ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ขอบฟ้ากับความทรงจำ
ตอนที่ 2    :    ขอบฟ้ากับความทรงจำ
วันที่    :    20 ธันวาคม 2004
โดย    :    เงาจันทร์
    น้ำตาผมมันร่วงลงมาที่ไดอารี่เล่มนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเจ็บปวด ความทรมาน ที่แทรกผ่านทุกอณูเข้ามาในหัวใจผม มันแทบจะทำให้ร่างผมสลายลงตรงนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิด หน้าต่อไปก็คงจะเป็นเหตุการณ์ที่เธอ บินข้ามฟ้า มา........หา............ผม...........
ค่ำคืนนั้นยังคงประทับตรึงอยู่ในความทรงจำของผมเสมอมา...
9.00 PM. งานสัปดาห์หนังสือ ศูนย์ประชุมแห่งชาติ สิริกิตติ์
    ภาพของผู้คนมากหน้าหลายตา ที่เดินกันขวักไขว่ เบียดเสียดกันเลือกชมหนังสือจากร้านต่างๆภายในงาน แต่ไม่ว่าผู้คนมากมายเพียงใดก็คงไม่เท่ากับมุมเปิดตัวนักเขียน ที่มีเหล่านักอ่านทั้งหลายยืนรอกันอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้เจอกับนักเขียนคนโปรด.............. และแล้วพิธีกรหนุ่มก็ก้าวออกมาพร้อมกับเสียงก้องกังวานจากไมโครโฟนที่อยู่ในมือ
“เอาล่ะครับ แล้วเราก็มาถึงช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอย.... นักเขียนหน้าใหม่ของปีนี้ คงจะหนีไม่พ้น หนุ่มไฟแรง อย่างคุณบูรพัฒน์ รัตนากรณ์ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Zeem!!!” ทันทีที่พิธีกรกล่าวร่างของผมก็ก้าวขึ้นไปยืนบนยกพื้นพร้อมกับประนมมือขึ้นแล้วค้อมตัวลงไหว้ตามปกติ หากแต่อีกจุดประสงค์หนึ่งของผมก็เพื่อที่จะไม่ได้เห็นผู้คนแค่เพียงชั่วครู่ เผื่อว่าไอ้เจ้าอาการประหม่าของผมจะหายไปบ้าง  แต่ก็นั่นล่ะครับ ผมคิดผิดถนัด อาการยังคงอยู่อย่างเดิม แถมยังรู้สึกว่าจะมากขึ้นกว่าตอนแรกเสียอีก
“ก่อนที่เราจะมีการแจกลายเซ็นต์ ก็คงต้องมาถามนักเขียนชื่อดังอย่างคุณบลูกันก่อนว่า ตอนนี้รู้สึกยังไงครับ” น้ำเสียงของพิธีกรกล่าวถาม ก่อนที่จะหันมามองหน้าผม
“อืมม ก็คงดีใจมั๊งครับ แต่ว่าก็คงต้องขอบคุณนักอ่านหลายๆท่าน ที่ติดตามผลงานของผมมาตลอด น่ะครับ” ผมตอบกล่าวปากคอสั่นด้วยความตื่นเต้นทั้งๆที่อยากจะตะโกนออกไปเต็มแก่แล้วว่า ‘ดีใจนะโว้ย ที่ยังมีคนบ้าอ่านเรื่องกูอยู่’ แต่ก็นั่นแหละครับ มันอยู่แค่ในความคิด พิธีกรอมยิ้มก่อนที่จะตัดบท เชิญให้ผมนั่งที่โต๊ะ หลังจากนั้นจึงปล่อยให้แฟนหนังสือได้เข้ามาขอลายเซ็น โดยที่ในใจยังคงหวังว่าเธอคนที่ผมรอและหวังลมๆแล้งๆ ว่าที่อยู่ที่ไอ้เกียร์ให้มาจะไม่ผิด เธอคนที่ผมหวังว่าจะบินข้ามฟ้ามาหาผม ภายใต้ค่ำคืนแห่งความยินดีนี้
    ผู้คนมากหน้ามายต่างเข้ามาขอลายเซ็นบ้าง แสดงความยินดีบ้าง หากแต่กลับไร้วี่แววของเธอ รอยยิ้มถูกสร้างขึ้นมาให้กับผู้คนมากมาย แต่ในใจผมกลับกระวนกระวายคิดถึงแต่เธอ นี่ก็จะค่อนคืนแล้ว ผมยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเลยซักนิด หรือผมไม่มีค่าพอที่จะทำให้เธอบินกลับมาหาผม หรือเพราะว่าความผิดผม มันไม่สมควรที่แม้แต่จะให้เธอกลับมา...
    นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลาว่าอีกแค่ สิบนาที งานก็จะเลิกแล้ว ความหวังว่าเธอจะมาปรากฏตัวน้อยลงไปทุกทีๆ ผู้คนเริ่มบางตาลง จนกระทั่งหญิงสาวคนสุดท้าย ผมเริ่มประโยคสนทนาซ้ำๆขึ้นเป็นรอบที่ร้อยโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“สวัสดีครับ ชื่ออะไรครับ”
“...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์เข้ารูป มีเพียงหนังสือของผมที่เปิดหน้าแรกแล้วยื่นมาให้ หากแต่หน้าแรกที่ควรจะเป็นปกในซึ่งว่างเปล่า กลับมีข้อความบางอย่างถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือที่ผมคุ้นเคย
แด่ความพยายาม
แด่ความฝัน
แด่ความสำเร็จ
ผมอ่านข้อความนั้นอย่างสงสัยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของหนังสือที่อยู่ข้างหน้า
เธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิด ผิวสีน้ำผึ้ง เส้นผมหยักศกดำขลับยาวเคลียไหล่ เช่นเดียวกับคิ้วเข้มซึ่งอยู่เหนือดวงตาคู่คม ซึ่งแฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างที่บอกไม่ถูก และแล้วรอยยิ้มจางๆก็ถูกวาดขึ้นบนริมฝีปากของผมโดยที่ตัวผมเองนั้นแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“คงไม่ต้องถามชื่อแล้วมั๊งคะ” เธอกล่าวเบาๆก่อนที่รอยยิ้มจางๆจะถูกระบายขึ้นบนใบหน้า หากแต่กลับชัดเจนจนสังเกตได้ที่ดวงตาคู่งามของเธอ
“...” ผมไม่ตอบเพราะได้แต่ยิ้มกับน้ำเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานถึง แปดปีเต็ม ก่อนที่จะตวัดลายเซ็นของตัวเองลงบนหนังสือที่เธอยื่นมาให้ด้วยข้อความสั้นๆ
แด่...สาม คนที่รอคอย
ผมปิดหนังสือลงคืนให้กับเธอ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความรู้สึกว่าการรอคอยในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่สิ การรอคอยในระยะเวลาแปดปีของผมมันได้สิ้นสุดลงแล้ว ในค่ำคืนนี้
“ไม่แจกลายเซ็นต่อหรอคะคุณบูรพัฒน์” เสียงของเธอกระเซ้าผมคิกคัก แปดปีที่ผ่านมา ดูราวกับว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
“ไม่แล้วล่ะครับ เขาจะปิดงานไล่ผมอยู่แล้วครับ คุณตรีลักขณา” ผมกระเซ้าเธอกลับบ้างเพราะถ้าให้ผมเงียบอยู่แบบนี้ ผมคงคลั่งตายแน่ๆ
“ถ้างั้นรบกวนคุณนักเขียนชื่อดังให้เกียรติไปทานข้าวกับดิชั้นอีกซักครั้งได้รึเปล่าคะ” เธอเอ่ยปากชวนผมตามแบบฉบับ
“ถ้าคุณบรรณาธิการไม่รังเกียจก็ไม่มีปัญหาครับ” ผมตอบเรียบๆแต่ยังตีหน้าทะเล้นกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่มันเต้นโครมๆ จนจะทะลุออกมาจากอกผมอยู่แล้ว
“แล้วแน่ใจนะคะว่าสาวๆในสังกัดของคุณจะไม่ตามมาเล่นงานดิชั้นทีหลัง” เธอกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง
“ครับ แน่ใจ” ผมตอบกลับพร้อมกับยกแขนขึ้นเป็นเชิงให้เธอควง แต่ว่า ยัยตัวแสบ เธอทำผมหน้าแตกครับ เธอไม่แม้แต่คล้องแขนกับผม แถมเธอยังก้าวฉับๆ นำหน้าผมไปซะอีก ไอ้เรารึก็เก๊กหล่อซะตั้งนาน ผมก็เลยจำเป็นต้องเก็บเศษหน้าที่แตกยับเยินแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเธอไป
“นี่ จะไปร้านไหน ไม่ถามความสมัครใจกันเลยรึไงเธอ” ผมเดินพลางถามพลาง
“ก็ตอบตกลงจะไปแล้วนี่ จะถามทำไม ชั้นไม่ทำให้เธอผิดหวังหรอกน่า” เธอหัวเราะก่อนที่จะก้าว นำหน้าผมไปที่ลานจอดรถ........
จนแล้วจนรอด เธอก็พาผมเข้ามานั่งร้านประจำจนได้
    ภายในร้านถูกประดับประดาไปด้วยรูปภาพเก่า เครื่องดนตรีโบราณ และโต๊ะไม้ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศสบายๆ อย่างบอกไม่ถูก ร้านนี้ผมเองที่เป็นคนเริ่มชวนเธอไป และแล้ว ผมกับเธอก็ถือว่าร้านนี้เป็นจุดนัดพบกันเสมอๆ ผมไม่คิดเลยว่า วันนี้ จะได้มานั่งอยู่กับเธอสองต่อสองอีกครั้งภายใต้แสงจากโคมไฟโบราณที่แขวนอยู่เหนือหัวตอนนี้
อาหารถูกสั่งมาวางตรงหน้า พร้อมกับรอยยิ้มของเธอ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่า ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของผมเหมือนกับเด็ก ที่โชคดีได้ไปนั่งทานอาหารกับราชินีทีเดียว
ภายใต้แสงสีส้มของโคมไฟ โดยที่เธอนั่งอยู่ตรงกันข้ามในระดับเดียวกับผมแบบนี้ ผมอยากจะถอนคำพูดที่ว่าเธอไม่เปลี่ยนไปเลยออกเสียเหลือเกิน ยิ่งพิจารณาท่าทางของเธอด้วยแล้ว ดูเธอเป็นผู้ใหญ่มาขึ้นทีเดียว จากเด็กหญิงอารมณ์ร้อน ท่าทางเอาเรื่อง กับนิสัยง่ายๆสบายๆ กลับกลายเป็น หญิงสาวใจเย็น เงียบขรึม และสุขุมลุ่มลึกสุดจะเดาเลยทีเดียว
\"นี่เธอ มีอะไรติดหน้าชั้นหรอ จ้องอยู่ได้ตั้งนาน\" เธอกล่าวกับผมในขณะที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
\"เปล่า แค่มองว่า.... เธอนี่ใช่สามตัวจริงรึเปล่าแค่นั้นแหละ\" ผมตอบพลางยักไหล่แบบกวนประสาทกลบเกลื่อนไปเรื่อย
\"อ๋อหรอ ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย ว่านี่ไม่ใช่น่ะ\" เธอตอบก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ
\"ก็ใช่น่ะสิ เธอไว้ผมยาวแล้วน่ารักดีนะ\"
\"อืม...ปากอย่างเธอชมคนอื่นเป็นด้วยหรอ นึกว่าเป็นแต่กัดชาวบ้าน\" เธอเริ่มกระแนะกระแหนผมอีกรอบ
\"อ้าวนี่ ปากอย่างงี้ก็มีสาวๆมาติดนะครับ..อ้อ สาม เมื่อกี้ฉันพูดเล่นนะเรื่องเธอน่ารักน่ะ\" ผมโยนดอกสุดท้ายลงไป ก่อนที่นิ้วมือยาวเรียวของเธอจะฟาดลงที่ต้นแขนผมดังเพี๊ยะ พร้อมกับเสียงแว้ดของเธอ
\"คนบ้า\"
ผมคงได้แต่หัวเราะกับการกระทำของตัวเองพลางมองหน้าตูมๆที่เธอแกล้งทำ อย่างอดไม่ได้
\"หัวเราะอะไรยะ ฮึ\" เธอกล่าวราวกับว่างอนผมซะเต็มแก่ แต่แล้ว เสียงหัวเราะร่าก็ดังออกมา เธอไม่ได้งอนผมจริงๆหรอก แต่เธอแค่รับมุข หรือไม่ก็แค่แหย่ผมเล่น ตอนนี้ ถ้าใครผ่านไปผ่านมา ก็คงคิดว่าผมกับเธอ คงเป็นคู่รักกันแน่ๆ
แต่ความสัมพันธ์ของผมกับเธอที่ถูกบ่มเพาะด้วยเมล็ดของการเวลานั้น มันแนบแน่นยิ่งกว่านั้น ผมได้แต่อมยิ้มก่อนที่จะกลับไปใส่ใจกับไดอารี่อีกครั้ง
บูรพัฒน์ รัตนากรณ์    /22 มกราคม
วันที่    :    20 ธันวาคม 2004
โดย    :    เงาจันทร์
    น้ำตาผมมันร่วงลงมาที่ไดอารี่เล่มนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเจ็บปวด ความทรมาน ที่แทรกผ่านทุกอณูเข้ามาในหัวใจผม มันแทบจะทำให้ร่างผมสลายลงตรงนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิด หน้าต่อไปก็คงจะเป็นเหตุการณ์ที่เธอ บินข้ามฟ้า มา........หา............ผม...........
ค่ำคืนนั้นยังคงประทับตรึงอยู่ในความทรงจำของผมเสมอมา...
9.00 PM. งานสัปดาห์หนังสือ ศูนย์ประชุมแห่งชาติ สิริกิตติ์
    ภาพของผู้คนมากหน้าหลายตา ที่เดินกันขวักไขว่ เบียดเสียดกันเลือกชมหนังสือจากร้านต่างๆภายในงาน แต่ไม่ว่าผู้คนมากมายเพียงใดก็คงไม่เท่ากับมุมเปิดตัวนักเขียน ที่มีเหล่านักอ่านทั้งหลายยืนรอกันอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้เจอกับนักเขียนคนโปรด.............. และแล้วพิธีกรหนุ่มก็ก้าวออกมาพร้อมกับเสียงก้องกังวานจากไมโครโฟนที่อยู่ในมือ
“เอาล่ะครับ แล้วเราก็มาถึงช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอย.... นักเขียนหน้าใหม่ของปีนี้ คงจะหนีไม่พ้น หนุ่มไฟแรง อย่างคุณบูรพัฒน์ รัตนากรณ์ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Zeem!!!” ทันทีที่พิธีกรกล่าวร่างของผมก็ก้าวขึ้นไปยืนบนยกพื้นพร้อมกับประนมมือขึ้นแล้วค้อมตัวลงไหว้ตามปกติ หากแต่อีกจุดประสงค์หนึ่งของผมก็เพื่อที่จะไม่ได้เห็นผู้คนแค่เพียงชั่วครู่ เผื่อว่าไอ้เจ้าอาการประหม่าของผมจะหายไปบ้าง  แต่ก็นั่นล่ะครับ ผมคิดผิดถนัด อาการยังคงอยู่อย่างเดิม แถมยังรู้สึกว่าจะมากขึ้นกว่าตอนแรกเสียอีก
“ก่อนที่เราจะมีการแจกลายเซ็นต์ ก็คงต้องมาถามนักเขียนชื่อดังอย่างคุณบลูกันก่อนว่า ตอนนี้รู้สึกยังไงครับ” น้ำเสียงของพิธีกรกล่าวถาม ก่อนที่จะหันมามองหน้าผม
“อืมม ก็คงดีใจมั๊งครับ แต่ว่าก็คงต้องขอบคุณนักอ่านหลายๆท่าน ที่ติดตามผลงานของผมมาตลอด น่ะครับ” ผมตอบกล่าวปากคอสั่นด้วยความตื่นเต้นทั้งๆที่อยากจะตะโกนออกไปเต็มแก่แล้วว่า ‘ดีใจนะโว้ย ที่ยังมีคนบ้าอ่านเรื่องกูอยู่’ แต่ก็นั่นแหละครับ มันอยู่แค่ในความคิด พิธีกรอมยิ้มก่อนที่จะตัดบท เชิญให้ผมนั่งที่โต๊ะ หลังจากนั้นจึงปล่อยให้แฟนหนังสือได้เข้ามาขอลายเซ็น โดยที่ในใจยังคงหวังว่าเธอคนที่ผมรอและหวังลมๆแล้งๆ ว่าที่อยู่ที่ไอ้เกียร์ให้มาจะไม่ผิด เธอคนที่ผมหวังว่าจะบินข้ามฟ้ามาหาผม ภายใต้ค่ำคืนแห่งความยินดีนี้
    ผู้คนมากหน้ามายต่างเข้ามาขอลายเซ็นบ้าง แสดงความยินดีบ้าง หากแต่กลับไร้วี่แววของเธอ รอยยิ้มถูกสร้างขึ้นมาให้กับผู้คนมากมาย แต่ในใจผมกลับกระวนกระวายคิดถึงแต่เธอ นี่ก็จะค่อนคืนแล้ว ผมยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเลยซักนิด หรือผมไม่มีค่าพอที่จะทำให้เธอบินกลับมาหาผม หรือเพราะว่าความผิดผม มันไม่สมควรที่แม้แต่จะให้เธอกลับมา...
    นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลาว่าอีกแค่ สิบนาที งานก็จะเลิกแล้ว ความหวังว่าเธอจะมาปรากฏตัวน้อยลงไปทุกทีๆ ผู้คนเริ่มบางตาลง จนกระทั่งหญิงสาวคนสุดท้าย ผมเริ่มประโยคสนทนาซ้ำๆขึ้นเป็นรอบที่ร้อยโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“สวัสดีครับ ชื่ออะไรครับ”
“...” ไม่มีเสียงตอบกลับจากหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์เข้ารูป มีเพียงหนังสือของผมที่เปิดหน้าแรกแล้วยื่นมาให้ หากแต่หน้าแรกที่ควรจะเป็นปกในซึ่งว่างเปล่า กลับมีข้อความบางอย่างถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือที่ผมคุ้นเคย
แด่ความพยายาม
แด่ความฝัน
แด่ความสำเร็จ
ผมอ่านข้อความนั้นอย่างสงสัยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของหนังสือที่อยู่ข้างหน้า
เธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิด ผิวสีน้ำผึ้ง เส้นผมหยักศกดำขลับยาวเคลียไหล่ เช่นเดียวกับคิ้วเข้มซึ่งอยู่เหนือดวงตาคู่คม ซึ่งแฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างที่บอกไม่ถูก และแล้วรอยยิ้มจางๆก็ถูกวาดขึ้นบนริมฝีปากของผมโดยที่ตัวผมเองนั้นแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“คงไม่ต้องถามชื่อแล้วมั๊งคะ” เธอกล่าวเบาๆก่อนที่รอยยิ้มจางๆจะถูกระบายขึ้นบนใบหน้า หากแต่กลับชัดเจนจนสังเกตได้ที่ดวงตาคู่งามของเธอ
“...” ผมไม่ตอบเพราะได้แต่ยิ้มกับน้ำเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานถึง แปดปีเต็ม ก่อนที่จะตวัดลายเซ็นของตัวเองลงบนหนังสือที่เธอยื่นมาให้ด้วยข้อความสั้นๆ
แด่...สาม คนที่รอคอย
ผมปิดหนังสือลงคืนให้กับเธอ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความรู้สึกว่าการรอคอยในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่สิ การรอคอยในระยะเวลาแปดปีของผมมันได้สิ้นสุดลงแล้ว ในค่ำคืนนี้
“ไม่แจกลายเซ็นต่อหรอคะคุณบูรพัฒน์” เสียงของเธอกระเซ้าผมคิกคัก แปดปีที่ผ่านมา ดูราวกับว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
“ไม่แล้วล่ะครับ เขาจะปิดงานไล่ผมอยู่แล้วครับ คุณตรีลักขณา” ผมกระเซ้าเธอกลับบ้างเพราะถ้าให้ผมเงียบอยู่แบบนี้ ผมคงคลั่งตายแน่ๆ
“ถ้างั้นรบกวนคุณนักเขียนชื่อดังให้เกียรติไปทานข้าวกับดิชั้นอีกซักครั้งได้รึเปล่าคะ” เธอเอ่ยปากชวนผมตามแบบฉบับ
“ถ้าคุณบรรณาธิการไม่รังเกียจก็ไม่มีปัญหาครับ” ผมตอบเรียบๆแต่ยังตีหน้าทะเล้นกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่มันเต้นโครมๆ จนจะทะลุออกมาจากอกผมอยู่แล้ว
“แล้วแน่ใจนะคะว่าสาวๆในสังกัดของคุณจะไม่ตามมาเล่นงานดิชั้นทีหลัง” เธอกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง
“ครับ แน่ใจ” ผมตอบกลับพร้อมกับยกแขนขึ้นเป็นเชิงให้เธอควง แต่ว่า ยัยตัวแสบ เธอทำผมหน้าแตกครับ เธอไม่แม้แต่คล้องแขนกับผม แถมเธอยังก้าวฉับๆ นำหน้าผมไปซะอีก ไอ้เรารึก็เก๊กหล่อซะตั้งนาน ผมก็เลยจำเป็นต้องเก็บเศษหน้าที่แตกยับเยินแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเธอไป
“นี่ จะไปร้านไหน ไม่ถามความสมัครใจกันเลยรึไงเธอ” ผมเดินพลางถามพลาง
“ก็ตอบตกลงจะไปแล้วนี่ จะถามทำไม ชั้นไม่ทำให้เธอผิดหวังหรอกน่า” เธอหัวเราะก่อนที่จะก้าว นำหน้าผมไปที่ลานจอดรถ........
จนแล้วจนรอด เธอก็พาผมเข้ามานั่งร้านประจำจนได้
    ภายในร้านถูกประดับประดาไปด้วยรูปภาพเก่า เครื่องดนตรีโบราณ และโต๊ะไม้ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศสบายๆ อย่างบอกไม่ถูก ร้านนี้ผมเองที่เป็นคนเริ่มชวนเธอไป และแล้ว ผมกับเธอก็ถือว่าร้านนี้เป็นจุดนัดพบกันเสมอๆ ผมไม่คิดเลยว่า วันนี้ จะได้มานั่งอยู่กับเธอสองต่อสองอีกครั้งภายใต้แสงจากโคมไฟโบราณที่แขวนอยู่เหนือหัวตอนนี้
อาหารถูกสั่งมาวางตรงหน้า พร้อมกับรอยยิ้มของเธอ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่า ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของผมเหมือนกับเด็ก ที่โชคดีได้ไปนั่งทานอาหารกับราชินีทีเดียว
ภายใต้แสงสีส้มของโคมไฟ โดยที่เธอนั่งอยู่ตรงกันข้ามในระดับเดียวกับผมแบบนี้ ผมอยากจะถอนคำพูดที่ว่าเธอไม่เปลี่ยนไปเลยออกเสียเหลือเกิน ยิ่งพิจารณาท่าทางของเธอด้วยแล้ว ดูเธอเป็นผู้ใหญ่มาขึ้นทีเดียว จากเด็กหญิงอารมณ์ร้อน ท่าทางเอาเรื่อง กับนิสัยง่ายๆสบายๆ กลับกลายเป็น หญิงสาวใจเย็น เงียบขรึม และสุขุมลุ่มลึกสุดจะเดาเลยทีเดียว
\"นี่เธอ มีอะไรติดหน้าชั้นหรอ จ้องอยู่ได้ตั้งนาน\" เธอกล่าวกับผมในขณะที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
\"เปล่า แค่มองว่า.... เธอนี่ใช่สามตัวจริงรึเปล่าแค่นั้นแหละ\" ผมตอบพลางยักไหล่แบบกวนประสาทกลบเกลื่อนไปเรื่อย
\"อ๋อหรอ ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย ว่านี่ไม่ใช่น่ะ\" เธอตอบก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ
\"ก็ใช่น่ะสิ เธอไว้ผมยาวแล้วน่ารักดีนะ\"
\"อืม...ปากอย่างเธอชมคนอื่นเป็นด้วยหรอ นึกว่าเป็นแต่กัดชาวบ้าน\" เธอเริ่มกระแนะกระแหนผมอีกรอบ
\"อ้าวนี่ ปากอย่างงี้ก็มีสาวๆมาติดนะครับ..อ้อ สาม เมื่อกี้ฉันพูดเล่นนะเรื่องเธอน่ารักน่ะ\" ผมโยนดอกสุดท้ายลงไป ก่อนที่นิ้วมือยาวเรียวของเธอจะฟาดลงที่ต้นแขนผมดังเพี๊ยะ พร้อมกับเสียงแว้ดของเธอ
\"คนบ้า\"
ผมคงได้แต่หัวเราะกับการกระทำของตัวเองพลางมองหน้าตูมๆที่เธอแกล้งทำ อย่างอดไม่ได้
\"หัวเราะอะไรยะ ฮึ\" เธอกล่าวราวกับว่างอนผมซะเต็มแก่ แต่แล้ว เสียงหัวเราะร่าก็ดังออกมา เธอไม่ได้งอนผมจริงๆหรอก แต่เธอแค่รับมุข หรือไม่ก็แค่แหย่ผมเล่น ตอนนี้ ถ้าใครผ่านไปผ่านมา ก็คงคิดว่าผมกับเธอ คงเป็นคู่รักกันแน่ๆ
แต่ความสัมพันธ์ของผมกับเธอที่ถูกบ่มเพาะด้วยเมล็ดของการเวลานั้น มันแนบแน่นยิ่งกว่านั้น ผมได้แต่อมยิ้มก่อนที่จะกลับไปใส่ใจกับไดอารี่อีกครั้ง
บูรพัฒน์ รัตนากรณ์    /22 มกราคม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น