คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 8018:อย่าไปจากฉันเลยนะ 5 [100]
D-TALK
วันที่ฝนตกหนักในวันนั้น
..
“บอสครับ จะเอาไงดีกับเจ้านี่ครับ” โรมาริโอ้เอ่ยถาม ในขณะกำลังใช้เท้าเขี่ยชายหนุ่มร่างยักษ์ ซึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ ผมหันไปมอง ก่อนตวัดรวบแส้ขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ปล่อยมันไปเถอะ เจ็บหนักขนาดนี้คงสิ้นฤทธิ์ไปอีกนานนั่นแหละ”
“ครับ บอส” โรมาริโอ้รับคำ ก่อนเตะชายคนนั้นอย่างลวกๆ
“ถ้างั้นหมดธุระแล้ว เราไปกันเถอะ โรมาริโอ้”
“โอเคครับบอส” เขารับคำผมอีกครั้ง ก่อนทำท่าจะเดินตามผมไป หากไม่ใช่ว่าเจ้าคนที่เจ็บปางตายคนนั้น พูดขึ้นมาแผ่วๆ
“หึๆ แล้วแกจะไม่เก็บศพของเพื่อนแกไปด้วยหรือไง เจ้าพวกคาบัคโรเน่” มันพูดอย่างอวดดี ก่อนไปค่อกแคกพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาจากปาก ผมส่ายหน้าอย่างสมเพช ก่อนหันไปมองรอบๆ
‘ก็ไม่เห็นจะมีใครซักหน่อย’ ผมคิด ก่อนหันไปหาโรมาริโอ้ ซึ่งสะกิดผมเบาๆ
“ว่าไง โรมาริโอ้”
“บอสครับ ผมได้ยินเสียงหายใจของใครคนหนึ่งครับ”
“จริงเหรอ ถ้างั้น ไอบ้ากล้ามก็พูดเรื่องจริงน่ะสิ”
โรมาริโอ้พยักหน้า ก่อนหันไปสั่งรุ่นน้องข้างหลังให้ออกตามหาใครคนนั้น ผมถอนหายใจชั่วครู่ ก่อนเลิกคิ้วขึ้นมา เมื่อเห็นโลหะสีเงินวับ ที่ดูคุ้นตาเหลือเกิน เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ต้องตกใจจนช็อกไปชั่วขณะหนึ่ง
.
นี่มันทอนฟาของเคียวยะ !!!!!!!!
ผมสูดลมหายใจเข้า ก่อนเดินเข้าไปใกล้ๆให้เห็นชัดๆมากขึ้น
..
“แฮ่กๆ”
“ค.....เคียวยะ!!!!” ผมร้องตะโกนอย่างตกใจ ยิ่งเห็นร่างที่สตินั้นเบาบางของเคียวยะ มันทำให้ผมยิ่งขาดสติ
“บอสครับ
.อ้ะ!!!” โรมาริโอ้ร้องเสียงหลง เมื่อวิ่งมาตามเสียงร้องของผม
มือของผมเปื้อนเลือดเต็มไปหมด เมื่อประคองฮิบาริขึ้นมา เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ผมรู้สึกอย่างจะร้องไห้อออกมา โรมาริโอ้เลื่อนมือมาจับไหล่ผม ก่อนที่จะเอ่ยเบาๆ
“บอสครับ
.คุณฮิบาริต้องไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“
..”
“นี่พวกนายน่ะ
..เตรียมรถเร็วเข้า แล้วพาคุณฮิบาริไปส่งโรงพยาบาล!!!” โรมาริโอ้หันไปสั่งลูกน้อง ก่อนวิ่งตามพวกนั้นไป ในขณะที่ผมได้แต่ไล้ผมที่เกรอะเลือดของฮิบาริ ก่อนชะงักไป เมื่อฮิบาริครางขึ้นมาเสียงแผ่วๆ
“ยามาโมโตะ
..”
.
..
..
..
.
18-TALK
ครั้งแรกที่ผมลืมตาขึ้น
..สิ่งที่ผมเห็นครั้งแรกนั้น ไม่ใช่บุรุษผมสีดำ ที่มักมาพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท
ไม่ใช่คนที่ผมคิดถึงมากที่สุด หากแต่เป็นบุรุษผมทองดวงหน้าละม้ายคล้ายฝรั่ง กำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเตียงผู้ป่วยที่ผมนอนอยู่
มือซ้ายที่เต็มไปด้วยรอยสักของเขา ยังกุมมือผมจนร้อน ผมค่อยๆแกะมือเขาออก หากนั่นทำให้ดีโน่รู้ตัว เปลือกตาเผยอขึ้น แล้วใช้ดวงตาสีอำพันจ้องมองผม ก่อนยิ้มบางๆ
“นายฟื้นแล้วเหรอ เคียวยะ” เขาถาม ก่อนยิ้มด้วยดวงหน้าใสซื่อ
“แล้วนายมองไม่เห็นหรือไง เจ้าบ้า” ผมตอบ ก่อนค่อยๆไล่สายตามองสำรวจร่างกายตัวเอง มีแต่ผ้าพันแผลเต็มไปหมดเลย
ผมดึงมือออกมาจากมือของดีโน่ หากแต่ชะงักไปเมื่อดีโน่ดึงมือผมกลับไปเหมือนเดิม
“นายยังไม่หายดีเลยนะ เคียวยะ”
“อยากโดนขย้ำให้ตายหรือไง ดีโน่ คาบัคโรเน่” ผมเอ่ยเสียงเย็น จนดีโน่หัวเราะเบาๆอย่างถูกใจ
“เดี๋ยวก่อน
..ที่นี่มันแปลกๆ เดี๋ยวนะ
ที่นี่ไม่ใช่นามิโมรินี่ ที่นี่ที่ไหน!” ผมถามอย่างขุ่นเคือง หันไปมองนอกหน้าต่าง ก็เห็นหิมะกำลังตกปรอยๆ
“เอาน่า
.ตอนนี้นายอยู่อิตาลีนะ”
“ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้ ตอบมาดีๆนะ ดีโน่”
“ก็ นายถูกพวกมิลฟิโอเล่ยำซะเละ อาการหนัก ฉันเลยพานายมาที่อิตาลีน่ะ จะว่าไป
.นายเป็นอะไรไปเหรอ ปกติก็ไม่ถูกเจ้าพวกอ่อนหัดพวกนั้นทำร้ายเอาง่ายๆไม่ใช่เหรอ”
“เจ้าพวกนั้นมันอ่านใจฉันออก” ผมตอบง่ายๆ กระชับและได้ใจความ ดีโน่เงียบไปสักพักใหญ่ ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์
“หรือนายโดนมันจี้จุดอ่อนซะล่ะ เคียวยะ”
“หุบปาก!!!” ผมตอบแบบขัดใจ ในขณะที่ดีโน่หัวเราะเบาๆแบบถูกใจอีกหน
“เอาน่าๆ เอาเป็นว่าตั้งแต่นี้ ถ้านายดีขึ้น ก็จะต้องมาซ้อมกับฉันทุกวันดีไหมล่ะ”
“หึ
..ถ้านายอยากถูกขย้ำให้ตายล่ะก็นะ”
D-TALK
วันนี้หิมะตกเช่นเคย
ความหนาวเย็น อาจทำให้ใครๆหลายๆคนรู้สึกไม่อยากออกจากห้องของตัวเอง แล้วออกมาเตร็ดเตร่อยู่นอกถนน
เหอะๆ แต่ใครๆหลายๆคนตรงนั้น คงไม่นับคนที่ยืนอยู่ข้างๆผมหรอกนะ
“มองหาอะไรไม่ทราบ ดีโน่”
“อ่า
เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก เคียวยะ” ผมตอบตะกุกตะกัก แอบอมยิ้มที่มุมปาก ยามมองเคียวยะกำลังมองหิมะที่ตกลงมา
น่า
รัก
“บอกว่าไม่มีอะไร แต่แอบอมยิ้มนี่มันไม่ค่อยจะน่าสงสัยไปหน่อยเหรอ”
“ง่า
เปล่าๆ ไม่มีอะไรสักหน่อย นี่ ไปดื่มไวน์กันไหม ฝึกมาก็เหนื่อยๆ ไปดื่มไวน์กันเถอะ ที่นี่น่ะ ชั้นหนึ่งเลยนะ” ผมว่า แอบเอามือของฮิบาริไปกุม หากแต่เขากลับสะบัดทิ้ง ดวงตาสีนิลกาฬจ้องผมเขม็ง
“ฉันจะดื่มเหล้าขาว”
“อ่า
ก็ได้ๆ” ผมรับคำ หันไปสั่งโรมาริโอ้ที่อยู่ข้างหลัง ก่อนหันกลับมาแล้วพบว่า
.
เคียวยะกำลังเหม่อมองเข้าไปในกระจกของร้านร้านหนึ่งอยู่
ดวงหน้าของเขาที่ผมแอบมองผ่านกระจก เปี่ยมไปด้วยความเศร้าสร้อย และโหยหาใครบางคน
“สนใจร้านนี้เหรอ เคียวยะ”
“
” เขาไม่ตอบดังที่ผมคาดเดาเอาไว้ หากแต่สะบัดหน้าหนี เดินตามพวกโรมาริโอ้ที่ล่วงหน้าไปก่อน ทิ้งให้ผมได้รับรู้คำตอบที่น่าเจ็บปวดเอาเอง
‘ร้านขายดาบญี่ปุ่น’
จริงๆแล้ว
.ผมผิดหรือเปล่านะ ที่กักตัวเคียวยะเอาไว้ไม่ให้กลับไปญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูดสิ่งอื่นใด แต่ผมก็รับรู้ได้จากการกระทำของเขา ดังเช่นไม่ยอมกินอาหารอิตาลี หรืออื่นๆก็เถอะ และผม
ก็นำเหตุผลโง่ๆมาบังหน้า
‘นายยังไม่หายดีซักหน่อย’
ไม่หรอก
นี่คือคำตอบที่ผมบอกตัวเอง
18-TALK
ผมนั่งจ้องมองวิวนอกกระจกของร้านนี้นานกี่นาทีก็ไม่รู้ ก่อนหันมาซดเหล้าขาวที่นานๆจะกินซักที ก็ช่วยไม่ได้นี่ ปกติแล้วผมกินชานี่น่ะ
จะว่าไป นึกถึงร้านเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วก็ให้ความรู้สึกไม่ดี
ผมโรคจิตไปแล้วหรือไงนะ ถึงไปยืนจ้องดาบญี่ปุ่นในร้านขายดาบนั่น
เออ
ผมไม่ได้โรคจิตซักหน่อย คนที่จะโรคจิตได้น่ะ ก็คงมีแต่สัตว์กินพืชชั้นต่ำบางชนิดเท่านั้นล่ะ
พอที ฮิบาริ เคียวยะ เจ้าหมอนั่นกำลังทำให้จิตใจของนายสับสนยุ่งเหยิง
นายหลงรับเอาเจ้าหมอนั่นเข้ามาอยู่ในใจของนายมากเกินไปแล้ว
นายเป็นเมฆาของวองโกเล่นะ
เมฆา
ที่เป็นอิสระ จิตใจที่ล่องลอย ไม่มีวันผูกมัดกับใคร
แล้วทำไม
ถึงต้องมาผูกมัดกับเจ้าพิรุณติงต๊องพรรค์นั้นด้วย!!
ผมซดเหล้าขาวเข้าไปอีกที ดื่มแล้วก็พลันให้นึกถึงเจ้าผู้พิทักษ์ ที่ดูเหมือนว่าจะติงต๊องที่สุดในวองโกเล่ ที่เป็นคนทำให้เขาหัดดื่มเหล้าเป็นคนแรก
‘ฉันไม่ดื่ม’
‘ดื่มหน่อยน่า ที่รัก’
‘ใครเป็นที่รักของแก เจ้าสัตว์กินพืชชั้นต่ำ’
‘โอ้ยๆ เจ็บนะ ฟาดมาได้ไงอ้ะ ทอนฟาอันตั้งใหญ่ ฮิบาริใจร้ายยย’
‘หึ...ฮะ...เฮ้ย!!!’
‘ดื่มนะ ไม่งั้นจูบ’
‘ลองจูบสิ ถ้านายอยากเจ็บตัวล่ะก็นะ’
‘ยอมเจ็บตัว...ถ้าได้จูบ’
‘ดี งั้นฉันจะสนองให้’
‘ง่า...แค่ดื่มเอง ไม่เสียหายหรอก’
‘แค่ดื่มก็พอสินะ’
‘อืม’
‘
อะ...อร่อย...’
‘ว้าว
ฮิบาริ นายยอมดื่มแล้ว น่ารักจัง’
‘อยากโดนทอนฟาฟาดปากใช่มั้ย ยามาโมโตะ ทาเคชิ’
‘ล..ล้อเล่นครับ’
“คิดอะไรอยู่เหรอ เคียวยะ”
“เปล่า” ผมตอบ หันมาสบตากับเจ้านภาสติไม่ค่อยจะมีกะเขา ขาดลูกน้อง ก็กลายเป็นแค่ม้าธรรมดา แถมวันๆก็เอาแต่ยิ้ม
ยิ้มเหมือนกับผู้พิทักษ์พิรุณของวองโกเล่
เฮ้ย!! คิดถึงมันอีกแล้ว
“จะไม่ลองดื่มไวน์ดูหน่อยเหรอ เคียวยะ”
“ไม่ ขอบคุณ” ผมตอบ หันไปมองท้องฟ้าข้านอก ถึงแม้ว่าหิมะจะตก แต่ก็สดใสดี ฟ้าที่นามิโมริจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ
อันที่จริง ผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย (นิดเดียวจริงๆนะ) ที่ไม่ยอมติดต่อกลับไปหาสัตว์กินพืชที่นามิโมริ แหงล่ะ
ใครจะยอมติดต่อไป ก็เจ้าหมอนั่นไม่ยอมมาขอโทษผมนี่
ว่าแต่ผมมองท้องฟ้านอกหน้าต่างร้านสวยๆนี่นานไปหรือเปล่า ดีโน่ถึงได้ถอนหายใจออกมา
“คิดถึงใครอยู่เหรอ เคียวยะ”
“เปล่า” ผมตอบดังเคย หากสิ่งที่ไม่เหมือนเคย คือคำพูดของม้าพยศ
“คิดถึงยามาโมโตะ ทาเคชิอยู่ล่ะสิ” ผมนิ่งไม่ตอบอะไรทั้งนั้น คำพูดต่อมาจึงทำให้ผมตกใจ แทบตกเก้าอี้
“ทำไม
ไม่หยุดคิดถึงเขา ฉันเองก็อยู่ตรงนี้นะ”
“ว่าไงนะ?”
“เปล่า
ฉันบอกว่า ทำไมไม่หยุดคิดถึงเขา เหล้าขาวยังวางอยู่ตรงนี้นะ”
“งั้นเหรอ” ผมเอ่ย รินเหล้าขาวจะดื่มต่อ ก่อนที่จะผงะไป เมื่อดีโน่กุมมือผมที่กำลังจะรินเหล้า
“เคียวยะ” ผมวางแก้วลง สะบัดหน่อยๆ อย่างไม่ยอมให้คนตรงหน้ากุมมือตามใจชอบ
“อะไรของนาย มากุมมือฉันนี่คงทำใจเตรียมตัวโดนขย้ำแล้วสินะ”
“ฉัน
เคยมีความสำคัญกับนายหรือเปล่า”
“
”
“ตอบฉันทีสิ เคียวยะ”
บางทีอาจเป็นเวลาหลายนาทีที่พาดผ่าน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ดีโน่ลุกขึ้นจากเก้าอี้หรู เดินเข้ามาอยู่ข้างๆผมที่นั่งอยู่ พอผมลุกขึ้นยืนจะเดินหนี เขาก็ทรุดตัวลงคุกเข่าอยู่ข้างหน้าผม เหมือนผู้ชายที่กำลังจะขอผู้หญิงแต่งงาน มือของผมถูกเจ้านี่ดึงไปจูบ ก่อนเงยดวงหน้ามอง
ดวงตาสีอำพันของดีโน่ที่ผมสบตาด้วย ยังคงสะท้อนเงาของผมอยู่เสมอ และผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะอีกนานเท่าไหร่ มันก็คงจะสะท้อนภาพของผมอยู่อย่างนั้น
มือร้อนของคนที่เป็นนภาแห่งคาบัคโรเน่แฟมิลี่ ก็ยังคงกุมมือของผม และผมมั่นใจว่า ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี มือร้อนและแข็งแรงนี้ ก็จะยังคงคอยปกป้องผมไปตลอด
หากแต่มันจะสำคัญอะไร หากว่าดวงตาที่ผมอยากมองเห็นตัวเองอยู่ในนั้น รวมไปถึงมือร้อน และแข็งแรงที่ผมอยากให้จับ มีเพียงแค่คนเดียว
นั่นคือดวงตา และมือของยามาโมโตะ ทาเคชิ ผู้พิทักษ์พิรุณของวองโกเล่แฟมิลี่
ผมเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าผมยินยอมรับคนคนนั้นเข้ามาในใจของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมคงไม่ได้รักเขาหรอก
มั้ง
อาจเป็นแค่ความเหงาที่ผมเคยชิน กัดกร่อนจิตใจทีละเล็กทีละน้อย ให้ค่อยๆแทรกซึมน้ำฝนให้เข้ามาในใจทีละนิดๆ
ผมสบตาที่แอบแฝงความเศร้าสร้อยของดีโน่ คาบัคโรเน่
“ฟังนะ
ไม่ว่าฉันจะสำคัญต่อนายหรือไม่...ก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะขอนาย
”
“
”
“ชอบฉันเถอะนะ ฮิบาริ เคียวยะ”
ความเงียบโรยตัวลงมา ผมอึ้งไป ในขณะที่ดีโน่มองผมอย่างมีความหวัง
ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจเอ่ยปาก หลังจากที่เงียบอยู่นาน
“นาย
สำคัญ
ต่อฉัน
มาก”
“สำคัญยังไงก็คงไม่เท่ากับผู้ชายที่ชื่อยามาโมโตะ ทาเคชิหรอกสินะ เคียวยะ”
“สำหรับฉัน นายคือรักแรก ต่อให้เวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ นายก็จะเป็นรักแรกสำหรับฉันเสมอ”
“เคียวยะ
”
“เวลาที่ผ่านพ้นมา ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ อดีตนั้น ฉันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้น นายก็คือรักแรกของฉัน ตลอดมา และตลอดไป”
“
แล้ว ยามาโมโตะ ทาเคชิล่ะ คนคนนั้นเป็นอะไรของนาย” เขาถาม ดวงหน้านั้นดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
“สำหรับคนคนนั้น
ฉันไม่รู้ ไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นอะไรของฉัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันคาดหวัง นั่นคือ
ฉันอยากให้เขาเป็นรักสุดท้าย
”
“ถึงคนคนนั้นจะทำให้นายเจ็บ?”
“ที่ฉันเจ็บ นั่นก็เพราะ ฉันเป็นคนเลือกที่จะเจ็บเองต่างหากล่ะ ดีโน่”
“ฟังนะเคียวยะ”
“ว่าไง”
“ถ้าหากว่าวันใด นายเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะก็
”
“
”
“อยากให้นายได้รู้เอาไว้
ว่ายังมีฉันอยู่ตรงนี้
”
“
”
“ต่อให้เวลาผ่านไปกี่ปีก็ตาม
”
“ดีโน่
”
“ฉันก็จะรอนาย
เสมอ
ฉันจะรอนาย อยู่ตรงนี้ ตลอดมา และตลอดไป
”
“อย่ามาพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะได้ไหม”
“เป็นไปได้สิ เคียวยะ” ดีโน่ลุกขึ้น ดึงผมเข้าไปกอด น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่ผมยินดีให้เจ้านี่กอด บางทีอาจเป็นเพราะผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาตงิดๆ
นั่นเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ...
D-TALK
“อะแฮ่ม
ขอโทษที่ต้องเข้ามาขัดจังหวะสำคัญนะครับ บอส” เสียงหนึ่งดังขึ้น จนเคียวยะตกใจ ผลักผมออกแทบกระเด็น
โรมาริโอ้ยืนกระแอมอยู่บริเวณประตู ดวงตาที่ดูรู้ทัน ทำให้ดวงหน้าน่ารักของเคียวยะขึ้นสีจาง
“มีอะไรเหรอ โรมาริโอ้”
“อ่า
ครับ คือพอดีว่าฝั่งวองโกเล่ประสานงานมา เกี่ยวกับเรื่องของคุณฮิบาริ”
“เหรอ
” ผมว่า หันไปมองเจ้าคนต้นปัญหาแล้วก็อมยิ้ม เคียวยะมุ่นหัวคิ้วลง ก่อนถามเสียงเรียบ ในขณะที่จับสูทยับๆของตัวเองให้เรียบร้อย
“ก็แล้วเจ้าพวกสัตว์กินพืชทั้งหลายมีธุระอะไรกับฉันล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ” โรมาริโอ้ตอบ ก่อนหันมาทางผม
“คือฝั่งวองโกเล่ประสานงานมาว่า มีคนพบคุณฮิบาริอยู่กับบอสก่อนขาดการติดต่อไป
”
“อ้อ
ฉันลืมส่งข่าวไปว่าฉันอยู่กับดีโน่ที่อิตาลีน่ะ”
“เอิ่ม...คือฝั่งนั้นเริ่มเคลื่อนไหว ออกมาตามหาแล้วนะครับ”
“ก็แค่สัตว์กินพืชสุมหัวกัน น่ารำคาญ”
เหมือนเดิม เคียวยะเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาสีนิลกาฬจ้องมองไปทางโรมาริโอ้ หากแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคุ้นเคยไปเสียแล้ว จึงได้เอ่ยรายงานต่อ
“แล้วก็
บอสครับ ฟวกมิลฟิโอเล่ที่เมื่อ 6 เดือนก่อนเราจัดการไป ตอนนี้พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว ให้ทำไงดีครับ”
“แล้วพวกสึนะรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“ดูเหมือนว่าจะยังไม่ค่อยทราบรายละเอียดแน่ชัด คงจะวุ่นกับเรื่องของคุณฮิบาริมากกว่าจะใส่ใจในเรื่องนี้น่ะครับ” ผมส่ายหัว
“สึนะไม่น่ามองข้ามเรื่องนี้ไปได้ ให้ตายสิ” เคียวยะเหลือบหางตามามองผม และพูดบางอย่างที่ชวนให้สงสัย
“เจ้าสัตว์กินพืชนั่น คงรู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วล่ะมั้ง”
“เวลาอะไร เคียวยะ” มุมปากยกขึ้น ก่อนเคียวยะจะก้าวเท้าสวบไปทางประตู เดินผ่านโรมาริโอ้
“เวลาที่จะดำรงชีวิตต่อไปยังไงล่ะ”
ปึง!! ประตูไม้หรูปิดลง ทิ้งให้ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำพูดนั้น
“โรมาริโอ้ นายว่าเคียวยะกำลังหมายถึงอะไร”
“
ไม่รู้สินะครับบอส
เอ่อ แล้วตกลงเรื่องคุณฮิบาริ จะให้บอกทางฝั่งนั้นว่ายังไงครับ”
“ก็ไม่ต้องว่าไงล่ะ เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งบอกทางฝั่งนั้น”
“จะดีเหรอครับบอส คุณฮิบาริเป็นคนของวองโกเล่ เรามากักตัวคุณฮิบาริเอาไว้ มันจะดูไม่ดีเท่าไหร่”
“หืม
” ผมเลิกคิ้วขึ้น ก่อนเอ่ยต่อ
“ไปถามเคียวยะซะจะดีกว่า นายเองก็อย่าเพิ่งส่งข่าวอะไรไปก่อนก็แล้วกัน”
“ได้ครับบอส”
..
.
ก๊อกๆๆ!
“ใคร
”
“ฉันเอง ดีโน่ คาบัคโรเน่
ของนาย”
ผาง!!
“อย่ามาพูดจาชวนให้คลื่นไส้ ของนายบ้าบออะไรกัน” เคียวยะเปิดประตูออกมา พร้อมกับทอนฟาอันเล็กขนาดเหมาะกับปาก ฟาดเข้าเต็มรัก ผมยิ้ม ปาดเลือดที่กลบปาก ก่อนหันไปรับกระดาษทิชชู่จากโรมาริโอ้ ที่ส่ายหัวราวกับว่ารำคาญ
“เอาน่าๆ นี่ ตกลงนายจะติดต่อกลับไปหาวองโกเล่เลยหรือเปล่า ถ้าจะติดต่อ ฉันจะได้สั่งลูกน้องให้
” เคียวยะไม่ตอบอะไร ดวงตานั้นหลุบมองลงพื้น
“นี่
ไม่เอาน่า คิดมากอะไรอีกล่ะเคียวยะ”
“ก็
เจ้าสัตว์กินพืชชั้นต่ำนั่นยังไม่ยอมมาขอโทษ
”
“หึๆ ขี้งอนจริงๆนะ เคียวยะ”
เหมือนผู้หญิงเป็นบ้า
ความคิดที่ทำให้ผมอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เคียวยะตวัดสายตาขึ้นมาจ้องผมเขม็ง ก่อนที่โรมาริโอ้จะเป็นคนช่วยชีวิตผมเอาไว้
“คุณฮิบาริ ผมว่าคุณควรกลับไปที่ญี่ปุ่น อย่าทำให้วองโกเล่ต้องเป็นห่วงดีกว่านะครับ” เคียวยะมองไปที่โรมาริโอ้ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปาก ที่ทำให้ผมกับลูกน้องแถวนั้นถึงกับหลุดยิ้มกว้าง
“ถ้าอย่างนั้นก็จองตั๋วกลับให้ที เอาอย่างด่วนที่สุดล่ะ” ว่าแล้วก็ตวัดนัยน์ตาสีสวยกลับมาจ้องผม
“ที่ฉันกลับไปญี่ปุ่น ก็เพราะเจ้าพวกนั้นขาดฉันไม่ได้ ฉันไม่ได้กลับไปที่นั่น เพราะคิดถึงใครหรอกนะ รู้เอาไว้ซะด้วย ดีโน่”
“อิอิ คร้าบๆ”
.
.
..
.
ฝนตก
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ในนามิโมริ ทั้งๆที่สว่างสดใส
แต่ทำไมฝนถึงตก
ผมหันกลับไปมองคนข้างๆกาย ก็พบว่าคิ้วสวยกำลังหมุ่นลงอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนว่าเคียวยะคงจะจับสังหรณ์อะไรสักอย่างได้
“ฝนตก
ระวังเป็นหวัดนะ เคียวยะ” ผมบอก ถอดเสื้อตัวนอกออกมา จะคลุมตัวให้เคียวยะ หากแต่เขากลับสะบัดออก หันมาสั่งโรมาริโอ้ ดวงหน้าดูรีบร้อน และเป็นกังวลอะไรสักอย่าง
“ช่วยพาฉันไปที่โรงเรียนนามิโมริที ด่วนเลยนะ”
“อ่า
ครับๆ” โรมาริโอ้รับคำสั่ง รีบเรียกให้ลูกน้องขับรถมาหาพวกเรา เคียวยะดึงโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะคุยกับใครสักคน ซึ่งผมเดาว่า ถ้าไม่ใช่คุซาคาเบะ ก็คงเป็นพวกสึนะ
“น่าแปลกดีนะ ที่ฝนตกน่ะ ว่าไหม” ผมพูดกับคนตัวเล็กข้างๆที่นั่งอยู่บนรถหรูด้วยกัน เคียวยะหันมาสบตาผม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ฝนร้องไห้ไงล่ะ” ดูเหมือนว่าบางทีเคียวยะอาจจะพบกับสังหรณ์อะไรสักอย่างก็เป็นได้
“เอ๋
ฝนร้องไห้”
“หุบปากซักที หรือว่าอยากจะโดนขย้ำให้ตายซะตรงนี้ดีล่ะ”
“อึ๋ย
ก็ได้ๆ” ผมพูดตัดบท มองไปข้างหน้า ก็พบกับจุดหมายปลายทางที่เรากำลังจะไป
โรงเรียนนามิโมริ
“ยามาโมโตะ!!!” เสียงของใครบางคน ทำให้เคียวยะยิ่งมุ่นคิ้วลง เปิดประตูไปก็พบกับคนที่เคยทำร้ายเคียวยะจนสาหัสเมื่อ 6 เดือนก่อน ทอนฟาถูกหยิบขึ้นมา ก่อนฟาดลงหลังหัวยามาโมโตะที่กำลังเลือดขึ้นหน้าได้อย่างเหมาะเจาะทันที
“หลับไปสักพักเถอะนะ เจ้าสัตว์กินพืชจอมแส่หาเรื่อง”
..
.
“อาการไม่หนักมากเท่าไหร่หรอกครับ” หมอประจำฐานทัพวองโกเล่เอ่ยบอกสึนะที่กำลังมุ่นหัวคิ้วลงอย่างเป็นกังวล ก่อนที่คุณหมอจะเดินออกไปจากห้อง ในขณะที่เคียวยะกำลังใช้ผ้าชุบน้ำลูบใบหน้าที่บาดเจ็บของยามาโมโตะ ทาเคชิ
“ขอบคุณ คุณฮิบาริมากเลยนะครับ แล้วก็คุณดีโน่ด้วย ถ้าไม่ได้พวกคุณ ไม่รู้ว่ายามาโมโตะกับโกคุเทระจะเป็นยังไงบ้าง”
“อ่า
ไม่เป็นไรหรอก
สึนะ เราเป็ฯแฟมิลี่พันธมิตรกันนะ” ผมตอบสึนะ ก่อนจะดึงให้วองโกเล่รุ่นที่ 10 เดินออกมาจากห้อง
อย่างน้อยๆ ผมกับสึนะก็ไม่ควรที่จะเข้าไปขัดจังหวะคนที่กำลังร้องไห้อยู่ตอนนี้หรอกนะ
..
.
“นี่
.เคียวยะ สึนะเค้าบอกให้นาย
..เฮ้ย!!!”
ตุบ!!!
ร่างของคนที่ควรจะนอนสลบไสลอยู่บนเตียง บัดนี้ร่วงตุบลงมานอนกองอยู่ที่พื้น ส่วนคนที่ควรจะนั่งอยู่ที่โซฟาของคนที่มาเฝ้า บัดนี้ก็กำลังหน้าแดงก่ำ ขณะกำลังจัดเสื้อที่หลุดรุ่ยอยู่บนเตียงให้เรียบร้อย ผมจ้องมองคู่คนข้างหน้าอย่างปวดร้าวเล็กน้อย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นขัดตาทัพ
“นายฟื้นแล้วงั้นเหรอ ยามาโมโตะ
.”
ผมพูด ก่อนจะหันมายิ้มๆ แม้จะรับรู้ว่าในใจนั้นปวดร้าวเท่าใด
บทสนทนาเป็นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็เดินออกมาจากห้อง และพบกับเคียวยะกำลังยืนรอผมอยู่นอกห้อง
“นายพูดอะไรกับยามาโมโตะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า
..เคียวยะ”
“อย่ามาทำเป็นพูดดีไป อย่ามาเสร่อเล่าเรื่องตอนที่เราอยู่อิตาลีนะ ไม่งั้นนายโดนขย้ำตายแน่ๆ”
“เข้าใจแล้วนา”
ผมตอบครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันไปมองตามหลังของฮิบาริ เคียวยะที่กำลังเดินไปเรื่อยๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนสักพักหนึ่งจะต้องสะดุ้งเมื่อเคียวยะถูก คุซาคาเบะ เท็ตสึยะ วิ่งพรวดเข้ามาในฐานทัพจนล้มโครม
ทอนฟาทำท่าจะเข้าไปฟาดปากของคนที่มาใหม่ หากไม่ใช่ว่าประตูห้องพยาบาลทั้งสองประตู ของยามาโมโตะ และโกคุเทระจะเปิดออกพร้อมๆกัน ดวงตาสีดำขลับของเคียวยะจ้องมองยามาโมโตะ ก่อนหันมามองคุซาคาเบะอย่างเอาเรื่อง
“ตอบมาซะดีๆ ว่าที่ชนฉันจนล้มนี่มีเรื่องอะไรกัน”
“ใจเย็นๆครับ คุณเคียว
คือว่า
ตอนนี้น่ะ เกิดเรื่องแล้วครับ
”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“คือตอนนี้
วองโกเล่รุ่นที่ 10
ถูกยิงครับ!!!!!!!!”
ต่อจากนี้
ตอนจบของฟิคนี้ ก็จะเชื่อมกับฟิคต่อไปของคู่ 6927 นะคะ
จะพยายามอัพให้จบโดยเร็วค่ะ
ยังไงก็ อย่าลืมอ่านต่อไปด้วยนะคะ
โค้งงามๆ
ความคิดเห็น