ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] TO YOU : Myungsoo x Sungjong (ft.WooYeol) (ภาครีไรทฺ์)

    ลำดับตอนที่ #3 : C H A P T E R 3

    • อัปเดตล่าสุด 2 ม.ค. 57


    Chapter 3

     











     

    ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องโถงใหญ่หลังจากบทสนทนาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาจบลง  ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาอีก แม้ข้อสงสัยต่างๆนาๆจะกระจายไปทั่วความนึกคิดก็ตาม แต่ต่างคนต่างก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีโดยที่ไม่หลุดเสียงถามอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว





    “แล้วผม.....ควรลงมือเมื่อไหร่?”คำถามหนึ่งคำถามหลุดออกมาจากความคิดในรูปแบบของคำพูดหลังจากที่เงียบกันไปครู่หนึ่ง

    “เร็วๆนี้... แต่ครั้งนี้ฉันไม่แนะนำให้นายทำงานคนเดียวเหมือนครั้งก่อนๆ ... ฉันเชื่อในความสามารถของนายนะซองยอล แต่เพราะฉันไม่อยากให้มันพลาดแล้วพลาดอีก... ครั้งนี้มันจึงต้องมีตัวช่วยนิดหน่อย แต่รับรองได้ว่าหมอนั่นคงจะไม่ไปขวางมือขวางเท้านายอะไรมากหรอก”

    “สำหรับผมน่ะจะยังไงก็ได้...แล้วแต่ที่คุณอูฮยอนจะต้องการ”

    “พูดได้ดี ... เอาเป็นว่าครั้งนี้มันจะต้องรอบคอบมากๆ เพราะฉันไม่อยากให้คนของเราต้องตายกันหมดด้วยเหมือนกัน คนของฝั่งนั้นมีน้อยกว่าเราก็จริง แต่คนของฝั่งเรายังขาดประสบการณ์และความรอบคอบ และนี่คือเหตุผลที่ฉันเรียกนายกลับมา แม้ว่ามันจะเสี่ยงเรื่องคดีเดิมที่ยังไม่เคลียร์ก็เถอะ”

    อูฮยอนพูดถึงเหตุผลของตน ยอมรับว่าเขาเองก็กังวลไม่น้อยกับความเสียเปรียบของคนฝั่งตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เรียกตัวซองยอล ซึ่งเป็นเหมือนความหวังสุดท้ายกลับมาอีกครั้ง

    หากเป็นไปได้ ตัวอูฮยอนเองก็อยากเลือกที่จะลงมือเอง เพราะนี่คือความแค้นส่วนตัวของเขาโดยตรง แต่ปัญหารอบด้านนั้นมันมากมายเกินที่ตัวเขาคนเดียวจะรับไหว จึงต้องชักพาให้คนรอบกายเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้อง แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่เขามีคนที่ยอมทุ่มเทและน่าไว้วางใจอย่างซองยอลมาอยู่ใต้อาณัติ แม้เรื่องราวในอดีตของซองยอลยังคงเป็นความกังวลและทำให้เขาหวั่นใจอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยระยะเวลานั้นก็สามารถยืดเยื้อให้สถานการณ์มันเบาลงตามคาดการณ์

    “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะครับ อย่างน้อยที่วันนี้ผมผ่านด่านจากสนามบินมาได้ มันก็นับว่าได้ผลอยู่เหมือนกันที่คุณส่งผมไปอยู่ที่นิวยอร์กถึง 3 ปี”ซองยอลพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ เขาไม่เคยจะใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น ต่อให้อีกฝั่งจ้องที่จะเอาผิดเขามากขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสามารถลงมือทำอะไรได้เพราะต่างฝ่ายต่างยืนอยู่ในจุดยืนที่เหมือนกัน ไม่มีใครดีไปกว่าใคร

    “งั้นก็วางใจได้เปราะหนึ่งล่ะนะ ฉันเองก็หวังว่าทุกอย่างมันจะราบรื่น”

    “แล้วครั้งนี้ ผมจะต้องร่วมงานกับใครครับ?”

    “ก่อนหน้านั้นฉันมอบหมายให้วอนชิกทำงานนี้ หมอนั่นฉลาดนะแต่ฝีมือยังคงมี่อะไรพิเศษเลยได้แต่คอยวางแผนอยู่เบื้องหลัง หมอนั่นเหมาะที่จะเป็นสมองมากกว่ามือ เพราะงั้น ฉันเลยคิดว่าถ้าเอานายและวอนชิกมาร่วมงานกัน  ทุกอย่างมันอาจจะลงตัว”อูฮยอนพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจซึ่งซองยอลเองก็เข้าใจดีในสิ่งที่อูฮยอนพูดและยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอมาอย่างไม่มีเงื่อนไข

    “ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าจะต้องร่วมมือกับใคร ก็แล้วแต่คุณอูฮยอนจะเสนอมาเถอะครับ”

    “ฉันดีใจนะที่นายเข้าใจ ครั้งนี้ฉันคาดหวังไว้มากเพราะอย่างให้ทุกอย่างมันจบลงให้เร็วที่สุด”

    “ผมจะไม่ทำให้คุณอูฮยอนต้องผิดหวังแน่นอน”

     

     

    น้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความเอาจริงเอาจังเอ่ยขึ้นด้วยความสัตย์จริง และแน่นอนว่าคนที่เป็นผู้ฟังนั้นก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้น อูฮยอนยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงว่าพึงพอใจกับคำพูดของอีกฝ่าย สมแล้วกับที่เขาเชื่อมั่นและไว้วางใจบุคคลตรงหน้านี้มาตลอด อูฮยอนเชื่อว่าซองยอลเป็นคนที่พูดจริงทำจริงตลอด เพราะเวลาได้เป็นตัวชี้วัดให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ความภักดีที่อีซองยอลมีต่อเขาและครอบครัวของเขานั้นไม่เคยลดลง

     

    “ฉันเชื่อว่านายจะไม่มีวันทำให้ฉันผิดหวัง... ซองยอล....”

     

    น้ำเสียงจริงจังดังชัดก้องอยู่ในโสตประสาทของผู้รับฟังอย่างชัดเจน  และซองยอลเองก็ น้อมรับความเชื่อใจนั้นด้วยคำสัญญามั่นที่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ต้องการอย่างแน่นอน เพียงแค่เอ่ยปากขอมา

     

     

    “ผมจะทุ่มเท... ด้วยชีวิต..”

     

     

     

     

    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นัมอูฮยอนจะไม่มีวันผิดหวัง ตราบใดที่อีซองยอลยังอยู่ตรงนี้....

     

     

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - To You :: Chapter 3 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

    ปัง !

    บันไดสูงที่ม้วนเกลียวขึ้นไปด้านบนของตัวอาคารส่งเสียงกระทบดังก้องไปทั่วบริเวณเมื่อมีผู้มาใช้งาน  เสียงฝีเท้าที่แสดงถึงความรีบเร่งยังคงดังขึ้นไม่หยุดหย่อนหลังจากได้ยินเสียงปืนดังสนั่นจากชั้นบนสุดของหอพักผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมชื่อดังแถบชานเมือง

    มือทั้งสองกระชับปืนสั้นคู่กายแน่นก่อนจะวิ่งรุดหน้าขึ้นไปด้านบนเพื่อตามเสียงนั้น ประตูบานใหญ่ของห้องรับรองในชั้นบนสุดถูกปิดล็อกไม่สามารถเปิดได้ด้วยมือ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เท้าของทั้งสองชีวิตที่เพิ่งวิ่งเต็มสปีดขึ้นมาจากด้านล่างก็ต้องมาออกแรงยันให้บานประตูตรงหน้านั้นเปิดออกโดยเร็ว

    ชายวัยกลางคนซึ่งมีตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนถูกพบเป็นศพนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่กลางห้อง ดวงตาสองคู่เบนจากภาพศพตรงหน้านั้นก่อนจะหันไปหาใครอีกคนที่กำลังยืนสั่น นัยต์ตาสีนีลเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่นทั้งที่มือทั้งสองข้างเปื้อนเลือด

    “คุณโฮวอน !

    เสียงเรียกจากหนึ่งในสองคนที่พังประตูเข้ามาในห้อง เจ้าของชื่อหันมาหาอีกฝ่ายพร้อมกับสีหน้าซีดเผือด

    “....ฉัน...”

    “รีบออกจากที่นี่กันเถอะครับ ก่อนที่ตำรวจจะมากัน” ยังไม่ทันฟังอีกฝ่ายพูดจบก็รีบคว้ามือของอีกฝ่ายเพื่อดึงตัวให้ออกจากห้อง แต่ไม่เป็นไปตามคาดเพราะคนที่เขาพยายามจะดึงมือให้ออกไปพร้อมกันนั้นยังคงยืนนิ่งไม่ไปตามแรงดึง

    “คุณโฮวอนออกไปตามที่ฮยองเขาบอกเถอะครับ ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังพวกเราถูกคิดว่าเป็นฆาตกรแน่” หนึ่งในอีกคนที่ขึ้นมาพร้อมกับใครอีกคนพูดบอกกับอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

    “พวกนายเชื่อฉันใช่ไหม...ว่าฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าคุณลุง” โฮวอนถามชายทั้งสองด้วยน้ำเสียงสั่น

    “......ไม่ต้องห่วงนะครับ พวกเราเชื่อคุณโฮวอนแน่นอน... เพราะงั้นผมถึงบอกให้เรารีบหนีไงครับ”

    “.... ฉันไม่หนี... ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ ตำรวจก็ต้องเชื่อเราสิ”

    “แต่ตอนนี้สถานการณ์มันไม่ใช่แบบที่คุณคิดครับ มือของคุณเต็มไปด้วยเลือด มันยากที่ใครจะเชื่อ... ได้โปรดครับ เชื่อพวกผม หนีออกไปจากที่นี่เถอะครับ”

    “ใช่ครับคุณโฮวอน ทำตามที่ฮยองเขาบอกเถอะครับ”

    “มยองซู... แต่ว่าฉัน...”

    มยองซูพูดสมทบเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับพี่ชายอีกคนที่มาด้วยกัน เพราะสถานการณ์ตอนนี้ทางฝั่งของพวกเขามีโอกาสที่จะตกเป็นจำเลยมากกว่าโจทก์ จึงทำให้พวกเขาจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ...นั่นคือการหนี

     

    “ไม่ต้องหนีก็ได้มั้ง... ก็ตายกันซะที่นี่ตรงนี้เลยสิ...”

    ใครอีกคนก้าวเข้ามาในพื้นที่ห้องแบบไม่ได้รับเชิญ ดวงแข็งกร้าวอาบไปด้วยน้ำตาที่นองเป็นสาย หากแต่แฝงไปด้วยความเคียดแค้น ผู้มาใหม่เดินตรงเข้ามาหาทั้งสามชีวิตพร้อมหันปากกระบอกปืนไปที่บุคคลที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างอีโฮวอน..

    “อูฮยอน.....”

    “แกฆ่าพ่อฉันทำไม !!! ไอ้เพื่อนนรก !

    “ฉันไม่ได้ฆ่านะ....พ่อแกจะยิงฉัน..เราแย่งปืนกัน แล้วปืนมันก็...”โฮวอนหยุดคำพูดของตัวเองไว้เพราะไม่อยากพูดต่อเพราะมันทำให้เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้มันจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจก็ตาม

    “แกโกหก ! เพราะแกอยากได้หุ้นส่วนจากบริษัท enjoy group ทั้งหมดใช่ไหมแกถึงได้ทำแบบนี้... คนอย่างแก มันก็แค่เห็นอำนาจของเงินเป็นที่ยึด เหมือนกับพ่อของแกไง !” อูฮยอนประกาศกร้าวพร้อมกับเหนี่ยวไกปืนในมือทันทีด้วยอารมณ์โทสะและหมายจะเอาชีวิตคนตรงหน้า

    ร่างของเป้าหมายถูกกดให้หมอบลงกับพื้นโดยใครอีกคนและหลังจากนั้นโฮวอนก็ถูกฝากให้มยองซูช่วยดูแล ส่วนคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้เมื่อครู่นี้ก็รีบวิ่งออกไปอีกทางเพื่อจัดการกับคนขาดสติอย่างนัมอูฮยอน

     

    เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วชั่วพริบตาหลังจากที่ผละออกจากการปกป้องผู้เป็นนาย ด้วยความเร็วที่มีมากกว่านั้นก็ทำให้เขาเข้าถึงตัวอูอยอนได้ไม่ยาก และเหมือนจะโชคเข้าข้างเพราะช่วงเวลานั้นอูฮยอนกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

     

    ปัง !

    แต่ทว่าก็ชั่วพริบตาอีกเช่นกันที่ร่างกายของใครคนหนึ่งทรุดลงกับพื้น ทั้งๆที่เขาต้องการแค่แย่งปืนจากมือของอีกฝ่ายก็เท่านั้นไม่ได้หมายจะทำร้ายอะไรไปมากกว่า นั้น

     

    “ห้ามเข้าใกล้คุณอูฮยอนเกิน  1 เมตรนะ....”เจ้าของกระสุนนัดแรกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น เพราะถูกเล็งยิงใกล้บริเวณหน้าอกซ้าย ทว่า..ลมหายใจของอีกฝ่ายยังคงมีอยู่หากแต่ไม่มีแรงขยับไปไหนก็เท่านั้น

    “สวัสดียามบ่าย...คุณมือขวา” ใครอีกคนพูดพลางลดปากกระบอกปืนลงต่ำลงไปหาคนที่ทรุดตัวอยู่บนพื้น

    “แก...ซองยอลสินะ...”

    “ขอบคุณที่จำชื่อฉันได้...แต่ว่านะ....ฉันว่าเดี๋ยวสักพักนายคงลืม”

    “...............................”

    ปัง !

     

     

     

    ฮยอง !!!!!!!!!

     

     

    ร่างที่เคยนอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวเด้งตัวลุกขึ้นพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น เม็ดเหงื่อเกาะพราวไปทั่วทั้งใบหน้าของคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายจนท่วม เมื่อภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายในอดีตผุดขึ้นมาอีกครั้งจากความฝัน

    อี ซองยอล....

     

    “ฝันร้ายรึไงน่ะ...?”

    เจ้าของห้องที่ได้ยินเสียงตะโกนเมื่อครู่รีบเดินออกมาจากอีกมุมห้องพร้อมเอ่ยถามคนที่กำลังนั่งหน้าตื่นอยู่ที่โซฟาด้วยความเป็นห่วง แต่ดูเหมือนคนที่ถูกสงสัยว่าฝันร้ายนั้นก็ยังคงเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไร

    “ไหวรึเปล่าน่ะ ถ้านายไม่สบาย ฉันจะได้บอกให้มินอูไปส่งแทน”

    “ผมไม่เป็นไร.....แล้วนี่คุณซองจงจะไปไหนครับ?”

    “ก็ไปโรงเรียนไง ฉันใส่ชุดนักเรียนขนาดนี้นายยังจะถามอีก ...นี่ตื่นหรือยัง??” ซองจงพูดพลางยืนกอดอกมองคนที่ดูเหมือนจะเบลอเหมือนคนยังไม่ตื่น

    “แต่เท้าคุณเจ็บอยู่นะ....จริงๆวันนี้ผมคิดว่าคุณไม่ควรที่จะไปโรงเรียน”

    “แต่ฉันคิดว่าวันนี้ฉันควรจะไป”

    ซองจงพูดตัดบทคำพูดที่เหมือนพยายามจะคัดค้านการตัดสินใจของเขาพร้อมกับหันหลังให้กับอีกฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนาต่อไป เขาไม่อยากจะเถียงอะไรกับใครอีกเพราะไม่อยากจะทำให้อารมณ์ของตัวเองต้องขุ่นมัวตั้งแต่เช้า

    ซองจงใช้เวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างนานกว่าปกติที่เคยเป็น สาเหตุทั้งหมดก็คงจะหนีไม่พ้นอาการปวดที่ข้อเท้าที่ยังไม่บรรเทาลงสักเท่าไหร่  ไม่ว่าจะเดินไปหยิบจับอะไรก็เป็นต้องเอื่อยเฉื่อยไปเสียหมด ผิดกับใครบางคนที่ตื่นสายกว่าเขาแต่กลับอาบน้ำแต่งตัวเร็วเป็นจรวดแถมยังหนีเขาลงไปชั้นล่างก่อนเสียอีก

     

     

    ความทุลักทุเลในการเดินเท้านั้นยังคงเป็นเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดตั้งแต่เมื่อคืนวานตั้งแต่การตื่นนอนลุกไปอาบน้ำไปจนถึงการเดินลงบันไดลงมาทานข้าวด้านล่าง แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความดื้อรั้นของคนเจ็บเองที่ดึงดันจะไปโรงเรียนทั้งๆที่ก็สามารถลาหยุดได้จนกว่าขาจะหาย และเพราะเหตุนี้เองอีซองจงจึงไม่สามารถเอ่ยปากบ่นอะไรกับความลำบากนี้ได้นอกจากกัดฟันทนและทำในสิ่งที่ตัวเองเลือกเองโดยที่บ่นไม่ได้

     

    “ถ้าอีก 10 นาทีพวกเรายังไม่ได้ออกจากบ้าน คุณจะไปเรียนสายนะครับ”น้ำเสียงที่คุ้นเคยบอกเตือนแต่กลับถูกอีกฝ่ายถลึงตาใส่เป็นเชิงว่าไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่ง

    “คนขาเจ็บอยู่นายเห็นไหม? “

    “ก็ผมถึงได้บอกไงว่าคุณไม่ควรไปโรงเรียน”

    “วันนี้ชมรมดนตรีมีการแสดงร่วมกับงานละครเวที ถ้าฉันไม่ไป จะไม่มีใครเล่นเปียโน” ซองจองตอบอีกฝ่ายพร้อมกับค่อยๆเคลื่อนตัวเองมาจนถึงตรงบันได มือเรียวจับราวเอาไว้แน่นแล้วค่อยๆเดินลงมาอย่างทุลักทุเล

    “อ้าวเฮ้ยมยองซู ทำไมแกยืนมองคุณซองจงเดินเกาะราวบันไดแบบนั้นวะ ขึ้นมาช่วยพยุงดิ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากชั้นลอยพร้อมกับใครอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง เจ้าของเสียงรีบเดินเข้ามาพยุงคนเจ็บที่กำลังเดินเกาะราวบันไดทันทีหลังจากส่งเสียงบ่นคนที่เอาแต่ยืนนิ่งทื่อไม่ทำอะไรอยู่ตรงปลายบันไดชั้นล่าง

    ส่วนมยองซูก็ยังคงยืนมองอยู่แบบนั้นเพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องเดินขึ้นไปพยุงคนเจ็บอีกต่อไป ยิ่งแล้วไปกว่านั้นเจ้ากลับเดินหันหลังหนีออกไปจากที่ตรงนั้นราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรในเรื่องที่ใครอีกคนพูดเลย

    “ขอบใจนะมินอู จริงฉันเดินเองได้นะ ถึงมันจะช้าหน่อยก็เถอะ” ซองจงขอบคุณคนที่ช่วยพยุงเขาเดินมาจนถึงชั้นล่าง มินอูยิ้มรับพร้อยส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแค่นี้ผมยินดีช่วย อีกอย่าง ถ้าคุณซองจงไปสาย การแสดงละครเวทีที่โรงเรียนก็อาจจะล่าช้าลงไปด้วย เจ้านั่นมันไม่รู้อะไรหรอกถึงได้เอาแต่ยืนทื่อไม่ยอมช่วยเหลืออะไร”มินอูแอบบ่นเพื่อนร่วมงานของตัวเองเล็กน้อย

    “มันคงไม่ใช่เรื่องที่เขาควรใส่ใจล่ะมั้ง.... แต่ก็ช่างเถอะ ... ขอบคุณนายอีกครั้งนะ ฉันจะไปโรงเรียนแล้วล่ะ เจอกันตอนเย็น” ซองจงพูดพร้อมยิ้มและโบกมือให้อีกฝ่ายแล้วค่อยๆเดินออกจากบ้านไป

     

    บรรยากาศภายในรถไร้ซึ่งเสียงพูดคุย อันที่จริงมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้บรรยากาศรอบตัวมันแลดูจะอึดอัดมากกว่าที่ผ่านมาก็เท่านั้น

    แน่นอนว่าซองจงสัมผัสได้ถึงความอึดอัดนี้ได้เป็นอย่างดีเขาจึงเลือกที่จะหยิบหนังสือในกระเป๋าเป้ขึ้นมาอ่านเพื่อลดความตึงเครียดรอบตัว แม้จะจำได้ว่าเคยถูกพี่ชายดุอยู่หลายครั้งว่าไม่ควรอ่านหนังสือเวลาอยู่บนรถเพราะมันจะทำให้เวียนหัวและสายตาเสียก็เถอะ

    “อ่านหนังสอในรถระวังจะเวียนหัวเอานะครับ”

    คิดในใจได้ยังไม่ทันจบก็ถูกดุจริงๆตามที่คิด ถึงแม้ว่าเจ้าของคำพูดจะไม่ใช่คำพูดของพี่ชายเขาก็ตาม แต่ซองจงก็เลือกที่จะนั่งเงียบยอมเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าตามเดิมทั้งที่ในใจนั้นอยากจะสบถระบายความหงุดหงิดออกมามากแค่ไหนก็ตาม จริงๆเขาไม่ได้เป็นคนเอาแต่ใจถึงขนาดว่าไม่ยอมเชื่อฟังที่ใครต่อใครพูดเตือน แต่ในบางครั้งซองจงก็คิดว่าเขาควรจะได้รับอิสระในการทำเรื่องเล็กน้อยๆบ้าง เพราะทุกวันนี้ในการใช้ชีวิตประจำวันของซองจงนั้นเหมือนกับถูกจำกัดให้เหลือแค่เท่าห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เขาไม่สามารถทำอะไรได้อย่างอิสระเวลาที่ออกมาสู่โลกภายนอก

    แต่ก็เข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วง...

    เพราะเหตุผลนี้ ซองจงถึงได้เลือกที่จะเงียบและไม่พูดเถียงอะไรในเวลานี้…..

     

    พวกเขาใช้เวลาไม่มากนักในการเดินทางมาถึงที่โรงเรียน ซองจงโล่งใจไม่น้อยที่ตัวเองมาถึงที่โรงเรียนก่อนจะถึงเวลาละครเวทีเริ่มแสดงประมาณยี่สิบนาที เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีเวลาเตรียมตัวมากพอสำหรับการเตรียมงานอะไรหลายๆอย่าง

    “วันนี้โรงเรียนเลิกครึ่งวันใช่ไหมครับ?” สารถีคนเดิมเอ่ยถามคนที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ

    “อื้ม วันนี้เรียนแค่ครึ่งวันเพราะมีกิจกรรม”

    “อย่าออกมาข้างนอกก่อนที่ผมจะมารับนะอีกนะครับ”เอ่ยกำชับกับอีกคนเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าเหตุการณ์อันตรายต่างๆนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกในยามที่เขาไม่อยู่

    “รู้แล้วน่า ! ไปก่อนนะ”

     

    ซองจงแยกตัวเดินไปอีกทางด้วยความเร่งรีบ ส่วนมยองซูก็แยกตัวขับรถออกมาจากด้านนอกอาคารเพื่ออกไปด้านนอก เสียงเมจเสจข้อความจากโทรศัพท์มือถือบางเฉียบดังขึ้นหลังจากที่เขาออกจากโรงเรียนมัธยมได้ไม่กี่นาที

     

    From   :  KWS

    อี ซองยอล กลับมาแล้ว

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - To You :: Chapter 3 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    ร้านกาแฟชื่อดังถูกใช้เป็นสถานที่รอเวลาหลังจากต้องนับเวลาถอยหลังไปอีกราวๆห้าถึงหกชั่วโมงจนกว่าจะถึงเวลาบ่าย และนั่นถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้เลยว่า คิม มยองซูยังมีเวลาอีกมากในการคิดอะไรหลายๆเรื่องระหว่างที่รออี ซองจงเลิกเรียนในภาคบ่าย

    ตั้งแต่ที่มยองซูได้รับข้อความฉบับนั้นเขาก็คิดมาตลอดในระหว่างทางที่ขับรถมาที่ร้านกาแฟนี้ว่าต่อไปเขาควรที่จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เดิมๆนั้นซ้ำรอยกับอดีต ซึ่งมันเป็นเรื่องเก่าๆที่ตัวเขาเองไม่อยากที่จะเก็บกลับมาคิดอีกครั้งหากเป็นไปได้

    เขาต้องแยกให้ออก ระหว่าง....

    หน้าที่... ความรัก และ....

     

     

    ความแค้น

     






     

    Calling  :  LEE HOWON



    เสียงเรียกเข้าดังขึ้นหลังจากที่มยองซูนั่งจิบกาแฟพร้อมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย บนหน้าจอมือถือขนาดเหมาะปรากฏชื่อของผู้โทรเข้าไว้อย่างชัดเจนจนทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธสายของผู้ที่โทรเข้ามา


    “สวัสดีครับคุณโฮวอน”

    กดรับพร้อมพูดกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพตามปกติ มยองซูแปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้คุณโฮวอนโทรมาหาเขาตั้งแต่เช้าทั้งๆที่ปกติมักจะโทรหาเขาในช่วงเย็น เพื่อถามความเรียบร้อยเกี่ยวกับคุณซองจงผู้เป็นน้องชาย

    นายอยู่ไหนน่ะ... สะดวกที่จะคุยหรือเปล่า?

    “สะดวกครับ... ผมเพิ่งส่งคุณซองจงเสร็จครับ กำลังนั่งรอคุณซองจงอยู่ที่ร้านกาแฟใกล้ๆกับโรงเรียน”

    ได้รับข้อความจาก สาย แล้วใช่ไหม?.... ปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

    “ได้รับแล้วครับ”

    อีก 15 นาทีแนจะไปถึงที่นั่น ... พอดีมีเรื่องจะคุยด้วย

     

    ยังไม่ทันที่มยองซูจะตอบรับอะไรปลายสายก็วางลงไปเสียดื้อๆ และเพราะเป็นแบบนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะนั่งรอคุณโฮวอนอยู่ที่ร้านกาแฟนี้ต่อแทนที่จะออกไปที่อื่น สำหรับตัวมยองซูแล้ว ยอมรับได้เลยว่าเขามีอิสระมากกว่าคุณซองจงเป็นหลายสิบเท่า เขาสามารถจะออกไปไหนก็ได้ตามลำพังโดยที่ไม่ต้องกลัวอะไร

     

    เพราะความแค้นที่แน่วแน่ของ นัม อูฮยอน มันมุ่งไปแค่ซองจงคนเดียวเท่านั้น

     

    เพราะแบบนั้น  คิม มยองซู ถึงได้ไม่อยากห่าง อี ซองจง ไปไหนไกลๆ...

     

    สิบห้านาทีให้หลังใครอีกคนที่นัดเขาไว้ก็มาตรงเวลานัดไม่ผิดเพี้ยน  เจ้าของชุดสูทสีดำสนิทกำลังเดินเข้าในมุมหนึ่งของร้านซึ่งเป็นที่นัดหมาย โชคดีอยู่ไม่น้อยที่เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงเช้า จึงมักไม่ค่อยที่จะมีลูกค้าแวะมาใช้บริการอะไรมากมาย ซึ่งทำให้ง่ายต่อการสนทนาเรื่องราวที่เป็นความลับหรือพูดคุยในเรื่องส่วนตัวได้สะดวก

     

    “คุณโฮวอนรีบมาขนาดนี้ มันคงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากใช่ไหมครับ...เรื่องที่คุณจะบอกผม”

    “ระดับหนึ่ง... เรื่องนี้สำคัญต่อความรู้สึกของนายด้วย”

    “ความรู้สึก...ของผม?”

    มยองซูถามด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังได้รับฟัง ส่วนโฮวอนเองก็ได้แต่พยักหน้ารับยืนยันคำตอบ สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังกังวลกับเรื่องบางอย่าง

     

     

    “นายไม่ต้องคอยปกป้องซองจงแล้วก็ได้นะ....”

     

     

    ....










    TBC

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×