ดอกไม้และบทกลอน - ดอกไม้และบทกลอน นิยาย ดอกไม้และบทกลอน : Dek-D.com - Writer

    ดอกไม้และบทกลอน

    เรื่องราวความรักของเด็กสาวที่นำความรักของตัวเองไปเล่นตลกกับหนังสือที่ชื่อว่า ดอกไม้และบทกลอน

    ผู้เข้าชมรวม

    387

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    387

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ก.พ. 49 / 17:20 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                หลายคนเคยพูดว่าช่วงชีวิตในวัยมัธยมปลาย เป็นช่วงที่สนุกสนานที่สุดและเป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถหาได้อีก แต่สำหรับบางคนก็อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดด้วย ผู้ใหญ่ที่นี่ท่านชอบบอกเด็กว่า เด็กสมัยนี้มันริอาจมีความรักก่อนวัยอันควร มันก็จะชอกช้ำเป็นธรรมดา เท่าที่ฉันได้ฟังเรื่องแบบนี้มาจากหลายๆคน ทำให้ฉันรู้ว่าความรักที่ทุกคนพูดถึงกันหนักหนา และเป็นสิ่งที่หลายๆคน ปรารถนาจะได้มันมาครอบครอง มันสามารถสร้างความสุข สร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะ คำๆนี้มันสามารถสร้างอะไรได้หลายๆอย่าง และคำนี้นี่เองก็สามารถสร้างได้แม้แต่กระทั่งน้ำตา....

               ชื่อของฉันคือกระแต ฉันเป็นเด็กอยุธยาฉันเกิดและโตที่นี้ ฉันไม่เคยคิดนะว่าการที่ฉันอยู่ที่นี่จะเป็นการทำให้ฉันกับเด็กในกรุงเทพ หรือ ที่คนละแวกนี้เรียกกันว่าเด็กในเมือง บางครั้งฉันก็คิดว่าเด็กกรุงเทพเป็นเด็กไร้สมอง หลงแสงสีและสิ่งเริงรมย์ แต่มันก็เป็นทัศนคติที่ฉันได้จากละครทางโทรทัศน์ตอนเย็น ที่นางร้ายส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กในเมือง ส่วนนางเอกก็จะเป็นเด็กบ้านนอกคอกนา แล้วก็ตบตีแย้งชิงพระเอกกันไป ฉันก็อยากรู้นะว่าเพราะอะไรทำไมถึงจะต้องแย้งกันถึงขั้นตบตีเพื่อผู้ชายคนเดียว จะบอกว่าเพราะหน้าตา รูปลักษณ์ของตัวพระเอก ฉันว่า.... ไม่น่าจะใช่ เพราะมันต้องมีคนที่หน้าตาดีกว่านี้แน่ๆ ถ้าให้ฉันเดานะ อาจจะเป็นเพราะความรัก?? สิ่งที่หลายๆคนมักจะหลงไปกับมัน ตั้งแต่ฉันโตมาฉันยังไม่เคยรู้สึกเลยว่าความรักระหว่างหนุ่มสาวมันเป็นยังไง เพราะว่าฉันก็ไม่เคยที่จะสัมผัสมันเหมือนกัน ถ้าถามว่าฉันอยากลองไหม ลองที่จะรักก็อยากลองเหมือนกันนะ แต่ฉันคงไม่อยากลองจนฉันพลาดหลงเข้าไปในมายาแห่งรัก

                วันนี้ฉันออกไปซื้อของที่หน้าปากซอยหมู่บ้าน ระหว่างทางที่ฉันเดินกลับบ้านฉันเกิดความรู้สึกเบื่อๆกับการที่ฉันไม่มีอะไรทำเลยในช่วงปิดเทอมตอนนี้ ถ้าฉันได้ไปอยู่กรุงเทพก็คงจะดี ฉันคงมีอะไรหลายๆอย่างให้ฉันได้ทำ เหมือนตอนที่แม่ของฉันพาไปอยู่กับป้าที่กรุงเทพ ป้าของฉันท่านเป็นคนสนุกสนาน ยิ้มแย้ม แจ่มใส แต่บางครั้งท่านก็ดูเครียดๆเพราะท่านทำงานเป็นอาจารย์ท่านดูเครียดบ้างเวลาทำงาน ท่านมีลูกสาวชื่อพี่แพรว พี่แพรวเป็นลูกพี่ลูกน้องท่านฉันสนิทที่สุด เพราะว่า คุณลุง คุณป้า ของฉันท่านแยกทางกันไปแล้วญาติทางฝ่ายคุณลุง ก็ไม่ได้ติดต่อคุณป้ากับพี่แพรวเลย และคุณป้าก็มีแม่ของฉันคนเดียวที่เป็นพี่น้องของท่านจึงทำให้ฉันสนิทกับพี่แพรว เพราะครอบครัวของฉันจะไปเยี่ยมคุณป้าบ่อยๆ "เอ๊ะ!! นั่นจดหมายใครน่ะ" ฉันเดินเข้ามาในบ้านเห็นซองจดหมายวางอยู่บนโต๊ะ ฉันเดินไปหยิบมาดู "แม่ค่ะ คุณป้าส่งจดหมายมาหาค่ะ"  "วางไว้บนโต๊ะแหละลูก เดี๋ยวแม่จะลงไปอ่านนะจ๊ะ" ฉันวางจดหมายลงไว้ที่เดิม แล้วฉันก็เดินขึ้นไปบนห้องนอนของฉัน ฉันกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงของฉันด้วยความเหนื่อยและทนต่อแสงแดดไม่ไหว ไม่ได้สิเดี๋ยวตัวดำ ฉันวิ่งไปหยิบครีมทาผิวมาทาชโลมผิวของฉัน ไม่ได้เลยนะเนี่ยเรื่องผิวพรรณกับเด็กสาววัยรุ่นอย่างฉัน ก็อย่างว่าแหละนะผู้หญิงทุกๆคนก็ต้องรักสวยรักงามเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว "กระแต ลงมาข้างล่างหน่อยสิลูก พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย" พ่อตะโกนลงมาจากข้างล่าง ฉันวิ่งไปเปิดประตูห้อง แล้วชะโงกหน้าลงไปตอบพ่อ "ค่ะหนูจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะพ่อ" ฉันวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ฉันเห็นแม่นั่งอ่านจดหมายอยู่โดยมีพ่อของฉันยืนอยู่ข้างๆ "มีอะไรเหรอค่ะ พ่อ" ฉันเดินเข้าไปหาพ่อและแม่ของฉัน "คุณป้าเขียนจดหมายมาน่ะลูก" แม่มองหน้าฉันด้วยสายตาที่หวาดระแวง และหันไปมองหน้าพ่อ "มีอะไรเหรอค่ะพ่อ ทำไมต้องทำหน้าตาอย่างนั้นด้วยหล่ะค่ะ"

      "พี่แพรวไปอเมริกาน่ะลูก สอบชิงทุน แล้วพี่แพรวก็ไปอาทิตย์ที่แล้วน่ะลูก"  "ก็ดีแล้วหนิค่ะ พี่แพรวเค้าเก่งหนิค่ะ แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยหล่ะค่ะ" "ป้าบอกว่าเค้าเหงาน่ะลูก เลยอยากจะให้ลูกไปอยู่เป็นเพื่อนป้าเค้าน่ะลูก" ฉันรู้สึกช็อคและกำลังสับสนกับคำพูดของแม่ นี่ฉันจะต้องจากพ่อกับแม่ที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็ก ฉันรู้สึกไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ แล้วน้ำตาฉันก็ไหลลงมาโดยที่ฉันไม่รู้ตัว "ร้องไห้ทำไมลูก" พ่อเดินมาถามฉันแล้วโอบกอดฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่พ่อของฉันส่งผ่านกิริยาที่ท่านทำอยู่ในขณะนี้ "ถ้าหนูไม่อยากไป แม่จะบอกป้าให้นะลูก" แม่เดินมากอดฉันพร้อมทั้งเอามือเช็ดน้ำตาให้ฉัน "แม่ค่ะ ถ้าสมมติว่าหนูเป็นพี่แพรว ถ้าหนูต้องไปอยู่ที่อื่นไกลๆ แม่จะเหงาไหมค่ะที่จะต้องอยู่คนเดียว" " แม่ก็คงรู้สึกเหงามากเลยหล่ะลูก" ฉันกอดแม่ฉันแน่น "หนูจะอยู่เป็นเพื่อนป้าค่ะแม่ หนูคงคิดว่าป้าคงเหงามาก ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ปีเดียวเองไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่"  ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้านั้นคือแม่ยิ้มพร้อมกับมีคราบน้ำตาที่ไหลลงมาบนใบหน้าของท่านในตอนนี้ พ่อของฉันท่านลูบหัวฉันเบาๆ พร้อมพูดกับฉันว่า "พ่อภูมิใจในตัวหนูมากเลยนะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะขับรถไปส่งลูกนะจ๊ะ" "ค่ะพ่อ" เราสามคนพ่อ แม่ ลูกนั่งคุยกันถึงเรื่องต่างมากมายก่อนที่จะถึงวันพรุ่งนี้วันที่ฉันจะไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้อีกเป็นเวลา 1 ปี

                ฉันนั่งบนรถที่คุ้นเคยฉันมาตั้งแต่เด็กๆ มันคือรถของพ่อของฉัน พ่อกำลังขับฉันมาส่งที่โรงเรียนที่ป้าของฉันสอนอยู่ ฉันรู้สึกว่าถ้าการมากรุงเทพครั้งนี้เป็นเพียงแค่การมาเที่ยวหาคุณป้ากับพี่แพรวคงจะดี แต่นี่มันไม่ใช่ มันเหมือนกับว่าฉันมาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของฉัน และเปลี่ยนแปลงตัวฉันเองอีกมากมาย "ถึงแล้วลูก" แม่สะกิดฉันให้รู้สึกตัว "ค่ะๆ"  พ่อฉันขับรถเข้าไปในโรงเรียนที่ดูเป็นโรงเรียนที่ดี ดูแล้วจะมีการเรียนการสอนที่ดี มีนักเรียนที่ดี และดูไปดูมาก็น่าเรียนดีเหมือนกันนะ พ่อฉันจอดรถและลงไปขนของ ขนสัมภาระองฉันลงจากรถ ป้าของฉันท่านลงมาจากอาคารใหญ่ๆสีขาวในโรงเรียน แล้ววิ่งเข้ามาหาฉันกับแม่ที่รถ ฉันกับแม่เดินลงไปทักทายคุณป้า "เป็นไงบ้างค่ะ คุณป้า" ฉันถามพร้อมกับไหว้ทักทายคุณป้า "สบายดีจ๊ะลูก ป้าดีใจจริงๆนะจ๊ะเนี่ยที่หนูจะมาอยู่เป็นเพื่อนป้า ขอบใจนะจ๊ะ" ป้าลูบศีรษะฉันอย่างเอ็นดู "คุยอะไรกันสาวๆ เอ่อ...ลูกพ่อกับแม่ต้องกลับก่อนแล้วนะ พ่อมีประชุมที่สถานีอนามัยน่ะลูก"  "อ๋อได้ค่ะพ่อ"

      "มาถึงแล้วจะกลับซะแล้ว พ่อคุณหมอแสนดี" ป้าแซวพ่อของฉัน "อย่างนี้แหละค่ะพี่ หมอคนนี้เค้าอุทิศตัวเพื่อคนไข้นะค่ะ" แม่ของฉันพูดแก้ตัวให้พ่อ "งั้นก็กลับดีๆนะจ๊ะทั้ง 2 คนเลย เดี๋ยวพี่ดูแล ยัยกระแตให้เหมือนดูแลลูกพี่เลยนะ ไม่ต้องเป็นห่วง" "งั้นลานะค่ะพี่" แม่ของฉันไหว้ลาคุณป้าแล้วเดินมากอดฉัน "แม่ไปนะลูก เปิดมือถือไว้ตลอดนะจ๊ะแม่จะโทรมา แล้วถ้าแม่ว่างไว้แม่จะมาเยี่ยม" "ค่ะแม่ สวัสดีนะค่ะ" พ่อกับแม่ของฉันขับรถออกจากโรงเรียนไป "นี่เดี๋ยวอีก 2 อาทิตย์โรงเรียนจะเปิดแล้วนะ หนูจะต้องมาเรียนที่โรงเรียนนี้นะจ๊ะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าป้าเตรียมให้หนูแล้วนะจ๊ะ" "อ๋อค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะ"  ฉันยกมือไหว้ขอบคุณคุณป้า "ป้าจะไปเคลียงานนิดหน่อยก่อนเปิดเทอมสัก 2 - 3 ชั่วโมงนะ เดี๋ยวกระแตไปเดินห้างๆใกล้โรงเรียนรอป้าไปก่อนนะลูก เปิดมือถือไว้นะลูกเดี๋ยวป้าโทรไป" "ได้ค่ะป้า"  ฉันเดินออกจากโรงเรียนแล้วเดินไปที่ศูนย์การค้าชื่อดังข้างๆโรงเรียน ฉันรู้สึกว่านี่เหรอกรุงเทพ มลพิษเยอะจังเลย เยอะกว่าตอนที่ฉันมาหาป้าครั้งที่แล้วซะอีก แต่ฉันว่าจริงๆแล้วมันคงเยอะมาแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละ แต่ทุกครั้งที่มาฉันน่ะอยู่แต่ที่บ้านคุณป้าเลยไม่ได้สังเกตอะไร ฉันเดินเข้ามาในห้างแล้วรู้สึกว่าที่นี่มีแต่ร้านสีเหลี่ยมๆเต็มไปหมดเลย คนก็เดินกันเยอะแยะถือถุงหลายสีมากมาย ฉันเดินไปเรื่อยๆก็เจอร้านหนังสือ ฉันเลยตัดสินใจเข้าไปดู โดยส่วนตัวแล้วฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือเพราะฉันชอบฝันว่าฉันเป็นตัวละครในนิยายที่นางเอกจะมีพระเอกรูปงาม มีน้ำใจ และคอยช่วยเหลือเธอตลอดเวลา พูดง่ายๆก็คือฉันเป็นคนช่างฝันน่ะ แต่จริงๆแล้วฉันก็อ่านหนังสือได้ทุกๆรูปแบบน่ะแหละ ฉันเดินเข้าไปในโซนหนังสือวรรณกรรมวัยรุ่น ฉันเดินเข้าไปหยิบหนังสื่อชื่อเรื่องว่า "ดอกไม้และบทกลอน น่าสนใจแฮะหนังสือเรื่องนี้" ฉันพลิกหนังสือเพื่ออ่านข้อมูลด้านหลังของหนังสือ "อ๋อที่แท้ก็เป็นเรื่องของความรัก และเกี่ยวกับวิธีการทำให้ความรักนั้นสมหวัง น่าสนใจซื้อไว้สักเล่มนะเนี่ย" ฉันพลิกตัวหันหลังเพื่อจะเดินไปจ่ายเงิน ปัง!!! ฉันเดินชนกับอะไรสักอย่างโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งตัว ฉันล้มลงกับพื้นแล้วก็มีคนคว้าตัวฉันไว้จากข้างหลัง "เป็นอะไรไหมครับ" "ไม่เป็นไรค่ะ" ฉันยืนขึ้นจากแขนของคนที่รับตัวฉันไว้ แล้วฉันก็หันหลังไปขอบคุณ ที่ฉันเห็นคนยืนตรงหน้าฉันเค้าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีคนนึง แต่ก็ไม่ได้ดีมากถึงขั้นพระเอกหนังหรอกนะ แต่อย่างน้อยเค้าก็มีน้ำใจที่จะช่วยฉัน "ดูทางด้วยนะครับ ร้านนี้ชั้นวางหนังสือมันเยอะน่ะครับ ไม่งั้นจะเจ็บตัวเอาง่ายๆ" "อ๋อค่ะ ขอบคุณนะคะ"

                ตอนนี้ฉันนอนอยู่บนเตียงใหม่ของฉัน แต่มันก็เป็นเตียงที่ฉันคุ้นเคยเหมือนกันนะ เพราะมัน เป็นเตียงของพี่แพรว ฉันนอนคิดอะไรหลายๆอย่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกวันข้างหน้า ไหนจะเปิดเทอมฉันจะเข้ากับเพื่อนได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เฮ้อ.... ฉันถอนหายใจและนอนเอามือก่ายหน้าผาก ฉันเอาหนังสือที่ซื้อมาวันนี้เปิดมาอ่าน "บทที่ 1 รักแรกพบ การที่ใครสักคนได้เจอะเจอกับใครสักคนโดยบังเอิญอาจจะทำให้เป็นการพาไปสู่อาการของ รักแรกพบ ก็เป็นไปได้..... ไม่จริงหรอก!!! มันจะมีเหรอ การชอบคนโดยที่เราไม่เคยที่จะรู้จักกันมาก่อน โกหกทั้งเพ"  ฉันเริ่มรู้สึกเสียดายกับเงินที่ฉันซื้อมา  แต่วันนี้ผู้ชายคนนั้นเค้าก็ดูดีเหมือนกันเนอะ ดูสุภาพบุรุษดีด้วย แต่ฉันก็คงจะไม่ได้เจอเค้าอีกอยู่ดีแหละ เพราะว่าเค้าเป็นใครก็ไม่รู้จะไปเจอกันอีกได้ยังไง ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ฉันเถียงกับข้อความที่ฉันอ่านในหนังสือ พร้อมกับอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆ "บทที่ 2 เพื่อน ถ้าหากท่านคิดว่าท่านมีเพื่อนเยอะมากมาย ท่านก็อาจจะใช้เพื่อนเป็นคนคอยสื่อสารหรือติดต่อคนที่ท่านชอบให้ก็ได้นะ ถ้าท่านคิดว่าเพื่อนจะไม่หักหลังท่านเสียก่อน ก็แหงสิฉันน่ะเพื่อนเยอะมากมายแต่อยู่ที่อยุธยานู่นแหละ ไม่ได้มาอยู่ที่กรุงเทพด้วยกันสักหน่อย หนังสือเล่มนี้ท่าทางจะเขียนมั่วๆสะแล้วมั้งเนี่ย ไม่น่าหลวมตัวซื้อมาอ่านเลย โง่จริงๆเราหนิ" ฉันเอาหนังสือไปวางที่ชั้นวางหนังสือ แล้วก็ไปนอน

      วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก คุณป้าท่านเดินไปส่งฉันที่ห้องเรียน ฉันรู้สึกว่าในห้องคุยกันเสียงดังมากเหมือนในละครโทรทัศน์เวลาที่เค้าพูดถึงเด็กกรุงเทพเลย แต่ก็จะมีบางคนที่จะไม่คุยอะไรเลยเพราะว่าเป็นเด็กใหม่ ซึ่งก็รวมทั้งตัวฉันด้วยเหมือนกัน "สวัสดีจ๊ะ ฉันชื่อมิ้นนะ เธอชื่ออะไรเหรอ" เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผิวขาว เดินเข้ามาทักฉันอย่างยิ้มแย้ม "เราชื่อกระแตนะ ยินดีที่ได้รู้จัก" ฉันนั่งคุยกับมิ้นไปเรื่อยเกี่ยวกับเรื่องราวของเราสองคน ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนฉันกับมิ้นเดินลงไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ฉันเดินนั้น "กรี๊ด!!! กระแตระวัง" ฉันได้ยินเสียงมิ้นฉันเงยหน้าขึ้นไปดูข้างบนเห็นสมุดหนังสือเล่มหนาหล่นลงมาจากชั้นบน ฉันอึ้งและหยุดยืนนิ่ง แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนโดนแรงดึงฉุดให้ถอยหลัง "พี่โจ ขอบคุณนะค่ะ" มิ้นหันไปขอบคุณคนที่ช่วยฉันไว้ "ขอบคุณนะค่ะ" ฉันหันไปก้มหัวขอบคุณเค้าหลายครั้งติดต่อกัน "นี่เธออีกแล้วเหรอ" ฉันเงยหน้าขึ้นนี่มันผู้ชายคนที่เคยช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันเดินชนชั้นหนังสือในร้านหนังสือหนิ "เธอนี่ซุ่มซ่ามจริงๆนะ" เค้าพูดพลางหัวเราะ "ยังไงก็ขอบคุณนะค่ะ" "นี่ 2 คนรู้จักกันเหรอค่ะ" มิ้นมองฉันกับเค้าอย่างมึนงง "ก็ไม่ได้รู้จักหรอกจ๊ะ พี่เคยเจอเค้าในร้านหนังสือน่ะ แล้วนี่เพื่อนมิ้นเหรอ" "อ๋อค่ะ เป็นเด็กใหม่ค่ะชื่อกระแต" ฉันยิ้มให้เค้า "อ๋อครับพี่ชื่อโจนะ เป็นลูกพี่ลูกน้องของมิ้นเค้าน่ะ มีอะไรก็คุยกันได้นะ" "อ๋อ ขอบคุณนะค่ะ" "กระแตพวกเราต้องไปขึ้นเรียนแล้ว พี่โจมิ้นไปนะ ไว้เจอกัน" มิ้นลากฉันขึ้นไปเรียนบนห้อง วันแรกเป็นวันที่แทบจะไม่มีการเรียนการสอนอะไรเลย มันจะเป็นวันที่อาจารย์ผู้สอนแต่ละคนพูดถึงรายละเอียดในแต่ละวิชา แต่ฉันก็ไม่ได้ฟังมันเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันมัวแต่คิดถึงพี่โจ เค้าเป็นคนช่วยฉันตลอดเวลาเลย เค้าอาจจะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิงอย่างฉันก็เป็นไปได้นะเนี่ย "นี่... นี่ กระแต เธอเป็นอะไร" มิ้นสะกิดฉันให้ตื่นจากฝัน "อ่ะ... มีอะไรมิ้น" "นี่เธอคิดอะไรของเธอน่ะ มัวแต่เหม่อจนอาจารย์เค้าออกไปแล้วเนี่ยไม่รู้ตัวอีกรึไง" "อ๋อไม่มีอะไรหรอก ฉันขอออกไปสูดอากาศหายใจนอกห้องก่อนนะ อาจารย์ท่านต่อไปยังไม่มาเลย" ฉันเลี่ยงคำถามของมิ้นโดยการที่ฉันออกมานอกห้องเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ก่อนที่จะเรียนคาบต่อไป ฉันยืนอยู่ตรงระเบียง แล้วทางขวามือของฉันก็มีคนที่ออกมายืนอยู่ริมระเบียงเหมือนกัน ฉันหันไปดูนั่นมันพี่โจหนิ "อ้าว น้องกระแตมาทำอะไรครับ"  "กระแตเรียนห้องนี้อ่ะค่ะ" "พี่ก็เรียนห้องนี้ครับ ติดกันเลยบังเอิญจังเลย" "ค่ะ กระแตขอเข้าห้องไปเรียนก่อนนะค่ะ"  ฉันยิ้มลาพี่โจแล้วเดินเข้าห้องไปนั่งที่โต๊ะของฉัน "พี่ฉันเป็นคำตอบให้เธอนั่งเหม่อเมื่อกี้รึเปล่า"  "บ้าเหรอ... นี่อย่ามาพูดมั่วๆแบบนี้สิ" ฉันเขินหน้าแดง แล้วฉันกับมิ้นก็คุยเรื่องพี่โจกันทั้งวันจนเราไม่รู้เลยว่าวันนี้เรายังไม่ได้เรียนอะไรเลย ฉันนึกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่านเมื่อวันนั้นว่า ถ้าคุณมีเพื่อนคุณก็ควรที่จะให้เพื่อนคุณช่วย ฉันจึงตัดสินใจให้มิ้นช่วยฉัน เพราะยังไงมิ้นก็ไม่ชอบพี่โจอยู่แล้วเพราะเค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฉันรู้สึกว่าหนังสือ ดอกไม้และบทกลอนก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย ฉันจะต้องไปเอามาอ่านอีกรอบซะแล้ว เผื่อว่าไอ้หนังสือเล่มนั้นมันจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง ตอนนี้หัวใจฉันคงพองโตและเป็นสีชมพู ฉันแทบจะนับครั้งของหัวใจของฉันที่มันเต้นอยู่ในอกข้างซ้ายไม่ได้เลย มันเต้นรัวและแรงมากเลย นี่รึเปล่าอาการของคนที่กำลังมีความรัก มันก็เป็นความรู้สึกที่แปลกดีเหมือนกันแฮะ แต่มันก็ตลกแล้วก็สนุกดีนะ

                ฉันหยิบหนังสือเล่มนั้นมานั่งอ่านแก้เซ็งเวลาฉันเบื่อๆ เช่นตอนนี้เป็นวันหยุดฉันนั่งอยู่บ้านเบื่อๆ ป้าไปทำงานที่โรงเรียน ฉันก็เอาหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน "บทที่ 3 บทกลอน ถ้าคุณไม่กล้าบอกความรู้สึกจากปากของคุณ ตัวหนังสือสามารถบอกแทนตัวคุณเองได้ คุณอาจจะส่งกลอน แกะเนื้อเพลง หรือแม้แต่การคุยกันทางอินเตอร์เน็ต ตัวหนังสือสามารถบอกความรู้สึกที่คุยมีให้เค้าได้" ฉันคิดว่ามันแปลกๆนะ ใครจะมานั่งแกะนู่นเขียนนี่ไปให้ล่ะ ฉันไม่ใช่คนที่มีเวลาว่างตอลดนะ ถ้ามีเวลาว่างก็คงทำแหละ เอ๊ะ!!... นี่ฉันก็ว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปหากลอนเพราะๆให้พี่โจสักบทนึงก็น่าจะดีนะ ฉันเล่นอินเตอร์เน็ทเพื่อที่จะหากลอนเพราะๆให้พี่โจ โดยที่ฉันแทบจะไม่รู้เลยว่าที่ฉันหาเนี่ยมัน 10 กว่าบทได้แล้วมั้ง ไหนจะเพลงที่ฉันแกะอีกจำนวนเพลงก็ไม่ต่างจากจำนวนกลอนเลย ฉันเหนื่อยมากกระโดดขึ้นเตียงนอนด้วยความล้าและปวดตามาก ฉันคิดว่านี่แหละมั้ง ความรักที่ทุกๆคนปรารถนา เอาอะไรไปแลกก็ยอม

                "ฮาโหลขอสายกระแตหน่อยค่ะ" "พูดอยู่จ๊ะ มิ้นเหรอ" มิ้นโทรมาหาฉัน มิ้นบอกฉันว่าเนี่ยได้เมล์ของพี่โจมาแล้วนะ พี่โจเค้าชอบเล่น MSN เล่นสะค่อนคืนข้ามคืนเลย ฉันก็ไม่รู้จักว่าไอ้ที่เค้าเล่นน่ะ มันทำยังไง ต้องเล่นยังไง เพราะอยู่ที่อยุธยาฉันก็เล่นแค่ท่องเน็ทธรรมดา มิ้นท์ก็สอนฉันทางโทรศัพท์เกี่ยวกับการติดตั้งอะไรพวกนี้ และแล้วเวลานั้นก็มาถึง ตอนนี้เวลา 2 ทุ่มโดยประมาณฉันได้คุยกับพี่โจ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆนานา ทำให้เรา 2 คนได้รู้จักกันมากขึ้น และเวลาที่เราคุยก็มากขึ้นเรื่อยๆ เราต่างรู้เรื่องของกันและกันมากขึ้น เวลาอยู่โรงเรียนเราก็คุยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน มีการสอนการบ้านกัน เราทำกิจกรรมในโรงเรียนร่วมกันหลายๆอย่าง และวันหนึ่งฉันก็ตัดสินใจที่จะเอากลอนให้พี่โจ พี่โจชอบมันมากและขอบคุณฉันสำหรับบทกลอนและเนื้อเพลงที่ฉันเอาให้เค้า มันทำให้ฉันรู้สึกดีใจ และรู้สึกปลื้มปติไปกับสิ่งต่างๆที่พี่เค้าทำให้ ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนว่าสถานะของตัวเองได้เปลี่ยนไป แต่ก็อย่างว่าฉันคงคิดไปคนเดียว

                "กลับบ้านดีๆนะครับ" "ค่ะ ขอบคุณนะคะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ" พี่โจมาส่งฉันหน้าโรงเรียนเพื่อที่จะกลับบ้าน ระหว่างทางที่ฉันนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านฉันหยิบหนังสือเรื่อง ดอกไม้กับบทกลอน ที่ฉันเผลอติดเอามาโรงเรียนขึ้นมาอ่าน "บทที่ 4 เทศกาล เทศกาลต่างๆล้วนเป็นฤกษ์งามยามดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดวันที่เราสามารถชวนเค้าไปเที่ยวเป็นเพื่อนเรา หรือว่าจะเป็นวันปีใหม่วันที่เราจะสามารถชวนเค้าไปฉลองวันปีใหม่กับเราและเพื่อนๆ และฤกษ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนมีความรักคือ วันวาเลนไทน์ วันที่เราสามารถบอกรักเค้าได้ด้วยกุหลาบสีแดงช่อใหญ่" ฉันถามตัวเองว่า พร้อมที่จะบอกเค้ารึยังว่าเรารักเค้า เราคิดดีรึยังที่เราจะฝากชีวิตเราไว้กับคนที่เราเพิ่งจะรู้จักไม่นาน ฉันรู้สึกว่าฉันพร้อมแล้ว ฉันพร้อมที่จะบอกรักเค้า อีก 2 อาทิตย์วันวาเลนไทน์ฉันจะเอากุหลาบไปให้เค้า ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เค้าต้องชอบแน่ๆเลยฉันไม่เคยทายใจเค้าผิดหรอก ฉันจะไปสั่งดอกกุหลาบเอาไว้เพื่อจะที่เอาให้เค้าในวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง

                "คุณป้าค่ะ" ฉันเรียกคุณป้าให้ท่านมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ "พี่แพรวค่ะจะกลับมาวันที่ 13 ก่อนวันวาเลนไทน์ อีก 2 วันเองค่ะ" คุณป้ามองจอคอมพร้อมกับยิ้มโดยที่มีน้ำตาคลอเบ้า ป้าหันมายิ้มให้ฉันพร้อมทั้งกอดฉัน "ป้าขอบคุณหนูนะจ๊ะที่หนูมาอยู่เป็นเพื่อนป้า ป้าขอบคุณหนูมากๆ" "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" ในใจฉันก็คิดว่าถ้าไม่ได้มาอยู่กับคุณป้าฉันก็คงไม่เจอกับพี่โจ ฉันคุยกับคุณป้าเรื่องพี่แพรวเสร็จฉันก็นั่งรถออกไปเอาดอกไม้ที่ฉันสั่งไว้มาเก็บไว้ที่บ้านเพื่อที่จะให้พี่โจ ฉันนั่งมองดอกกุหลาบแล้วมองกุหลาบอีก ฉันมัวแต่คิดว่าจะเดินเอาไปให้เค้ายังไง จะบอกเค้าว่าอะไร แล้วต้องทำยังไงต่อไป คิดไปคิดมาจนฉันเผลอหลับไปบนเตียงนอนของฉันเลย

                ตอนนี้ฉันอยู่ที่สนามบินกับคุณป้าเพื่อที่จะรอพี่แพรวลงจากเครื่องภายในอีก 10 นาที ฝั่งตรงข้ามของฉันก็มีรุ่นพี่ที่โรงเรียนที่เป็นเพื่อนที่แพรวมารอรับพี่แพรวเหมือนกัน ฉันระหว่างที่รอฉันแทบจะคิดถึงแต่เรื่องพี่โจตลอดเวลาเลย แทบจะไม่ได้นึกถึงพี่แพรวเลยแม้แต่นิดเดียว จนวินาทีนั้นพี่แพรวก็มาถึงคุณป้าวิ่งเข้าไปสวมกอดพี่แพรว แล้วภาพที่ฉันเห็นในตอนนี้คือมีผู้ชายรูปร่าง บุคลิก กิริยาที่ฉันคุ้นเคยเดินตรงไปที่พี่แพรวไปถือของให้ เค้าดูสนิทสนมกัน เค้ารักกันดีและเค้าคนนั้นก็คือพี่โจ คนที่ฉันกำลังจะเอากุหลาบไปให้เค้าในวันพรุ่งนี้ ฉันจุกจนพูดไม่ออกฉันน้ำตาเริ่มคลอ และตอนนี้สมองฉันเหมือนไม่มีอะไรเลย มันดูว่างเปล่า ไม่มีความคิด ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น จนพี่โจ พี่แพรว แล้วก็คุณป้าเดินมาหาฉัน "ว่าไงจ๊ะ กระแตโตเป็นสาวเลยนะเรา" พี่แพรวยิ้มให้ฉัน "อ๋อค่ะ"

      ฉันยิ้มให้พี่แพรวและยิ้มให้พี่โจ โดยที่จิตใจฉันเหมือนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว "รู้จักกันรึยัง นี่โจแฟนพี่จ๊ะ" แฟน แฟน แฟน ตอนนี้ฉันหูอื้อและรู้สึกสับสนกับตัวเองอย่างมากมาย ฉันกำลังกลั้นน้ำตาของฉันที่มันกำลังจะไหลออกมา ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนโดยที่ฉันอ้างไปว่าการบ้านเยอะ ไม่สามารถไปร่วมฉลองกับพี่แพรวได้ ฉันกลับมาถึงบ้านฉันแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาฉันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่ฉันรู้คือมันยังไหลไม่หยุด และมันยังคงไหลต่อไปเรื่อยๆ ฉันขึ้นไปบนห้องนอนฉันหยุดยืนมองดอกกุหลายสีแดงช่อนั้นอย่างหมดหวัง ฉันถามตัวเองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่การหลอกลวงหรือมันเพียงแค่การคิดไปเองของตัวฉัน ฉันคงคิดไปเองจริงๆกับทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ฉันคงหลอกตัวเองโดยที่ลืมนึกถึงความจริง ฉันเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของพี่แพรว ฉันเปิดลิ้นชักออกฉันเห็นอัลบั้มรูปสีขาวนวล ฉันหยิบมันขึ้นมาเปิดดู มันเป็นภาพของพี่โจกับพี่แพรวถ่ายด้วยกัน ฉันรู้สึกว่าเราเค้ารักกันดีจังน่าอิจฉา คนอย่างฉันคงไปแทนที่พี่แพรวเค้าไม่ได้แน่นอน เพราะยังไงฉันก็เป็นฉัน ฉันก็คงไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นพี่แพรวได้ เค้าก็โชคดีแล้วที่รักกัน ฉันก็คงจะต้องเป็นคนที่ต้องมานั่งเสียใจ นั่งร้องไห้แบบนี้  เหมือนที่ผู้ใหญ่เค้าบอกกันว่า เด็กสมัยนี้มันริอาจมีความรักก่อนวัยอันควร มันก็จะชอกช้ำเป็นธรรมดา ตอนนี้ทำให้ฉันรู้ว่าความรักที่ทุกคนพูดถึงกันหนักหนา และเป็นสิ่งที่หลายๆคนปรารถนาจะได้มันมาครอบครอง มันสามารถสร้างความสุข สร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะ คำๆนี้มันสามารถสร้างอะไรได้หลายๆอย่าง และคำนี้นี่เองก็สามารถสร้างได้แม้แต่กระทั่งน้ำตา....

       ฉันนอนคิดอะไรต่างๆนานา บนเตียงของฉันและมันก็จะไม่ใช่เตียงของฉันแล้ว เจ้าของเค้ากำลังกลับมา กลับมาเอาทุกสิ่งที่เป็นของเค้ากลับไป ฉันก็เป็นเพียงแค่เจ้าของชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของตัวจริง ฉันเหลือบไปเห็นหนังสือดอกไม้และกลอนของฉัน ฉันเอื้อมไปหยิบมาอ่านอีกครั้งกับบทสุดท้าย "บทที่ 5 บทสรุป ต้องถือว่าการอ่านมาถึงบทนี้ท่านผู้อ่านคงมีความมานะทำให้รักสำเร็จอย่างรุนแรง ทุกวิธีที่บอกไปเป็นเพียงแค่การสมานสัมพันธไมตรีเล็กๆน้อยๆเท่านั้น การที่เราจะทำให้ใครรักสักคน มันต้องเป็นการกระทำที่เราทำมาจริงๆ จากใจของเราจริงๆ ไม่ต้องเสแสร้งกับเรื่องต่างๆไม่ว่าจะคำพูด บุคลิก กิริยาท่าทางต่างๆ ล้วนต้องเป็นตัวของตัวเอง เค้าคนนั้นถึงจะรักเราแบบที่เราเป็นเรา แต่หากว่าไม่ประสบผลสำเร็จกับความรักก็ขอให้ท่านนั้นคิดซะว่าตัวเองยังได้กำไรกับการได้รักใครสักคนหนึ่ง แม้เค้าจะไม่หันมามองความรักนี้ก็ตาม...."

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×