ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    \"The Memoir\"

    ลำดับตอนที่ #2 : ความอบอุ่นท่ามกลางลมหนาว

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 48




    ตอนที่ 1    :    ความอบอุ่นท่ามกลางลมหนาว

    วันที่    :    14 ธันวาคม 2004

    โดย    :    ทรายขาว



    Dear Diary,



        ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก หากแต่เพียงมีใจที่คิดถึงกันอยู่เสมอ ฟ้ากว้างแค่ไหน ก็คงจะใกล้แค่เอื้อม...ฉันเชื่ออย่างนั้น



    Shibuya Tokyo Japan 8.15 PM.



        สองทุ่มแล้ว แต่ผู้คนยังเดินกันขวักไขว่อยู่เลย ก็แน่ล่ะสิที่นี่มันญี่ปุ่นนี่ ยิ่งเป็นชิบุย่าด้วยแล้ว ราวกับว่าเมืองๆนี้ไม่เคยหลับไหล  แสงไฟยามราตรียังคงสาดส่องไปทั่ว พอๆกับย่านการค้าอย่างชินจูกุที่ยังคงมีคนเดินกันขวักไขว่ นี่มันกี่วันมาแล้วนะ ที่ฉันต้องบินไปกลับระหว่างกรุงเทพฯโตเกียวแบบนี้ ก็งานนิตยสารที่ทำอยู่น่ะสิ ตกลงจะให้ทำหน้าที่อะไรกันแน่ ระหว่างบรรณาธิการ กับช่างภาพน่ะ ดีไม่ดีให้สัมภาษณ์ด้วยอีก เฮ้อ... แต่ก็เอาเถอะยัยสาม เธอชอบไม่ใช่เร๊อะทำตัวเองให้ยุ่งเข้าไว้น่ะ



    ชินกันเซ็นมาแล้ว รถไฟขบวนยาวจอกเทียบท่าก่อนที่จะเปิดประตูออกปล่อยให้ฝูงมดงานซึ่งส่วนใหญ่มีสัญชาติญี่ปุ่นเดินเข้าและเดินออกกันอย่างรีบเร่งรวมทั้งฉัน ที่เป็นมดงานสัญชาติไทยด้วยก็เถอะ



    รถไฟแน่นเหมือนเคย ผู้คนมาจากไหนกันเยอะแยะนักนะ เฮ้อ... คิดๆแล้วก็คิดถึงสองนะ ตั้งแต่มันส่งฉันมาเรียนที่นี่ มันก็ไม่ยอมกลับไปบ้านอีกเลย ก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่า ตกลงเรื่องนี้มันเกิดขึ้นระหว่างฉันกับพ่อ หรือไอ้พี่บ้ากับพ่อกันแน่ แต่เอาเถอะ นานๆได้ออกมานอนนอกออฟฟิตทีวันหลังคงต้องกลับไปหาน้าตา กับอากาเนะหน่อยก็ดี ไม่รู้ว่าบ้านนั้นเป็นไงบ้าง นึกๆแล้วชั้นก็มาสร้างภาระให้กับบ้านนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน



    รถไฟจอดแล้ว ฉันก้าวลงอย่างเคยชิน เดินผ่านสวนสาธารณะซึ่งบัดนี้ต้นไม้ข้างในนั้นกำลังผลัดใบ จากที่เคยเขียวสดก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลือง และค่อยๆร่วงลงดิน อีกไม่นานสินะ เหล่าดอกไม้ก็จะผลิออกจากต้นที่มีแต่กิ่ง ก็คงเหมือนชีวิตของฉันล่ะมั๊ง ที่จากเด็กม.ปลายไร้อนาคต จนมาเป็นบรรณาธิการณ์หนังสือจนทุกวันนี้ แต่ว่าภาพของอาทิตย์อัสดงกับไม้ผลัดใบเหล่านี้ก็สวยใช่เล่นเลยแฮะ วันหลังคงต้องแอบมาเก็บภาพแถวๆนี้ด้วยดีกว่า ลมเย็นๆได้หอบขึ้นมาระลอกนึงจนทำให้ต้องกระชับผ้าพับคอขึ้นก่อนที่จะก้าวเดินต่อไปยังอพาร์ทเมนต์ที่พักอีกสองสามช่วงตึก



    เอาล่ะถึงซะที อพาร์ทเมนต์สูงเสียดฟ้ากลางกรุงโตเกียว หลังจากที่ไปขลุกอยู่ที่สำนักงาน อพาร์ทเมนต์สุดหรู กับความเบื่อแสนเบื่อ อันที่จริงแล้วฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เพียงแค่สองสามปีเท่านั้น แต่ชีวิตในโตเกียวกับค่าครองชีพอันสูงลิบลิ่วนี้ ฉันชินชากับมันมา แปดปีเต็ม ใช่แปดปีแล้ว แปดปีแห่งความอ้างว้าง โดดเดี่ยว ว้าเหว่ ไม่มีใคร เอาล่ะลิฟท์มาแล้ว ชั้นที่เท่าไหร่นะ สามสิบสองสินะ ตอนนี้ร่างของฉันก็ถูกยกขึ้นไปข้างบน...



    อืมเรียกว่าอะไรดีล่ะรูหนูลอยฟ้าดีกว่ามั๊ง ถึงไหนแล้วล่ะ อ้อจริงสิ เมื่อก่อนฉันไปอาศัยห้องเช่าถูกๆอยู่กับพี่ชายแค่สองคนสินะ อ้อไม่ใช่สิต้องเรียกว่าสามต่างหาก ฉันลืมน้าตาไปได้ยังไงกันนะ เพราะน้าตาแท้ๆที่ทำให้ชั้นเป็นผู้เป็นคนมาได้จนทุกวันนี้ ...น้าตา ได้ยินชื่อนี้ก็ต้องทำให้นึกถึงผู้หญิงวัยกลางคนใจดีคนนึง ใช่ใจดี ใจดีจริงๆ เพราะที่ชั้นเรียกเค้าว่าน้านั้นก็แค่น้าแต่ที่เรียกเพราะความจริงฉันกับเค้าไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ น้าตา เป็นผู้หญิงที่อยู่ห้องข้างๆ ซึ่งโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแบบนี้ ไม่น่าจะมีใครที่หยิบยื่นความอบอุ่นให้กันโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก แต่ไม่ใช่น้าตา



    เอาล่ะลิฟท์เปิดแล้ว ฉันก้าวออกจากลิฟท์ก่อนที่จะหยิบการ์ดออกมารูดพร้อมกับกดรหัส สองสามตัวเพื่อเข้าไปในห้อง และเมื่อเข้าห้องได้สิ่งแรกที่ฉันทำก็คือการทิ้งตัวลงแรงๆบนโซฟาตัวนุ่ม



    “เฮ้อ......” เสียงถอนหายใจดังออกมาก่อนที่ฉันจะเหลียวซ้ายแลขวา เนื่องด้วยความเซ็ง และแล้ว สายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับห่อพัสดุเข้าห่อหนึ่ง จริงสิ! ฉันเพิ่งจะหอบเอามันกลับมาจากบริษัท เพราะอะไรน่ะหรอก็เพราะว่ามันประทับตราแอร์เมลล์จากเมืองไทย และที่สำคัญ ชื่อผู้ส่งคือ Mr.Burapart Rattanakorn น่ะสิ! ทันทีที่เห็นชื่อผู้ส่งก็เดาได้ทันทีว่า เจ้าของที่อยู่นี้ ได้ที่อยู่ของบริษัท หรือแม้แต่รู้ชื่อบริษัทที่ชั้นทำงานมาจากใคร แล้วก็ยิ่งมั่นใจใหญ่ เพราะว่าจ่าหน้าพัสดุถึงผู้รับว่า Mrs.Threeracknar pakanan  คงจะเป็นใครไปไม่ได้แน่ๆนอกจากไอ้เกียร์!! เอาเถ๊อะยกผลประโยชน์ให้จำเลยเพราะมันชิ่งบินกลับไทยไปเมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง ว่าแต่นายบลู ส่งอะไรมาล่ะ ฉันนึกพลางค่อยๆบรรจงแกะกล่องพัสดุอย่างระมัดระวังและเมื่อกล่องพัสดุถูกเปิดออก  ฉันเห็นเพียงแค่หนังสือปกสีดำเงาเขียนด้วยตัวอักษรสีเงินวาววามที่เขียนว่า Long night before Eternity และที่สำคัญ ชื่อผู้เขียนที่คุ้นตาที่สุด Zeem !



    ฉันแทบไม่สนใจกล่องหรือแม้แต่ห่อพัสดุที่ถูกแกะทิ้งเกลื่อนอยู่เต็มพื้นเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกประหลาดใจ ปนดีใจ กลับเอ่อล้นออกมาจนทำให้สีหน้าราบเรียบที่เบื่อชีวิตของฉัน ค่อยๆมีรอยยิ้มระบายขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็แทบยังไม่รู้ตัว แต่แล้วอยู่ๆกระดาษแผ่นเล็กๆก็ร่วงลงมาจากหนังสือเล่มหนาในมือ ฉันก้มลงเก็บ และนั่นก็คือลายมือที่ฉันคุ้นตาที่สุด ลายมือที่ฉันไม่ได้เห็นมานานแสนนาน...



    ‘อยากให้สามมาเห็นจัง ว่าตอนนี้ ไอ้งี่เง่าคนนี้มันทำสำเร็จแล้วนะ ก็คงจะเป็นเพราะความอนุเคราะห์จากบก.ที่น่ารักอย่างสามนี่แหละ วันที่ 23 นี้หนังสือเล่มนี่ก็จะเปิดตัวแล้ว ให้กำลังใจกับฉันด้วยนะ’



    แทบไม่ต้องอ่านชื่อก็รู้ดีว่าเป็นใคร เอาล่ะ ฉันจะอ่านงานของนายล่ะนะ ว่าแล้วก็เปิดหนังสือขึ้นพร้อมกับเดินไปนั่งขดตัวอยู่ที่โซฟาหนานุ่มตัวเดิมที่แสนน่าเบื่อ แต่อยู่ๆความรู้สึกน่าเบื่อก็หมดไปพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นที่กลับเข้ามาแทนที่อย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่ภายในห้องค่อนข้างหนาวทีเดียว



    บรรทัดแรกของหนังสือบรรยายออกมาได้อย่างไร้ที่ติ รอยยิ้มของฉันผุดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าของเจ้าของเรื่อง กี่ปีแล้วนะที่จากนายมา กี่ปีแล้วนะกับความผิดหวังที่มี กี่ปีแล้วนะกับความเจ็บปวด กี่ปีแล้วนะที่ทิ้งให้นายอยู่อย่างโดดเดี่ยว อยากจะบอกนายเหลือเกินว่าฉันขอโทษ





    ตรีลักขณา  ภคนันท์    :  22 Oct



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×