บทละครเวที "คนใจบุญ" - บทละครเวที "คนใจบุญ" นิยาย บทละครเวที "คนใจบุญ" : Dek-D.com - Writer

    บทละครเวที "คนใจบุญ"

    บทละครเวทีเรื่องแรกที่เขียนจบ

    ผู้เข้าชมรวม

    13,690

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    398

    ผู้เข้าชมรวม


    13.69K

    ความคิดเห็น


    9

    คนติดตาม


    44
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 มี.ค. 55 / 15:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    ถ้าชอบผลงานของ McLANDEL อยากคุยกับ McLANDEL แบบส่วนตั๊วส่วนตัว 
    ก็เชิญที่เพจนี้ได้เลยนะคะ 

    https://www.facebook.com/mclandel (เพิ่งเปิดอาจจะยังไม่ค่อยมีอะไรให้ยลเนาะ)

    ยังไงก็ฝากติดตามผลงานไปเรื่อยๆเน่อ xx 


    ***************

    เราได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งซึ่งเราเคยอ่านเมื่อห้าปีก่อน

    เราสารภาพว่าจำชื่อเรื่องไม่ได้ พยายามเสิร์ชหาในกูเกิ้ลด้วยความทรงจำอันเลืองลางแล้วก็ไม่เจอ

    ฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าของเรื่องสั้นเรื่องนั้นจะเป็นใคร เราขอขอบคุณเขาไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    ป.ล. นี่เป็นบทละครเวทีสั้นๆ เพราะเราเรียนการเขียนสร้างสรรค์ และการบ้านของเราคือบทละครสำหรับเล่น 10-15 นาที

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    ชื่อเรื่อง

    คนใจบุญ

     

    ตัวละคร

    1.       ป้า ปราณี อายุประมาณ 50 ปลายๆ รับจ้างซักรีด

    2.       หลานชาย การุณ อายุประมาณ 16 ปี เป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เดินเท้าไปทำงานทุกวัน

     

    ฉาก

    -เสาไฟตรงหัวมุมถนน (ถังขยะล้นๆ เศษขยะเกลื่อนกลาด)

    -ห้องครัว (โต๊ะกินข้าว, ตู้กับข้าว, ตู้ปลา, กรงนก)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Scene 1

       [ไฟจากเสาไฟสว่างขึ้น มีเสียงหมาเห่ากระโชก เสียงรถมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องหนี เสียงกระป๋องสังกะสีกระแทกพื้นถนน... แล้วเสียงหมาร้องเอ๋งก็ดังขึ้นตอนที่ การุณ วิ่งเข้ามาในฉากใต้แสงไฟ ในมือถือถุงกับข้าว]

      การุณ : ไอ้หมาบ้า! ไป! (หันไปเตะกระป๋องใส่เงามื้อด้านหลัง พลันมีเสียงหมาร้องดังขึ้นอีก แล้วการุณก็เดินออกจากแสงสว่างไป)

      [ไฟจากเสาไฟค่อยๆหรี่ลงจนดับไปในที่สุด จากนั้นไฟในห้องครัวก็สว่างขึ้นเผยให้เห็นห้องครัวขนาดเล็กของบ้านไม้ชั้นเดียว โต๊ะกินข้าวรูปสี่เหลี่ยมขนาดกระทัดรัดวางไว้ตรงกลางห้อง อ่างล้างจานและตู้กับข้าวเก่าๆตั้งอยู่ริมผนังด้านเดียวกับประตู นอกจากนี้ที่มุมห้องยังมีตู้ปลาของการุณ และกรงนกเขาของเขาก็แขวนไว้ที่หน้าต่าง]

      ป้าปราณี : (จัดเตรียมมื้อเย็นขึ้นโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองที่ประตูอย่างไม่สบอารมณ์เพราะมีเสียงฝีเท้าเดินลงส้นเข้ามาในห้อง) เดินให้มันเบาๆหน่อยไม่ได้หรือไงพ่อคู้นนน

      (การุณ เดินลงเท้าเข้ามาแรงๆ ตรงไปยังโต๊ะกินข้าว วางถุงกับข้าวก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้)

      ป้าปราณี : เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย

      การุณ : ไอ้หมาบ้าตรงหัวมุมนั่นน่ะสิป้า ไล่กวดอยู่ได้ น่ารำคาญ

      ป้าปราณี : (แกะกับข้าวจากถุงเทใส่ชาม) มันก็ไล่ของมันทุกวันนั้นแหละ เอ็งจะไปบ่นมันทำไม หมาเห่าไม่เคยกัดใครเอ็งก็รู้

      การุณ : (จริงจัง) แต่มันทำให้คนตกใจนะป้า มอเตอร์ไซค์คันเมื่อเย็นก็เกือบล้ม ผมเห็นกับตา

      ป้าปราณี : โง่เง่า (หันไปมองหน้าหลานชาย) ถ้าวันไหนมันล้มจริงๆ เอ็งก็รีบเข้าไปสมน้ำหน้ามันเลยนะ... ไม่มีใครเขาวิ่งหนีเวลาหมากวดกันหรอก

      (การุณ รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ป้าไม่เห็นด้วยกับเขาว่าหมาตัวนั้นเป็นตัวปัญหา เขาเดินไปยังตู้ปลาที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง และให้อาหารมันพลางมองดูเพื่อผ่อนคลายอารมณ์)

      การุณ : (พูดออกมาลอยๆโดยไม่หันไปมองหน้าป้า) คุ้ยขยะเกลื่อนทุกวัน เดี๋ยวพวกคนเก็บขยะคงจัดการเข้าให้สักวัน (เดินต่อไปที่หน้าต่างที่ซึ่งมีกรงนกกรงหนึ่งแขวนอยู่ การุณหันหน้ามาหาป้า) ไม่เชื่อป้าก็คอย-

      ป้าปราณี : มันเพิ่งจะออกลูก (ป้าปราณีมองหน้าการุณอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินไปที่อ่างล้างจากเพื่อล้างมือ) ยายน้อยบอกว่าคราวนี้มันออกมาตั้งเจ็ดตัวแหน่ะ

      การุณ : ออกลูกแล้วไงล่ะป้า

      ป้าปราณี : (ขึ้นเสียง) วะ! ไอ้นี่ หมามันก็ต้องหาอะไรกินจะได้มีนมให้ลูกมันกินสิ เอ็งนี่โง่กว่าไอ้คนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นอีกนะเนี่ย

      (การุณมองขึ้นไปในอากาศเพื่อหาคำพูดมาเถียงป้า)

      การุณ : ถ้ามันหิวแล้วทำไมมันก็กินให้เป็นที่เป็นทางล่ะ ทำไมต้องมาไล่กวดคนอื่นด้วย

      ป้าปราณี : มันต้องกินเผื่อทั้งตัวเองแล้วก็ลูกๆของมัน ครั้นจะไปหากินไกลๆ ใจรึก็เป็นห่วงลูก (การุณหันกลับไปที่กรงนก ทำเป็นไม่สนใจฟัง) เอ็งจะมาหวังให้มันกินละเลียดเป็นหมาผู้ดีคงจะไม่ได้หรอกนะ มันต้องรีบคุ้ย รีบกิน แล้วรีบกับไปหาลูกมัน... เอ็งเข้าใจที่ข้าพูดหรือเปล่า

      การุณ : (ประชดประชัน) ดูป้าเข้าใจนังหมาแม่ลูกอ่อนนั่นจังเลยเนอะ

      ป้าปราณี : ข้าเองก็เคยเป็นเหมือนมัน... (การุณหันมามองป้าอย่างสงสัย) ก็ตอนที่แม่เอ็งเอาเอ็งมาทิ้งให้ข้าเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะไงล่ะ... ผัวก็ไม่มี จะไปหางานดีๆทำ โรงงานใหญ่ๆก็ดันอยู่ซะไกลบ้าน ข้าก็เลยต้องรับจ้างซักรีดอยู่กับบ้านเพื่อที่จะได้ดูแลเอ็งไง

      (การุณงุ้มหน้าลง small and alone)

      ป้าปราณี : แต่เอ็งเป็นหลานข้า ต่อให้แม่เอาเอ็งไปทิ้งที่กองขยะ ข้าจะก็จะตามไปเก็บมาเลี้ยง... (การุณเงยหน้าขึ้นมองป้าช้าๆ) มากินข้าวได้แล้วมา เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย

      [ไฟค่อยๆหรี่ลงตอนที่การุณเดินเข้าไปที่โต๊ะกินข้าว และดับไปในที่สุด]

       

       

      Scene 2

      [ไฟในห้องครัวสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงไก่ขันสลับกับเสียงกริ่งรถจักรยานที่ค่อยๆแล่นผ่านไป]

      (การุณเดินติดกระดุมเสื้อยูนิฟอร์มเข้ามาในห้องครัว เดินไปให้อาหารปลา ให้อาหารนก ก่อนจะนั่งลงกินมื้อเช้าที่ป้าเตรียมไว้ให้บนโต๊ะ; ป้าปราณีเดินอุ้มตะกร้าผ้าเข้ามาในห้องครัว วางมันลงข้างๆตู้กับข้าว)

      ป้าปราณี : เย็นนี้อย่าลืมซื้อกล้วยดิบมาให้นะ (เปิดตู้ออก ค้นหาบางสิ่ง) ข้าจะทำกล้วยบวชชีให้กิน

      การุณ : จ้ะป้า

      (ป้าปราณีผงะถอยหลังและทำหม้อตกลงพื้นดังโครม การุณสะดุ้งโหยง)

      ป้าปราณี : อกอีแป้นร่วง!

      การุณ : อะไรน่ะป้า

      ป้าปราณี : (ก้มลงหยิบหม้อขึ้นจากพื้น) บ้านเรานี่หนูเยอะจริงๆ สงสัยต้องหาแมวมาเลี้ยงสักตัวแล้วมั้ง ปล่อยให้วิ่งเพ่นพ่านเดี๋ยวจะมาแทะเสื้อผ้าลูกค้าข้าหมด

      (ป้าปราณีเดินเอาหม้อใบนั้นไปล้างที่อ่าง เพื่อเตรียมไว้ทำกล้วยบวชชีในตอนเย็น)

      ป้าปราณี : เดี๋ยวก่อนออกจากบ้านอย่าลืมเตือนข้าให้ขอเศษอาหารจากยายน้อยด้วยนะ

      การุณ : ป้าจะเอามาทำอะไรเหรอ

      (ป้าปราณีมัวแต่ง่วนกับการเตรียมเครื่องปรุงและอุปกรณ์ต่างๆจนไม่ได้ยินที่การุณถาม และการุณเองก็ไม่ได้อยากรู้มากนัก จึงไม่ได้ถามซ้ำ)

      [ไฟในห้องครัวค่อยๆหรี่ลงจนดับไปในที่สุด มีเสียงการุณตะโกน “อย่าลืมขอเศษอาหารจากยายน้อยนะป้า” และเสียงป้าปราณีตอบว่า “เออๆ เอ็งก็อย่าลืมซื้อกล้วยมาด้วยล่ะ]

       

       

      Scene 3

      [ไฟจากเสาไฟค่อยๆสว่างขึ้น ตามมาด้วยเสียงมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องและเสียงหมาเห่ากระโชก การุณเดินเข้ามาในฉากพร้อมทั้งถือถุงใส่กล้วยสองหวีไว้ในมือ เขาเดินมาอย่างช้าๆและคอยหันไปมองข้างหลังอย่างระมัดระวัง เสียงหมาเห่ายังดังอยู่จนกระทั่งการุณเดินพ้นแสงสว่างไป

      การุณเดินถอยหลังกลับมาในแสงสว่าง หันไปมองทางเสียงเห่า ทำท่าเงื้อมือข้างที่ว่างเพื่อขู่หมาก่อนจะเดินหายเข้าไปข้างหลังถังขยะ แล้วแสงไฟก็ค่อยๆหรี่ลงจนดับไปในที่สุด]

      [ไฟในห้องครัวค่อยๆสว่างขึ้น ไม่มีใครอยู่ในนั้น มีเพียงกระป๋องหนึ่งใบตั้งอยู่บนโต๊ะกินข้าว สักพักก็มีเสียงการุณตะโกนขึ้นว่า “ป้า!]

      การุณ : (เข้ามาในห้องครัว ถือถุงใส่กล้วยไว้มือหนึ่ง อีกมือก็อุ้มลูกหมาไว้แนบอก) ป้า! ... ป้า!

      [มีเสียงป้าตะโกนเข้ามา “ข้าอยู่ในส้วม! เอ็งจะเอาอะไร!]

      การุณ : (ยืนอยู่กลางห้อง) หนูเอาลูกหมามาเลี้ยงตัวนึงนะ!

      [ป้าตะโกนตอบ “ลูกของอีตัวตรงหัวมุมหรอ!]

      การุณ : ใช่จ้ะ!

      [เสียงป้าตะโกน “เอ็งเอามันไปคืนเดี๋ยวนี้เลย! มันยังไม่หย่านมแม่มันเลยนะ!]

      การุณ : (ยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอบกลับอย่างยียวน) ทีป้ายังเลี้ยงหนูตั้งแต่ยังไม่ได้หย่านมแม่ได้เลย!

      [เสียงป้าตะโกน “เอ๊ะไอ้นี่! เอาไปแม่มันเดี๋ยวนี้เลย! ถ้าออกไปแล้วยังเห็นอยู่เอ็งอดกินกล้วยบวชชีแน่ๆ!]

      การุณ : จ้าๆๆ ไปแล้วๆ! (การุณเดินออกจากประตูไปแต่ก็กลับถอยหลังเข้ามาอีก เขาหันไปที่กระป๋องบนโต๊ะกินข้าวแล้วเดินตรงไปที่มัน) นี่เศษอาหารจากร้านยายน้อยใช่ไหมป้า!

      [ป้าปราณีไม่ตอบ มีเสียงตักน้ำราดส้วมดังขึ้น]

      การุณ : หนูเอาไปให้หมากินนะป้า! (การุณใช้มือข้างที่เหลือหิ้วกระป๋องออกไป)

      [ป้าปราณีเข้ามาในห้องครัว เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะสังเกตเห็นว่ากระป๋องที่วางไว้บนโต๊ะหายไป]

      ป้าปราณี : การุณเอ๊ย! เห็นกระป๋องบนโต๊ะไหมลูก! (เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ ป้าปราณีก็หยิบซองกระดาษบนโต๊ะเดินบ่นพึมพำไปที่อ่างล้างจาน) ใส่ยาเบื่อหนูไว้แล้วด้วย ใครมาหยิบไปไหนเนี่ย...

      [ขณะที่ป้าปราณีเริ่มทำกล้วยบวชชีอยู่ในครัว ไฟจากเสาไฟก็สว่างขึ้น การุณเดินเข้ามาในฉากพร้อมด้วยลูกหมาและกระป๋องเศษอาหาร และหายเข้าไปหลังถังขยะ มีเสียงหมาเห่าทักทายตามด้วยเสียงลูกหมามากกว่าหนึ่งตัวครางหงิงๆ]

      [ไม่ต้องแย่งกัน ยังมีให้กินอีกเยอะ]

      [ไฟของทั้งสองฉากค่อยๆดับลง พร้อมกับเสียงหมาครางหงิงๆที่ค่อยๆแผ่วลง และเงียบไปในที่สุด]


      The End

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×