คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : แรกพบ
Chapter 1 : แรกพบ
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเลือดที่หยดจากปลายนิ้วลงสู่พื้นหยดแล้วหยดเล่า ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะเบลอและดับวูบไปพร้อมกับสติอันเลือนลางของผม
.
.
.
“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละครับม๊า” ผมรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาว่าอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะชุดคนไข้ที่สวมอยู่ บวกกับเตียง วอลเปเปอร์สีขาวสะอาดตาและอะไรหลายๆอย่าง
“มันน่าจริงๆเลยนะ” คุณแม่บังเกิดเกล้าง้างมือเตรียมจะฟาดเต็มที่ ผมรีบสำออยทำหน้าเจ็บปวดเหมือนคนใกล้ตายทันที แล้วมีหรือที่ม๊าจะตีลูกรักคนนี้ได้ลง
“ม๊าไปโทษมันดิครับ คนหาเรื่องอ่ะ” ผมปลายตามองไอเตี้ยที่นั่งยิ้มแห้งๆอยู่บนโซฟา
หลังจากฟังม๊าบ่นจนหูชา ขี้หูไหลแล้วประตูห้องก็เปิดขึ้น หมอหนุ่มหน้าตาก็งั้นๆเดินเข็นรถที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ล้างแผลเข้ามา
“ขออนุญาตนะครับ” ผมมองหมอเตรียมอุปกรณ์ล้างแผลแล้วก็ได้แต่ลอบหายใจ นี่มันเวรกรรมอะไรของกูที่ต้องมานั่งให้หมอเอาแอลกอฮอล์จิ้มแผลให้ปวดแสบปวดร้อนเล่นวะเนี่ย ดีนะที่เมื่อคืนหมดสติไปเลยไม่รู้เรื่องตอนที่หมอทำแผลสด แต่นี่แม่งก็ยังสดอยู่ปะวะ เลือดงี้ยังซิบๆอยู่เลย
“ล้างแผลเสร็จแล้วก็กลับบ้านได้เลยนะครับ แล้วก็แผลคุณลึกมาก ควรมาล้างแผลทุกวันด้วย”
คุณนายพยักหน้ารับคำที่ไอ้หมอพูด ในขณะที่ผมน่ะหรอ ไม่อยากจะฟังเลยจริงๆ แผลแค่นี้ทำไมต้องมาล้างทุกวันวะ แม่หันมามองคาดโทษผมด้วยเหตุอันใดก็ไม่แน่ใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงอยู่นานแล้วออกมาจากกระเป๋าแบรนเนมชื่อดัง ก่อนจะกดรับสายแล้วเดินออกไปข้างนอก
“แผลลึกขนาดนี้ โดนมีดแบบไหนมาครับเนี่ย แล้วมีดมีสนิมหรือเปล่า” ผมมองหน้าไอ้หมอที่อายุคงห่างกับผมไม่กี่ปีให้เต็มตา ดูๆไปมันอาจจะกำลังเรียนแพทย์ปีสุดท้ายอยู่ก็ได้ ไม่มีหมอคนไหนเสียเวลามาล้างแผลให้คนไข้หรอก ให้พยาบาลสาวสวยมาทำแผลให้กูคงอารมณ์สุนทรีย์กว่านี้เยอะ
แล้วถามว่ามีดแบบไหน มีสนิมหรือเปล่าน่ะ เวลานั้นกูคงมีเวลาบอกมันว่า ‘หยุดก่อนอย่าเพิ่งฟัน มีดมึงมีสนิมมั้ย?’ หรอกนะ
“ถ้าผมบอกว่า จะโดนมีดอะไรก็เรื่องของกู หมอจะด่าผมว่าไอ้สัสมั้ย” ผมถามเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจว่าคนฟังจะคิดยังไง
“ไม่หรอกครับ ผมมีจรรยาบรรณแพทย์มากพอ...” ไอ้หมอยกยิ้มน้อยๆ มีความสุขมากดิ แอบคิดอะไรกับกูปะวะ แต่ความคิดผมก็ดับวูบที่ตรงนั้นเพราะประโยคถัดมาของมัน “ผมจะด่าคุณว่า ไอ้เหี้ย...ในใจครับ”
มันยิ้มกริ่มพร้อมทำแผลให้ผมอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าบ่งบอกถึงคนที่เหนือกว่า ชนะใสๆ ส่วนคนที่โดนหลอกด่ากลายๆอย่างผมก็ลมออกหูดิครับ มือกระตุกอยากจะซัดหมอซะให้ได้ ถ้าไม่ติดว่ามันทำแผลให้อยู่ล่ะก็นะ
“ขำเหี้ย!!ไรครับ” ลงกับใครไม่ได้ก็หันไปด่าไอเพื่อนตัวดีที่นั่งขำตัวงออยู่บนโซฟาซะเลย มองคาดโทษ พร้อมขยับปากบอกมันว่าอย่าให้ถึงทีกูบ้างนะ
‘เบาๆดิวะ เจ็บชิบหาย’ อยากจะพูดออกไปใจจะขาด แต่เดี๋ยวโดนแม่งด่าอีก หมอห่าไรมือหนักชิบหาย
“เรียบร้อยครับ” หมอพูดหลังจากพันผ้าพันแผลเสร็จ เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณนายคิมเดินเข้ามาพอดี
“ขอบคุณมากนะคะ” แม่โค้งคุณหมอก่อนหันมามองหน้าผม ผมกรอกตาอย่างเซ็งๆ ม๊าจะโค้งให้มันทำไม ไอ้คุณหมอผู้มีจรรยาบรรณเพิ่งจะด่าลูกชายม๊าไปนะ
“ม๊ามีเรื่องจะคุยด้วย” โอเครู้เรื่อง -_____-
Unforgettable Deeply Hurt
“ว่าไงนะ!!!” จงอินตะโกนลั่นห้องเมื่อฟังแม่บังเกิดเกล้าพูดจบ “แล้วทำไมต้องให้มาอยู่กับผมด้วยอ่ะ ม๊าก็ให้เด็กนั่นไปอยู่บ้านใหญ่สิ ผมอยู่คอนโดเล็กๆนี่แค่ผมกับไอ้ลู่สองคนก็อึดอัดจะตาย มีคนมาเพิ่มอีกไม่ไหวนะม๊า”
จงอินบ่นยาวจนเธอต้องยกมือขึ้นห้ามลูกชาย ทั้งหมดไม่ใช่อะไรหรอก เขาแค่หาข้ออ้างมาพูดเท่านั้น เขาอยู่กับลู่หานได้อย่างสบาย เคยพาเพื่อนมากินเหล้าที่ห้องเป็นสิบก็ยังชิว เขาก็แค่ไม่อยากให้เด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ด้วยก็เท่านั้น
คุณนายคิมชูแบล็คการ์ดขึ้นสองใบ พร้อมกับรูปอะไรบางอย่างให้ดู จงอินหุบปากสนิทแต่ก็ไม่เท่าลู่หานที่ตาเบิกโพรงเป็นไข่ห่านไปแล้ว
“เอายังไง ดูแลเด็กสองคนพร้อมกับแบล็คการ์ดคนละใบ น่าจะรู้นะว่าบัตรนี่มีอภิสิทธิ์มากมายขนาดไหน และนี่...บ้านที่แกกำลังเก็บเงินซื้อหนิ ม๊าซื้อให้” สองหนุ่มหันมองหน้ากันอย่างพินิจ
ลู่หานกอดคอเพื่อนมาใกล้ก่อนจะพยายามเกลี้ยกล่อมจงอินให้ยอมรับข้อตกลงของเธอ “มึงแบล็คการ์ดเลยนะเว่ย บ้านนั่นอีกอยู่กันยี่สิบคนยังชิว”
“แต่มึงไม่คิดมั่งอ่อวะว่าเด็กสองคนนั้นจะเป็นยังไง ถ้างี่เง่าเอาแต่ใจ มึงจะหมดชีวิตอิสระ อดแดกเหล้า อดเป็นหนุ่มเพลบอย เลว ชั่ว หน้าม่อเลยนะสัส”
“เออว่ะ” คนใจโลเลเริ่มคล้อยตามจงอินอีกครั้ง แต่นี่แม่งหลอกด่ากันชัดๆ
“ไม่เอาอ่ะม๊า ทำไมผมต้องมาดูแลเด็กด้วย” จงอินหันไปพูดกับแม่ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เอาโว้ยยย
“ถ้าไม่รับน้องมาอยู่ด้วย...” คุณนายคิมเว้นจังหวะให้สองหนุ่มขนลุกเล่น “บัตรเครดิตทุกใบที่ใช้อยู่ตอนนี้ริบ รถทุกคัน มินิ แลมโบกินี่ สปอร์ต ปอร์เช่ ม๊ายึดหมด” เธอยิ้มกว้างอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“โหยอะไรอ่ะ รถพวกนั้นผมซื้อเองนะ” จงอินโวยวาย
“ไม่รู้ล่ะ” เธอกอดอกเชิดหน้าอย่างไม่สนใจสายตาเว้าวอนของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ยุติธรรมอ่ะ” จงอินบ่นอย่างหัวเสีย แต่สุดท้ายก็ต้องยอม
คุณนายยิ้มร่า ถ้าเอาเรื่องรถสุดที่รักของสองคนนี้ขึ้นมาพูดเมื่อไหร่ ยังไงก็ต้องยอม
“คนหนึ่งขึ้นปี 3 น้องจะเรียนมหาลัยเดียวกับเราสองคน เพิ่งกลับมาจากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จีน ส่วนอีกคนอยู่ม.ปลายปีสาม เพิ่งกลับมาจากนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น น้องก็จะเรียนโรงเรียนเดียวกับที่เราสองคนจบมา” ดูเหมือนเสียงของเธอจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาสำหรับจงอิน แต่ลู่หานที่ได้ยินถึงเด็กๆวัยขบเผาะก็หูผึ่งขึ้นมาจนจงอินอดหมั่นไส้ไม่ได้
“สิ่งที่ต้องปฏิบัติต่อน้องคือ ดูแลน้อง ตามใจน้องทุกอย่าง ถ้าน้องอยากได้อะไรต้องซื้อให้ อย่าหือนะไม่งั้นรถสุดรักของพวกลูกม๊าจะเก็บเข้ากุนะคะ” ไม่เปิดโอกาสให้เถียงเธอลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทันที
แต่ก็ยังไม่วายหันมาบอกสองหนุ่มให้หัวเสียอีกนิดว่า “พรุ่งนี้หกโมงตรงไปรับน้องที่สนามบินด้วย”
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากทั้งคู่อีก มีอะไรบ้าบอกว่านี้อีกมั้ยครับ คิมจงอินคนนี้ล่ะเซ็งจริงๆ เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ที่เรียงกันแน่นเต็มตู้ขึ้นมาขวดนึง วางปากขวดกับขอบเคาน์เตอร์ในครัว ใช้อุ้งมือกระแทกลงไปแรงๆทีเดียวฝาก็หลุดออกมา
ยกขวดเบียร์ขึ้นกระดกไปหลายอึก ก่อนเกาหัวตัวเองหน่ายๆ สมองแม่งว่างเปล่าจริงๆ เมื่อกี๊ฝันหรือเปล่าวะ ดูแลเด็กบ้าบออะไร
.
.
.
บอกทีว่าผมแค่ฝัน!!!
Unforgettable Deeply Hurt
RRRRRRR~
"เชี่ยลู่ รับโทรศัพท์ดิวะ" จงอินที่นอนยาวเหยียดอยู่บนโซฟา ยื่นเท้าไปเขี่ยลู่หานที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นให้รับโทรศัพท์หลังจากที่มันร้องเรียกให้เจ้าของกดรับอยู่นาน ที่สำคัญคือกูจะนอนครับ รำคาญชิบหาย
"หนีห่าวครับม๊า”
(ลู่หาน...)
“คร้าบ”
(ลูกทำอะไรอยู่น่ะ)
“นอนอยู่คร้าบ” ลู่หานกรอกเสียงกลับไป พรางยกขาพาดบนโซฟาที่จงอินนอนอยู่
(ว่าไงนะ!! นอนหรอ วันนี้ต้องไปรับน้องไม่ใช่หรือไง) คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น พร้อมกับยกโทรศัพท์ออกไปไกลๆหูเพราะเสียงแหลมๆแปดหลอดที่ตอบกลับมา
“อะไรนะม๊า รับใครอะไร” ลู่หานเกาหัวแกร่กๆ ม๊าพูดอะไรก็ไม่รู้ รับนงรับน้องอะไร จะจบปริญญาโทอยู่แล้ว เค้าไม่รับน้องกันแล้วม๊า
(อย่ามาทำเป็นลืมนะ ที่คุณนายคิมไปคุยเมื่อวานไง ลืมไปแล้วเหรอ!!)
“ห๊ะ!!!” ลู่หานเด้งตัวขึ้นจากพื้นเหมือนติดสปริง “ไปเดี๋ยวนี้แหละคร้าบ” กดตัดสายก่อนจะยีหัวตัวเองแล้ววิ่งรอบโซฟาที่จงอินนอนอยู่ ถ้าวิ่งอีกรอบก็ครบสามรอบส่งกูขึ้นเมนละครับ
“โว้ยยย วิ่งหาหอกหักอะไรวะ!!”
"เหี้ยจงโว้ย!!! ตื่นๆๆ ชิบหายแล้วครับ มึงเอ๊ยยย ตื่นเร็ว" ลู่หานวิ่งวนจนเริ่มหัวหมุนเลยหยุดวิ่ง แล้วทิ้งตัวลงโซฟาซะอย่างนั้น
"ไอ้ห่า!! นั่งทับกูทำไมเนี่ย แล้วโวยวายหาพระแสงของ้าวหรอวะ!!"ร่างสูงถีบเพื่อนรักลงไปนอนกองกับพื้นแล้วซุกหน้ากับหมอนอีกครั้งอย่างไม่สนใจอีกคนที่สติแตกหลังจากรับโทรศัพท์เมื่อก่อนหน้านี้
"มึงตื่นๆๆ" ลู่หานกระชากหัวคนขี้เซา จนอีกคนรำคาญ ปัดมือที่พะรุงพะรังบนหัวตัวเองออก แล้วลุกขึ้นนั่งอย่างไม่เต็มใจนัก เห็นได้จากเปลือกตาที่ไม่คิดจะเปิดขึ้นมามองหน้าหวานที่ประดับด้วยรอยตีนกาเลยสักนิด
"มีไรวะ วันนี้ก็ไม่มีเรียน จะปลุกหาโพ่ง!!" ลู่หานแทบจะก้มกราบตีนคนตรงหน้าที่มันหลับตาด่าเขาอยู่ตอนนี้
"มึงลืมอ่อวะ ว่าวันนี้ต้องไปรับเด็กสองคนนั่น"
"หือ...ไม่ลืม หกโมงไง นี่เพิ่งตีห้าอยู่เลย" พูดจบก็เอนหลังเตรียมจะนอนต่อ แต่แขนสั้นๆของลู่หานก็ไวพอที่จะกุมผมยุ่งเหยิงของอีกคนไว้ได้
"มึงแหกตาดูครับ เที่ยงแล้วโว้ยยยย!!!"
"ห๊ะ!! แล้วไม่บอก เวรเอ๊ยย!!" จงอินเด้งตัวลุกจากโซฟาวิ่งเข้าห้องน้ำทันที ทิ้งให้ลู่หานนั่งงงกับอาการของคนขี้เซาที่ตื่นกระทันหัน
ไม่เสียเวลาไปกว่านั้นเขาเองก็ควรรีบไปอาบน้ำเหมือนกัน
Unforgettable Deeply Hurt
"มึงว่าเด็กสองคนนั้นจะโกรธเราขนาดไหนวะที่มารับช้าขนาดนี้" จงอินหันไปถามเพื่อนตัวเตี้ยที่เปิดหน้าต่างรถจุดบุหรี่สูบอย่างสบายอารมณ์ หรือแม่งเครียดจัดก็ไม่แน่ใจ
"เด็กสองคนนั้นกูไม่แน่ใจ แต่ตอนรับโทรศัพท์กูสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง" ควันขาวหม่นลอยออกจากปากลู่หานทุกครั้งที่พูด
ฟังแล้วก็ขนลุกแปลกๆ บนโลกนี้จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าแม่บังเกิดเกล้าของเขาทั้งสอง ที่พร้อมจะออกคำสั่งและถ้าไม่ทำตามก็ริบของรักทุกอย่าง นี่เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแม่รักลูกชายสุดหล่อคนนี้หรือเปล่า แล้วก็ไม่แปลกใจด้วยที่ทำไมภรรยาคนที่ 1 อย่างแม่ของจงอินและภรรยาคนที่ 2 คือแม่ของลู่หานถึงเข้ากันได้ดีนัก
ฟังไม่ผิดหรอก เขาสองคนมีพ่อคนเดียวกันแต่คนล่ะแม่ แม่ของลู่หานเป็นคนจีน พวกท่านทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก่อนที่พวกเขาจะลืมตาดูโลกเสียอีก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแม่ของจงอินถึงยอมทั้งที่มาก่อน ตอนเด็กๆลู่หานเคยถามพ่อกลางโต๊ะอาหารว่าทำไมถึงหลายใจ ไม่เลือกใครซักคน ทำไมถึงไม่รักแม่ของจงอินคนเดียว แล้วทำไมแม่จงอินต้องยอมให้แม่ลู่หานมาอยู่ที่บ้านเดียวกันแบบนี้
พวกเขายังจำได้ดี แม่ของจงอินแค่ยิ้มให้กับเด็กทั้งสองที่รักไม่น้อยไปกว่ากันแล้วบอกว่า แล้วมันไม่ดีตรงไหน จะได้มีคนช่วยแม่ดูแลคุณพ่อไง
ถึงจะอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้อยู่ดี เลข 3 ยังไงมันก็ไม่ลงตัว แต่พวกท่านกลับรักกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีคำว่าที่ 1 หรือที่ 2 เวลาเพื่อนที่โรงเรียนล้อลู่หานว่าเป็นลูกชู้ เขาไม่เคยโกรธคนพวกนั้นสักนิด แต่จงอินกลับเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วต่อยเด็กคนนั้นจนเลือดกบปาก แถมยังหันมาด่าลู่หานอีกว่ายอมให้มันด่าแม่ของเราได้ยังไง เพราะอย่างนี้แหละมั้ง ครอบครัวนี้ถึงรักกันได้ขนาดนี้
“ยิ้มอะไรวะ” จงอินหันมามองลู่หานที่คลี่ยิ้มเหมือนชีวิตนี้มีความสุขอะไรนักหนาอยู่คนเดียว
"เปล่า แค่คิดถึงวันเก่าๆ” ลู่หานไม่เว้นจังหวะมากแล้วพูดต่อถึงเรื่องที่คุยกันค้างไว้ “กูก็ไม่เข้าใจนะ ว่าเด็กสองคนนั้นไม่มีพ่อแม่หรือยังไง ถึงต้องมาอยู่กับพวกเรา แล้วม๊ามึงกับม๊ากูไปรู้จักหรือว่าไปเก็บมาจากไหนวะ" จงอินคิดตามทุกคำพูดของลู่หาน นิ้วเรียวลูบคางตัวเองอย่างลืมตัวเวลาหลงอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
"มึงว่าม๊ามีแผนปะวะ" ตาสองคู่สบกันเสี้ยววินาที แค่นั้นขนก็ลุกเกลียวขึ้นมาทันที ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณนายทั้งสอง
Unforgettable Deeply Hurt
"แล้วจะหาเจอมั้ยวะเนี่ย สนามบินไม่ใช่เล็กๆ" จงอินโบกมือปัดๆให้ลู่หาน เป็นเชิงบอกว่าไม่อยากจะฟัง ให้หุบปากสักที บ่นตั้งแต่ในรถมาตลอดทาง
"กูต้องเขียนชื่อแล้วยืนถือป้ายแบบพวกทัวร์ปะวะ" ร่างสูงหันซ้ายหันขวามองหาเป้าหมาย พอๆกับลู่หานที่ก้มๆเงยๆมองรูปสลับกับคนที่กำลังตามหา
"กูว่ารูปนี่แม่งอาจจะเฟคก็ได้นะเว่ย เหมือนรูปโปรไฟล์ในเฟสบุ้คกับตัวจริงอ่ะ แตกต่างกันชิบหาย" ลู่หานมองรูปออย่างพินิจพิเคราะห์
"นี่จากประสบการณ์ที่มึงนัดสาวในเฟสเดทแต่ตอนเจอตัวจริงไม่ใช่อย่างในรูปสินะ" ลู่หานยอมรับอย่างหัวเสีย ใครจะรู้วะในรูปสวยชิบหาย ตัวจริงก็งั้นๆจากหน้าสิวก็เนียนได้ ขาหมูก็เพรียวได้ หน้าเหลี่ยมยังเรียวได้ แอพสมัยนี้แม่งล้ำเกินไปละ
"กูว่าเด็กที่ชื่อซิ่วหมินนี่หน้าคุ้นๆว่ะ" จงอินดีดรูปที่เขียนภาษาเกาหลีว่าซีอูมินเปาะๆ
ตอนแรกเขาก็คิดว่าคนห่าไรชื่อแปลกดี นามสกุลซี ชื่ออูมินแต่ไอ้ลู่เสือกโบกหัวแล้วอ่านภาษาจีนที่อยู่ในวงเล็บให้ฟังว่าชื่อซิ่วหมิน จงอินรับฟังและยักไหล่ให้กับตัวเอง ไม่รู้ไม่ผิด แม่กูไม่ใช่คนจีนหนิ
"คนหน้าโหลเยอะแยะไปว่ะ"ลู่หานว่าแล้วจงอินก็เห็นด้วย"กูว่าสองคนนั้น"
จงอินหันไปตามทิศที่ลู่หานชี้ ชายคนหนึ่งที่นั่งหันมองออกไปนอกกระจกใส ภายนอกที่ไม่เห็นมีสาวๆสวยๆหน้าดึงดูดแต่ร่างเล็กก็มองอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน หรืออาจจะไม่กระพริบตาเลยด้วยซ้ำ(?)
ถัดมาอีกคนที่นั่งถัดมาทางขวา คนนี้ดูสูงกว่าคนแรก แต่รูปร่างออกจะเพรียวบางกว่าคนแรกซะอีก ร่างบางก้มหน้าสนใจแต่โทรศัพท์ในมือ หูฟังที่ใส่อยู่คือสิ่งที่ปิดกั้นตัวเองจากสิ่งรอบตัวได้เป็นอย่างดี
"อะฮึ่ม!! พวกนายใช่ 'ซิ่วหมิน'กับ'เซฮุน'หรือเปล่า" เด็กหนุ่มเงยหน้ามองทั้งสองคนที่เพิ่งเอ่ยชื่อพวกเขาไป
"ครับ ผมเซฮุน" เจ้าของชื่อขานรับ
"พี่จงอิน?... ใช่มั้ยครับ" เด็กที่ชื่อซิ่วหมินหันมาถาม จงอินเลิกคิ้วเล็กน้อย
"ใช่ เราคือ..?"ร่างสูงพยายามนึก เขาว่าแล้วว่าคุ้นหน้าซิ่วหมินแต่ก็นึกไม่ออก"มินซอก"
"ฮ่าๆ ใช่ครับ นึกว่าจะจำกันไม่ได้ซะแล้ว"ร่างเล็กที่มีแก้มอวบเหมือนซาลาเปาหัวเราะร่า
"น่ารักสัส~" ใครบางคนเพ้อพกจนเผลออุทานออกมา ก่อนจะเรียกสติตัวเองได้เมื่อถูกสายตาหลายคู่เพิ่งเล็ง "ป๊าววว" จบด้วยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีที่สุด
แต่เด็กที่ชื่อซิ่วหมิน มินซอกไรนั่นน่ารักชิบหายเลยว่ะ ยิ่งเวลายิ้มอีก คนแมนอยากตาย
"ขอโทษที่มาช้านะ คือพวกเรา.." สมองกลวงๆพยายามหาข้อแก้ตัว จนจงอินตบบ่าปุๆว่าไม่ต้องหาคำขอโทษให้ปวดกระหม่อมหรอก เพราะคงหาไม่ได้
ที่พวกเขาตื่นเที่ยงขนาดนี้ก็เพราะเย็นเมื่อวานขนของไปบ้านใหม่ แล้วก็ซื้อเหล้ามานั่งก๊งหมดไปเกือบสองกลม แล้วยังเบียร์อีกเกือบลัง จะว่าพวกเขาขี้เหล้าก็ได้นะ แต่เด็กวิศวะป.โท ที่ไม่เคยห่างเหล้าตั้งแต่เข้าเรียนจนใกล้จะจบปริญญาโทน่ะ ที่กินไปแค่นี้ชิวๆมาก
ไม่นานนักทั้งสี่ก็มาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ โชคดีแค่ไหนที่เด็กทั้งสอง ที่นั่งรออยู่สนามบินมากกว่า 6 ชั่วโมงไม่โกรธจนหัวเสีย ด่าพวกเขาแล้วนั่งหน้าตึงในรถมาตลอดทาง ยังดีเสียอีกที่มินซอกเป็นคนร่าเริงกว่าที่คิด ช่วยสร้างบรรยากาศรวมทั้งลู่หานที่หาโอกาสเต๊าะน้องตลอดจนจงอินเริ่มหมั่นไส้ จะมีก็แต่เซฮุนที่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถเงียบๆคนเดียว
Unforgettable Deeply Hurt
“ชั้นสองจะมีห้องอยู่ 4 ห้อง” ลู่หานอธิบายขณะพามินซอกและเซฮุนขึ้นไปเก็บของที่ห้องนอน
“อ๊ะ!! ขอโทษครับ” มินซอกก้มหัวเล็กน้อยเมื่อชนเข้ากับแผ่นหลังของลู่หานอย่างจัง อยู่ๆก็หยุดเดินดื้อๆ ใครจะไปเบรกทัน เขาเงยหน้าขึ้นมาเลยตรัสรู้ว่าที่ลู่หานหยุดเดินเพราะบันไดแยกออกเป็นสองทาง ลู่หานมองคนตัวเล็กแล้วโบกมือ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
“ทางด้านขวาจะมีสองห้อง เป็นห้องของฉันกับไอ้จงอิน” ลู่หานเว้นจังหวะ ขณะหันไปมองจงอินที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ลักษณะนี้ไม่โดนม๊าบ่นเรื่องไปรับน้อง(โคตร)ช้า ก็ทะเลาะกับเมียชัวร์ เขายักไหล่ก่อนจะหันมาอธิบายต่อ “ส่วนทางด้านซ้ายก็มีสองห้องเหมือนกัน เป็นห้องของพวกนาย” เขาเหลือบมองเซฮุนที่มองผ่านกระจกใสออกไปหน้าบ้านแล้วก็รอบถอนหายใจเบาๆ
“กูว่าดูแลเด็กสองคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้วว่ะ” ลู่หานพยักเพยิดหน้าไปทางเซฮุน ที่ดูเหมือนวันนี้เขาจะเอาแต่เหม่อลอยตลอดทั้งวัน
“เออ กูก็หนักใจอยู่ แต่ปล่อยไปก่อนเหอะ ไว้เดี๋ยวกูจัดการเอง” ลู่หานพยักหน้ารับก่อนจะตบบ่าเพื่อนรักปุๆอย่างที่ทำประจำเวลาให้กำลังใจกันและกัน มันเหมือนเป็นการบอกว่า ‘กูคอยช่วยเหลือมึงเสมอ’ อะไรแบบนั้น
“เอ่อ คือว่า...” น้ำเสียงติดขัดของมินซอกเรียกสายตาของสองเพื่อนซี้ให้หันไปมอง ก่อนที่คิ้วเข้มจะเลิกขึ้นสูง มินซอกเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ มืออีกข้างยังคงจับขอบตู้เย็นที่เปิดค้างไว้ให้เห็นขวดเบียร์ที่อัดเรียงกันแน่น ในนั้นไม่มีอะไรเลยจริงๆนอกจากเบียร์
“มินซอกอ่า ลองเปิดตู้บานที่สามดูนะ น่าจะพอมีของกินอยู่” จงอินว่า ร่างเล็กก็เดินไปเปิดตู้บานที่สามตามที่อีกคนบอก มันคือคู้เย็นที่ถูกดีไซน์ออกมาซะจนเนียนไปกับตู้เก็บของธรรมดา
คราวนี้ค่อยโล่งที่ยังมีของกินที่คนปกติทั่วไปมักแช่เก็บไว้ มากกว่าตู้เย็นที่เอาไว้ตุนเบียร์เพียงอย่างเดียว เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอยู่ๆไปจะเป็นยังไง การที่คนเรากินเหล้าสังสรรค์มันเป็นเรื่องปกติ แต่นี่มันเหมือนกินเบียร์แทนน้ำเปล่าหรือเปล่าเนี่ย ถึงได้มีตู้เย็นสำหรับแช่เบียร์โดยเฉพาะขนาดนี้
มินซอกแค่หยิบเหยือกน้ำผลไม้รวมมาเทใส่แก้ว แล้วปลีกตัวขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง อยู่ให้สองคนนี้จ้องต่อไปก็รู้สึกแปลกๆ เขายังไม่ชินกับการมาอยู่กับคนแปลกหน้า ถึงจะเคยเจอกับจงอินตั้งแต่เด็กแต่ก็ใช่ว่าจะสนิทกันนี่หน่า
“กูว่าต้องซื้อของเข้าบ้านแล้วว่ะ นี่ขนาดเมื่อวานป้าแม่บ้านก็หาของมายัดตู้เย็นบ้างแล้วนะ” จงอินแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนโบกหัวเพื่อนรักอย่างหมั่นไส้ ทำมาเป็นพูดดี แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่ามึงกำลังใช้กูไปซื้อของ
“เออกูไปก็ได้” ว่าพลางเดินไปหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ปล่อยให้ลู่หานก่นด่าพึมพำอะไรอยู่คนเดียว
“นี่ ไปซื้อของด้วยกันหน่อย” จงอินเอ่ยขึ้นขณะหยิบกุญแจขึ้นมา พูดจบก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุขึ้นมาทันที เพราะเด็กหนุ่มที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาไม่มีทีท่าว่าจะตอบรับเขาแม้แต่น้อย ถามว่าเมื่อกี๊ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่าเถอะ
“...”
“ฉันจะไม่พูดซ้ำ แล้วนายก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธด้วย” เซฮุนชายตามองร่างหนา ก่อนถอนหายใจหนักๆอย่างจงใจให้อีกคนรู้
“จะให้ผมไปเป็นคนถือของหรอครับ”
“รู้ตัวนี่ ตามมาเร็วๆล่ะ” นิ้วเรียวยาวเกี่ยวพวงกุญแจขึ้นมาหมุนควงในอากาศ ก่อนจะเดินนำออกไปหน้าบ้าน
“โลกส่วนตัวสูงจริงนะ ไอเด็กนี่” จงอินพึมพำเบาๆ
“ผมได้ยินนะ” เขาหุบปากฉับ แล้วก็ยักไหล่กลบเกลื่อน พึมพำคนเดียวแล้วยังอุตส่าห์จะได้ยินอีก แต่ก็เรื่องจริงนี่หว่า จะโลกส่วนตัวสูงไปไหนวะ
“ผมหิว” เซฮุนพูดเบาๆ นี่ก็เดินซื้อของมาสามชั่วโมง ไม่เห็นจะได้อะไรเลย นอกจากเครื่องแบบนักเรียนของเซฮุน จงอินควรจะไปซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของกินเก็บไว้ที่บ้านมากกว่าพามาที่ห้างสรรสินค้าที่มีแต่ของแบรนเนมแบบนี้ เซฮุนคิดอย่างนั้น
“อยากกินอะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้ผมไม่เรื่องมาก” เอาจริงๆเขาอยากจะนั่งพักมากกว่า พาเดินรอบห้างเพื่ออะไรเนี่ย
จงอินเดินดุ่มๆเข้าร้านอาหารที่ดูจากภายนอกก็หรูหราพอตัว ถามว่าที่ห้างนี้มีอะไรที่ไม่หรูหราฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือยดีกว่า
“ผมว่าเราไปร้านธรรมดาก็ได้นะ” เซฮุนท้วงเบาๆ จงอินแค่หันมามองแล้วเลิกคิ้วให้แล้วก็เดินต่อ “ผมไม่อยากกินร้านนี้ ดูก็รู้แล้วว่าแพงมากแน่ๆ”
จงอินหันหน้ากลับมาหาอีกคนเต็มตัว สายตาคมจ้องมองเขาก่อนจะหัวเราะเบาๆ คนถูกมองขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ เป็นบ้าอะไรของเขาน่ะ
“ทำไมพูดมากนักล่ะ ก่อนหน้านี้ยังเห็นเงียบเป็นเป่าสาก”
“....” เซฮุนเบ้หน้าใส่ จงอินก็ยิ่งได้ใจ
“มาเถอะน่า” จงอินล็อกคอเซฮุนพาเดินเข้าร้านอาหารสุดหรู “นายควรดีใจนะที่ฉันพานายมาดินเนอร์สุดหรูแบบนี้ แม้แต่สาวสวยที่ฉันถูกใจยังได้กินแค่อาหารข้างทาง”
“นี่ปล่อยผมนะ” เซฮุนพยายามงัดแขนของจงอินออก แต่อีกคนกลับไม่สนใจ “คุณไม่ถามผมเลยนะ ว่าผมต้องการหรือเปล่า ผมอยากไปกินร้านข้างทางมากกว่าอีก”
“โอ้...”
“อะไร”
“คิดว่านายจะติดหรู ชอบอะไรแบบนี้ซะอีก” จงอินลูบครางตัวเองอย่างเคยชินขณะใช้ความคิด
“ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น” เซฮุนว่าพลางหันหลังเดินออกจากร้าน แต่จงอินก็คว้าข้อมือบางเอาไว้เสียก่อน
“เอาน่า ไหนๆก็เข้ามาแล้ว ฉันก็อยากจะรู้ว่าอาหารหรูๆแพงๆรสชาติมันจะดีซักแค่ไหนกันเชียว” สุดท้ายเซฮุนก็ต้องยอมกินอาหารที่ร้านนี้ เขาไม่มีปากมีเสียงอยู่แล้วนี่นะ
จงอินแปลกใจเล็กน้อย ผิดคาดที่เซฮุนไม่อยากเข้าร้านอาหารหรูๆ เขาคิดมาตลอดว่าเด็กที่ม๊าให้เลี้ยงจะต้องเป็นพวกไฮโซติดหรูแน่ๆ ม๊าถึงได้ทุ่มถึงขนาดทำแบล็กการ์ดให้สองใบ สาวๆที่เค้าเคยเดตด้วยต่างเรียกร้องให้พาไปร้านอาหารที่ราคาแพงหูฉี่ แล้วคิดหรอว่าผู้ชายกรังๆอย่างจงอินจะทำตามที่เธอขอ ร้านอาหารข้างทางก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่เด็กนี่อะไร เขาอุตส่าห์พามากลับปฏิเสธ
คนที่รู้จักเขาในฐานะลูกชายเจ้าของธุรกิจใหญ่โตอันดับต้นๆของเกาหลีต่างเข้าหาเขาเพราะเรื่องของเงินมากกว่าจะรักในตัวเขาจริงๆ จงอินเลยออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว ใช้ชีวิตกรังๆไปตามประสาผู้ชายคนนึง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาเป็นใคร ลู่หานก็เช่นกัน พวกเขาค่อนข้างที่จะรังเกียจสังคมไฮโซ โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ที่ชอบคลุมถุงชนเพราะหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ
โชคดีที่พ่อแม่ของพวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่แบบนั้น ท่านปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองมากกว่าจะเลี้ยงลูกอย่างคุณชาย พวกเขาไม่เคยถูกเลี้ยงด้วยเงินเหมือนลูกไฮโซคนอื่นๆ เงินที่เขาได้ไปโรงเรียนทุกวันก็เท่ากับคนที่มีฐานะปานกลาง แค่พอกิน พอค่าเดินทางไปกลับเท่านั้น จนตอนนี้พวกเขาเรียนใกล้จะจบปริญญาโทแล้วก็ทำงานเอง ไม่ได้แบมือขอเงินพ่อแม่เหมือนเด็กๆ รถสุดรักทุกคันมาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาเองทั้งนั้น
“นี่ นายรู้จักแม่ของฉันได้ยังไงน่ะ” จงอินถามขึ้นระหว่างรออาหาร
“แม่คุณรู้จักกับพ่อของผม” จงอินพยักหน้ารับ ก็ไม่แปลกที่แม่จะรู้จักคนเยอะ เขาก็ไม่ได้สนใจสังคมของเธอสักเท่าไหร่ เพื่อนคนนี้คงสนิทไม่น้อย คุณนายถึงได้ดูแลเป็นพิเศษขนาดนี้
แต่มันจะไม่พิเศษก็เพราะมาอยู่กับพวกเขานี่แหละ
“จริงๆคุณอยากจะถามว่า ทำไมผมต้องมาอยู่กับคุณมากกว่าใช่มั้ยล่ะ” จงอินหัวเราะให้กับคำถาม ไอเด็กนี่รู้ดีจริงๆ
“จริงๆแล้ว ฉันสงสัยว่านายไม่มีที่ซุกหัวนอนหรือไง ฉันถึงต้องมาดูแลนายด้วย” เซฮุนนิ่งไปที่ได้ยินประโยคนี้จากจงอิน เขาไม่ได้โกรธที่อีกคนพูดอะไรหมาๆออกมา แต่มันแค่ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีต สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้
“ก็คงอย่างนั้นแหละ” จงอินรู้สึกหน้าชาเมื่อเห็นสีหน้าเซฮุนเปลี่ยนไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้อีกคนรู้สึกแย่ ก็เป็นคนปากพล่อยให้ทำไง
ความเงียบปกคลุมอยู่นานอาหารก็มาเสริฟ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างกินอาหารตรงหน้าให้หมดๆไป นี่หรอรสชาติอาหารราคาแพง รสชาติแม่งก็งั้นๆแหละ
“หรือว่าบางที คุณอาจจะพาผมมาทิ้งที่นี่” จงอินเงยหน้ามองอีกคนที่อยู่ๆก็พูดขึ้น อยากจะถามว่ามันใช้เวลาคิดนานมั้ยกับประโยคนี้ กูยังคิดไม่ถึงเลย พามาทิ้งงั้นหรอ
“คิดได้นะ” จงอินดีดเหม่งคนตรงหน้า เซฮุนเลยใช้ช้อนตีมือเขาทันที โหยมันสู้ด้วยครับ ฝากไว้ก่อนเหอะ
“ผมอิ่มแล้ว ไม่เห็นอร่อยเลย” เซฮุนวางช้อนส้อมลงชิดกันอย่างเรียบร้อย
“ไม่อร่อยแต่ก็ฟาดเรียบไปแล้ว เหอะๆ” จงอินแขวะก่อนจะหันไปกระดิกนิ้วเรียกเด็กเสิร์ฟมาเก็บตังค์ แบล็คการ์ดถูกใช้อีกครั้ง รู้ค่าอาหารแล้วก็รู้สึกขนตูดลุกอยู่เหมือนกัน แพงชิบหายวายวอดขนาดนี้ โคตรขูดเลือดขูดเนื้อ
เซฮุนยักไหล่ให้ ก็คนมันหิวนี่หน่าก็ต้องกินเยอะดิ จะอร่อยไม่อร่อยก็กินๆเข้าไปเถอะ กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกินน่ะไม่เคยได้ยินหรอ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มินิคูเปอร์ก็มาจอดที่ซูเปอร์มาเก็ตแถวๆบ้าน โอเซฮุนคนนี้ล่ะอยากจะถามคุณคิมจงอินเหลือเกินว่าจะไปห้างที่มีแต่ของแบรนเนมทำไม แต่ถ้าเขาถามไปคงไม่วายได้คำตอบกวนเบื้องล่างกลับมาแน่ๆ หรือไม่ก็คงตอกหน้ากลับมาว่า ‘ไปซื้อชุดนักเรียนให้นายไง ไม่แหกตาดูหรอ’
“ต้องซื้ออะไรบ้างวะ” เซฮุนหันไปมองร่างหนาที่สบถออกมา นั่นถามเขาหรือพูดกับตัวเองอยู่น่ะ
“แล้วปกติพวกคุณอยู่กันยังไง ไม่ได้ซื้อของกินเข้าบ้านกันเองหรอ” เซฮุนเดินไปโซนของสด “เราซื้อเนื้อพวกนี้เก็บไว้ทำอาหารก็ได้นะ” จงอินเห็นด้วย อาหารโปรดปานของคนเกาหลีก็หนีไม่พ้นเนื้อหรอก เซฮุนเลือกเนื้อแล้วหยิบใส่รถเข็น
“ปกติแม่บ้านจะทำไว้ให้” เรื่องอะไรก็มาเถอะ แต่ถ้าเรื่องเข้าครัวจงอินคนนี้ขอยอมแพ้ เคยคิดจะพึ่งพาตัวเองเพราะกระเพาะไม่มีอะไรให้ยัดใส่ลงไปเลย ด้วยความหิวไส้จะขาด เลยเข้าครัวจะทำอาหารกินเอง แค่ไข่เจียวก็ตายห่าแล้วครับ เกือบได้ชิบหายกันทั้งคอนโด เพราะไฟเกือบไหม้ห้องครัว ยังดีที่มีสติปิดแก๊สทัน จากนั้นผู้ชายกรังๆคนนี้ก็ไม่คิดที่จะย่างกายเข้าไปในครัวอีกเลย
จงอินปล่อยให้เซฮุนเลือกของไป ส่วนเขาก็แค่เข็นรถตามเท่านั้น เด็กนี้ก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
สายตาคมมองไปรอบๆ เผื่อมีอะไรน่าสนใจ แต่ก็คงไม่มีอะไรที่ดึงดูดสายตาเขาได้นอกจากโซนขายเหล้า แต่ก็ตัดใจละสายตาไปจากส่วนหนึ่งของชีวิต(?)
เรื่อง ติดเหล้าของเขาและลู่หานทำให้คุณนายทั้งสองกังวลอยู่ไม่น้อย แต่จะให้ทำไงได้ มันเข้ากระแสเลือดไปแล้ว ถ้าคิดอีกแง่พวกเขาก็คงเลิกได้ในสักวัน หรือไม่ก็เป็นโรคตับแข็งตายก่อนวัยอันควร คิดแล้วก็อนาจจิต
“แทมิน...” ตอนนี้เรื่องเหล้าห่าเหวอะไรไม่อยู่ในหัวเขาแล้วทั้งนั้น เซฮุนหยุดเดินแล้วหันมามองจงอินงงๆ
คนถูกเรียกชื่อเบิกตาน้อยๆก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ก็ไม่ทันแล้วล่ะ สายตาเหยี่ยวของจงอินเห็นสีหน้าของอีกคนตั้งแต่เขาเรียกชื่อแล้ว
‘ลีแทมิน’ ชายหนุ่มร่างบอบบาง ผิวขาวละเอียดและใบหน้าที่น่ารักคล้ายกับเด็กผู้หญิง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจงอิน ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆให้
“ไหนบอกไม่ว่าง” จงอินถามเสียงเรียบ แทมินหน้าเสียพรางหาคำแก้ตัวอ้ำๆอึ้งๆ
“ก็...”
“ขอโทษทีว่ะ กูแค่ขอให้แทมินมาซื้อของเป็นเพื่อน กูไม่รู้ว่ามึงนัดกับแทมินไว้” มินโฮ ผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆแทมินพูดขึ้น มันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เพื่อนในกลุ่มเดียวกับจงอินและลู่หานนี่แหละ
“เออ ไม่เป็นไร คราวหลังชวนกูก็ได้นะไม่ใช่ชวนแฟนกู” จงอินวางมือบนบ่ามินโฮก่อนจะบีบเบาๆ แล้วกดเสียงต่ำในประโยคหลัง
“ไคอ่า อย่างอนนะ ฉันขอโทษ ไว้พรุ่งนี้เราไปดินเนอร์กันนะ” ร่างบางส่งยิ้มหวานให้พรางกอดแขนอย่างออดอ้อน มินโฮมองภาพตรงหน้านิ่ง เขาก็ไม่ควรจะรู้สึกอะไรอยู่แล้ว ก็สองคนนี้เป็นแฟนกันจะมุ้งมิ้งอะไรกันก็เป็นเรื่องปกติ
“อืม ไปซื้อของกันต่อเหอะ กลับถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วย” จงอินหันไปหาเซฮุนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่นานแล้ว ก่อนจะพยักหน้าไปเดินไปกับเขา
“เดี๋ยวสิ นี่ใครหรอ ไม่คิดจะแนะนำให้แฟนรู้จักหรือไง” แทมินยังกอดแขนรั้งจงอินไว้ ถึงแม้จะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เซฮุนรู้ดีว่าอีกคนกำลังพูดแสดงความเป็นเจ้าของจงอินขนาดไหน
“ผม...” เซฮุนหันไปมองจงอิน เขาควรจะพูดอะไรดีหรอบอกที
“เด็กนี่มาเช่าบ้านไอ้ลู่หานอยู่” แวบหนึ่งที่จงอินเหลือบมองเด็กข้างๆว่าจะมีปฏิกิริยายังไงที่เขาบอกไปแบบนั้น แต่เซฮุนฉลาดและมีไหวพริบมาก เด็กนี่เลยไม่แสดงอาการสงสัยในสิ่งที่เขาพูดออกมา แถมยังเออออไปด้วย
“บ้าน?”
“ใช่ ไอ้ลู่มันเพิ่งซื้อบ้านใหม่ ฉันก็เลยตามไปเกาะมันกินเหมือนเดิม แล้วมันก็เปิดห้องในบ้านให้เช่าอยู่ด้วย” คำถามมากมายเต็มหัวเซฮุนไปหมด จงอินกำลังพูดอะไรเป็นตุเป็นตะ เขากำลังโกหกแฟนตัวเองอย่างนั้นหรอ แล้วพวกเขาคบกันยังไง แทมินไม่รู้อะไรเกี่ยวจงอินเลยหรือไง
“ไม่เห็นบอกฉันเลย ถึงว่าเมื่อคืนไปที่คอนโดถึงไม่เจอ”
“ตามนั้นแหละ ไว้คุยกัน ดูแลแฟนกูดีๆล่ะ” จงอินจับข้อมือเซฮุนพรางเข็นรถไปจ่ายเงินทันที ไม่ฟังเสียงเรียกจากใครทั้งนั้น ได้ของครบหรือไม่ครบก็ไม่รู้แล้ว ไม่มีอารมณ์ซื้อของแล้วเว้ย
ก่อนหน้านี้โทรไปบอกจะไปหา ก็บอกไม่ว่าง แต่มาเดินซื้อของช้อปปิ้งอย่างมีความสุขกับเพื่อนของเขาอย่างนั้นหรอ ก็ไม่ได้คิดมาก ไม่ได้หึงแฟนกับเพื่อนอะไรหรอกนะ แต่มันใช่เรื่องปะวะ คำว่าไม่ว่างคือไปเที่ยวกับเพื่อนกูอยู่
จงอินกับแทมินรู้จักกันตั้งแต่เกรด 7 หรือม.ต้นนั่นแหละ แต่ตอนม.ปลายแทมินย้ายไปโรงเรียนอื่น กลับมาเจอกันอีกทีก็ตอนที่รู้ว่าอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ถึงจะคนละคณะก็เถอะ พอโตขึ้นแทมินก็น่ารักขึ้นไม่น้อย ส่วนจงอินก็หน้าตาหล่อไม่แพ้ใคร เมื่อคนสองคนเกิดสปาร์คกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะคบกัน
ส่วนมินโฮที่เรียนอยู่คณะและสาขาเดียวกับแทมิน ต่างคนต่างมาจากหลายที่ การที่ได้เจอเพื่อนดีๆเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อเขาได้เจอแล้วก็ไม่อยากจะไปสนิทกับใครเยอะแยะ เลยไม่แปลกที่สองคนนี้จะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยๆ
พอแทมินคบกับจงอิน เขาก็แนะนำมินโฮเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาให้รู้จักด้วย จากนั้นมินโฮกับจงอิน รวมไปถึงลู่หานก็เริ่มสนิทกัน จนกลายเป็นแก๊งเดียวกันไปแล้ว
วันนี้ที่เจอแทมินอยู่กับมินโฮเขาไม่ได้หึง หรือระแวงว่าจะโดนเพื่อนสนิทอีกคนแทงข้างหลังอะไรหรอก สองคนนั้นก็แค่เพื่อนกันปะวะ ก็น่าจะบอกดีๆว่าไปกับมินโฮ เขาไม่ได้จะตามไปฆ่าสักหน่อย
Unforgettable Deeply Hurt
“แย่แล้ว ลืมเอาของใช่ส่วนตัวมาจากจีน จะทำยังไงดีล่ะทีนี้” มินซอกที่กำลังรื้อของออกมาจากกระเป๋าเพื่อเก็บของให้เข้าที่เข้าทางจนใกล้จะเสร็จ แต่ค้นจนทั่วกระเป๋า เจ้ากรรมกลับหาแปรงสีฟันไม่เจอ นี่เรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย
มินซอกเดินลงมาข้างล่างหวังจะถามจงอินว่าแถวนี้มีร้านสะดวกซื้อตรงไหนบ้าง แต่คนที่ตามหาเหมือนจะไม่อยู่ เดินจนรอบบ้านก็ไม่มีใครอยู่เลย
“เห~ หายไปไหนกันหมดนะ” ร่างเล็กมายืนหันซ้ายหันขวาระหว่างที่พักบันได ซึ่งมีทางแยกไปสองทาง “คงอยู่บนห้องมั้ง” คิดได้อย่างนั้นก็ตัดสินไปเดินขึ้นบันได้ไปทางซ้ายที่เป็นห้องของจงอินและลู่หาน ขืนไปถามเซฮุนก็คงไม่รู้เหมือนกับเขานั่นแหละ
พอขึ้นมาได้ก็ต้องมางงกับบานประตูสองบานอีก แล้วห้องไหนห้องจงอิน ห้องไหนห้องลู่หานล่ะเนี่ย
ตัดสินใจเคาะประตูห้องแรก ยืนรออยู่สักพักก็ไม่มีผลตอบรับใดๆ นี่อาจจะเป็นห้องของจงอิน พึ่งใครไม่ได้แล้วล่ะนะ เขาเลยเดินไปเคาะประตูห้องฝั่งตรงข้าม มือบางค้างอยู่กลางอากาศยังไม่ทันได้เคาะประตูก็ต้องชะงักกับเสียงแปลกๆที่เล็ดลอดออกมาจากในห้อง
“อ๊ะ! อื้ออ~ พี่ลู่ใจเย็นสิคะ” เสียงหวานของผู้หญิงคนหนึงดังขึ้นจากในห้อง มือเขาเริ่มสั่นน้อยๆ ก่อนจะจับที่ลูกบิดประตูไว้ แวบนึงเขาคิดว่าควรจะเดินออกไปจากตรงนี้ จะเปิดเข้าไปทำไม จะไปยุ่งเรื่องของเขาทำไม
เขาไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าไอเสียงกระเส่าแบบนี้มันคืออะไร แต่ผีบ้านผีเรือนเจ้าป่าเจ้าเขาหรืออะไรก็ไม่รู้เป็นใจให้เขาบิดลูกบิดประตู
มันไม่ได้ล็อก
เขาเปิดแง้มออกช้าๆ ภายในห้องถูกปิดด้วยผ้าม่านทำให้แสงสว่างไม่มากนัก แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเห็นมันได้ชัดเจน
หญิงสาวในชุดวาบหวิวโชว์สัดส่วนร่างกายกำลังตอนอยู่ภายใต้เรือนร่างของร่างโปร่ง เสื้อสายเดี่ยวตกลงจากไหล่เล็ก ในขณะที่คนด้านบนไม่ได้สวมเสื้อ ริมฝีปากแดงจัดพรมจูบทั่วแผงอกแกร่งอย่างยั่วยวน
เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เขาปิดประตูก่อนจะเบ้ปาก แล้วสะบัดหัวไล่ภาพพวกนั้นออกไป ให้ตายเถอะ จะทำอะไรกันก็น่าจะล็อกประตูหน่อยนะ แต่ว่า...เขาต่างหากที่ไม่ควรจะเข้าไป ไม่น่าเลย ตาจะบอดมั้ยเนี่ย
ลู่หาน คิดว่าจะเป็นคนดี ที่แท้ก็เป็นคนแบบนี้เองหรอ เสือผู้หญิงสินะ หรือว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่เว้น น่ากลัวจริงๆเลยคนๆนี้ มินซอกเบ้หน้าให้กับบานประตูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเอง
นอกจากจะไม่รู้ว่าร้านสะดวกซื้ออยู่แถวไหนแล้ว ยังต้องมาเห็นภาพอุจาตตาเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองอีก ให้ตายเถอะ
TBC.
ความคิดเห็น