้งคู่หันมองหน้ากัน ดลวัฒน์ดูตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินพอสมควร แต่สำหรับแพรดาวนี่ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ทำให้เธอรู้สึกบีบเค้นหัวใจอยู่ไม่น้อย

                     "ผมยังไม่เอาคำตอบกับคุณสองคนตอนนี้หรอกนะ ให้พวกคุณไปคิดตัดสินใจกันก่อน ผมเองก็ไม่ได้อยากจะบังคับอะไร แต่ผมเห็นว่าคุณทั้งคู่มีความสามารถ มีศักยภาพที่ดีพอที่จะไปดูแลสาขาที่นั่นได้ ลองเอากลับไปคิดดู แล้วค่อยมาให้คำตอบกับผมแล้วกันนะ" พูดจบผู้บริหารแห่งสยาม ซิดิเคทก็ลุกขึ้นออกจากห้องไป จึงเหลือแต่เพียงแพรดาวและดลวัฒน์ที่ยังนั่งคิดถึงข้อเสนอที่ผู้บริหารหยิบยื่นมาให้เมื่อครู่

                    "คุณแพรอยากไปมั้ยครับ" ดลวัฒน์ถามขึ้นมาเมื่อเห็นแพรดาวนั่งนิ่ง

                    "เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจค่ะ แต่แพรคงต้องขอกลับไปคิดตัดสินใจดูก่อน"

                    "ครับ ผมเข้าใจ แต่สำหรับตัวผม ผมอยากไปนะ เพราะนี่ถือว่าเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเราเอง เป็นอีกหนึ่งก้าวในชีวิตที่จะทำให้เราโตขึ้น ผมอยากให้คุณแพรคิดตัดสินใจให้ดีๆ นะครับ เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ เมื่อมันมาถึงแล้วผมเองก็ไม่อยากให้คุณปล่อยมันไป"

                    "ค่ะ" แพรดาวตอบเพียงสั้นๆ นอกนั้นได้เพียงแค่ยิ้มจางๆ ให้คนพูดเท่านั้น

                    ตอนเย็นพราวตะวันมาตามที่นัดหมายกับพี่สาวไว้ แต่ด้วยความที่แพรดาวงานยุ่งมากเมื่อมาถึงพราวตะวันจึงต้องเข้ามานั่งรอพี่สาวทำงานให้เสร็จเสียก่อน "พราวนั่งรอพี่ก่อนนะ พี่ขอสะสางงานให้เสร็จก่อน เหลืออีกไม่เยอะหรอก พราวไปนั่งอ่านแมกกาซีนรอพี่ตรงโซฟาก่อนแล้วกันนะ" แพรดาวบอกน้องสาว

                    "ได้ค่ะพี่แพร ตามสบายเลย พราวรอได้"

                    สองพี่น้องส่งยิ้มให้กันก่อนที่พราวตะวันจะเดินมานั่งลงตรงโซฟาซึ่งไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของพี่สาวนัก ระหว่างนี้คนเป็นน้องแอบสังเกตดูสีหน้าพี่สาวตัวเองอยู่เป็นระยะ แพรดาวเป็นผู้หญิงที่เก็บความรู้สึกได้เก่งเป็นไหนๆ ข้อนี้น้องสาวอย่างพราวตะวันรู้ดี ความอดทนอดกลั้นซ้อนเร้นความรู้สึกส่วนลึกข้างในพี่สาวของเธอคนนี้สามารถทำได้ดีมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งบางครั้งเธอเองก็อยากจะถามพี่สาวคนเก่งของเธอคนนี้เหลือเกินว่าทำได้อย่างไร เธออยากทำให้ได้ครึ่งหนึ่งของความแกร่งจากพี่สาวคนนี้บ้าง แต่วันนี้ภายใต้ใบหน้าคมสวย พราวตะวันแอบสังเกตเห็นความหม่นจากแววตาคู่นั้นของพี่สาวตัวเอง

                    "พี่แพร!!" คนเป็นน้องเรียกชื่อพี่สาว แพรดาวเงยหน้าแล้วมองมายังคนเรียก

                    "ว่ายังไงพราว" คนเรียกมองหน้าพี่สาวนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน

                    "พี่แพรทะเลาะกับคุณคินทร์เหรอ" พราวตะวันถามออกมาตรงๆ คนเป็นพี่ได้ยินคำถามจึงมองหน้าน้องสาวตัวเอง เธอไม่คิดว่าพราวตะวันจะรู้เรื่อง เพราะเธอไม่เคยเล่าเรื่องราวระหว่างเธอกับนคินทร์ให้พราวตะวันฟังสักครั้ง

                    "เปล่าหนิ ทำไมอยู่ๆ พราวถึงถามแบบนี้ล่ะ" พูดจบคนเป็นพี่ก็หลบสายตาน้องสาวด้วยการก้มหน้าทำงานต่อเพื่อไม่ให้น้องสาวจับอาการของตัวเองได้

                    "เมื่อคืนคุณคินทร์เมามาก พราว ณิชา แล้วก็ปราบต้องช่วยกันพากลับไปส่งที่บ้าน" คราวนี้แพรดาวเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวอีกครั้ง

                    "พราวไปเจอคุณคินทร์ที่ไหน"

                    "ผับแถวสุขุมวิทค่ะ" คิ้วคนได้ยินย่นชนกัน "พราวชอบไปเที่ยวที่แบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" พราวตะวันได้วันเห็นสีหน้าสงสัยของพี่สาวจึงต้องรีบอธิบาย "พราวไม่ชอบไปเที่ยวที่แบบนั้นอยู่แล้วพี่แพรก็รู้...แต่ที่ต้องไปเพราะเห็นเบอร์คุณคินทร์โทรมาพูดจาอะไรไม่รู้เรื่อง พราวมารู้เรื่องก็ตอนที่เด็กเสริฟ์แถวนั้นเอาโทรศัพท์ไปคุยแทน ถึงได้รู้ว่าคุณคินทร์ไปเมาไม่ได้สติอยู่ที่นั่น พราวพยายามติดต่อพี่แพร แต่พี่แพรก็ปิดเครื่อง" คนเป็นพี่นั่งฟังที่น้องสาวตัวเองเล่าอย่างนิ่งที่สุด เธอพยายามเก็บอาการไว้ทั้งที่ข้างในหัวใจมันเจ็บปวดไม่มีชิ้นดี

                    "พี่แพรฟังที่พราวพูดอยู่รึเปล่า" แพรดาวสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าให้น้องสาว "พี่ฟังอยู่"

                    "ก็นั่นล่ะค่ะ พราวกับเพื่อนเลยไปที่นั่น แล้วพาคุณคินทร์กลับไปส่งที่บ้าน....พี่แพร อย่าหาว่าพราวยุ่งจุ้นจ้านเลยนะคะ พราวได้ยินคุณคินทร์พูดเพ้อมาตลอดทาง บอกว่าพี่แพรใจร้าย พูดอยู่แต่แบบนี้จนพราวอยากจะกระชากเขาขึ้นมาถามว่าพี่สาวแพรไปทำอะไรให้ถึงต้องมาต่อว่ากันแบบนั้น แต่เพราะเขาเมาพราวก็เลยไม่รู้จะคุยกับเขายังไง พี่แพรกับคุณคินทร์ไม่ได้มีปัญหากันจริงนะ"

                    พราวตะวันถามพี่สาวย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้ากังวล เธอรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่พี่สาวไม่เคยเปิดเผยกับเธอเท่าไรนัก แต่ในเมื่อสิ่งที่เธอได้ยินจากปากคู่รักของพี่สาวเมื่อคืนนี้ เธอเองจึงรู้สึกเป็นห่วงมาก

                    "คนเมาก็คือคนที่ไร้สติสัมปชัญญะ เขาจะไม่รู้หรอกว่าตัวเองพูดจาอะไรออกมาบ้าง บางทีก็พูดเรื่อยเปื่อยเพราะเขาไม่รู้ตัวควบคุมตัวเองไม่ได้ยังไงล่ะพราว คุณคินทร์เขาก็แค่เมาคำพูดที่พราวได้ยินเขาพูดมันก็คือคำพูดจากปากของคนเมาที่ไม่มีสติ พราวอย่าไปถือสาอย่าไปใส่ใจเลยมันไม่มีอะไรหรอก...พี่ขอบใจนะพี่พราวเป็นห่วงพี่ แต่พี่โอเคดีไม่มีอะไร งานพี่เสร็จละไปกินข้าวกันดีกว่า อยากทานอะไรเดี๋ยวพี่สาวคนนี้เลี้ยงเอง"

                    แพรดาวอธิบายน้องสาวไปแบบนั้น แม้พราวตะวันจะยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมดแต่เธอก็ไม่อยากเซ้าซี้ถามพี่สาวอีก เพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องไหนที่แพรดาวไม่อยากบอก ต่อให้ถามต่อให้เค้นขนาดไหนจะไม่มีวันได้รู้จากปากผู้หญิงใจแข็งคนนี้ได้อย่างแน่นอน

                    "โอเค!! ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรพราวก็แค่เป็นห่วง แต่ได้ยินจากปากพี่แพรแบบนี้แล้วพราวเองก็จะไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่อ...ว่าแต่ว่าจะกินอะไรดีนะอุตส่าห์มีเจ้ามือเลี้ยงทั้งที เจ้ามือกระเป๋าหนักมั้ยค่ะเย็นนี้จะได้คิดถูกว่าจะกินแบบไฮโซหรือโลโซดี" คนพูดพูดพลางยิ้มทะเล้นให้พี่สาวตัวเอง แพรดาวยิ้มขันให้คำพูดของน้องสาว พราวตะวันเป็นเด็กน่ารักและมักจะทำให้พี่สาวอย่างเธอยิ้มได้เสมอกับความโก๊ะ ความเปิ่นที่เป็นตัวตนของเด็กสาวใสซื่อและแสนจริงใจคนนี้ทุกครั้งไป

                    "สอบตัวสุดท้ายเสร็จเสียที ฉันล่ะโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยณิชา" หลังจากเดินออกมาจากห้องสอบพราวตะวันก็หันไปพูดกับเพื่อนสาวคนสนิท

                    "เออฉันก็เหมือนกันทั้งโล่งใจทั้งใจหายเลยล่ะแก" คนพูดหน้าหม่นลงไปเมื่อพูดจบ

                    "เอาอีกแล้วนะแก ดราม่าอีกละ นี่เรากำลังจะเรียนจบเพื่อออกไปทำตามความฝันของตัวเองกันนะณิชา ทำไมแกต้องทำหน้าเศร้าแบบนี้ด้วย" พราวตะวันหญิงสาวผู้มีความมุ่งมั่นจะกลับไปเป็นเกษตรกรเช่นพ่อกับแม่ บอกเพื่อนสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

                    "มันก็นิดหนึ่งน่ะแก ฉันก็แค่ใจหายที่จะไม่ได้อยู่กับแกทุกวันแล้ว ต่อไปนี้เราก็ต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้วนะ...ฉันคงไม่ต้องถามแล้วสินะว่าแกจะไปทำอะไร เพราะแกพูดกรอกหูใส่ฉันปาวๆ อยู่ทุกวันตั้งแต่ปี 1 ยันปี 4"

                    "ใช่!! ความตั้งใจของฉันมันยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ฉันจะกลับไปช่วยพ่อกับแม่พัฒนาสวนผัก ฉันจะกลับไปปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ แกคอยดูนะณิชาสวนผักของฉันจะต้องปลอดจากสารพิษ ผักทุกต้นในสวนจะได้รับการดูแลจากนักเกษตรสาวคนนี้อย่างใกล้ชิด ฉันจะเป็นชาวสวนผักที่ดูแลใส่ใจผักทุกต้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้กินผักที่มีคุณภาพและปลอดจากสารพิษที่สุด"           

                    พราวตะวันพูดด้วยสายตามุ่งมั่น ความฝันของเธอยังคงชัดเจนอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน เธอมุ่งมั่นตั้งใจที่จะกลับไปเป็นเกษตรกรเช่นพ่อกับแม่ แม้ผู้เป็นบิดามารดาจะบอกว่าทั้งเหนื่อยทั้งหนักอยากให้เธอได้ทำงานดีๆ เงินเดือนสูงๆ อย่างเช่นพี่สาว แต่พราวตะวันก็ยังคงยืนกรานในความตั้งใจของตัวเอง จนพ่อกับแม่ปล่อยให้เธอเลือกตัดสินใจชีวิตเอาเอง พราวตะวันมุ่งมั่นอ่านหนังสืออย่างหนักจนเอนทรานซ์ติดคณะเกษตรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สมใจ และเข้ามาร่ำเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 4 ปี และตอนนี้เธอกำลังจะสำเร็จการศึกษาจากที่นี่แล้ว

                    "จ๊ะแม่นักเกษตรสาวไฟแรงสูง....นั่นปราบออกมาแล้ว ปราบทางนี้ๆ" ณิชาโบกไม้โบกมือเรียกเพื่อน ปราบดาเพิ่งเดินออกมาจากห้องสอบจึงตรงดิ่งเข้ามาหาสองสาวทันที

                    "เป็นยังไงบ้างปราบ ทำได้มั้ย" พราวตะวันถาม

                    "คิดว่าได้นะ ที่พราวติวให้เราออกเยอะมาก ขอบใจมากนะ" พราวตะวันยิ้มให้เพื่อนอย่างภูมิใจ

                    "แล้วนี่พราวกับณิชาจะไปไหนกันต่อ" สองสาวมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า

                    "งั้นไปฉลองกันนะ ไหนๆ วันนี้ก็สอบวันสุดท้ายแล้ว ให้เราได้เลี้ยงขอบคุณเธอสองคนนะ" ปราบดาเอ่ยปากชวนสองเพื่อนซี้

                    "ได้สิ!! มีเจ้ามือกระเป๋าหนักแบบนี้ใครจะปฏิเสธล่ะ...จริงมั้ยณิชา" พราวตะวันยิ้มพลางหันไปหากองหนุน ปราบดายิ้มกว้างให้สองเพื่อนซี้

                    "ใช่แล้ว!!!...แล้วปราบจะพาเราสองคนไปฉลองที่ไหนล่ะ" ณิชานันท์ถามต่อ

                    "เดี๋ยวเราพาไป รับรองว่าเธอสองคนต้องชอบแน่นอน เรารับประกัน" ปราบดาไม่บอกสถานที่ได้เพียงแต่ดันให้เพื่อนสาวขึ้นรถ ทั้งพราวตะวันและณิชานันท์ได้เพียงแต่ทำตามคำขอของเพื่อนชายคนสนิทอย่างไม่คิดอะไรมาก ไหนๆ วันนี้ก็สอบเสร็จแล้ว แถมยังเป็นวันสุดท้ายของการใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะนักศึกษา หลังจากนี้ชีวิตจะต้องก้าวไปอีกก้าว และถ้าหากจะนับแล้วมันถือเป็นเพียงก้าวแรกของการเริ่มต้นสำหรับการใช้ชีวิตบนโลกที่เคยกลมใบนี้เพียงเท่านั้น ยังมีอะไรอีกมากมายเหลือเกินที่ชีวิตของพวกเขาจะต้องพบเจอ

                    ปราบดาเดินนำสองสาวเข้ามาในร้านร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับแอนด์เรสเตอรองท์ ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นเคาร์เตอร์บาร์สำหรับบริการเครื่องดื่ม มีวงดนตรีแสดงสด พร้อมทั้งมีอาหารให้บริการ บริกรชายเห็นทั้งสามคนจึงเดินตรงเข้ามาหา ปราบดาบอกจำนวนสมาชิกก่อนที่จะเดินมานั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่เยื้องไปจากเวทีไม่ไกลนัก

                    "เป็นไงร้านสไตล์แบบนี้พราวกับณิชาชอบมั้ย" ปราบดาเอ่ยปากถามเพื่อน เมื่อทั้งหมดนั่งประจำที่เก้าอี้ของแต่ละคนแล้ว สองสาวมองบรรยากาศรอบๆ ร้าน

                    "ชอบนะ ร้านสวยดี เสียงก็ไม่ดังจนเกินไป ว่ามั้ยณิชา" ณิชานันท์พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ เราก็ชอบร้านบรรยากาศแบบนี้" ปราบดายิ้มกว้างเมื่อได้ยินสองสาวบอกว่าชอบร้านที่ตัวเองพามา เพราะเขารู้ดีว่าทั้งพราวตะวันและณิชานันท์ไม่ชอบไปเที่ยวผับที่คนเยอะๆ มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมจนคุยกันแทบจะไม่รู้เรื่อง ที่สำคัญเพื่อนสาวสองคนของเขาเป็นคนไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ไม่ชอบไปในที่แบบนั้น ไม่ดื่มเหล้า และสิ่งที่เกลียดที่สุดคือควันบุหรี่

                    "เห็นเธอสองคนชอบเราก็ดีใจ งั้นสั่งเครื่องดื่มกับอาหารกันเลยดีกว่า" ทั้งคู่พยักหน้าให้คนพูดก่อนจะก้มหน้าไปดูเมนูอาหารอย่างอารมณ์ดี

                    เวลาล่วงเลยไปพอประมาณอาหารบนโต๊ะพร่องไปพอสมควร แต่ด้วยบรรยากาศภายในร้านที่ถูกแต่งไว้แบบโล่งสบาย แถมเพลงจากวงดนตรีที่เล่นกันแบบสดๆ ก็พาให้ทั้งสามคนเพลิดเพลินเจริญหูเจริญใจได้ไม่น้อย

                    "ณิชา เดี๋ยวฉันมานะไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง" พราวตะวันกระซิบบอกเพื่อน "ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย" ณิชานันท์ถามกลับ "ไม่เป็นไร ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นเองไม่ไกล ฉันไปได้' ณิชานันท์ได้ยินคำยืนกรานจากเพื่อนดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วหันกลับมานั่งฟังเพลงอย่างสบายใจเช่นเดิม

                    พราวตะวันจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยจึงออกจากห้องน้ำ หญิงสาวชะงักงันเมื่อเห็นร่างของใครบางคนกำลังยืนเซอยู่หน้าห้องน้ำหญิง เธอตั้งสติก่อนจะมองคนที่ยืนขวางทางเธออยู่อย่างเต็มๆ ตาอีกครั้ง

     
    *** เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะคะ ต่อจากนี้จากผู้ชายที่เคยแสนดีกำลังจะกลายร่างเป็นซาตานเพราะความแค้นใจคำเดียวเลยจริงๆ เอาใจช่วย แพรดาวกับพราวตะวันกันหน่อยน๊าาา โดยเฉพาะคนน้อง ชีวิตเธอกำลังจะพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยล่ะค่ะ ฝากรีดเดอร์ผู้น่ารักของบัวระวงศ์ อ่านแล้วคอมเม้นท์บอกกันบ้างน๊าาา เค้าอยากรู้ว่าชอบไม่ชอบ สนุกไม่สนุก ติติง ชม ให้กำลังใจกันบ้างนะคะ กำลังใจคือสิ่งสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้นัก (หัด) เขียนนิยายคนนี้ได้มุ่งมั่นต่อไปได้ค่ะ
       
      ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนะคะ อยู่ด้วยกันเป็นกำลังใจให้กันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเลยเนาะ (>___<) Very Big Thanks ka

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×