คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : C H A P T E R 2
เสียงปรบมือรัวดังสนั่นไปทั่วห้องโถงใหญ่ซึ่งใช้เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าผู้สนใจในธุรกิจในเครือ enjoy group เหล่าเจ้าของกิจการห้างดงต่างพากันมารวมตัวเพื่อเสนอพื้นที่ขายแก่ประธานบริษัทเพื่อหวังให้อีกฝ่ายเป็นตัวดึงดูดกำไร
Enjoy group เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเด็กตั้งแต่วัยเริ่มหัดเดินไปจนกระทั่งวัยรุ่นอายุเลยเลขสิบ พวกเขาผลิตสินค้าออกมาเพื่อสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการเสริมสร้างพัฒนาการสมองแบบก้าวกระโดด มันไม่ใช่แค่เพียงของเล่นธรรมดาที่สามารถหาซื้อหรือทำออกมาเลียนแบบได้เหมือนตามที่ขายในท้องตลาดทั่วไป แต่สินค้าของ enjoy group นั้นแฝงไปด้วยลูกเล่นที่แปลกใหม่และแปลกตา จึงทำให้ค่อนข้างจะเป็นที่สนใจแก่ผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กๆเหล่านั้น
วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันประสบความสำเร็จในเปิดตัวสินค้าในเครือ enjoy group แน่นอนว่าย่อมมีแขกมากมายมาร่วมงานอยู่ไม่น้อย เพราะในสังคมธุรกิจย่อมมีการแข่งขันอยู่เสมอ หากต้องการที่จะเป็นผู้รอด ก็จำเป็นต้องผูกมิตรกับผู้อื่นเอาไว้ให้มาก เพื่อที่จะได้มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อไปในอนาคต
แต่อาจจะช่วยเหลือกันแค่ในระยะสั้นๆเท่านั้นล่ะนะ....
“ยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้นะครับคุณโฮวอน ผมหวังว่าห้างของผมกับธุรกิจของคุณจะสามารถเข้ากันได้ดีในอนาคต” หนึ่งในผู้ร่วมลงทุนกล่าวในขณะที่เดินเข้ามาทักทาย โฮวอนโค้งให้เขาเล็กน้อยพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นครับ คุณแทฮวาน”
“อ่า..แล้ววันนี้น้องชายคุณไม่มาร่วมงานเปิดตัวธุรกิจนี้หรอครับ?”
“ซองจงไม่ค่อยสบายน่ะครับ แถมหกล้มที่โรงเรียนตอนเรียนวิชาพละจนขาเจ็บ เลยลงมาร่วมงานไม่ได้”
“แหมน่าเสียดายจัง ผมกะจะให้น้องชายคุณกับลูกสาวผมได้พูดคุยกันบ้าง อย่างน้อยก็คนรู้จักกันในวงธุรกิจ” แทฮวานพูดเป็นเชิงว่าเสียดายพร้อมยกเรื่องต่างๆนานาขึ้นมาพูดอีกสองถึงสามเรื่อง โฮวอนได้แต่ยืนรับฟังอีกฝ่ายพูดต่อไปอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรใครไปมากมาย อันที่จริงเขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะพูดคุยกับใครๆด้วยซ้ำ แต่ติดที่ว่าทั้งหมดนี้คืองานและหน้าตาของสังคมที่เขาจำเป็นต้องอยู่ มันจึงทำให้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงอะไรได้
โฮวอนคิดว่าดีเสียอีกที่ซองจงน้องชายของเขาไม่ลงมาร่วมงานเลี้ยงฉลองด้านล่าง เพราะผู้คนที่มาร่วมงานนั้นบางคนก็เอาแต่คิดเรื่องเงินเรื่องทอง บางคนก็คิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ อี โฮวอนฉลาดมากพอที่จะเดาอุปนิสัยของแต่ละคนจากลักษณะคำพูดจา ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานมันบอกกับเขาว่า บุคคลประเภทไหนคือประเภทที่ไว้ใจได้หรือไม่ได้
บทเรียนราคาแพงจากเมื่อ 4 ปีก่อนสอนให้เขาตระหนักมาจนถึงทุกวันนี้....
โฮวอนพาตัวเองเดินออกจากบริเวณเดิมทันทีหลังจากพูดคุยกับปาร์คแทฮวานไปพอหอมปากหอมคอ เขาเดินทักทายกับผู้ร่วมงานคนต่อๆไปราวกับไม่มีความเหน็ดเหนื่อยทั้งๆที่ในความจริงนั้นมันตรงกันข้าม ปีนี้มีหลายบริษัททีเดียวที่เข้ามาร่วมลงทุนกับ Enjoy group ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายที่เขาหวังเอาไว้ในอนาคตนั้นย่อมจะบรรลุผลดีตามที่หวัง
ครอบครัวของโฮวอนในตอนนี้มีกันแค่เขาและซองจงซึ่งเป็นน้องชายแค่สองคนเท่านั้น ธุรกิจทุกอย่างที่เหลือไว้จึงตกเป็นหน้าที่ของอี โฮวอน ซึ่งเป็นลูกชายคนโต ซึ่งหน้าที่นั้นคือการช่วยดูแลและสานต่อกิจการทั้งหมดของครอบครัว
นอกจากบริษัท Enjoy group ที่เพิ่งจะได้รับความสนใจในตอนนี้แล้ว ตระกูลอี ยังมีกิจการโรงเรียนมัธยมแถบชานเมืองที่เปิดสอนได้ราวๆเจ็ดปีเศษ ซึ่งโรงเรียนมัธยมแห่งนี้เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นถึงมัธยมปลาย และในปัจจุบันโรงเรียนแห่งนี้ก็ยังเป็นโรงเรียนที่ซองจงน้องชายของเขาเรียนอยู่อีกด้วย
ถึงแม้ในความเป็นจริงซองจงนั้นจะเลยวัยที่จะเรียนมัธยมปลายไปแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย เขาจึงจำเป็นต้องให้ซองจงเรียนที่นั่นเพราะง่ายต่อการดูแลและไม่ไกลหูไกลตา แต่อีกนัยหนึ่งก็เหมือนกับเขาได้มอบหมายให้ซองจงดูแลกิจการในโรงเรียนไปด้วยเหมือนกัน
เขาไม่อยากจะโทษใครคนอื่นว่าเป็นคนผิดที่ทำให้ซองจงต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย สิ่งที่โฮวอนทำได้ในตอนนี้คือเพียงแค่ให้ความปลอดภัยแก่ซองจง และทำให้เรื่องแย่ๆทุกอย่างมันจบลงโดยเร็ว
รอพี่อีกหน่อยนะ ซองจง....
อีกด้านหนึ่งของใครอีกคนที่อยู่ชั้นบน ดวงตาเรียวมองลงมาที่สนามหญ้าชั้นล่างซึ่งตอนนี้มันถูกจัดเป็นซุ้มอย่างสวยงามเพื่อรองรับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มาร่วมงานเลี้ยง สายตาได้เพียงแต่เหม่อมองไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดรวมสายตา เขามองเห็นแต่เพียงความวุ่นวายของเหล่าแม่บ้านที่อยู่ด้านล่างที่กำลังง่วนอยู่กับการเสิร์ฟอาหารให้กับแขกแต่ละโต๊ะ มองเห็นเหล่าท่านคุณหญิงจากแต่ละบริษัทกำลังนั่งจับกลุ่มกันพูดคุยเรื่องราวๆต่างๆตามประสาหญิงวัยกลางคน หากแต่สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลยนั่นคือความจริงใจของแต่ละบุคคลที่มาที่นี่
ทุกคนหวังแค่ต้องการจะร่วมธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
“ไม่คิดที่จะลงไปร่วมงานข้างล่างสักหน่อยหรอครับ...คุณซองจง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกให้เจ้าของชื่อที่ยืนหันหลังอยู่ริมหน้าต่างต้องหันมา ซองจงส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่ค่อยอยากจะลงไปเท่าไหร่ งานนี้เหมาะสำหรับพี่โฮวอนมากกว่า ฉันลงไปคงฟังใครพูดไม่รู้เรื่อง”
“เมื่อกี้... ระหว่างที่ผมกลับเข้ามา มีคนถามหาคุณเยอะนะ มีหลายคนที่อยากจะเจอคุณ”
“อาจจะแค่ตามมารยาท บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันหน้าตาเป็นยังไง.... แล้วนี่เข้ามาในห้องคนอื่น ทำไมไม่เคาะประตูก่อน?” ซองจงพูดพลางถามอีฝ่ายที่จู่ๆก็เข้ามาในห้องโดยที่ไม่ยอมเคาะประตูก่อน
“ผมเคาะแล้วนะ แต่คุณไม่ได้ยินเอง แล้วนี่...ข้อเท้าของคุณ ..เป็นยังไงบ้าง?” พูดจบก็ตามด้วยการถามถึงอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าในช่วงเมื่อเย็นวันนี้
“ก็เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงได้ไม่ลงไปข้างล่าง... มันปวดน่ะ ถึงจะไม่มากก็เถอะ.. อีกอย่าง ที่ฉันไม่ลงไปข้างล่างก็เพราะว่า อย่างน้อยก็มีแค่ตอนที่ฉันอยู่บนบ้านนี่แหละ ที่ไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อน”ซองจงบ่นพลางเดินกะเผลกไปนั่งที่เตียง รู้สึกรำคาญตัวเองที่เดินไปไหนมาไหนค่อนข้างลำบากแต่ก็บ่นอะไรไม่ได้เพราะว่าสาเหตุทั้งหมดมันก็มาจากตัวเขาเองนั่นล่ะ
“นั่นมันทำให้ผมชินแล้วล่ะ”
“นี่นายยอมรับแล้วสินะ ที่ว่าฉันทำให้นายเดือดร้อนน่ะ” ซองจงพูดด้วยน้ำเสียงออกจะฉุนอีกฝ่ายนิดๆ
“เรื่องนั้นก็แล้วแต่คุณซองจงจะคิด....แต่ว่าตอนนี้น่ะ ผมว่าคุณควรที่จะทายาลดอาการปวดที่ข้อเท้านะ” พูดพลางเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายซึ่งนั่งอยู่ปลายเตียง มือด้านหนึ่งถือกล่องยาติดมาด้วยตั้งแต่เข้ามาในห้อง ซองจงเบ้หน้าเล็กน้อยเป็นเชิงว่าสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกับเขานั้นมันไม่จำเป็น
“วางกล่องไว้ที่โต๊ะตรงนั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันทาเอง ขาฉัน...ฉันทาเองได้....เดี๋ยวนายจะเดือดร้อนอีก”
“พูดแบบนี้ผมจะถือว่านั่นคืออาการงอนครับ” พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยและไม่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกแถมยังเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ปลายเตียงแล้วนั่งวงกับพื้น วางกล่องยาลง และเตรียมพร้อมที่จะลงมือทายาเองโดยไม่ฟังคำคัดค้านของคนเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่ได้งอนนะ นี่ ! คิม มยองซู นายควรจะฟังที่ฉันพูดบ้างนะ !” ซองจงพูดกับอีกฝ่ายพลางกำลังจะถอยหนีไปอยู่กลางเตียง แต่ติดที่ว่ามยองซูไวกว่าเลยใช้มือทั้งสองจับข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน
“อย่าพยายามจะขยับหนีเลยครับ เพราะคนที่จะเจ็บข้อเท้าก็จะเป็นคุณเองนั่นล่ะ.... แล้วก็เถือว่าเราหายกันเพราะวันนี้คุณเองก็ไม่ฟังคำเตือนของผมเหมือนกัน”
“มันไม่เหมือนกันนะ....โอ้ย เจ็บนะ นายบิดข้อเท้าฉันทำไมเนี่ย??” ยังไม่ทันที่จะบ่นจบซองจงแหวลั่นทันทีเมื่อถูกมยองซูจับพลิกข้อเท้าของเขาไปมา ส่วนอีกฝ่ายก็ยังคงไม่พูดอะไร ได้แต่จิตใจจดจ่อไปกับการนั่งทายา นวดข้อเท้าให้คนเจ็บอยู่ มืออุ่นบรรจงนวดเจลเย็นที่ใช้บรรเทาอาการปวดลงบนข้อเท้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือแล้วค่อยๆบีบนวดเบาๆเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย
การทายาให้คนเจ็บสำเร็จเสร็จลงอย่างราบรื่น แม้จะถูกปฏิเสธในช่วงแรกๆ แต่หลังๆซองจงก็ยอมที่จะยื่นขาให้คุณหมอจำเป็นนั้นนั่งทายาให้จนเสร็จ
“นี่...มยองซู ขอถามอะไรหน่อยสิ” ซองจงพูดขึ้นระหว่างที่อีกคนกำลังเก็บเจลเย็นลงไปในกล่องยา
“ว่ามาครับ” มยองซูตอบรับทั้งๆที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนถาม
“ทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”
“....................”
“ทำไมถึงต้องทำเพื่อฉันขนาดนี้ ทั้งๆที่มันก็ไม่จำเป็น”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมอีกครั้ง ใครอีกคนกำลังต้องการคำตอบจากสิ่งที่ตัวเองถามออกไป แต่ในทางกลับกัน ใครอีกคนยังคงเลือกที่จะเงียบเหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างทั้งที่ก็มีไม่กี่คำตอบอยู่ในหัว
แต่นั่นคือความลังเลต่างหากล่ะ....
มยองซูเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้ถาม ดวงตาสีนิลยังคงสงบนิ่งทั้งๆที่ในทางตรงกันข้าม ดวงตาสีน้ำตาลของซองจงนั้นเต็มไปด้วยแววตาของคนที่กำลังอยากรู้ในสิ่งที่ตนต้องการรู้
“ผมคิดว่าเรื่องนี่คุณซองจงน่าจะรู้อยู่แล้ว....”
“.......................”
“เพราะทั้งหมดนี้คือหน้าที่ของผมยังไงล่ะครับ”
คำตอบที่ได้ดูเหมือนจะทำให้ความรู้สึกของใครบางคนนั้นห่อเหี่ยวโดยไม่รู้ตัว... หน้าที่ อย่างนั้นสินะ ...เกือบลืมไปเลยว่าไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ถามอะไรทำนองนี้ออกไป ซองจงก็มักจะได้คำตอบแบบนี้กลับมาเสมอ
มยองซูลุกออกจากที่ที่เขาเคยนั่งเมื่อครู่ก่อนจะหยิบเอากล่องยาติดมือไปด้วย ห้องสี่เหลี่ยมกลับมาไร้เสียงพูดคุยอีกครั้งพร้อมกับกับใครอีกคนที่เดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไร ซองจงถูกทิ้งให้อยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้งหลังจากคิม มยองซูเดิมออกไปจากห้อง
นายบอกว่าทั้งหมดที่นายทำมันเป็นเพราะหน้าที่อย่างนั้นหรอ? นายบอกว่าเป็นหน้าที่ ทั้งๆที่คำตอบในแววตาของนายมันคนละความหมายกับสิ่งที่นายพูดออกมาอย่างนั้นน่ะหรอ? ...
ให้ตายเถอะคิม มยองซู ฉันเกลียดเหตุผลนี้ของนายเป็นบ้าเลย....
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - To You :: Chapter 2 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ณ ที่ซึ่งไม่มีคำว่าเวลาหลับใหลยังคงคลาคล่ำเต็มไปด้วยเสียงลมหายใจและเสียงพูดคุยของแต่ละบุคคล แม้จะมีเพียงไม่กี่สถานที่ที่ไม่สามารถปิดให้บริการได้ตามคำสั่งของรัฐบาลกลาง แต่สถานที่ซึ่งมีเพียงน้อยนิดนั่นเองก็ถือเป็นสถานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น
เสียงประกาศแจ้งเรียกผู้โดยสารยังคงดังสลับกันไปมาตามเวลาที่บอกไว้ตามบอร์ดดิจิตอลซึ่งแสดงตารางเที่ยวบินแต่ละเที่ยวที่กำลังจะเข้าหรืออออกนอกประเทศ ประตูทางเข้าถูกแบ่งเป็นโซนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการแม้บางวันผู้คนจะล้นหลามจนก่อให้เกิดความลำบากบ้างก็ตาม แต่แน่นอนว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ สถานที่แห่งนี้ก็คงมีผู้คนเข้ามาใช้บริการกันอย่างไม่ขาดสาย
สนามบินอินชอน
แม้จะน่าเบื่อกับการรอคอยการตรวจคนเข้าเมืองแค่ไหนก็ตามแต่นั่นก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีความน่าเบื่อนี้ได้พ้นกันสักราย กรรมวิธีที่แสนจะหลายขั้นตอนถูกดำเนินอย่างเนิบช้าเสียจนผู้โดยสารบางรายแทบจะยืนหลับไปทั้งยืนเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
เกือบครึ่งชั่วโมงที่ติดอยู่กับการตรวจสัมภาระต่างๆหลักจากลงเครื่องพร้อมด้วยขั้นตอนต่างๆตามแต่ที่ทางสนามบินจะกำหนดมาว่าให้ผู้โดยสารนั้นจะต้องทำอะไร ทุกคนล้วนต้องทำตามนั้นทั้งที่ในบางขั้นตอนนั้นใครหลายคนต่างก็คิดว่ามันไม่ค่อยจำเป็นนัก
เจ้าของแว่นตาสีชาเดินพ้นออกมาจกประตูผู้โดยสารขาเข้า เรือนผมสีดำสนิทถูกคลุมเอาไว้ด้วยฮูดสีดำเหมือนกับสีของเส้นผม สัมภาระทุกอย่างถูกลากออกมาด้วยกระเป๋าล้อเลื่อนก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมุ่งตรงไปยังประตูอัตโนมัติบานสุดท้ายเพื่ออกไปด้านนอกสนามบิน
เยื้องขวา ทิศตะวันตก ....
สายตาเรียบเฉยมองผ่านเลนส์แว่นมองตามข้อมูลที่ได้รับรู้มาก่อนหน้าที่จะมาถึงสนามบิน และหลังจากนั้นก็เดินตรงไปยังสิ่งที่มองเห็นทันที เอสเอสซี ทัวทาร่า รถสปอร์ตสัญชาติอเมริกันคันสีขาวสะอาดตาถูกจอดเทียบอยู่ริมฟุตบาตร ลักษณะรูปทรงอันแสนคุ้นเคยนั้นทำให้เขาแน่ใจว่าข้อมูลที่เขารับรู้มาก่อนหน้านั้นมันไม่ผิดเพี้ยน
ประตูรถดีไซน์สวยฝั่งตรงข้ามคนขับถูกเปิดออกหลังจากระบบปลดล็อกทำงานด้วยคำสั่งของคนที่อยู่ด้านใน สัมภาระจำพวกกระเป๋าถูกเก็บไว้ใต้เบาะรองนั่งเพราะพื้นที่ด้านในค่อนข้างจำกัดแต่นั่นก็ไม่ถือว่านั่นคือปัญหาอะไรที่จะต้องมาสนใจ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือออกจากบริเวณสนามบินที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนี้สักที และแน่นอนว่าบุคคลที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับเองก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการแบบนั้น
เงาสีขาวโลดแล่นสู่ท้องถนนด้วยความเร็วระดับปานกลางแต่ก็มากพอสำหรับที่จะทำให้รถยนต์ธรรมดาหลายๆคันนั้นต้องออิจฉา แอร์ในรถถูกปรับให้อยู่ในความเย็นที่พอเหมาะพอที่จะผ่อนคลายให้กับเจ้าของและผู้ที่นั่งโดยสารมาด้วย
“เดินทางเหนื่อยน่าดูเลยสินะ” ผู้เป็นคนขับถามขึ้นหลังจากขับรถออกจากสนามบินมาได้ครึ่งทาง
“ก็ตามที่เห็น...”
“หึ...หายไป 3 ปีนี่ยังพูดน้อยเหมือนเดิมเลยนะ ...แล้วอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ก็ดี เงียบดี...ไม่ค่อยมีอะไรวุ่นวายเหมือนที่นี่” คนถูกถามตอบออกมาพร้อมกับถอดแว่นตาสีชาที่บดบังดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นออก แม้จะไม่มีอะไรบดบังทัศนียภาพด้านหน้าแล้วก็ตาม ดวงตาสีสวยนั้นก็ยังคงมองแค่เพียงทางข้างหน้า ไม่แม้แต่จะสนใจสิ่งรอบตัวอะไรทั้งสิ้น.... รวมถึงคนที่นั่งข้างกันก็ด้วย
“พูดเหมือนไม่อยากกลับมาเลยนะ...หรือจริงๆแล้วนายไม่อยากจะกลับมาเกาหลีเลยล่ะสิ..ใช่ไหม?” โชเฟอร์จำเป็นพูดพลางแค่นยิ้ม วาจาส่อไปในเชิงเสียดสีอีกฝ่ายราวกับต้องการยั่วโมโห
และดูเหมือนว่าจะได้ผลซะด้วย...
“ชิอู...”
“หืม?...ว่าไง?”
“นายถามฉันเหมือนกับว่าพรุ่งนี้นายจะไม่มีวันได้ถามอะไรฉันอีกเลยนะ...อยากรู้อะไรเยอะแยะดีจัง”
“.....................”
“ถ้าถามมาอีกคำถามเดียว..ฉันจะตอบให้ก็ได้นะ” ดวงตาที่เคยมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเบนมามองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ด้านคนขับ แววตาสีน้ำตายนิ่งสงบแต่แฝงไม่ด้วยรังสีบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศโดยรอยรู้สึกถึงความกดดัน
“แต่หลังจากตอบคำถามจบ นายอาจจะไม่มีวันได้ถามอะไรจากฉันอีกเลยไปตลอดชีวิตนะ”
“.....................”
“นายคิดว่าคนอย่างฉัน ในเวลาที่ไม่มีปืน จะทำอะไรนายไม่ได้เลยหรือไง.... ”
“.....................”
“อย่าดูถูกกันให้มาก...ไม่งั้นลมหายใจของนายที่มีอยู่ มันอาจจะไม่มีประโยชน์สำหรับนายอีกต่อไปเลยก็ได้นะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครปริปากพูดหรือถามอะไรออกมาอีก ชิอูกลับมานั่งขับรถเงียบๆทั้งสภาพที่มือทั้งสองข้างชื้นเหงื่อ ส่วนอีกคนที่นั่งมาด้วยกันก็ยังคงนั่งนิ่งๆมองไปหน้ากระจกรถด้านหน้าอย่างเงียบสงบจนกระทั่งถึงที่หมาย
คฤหาสน์สไตล์หรูถูกเปิดต้อนรับแก่ผู้มาใหม่ราวกับรอมาแสนนาน บันไดหินอ่อนส่องแสงวาบวาวราวกับไม่เคยมีใครได้ลงเหยียบย่ำเข้ามาในที่ตรงนี้ ทุกอย่างมองแล้วดูเหมือนกับว่าเป็นของใหม่ทั้งๆที่ลักษณะทุกอย่างนั้นก็เหมือนกับที่เขาเห็นมาเมื่อสองปีก่อน
ชิอูเดินนำผู้มาเยือนและตามหลังด้วยผู้ชายสูทดำอีกสองคนซึ่งไม่เคยเห็นหน้า ประตูไม้โอ๊คสีน้ำตาลแดงถูกเปิดออกหลังจากถูกเคาะขออนุญาตบุคคลที่อยู่ด้านในถึงสามครั้ง
ห้องโถงขนาดใหญ่ถูกเปิดออกต้อนรับให้กับบุคคลที่มาเยือน หากเป็นคนอื่นก็คงจะตื่นตาตื่นใจกันตั้งแต่หน้าประตูคฤหาสน์จนมาถึงห้องด้านใน แต่ในทางตรงกันข้ามสำหรับเขา ที่ไม่มีแม้แต่ความตื่นเต้นอะไรใดๆตั้งแต่เข้ามา ซึ่งนั่นก็เพราะที่แห่งนี้เขาคุ้นชินกับมันดี แทบจะทุกซอกทุกมุมด้วยซ้ำไปที่เขารู้จัก รวมถึงห้องโถงนี้ก็ด้วย
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เบื้องหลังของบานประตูไม้บานใหญ่ก็ตามมาด้วยคำทักทายจากคนที่อยู่ด้านใน เจ้าของเสื้อเชิ้ตปล่อยชายสีดำสนิทเอ่ยทักทายผู้มาใหม่ด้วยท่าทีที่สบายๆ รอยยิ้มปรากฏลงบนใบหน้าของผู้ทักทายค่อนข้างเด่นชัด
“ผมก็คิดว่ามันก็นานพอสมควรเช่นกันครับ..คุณอูฮยอน”
“นั่งลงสิ ฉันว่านายคงเหนื่อยจากการเดินทางพอสมควร บ่ายนี้ฉันมีจิบน้ำชาที่ห้องนี้....หวังว่านายคงจะมาร่วมกับฉันนะ” ผู้มาใหม่โค้งให้อีกฝ่ายทันทีเมื่อถูกเชิญให้นั่ง บรรยากาศในห้องดูราบเรียบและเงียบสงบ และไม่นานถ้วยชากระเบื้องสองใบก็ถูกวางเสิร์ฟให้ทั้งสองฝ่ายเสียพร้อมสรรพโดยที่ไม่ต้องมีใครออกคำสั่ง
“ผ่านมาแล้ว 3 ปีสินะ... อยู่ที่นั่นคงสบายดีใช่ไหม?” อูฮยอนถามอีกฝ่ายที่เพิ่งกลับมา พร้อมลงมือเทชาร้อนในกาให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง
“พอสวมควรครับ...ว่าแต่... ที่เรียกผมกลับมาที่นี่.....มีอะไรหรอครับ”
“พอดีว่าฉันมีงานให้นายทำน่ะ...นายรู้ใช่ไหมว่าเรื่องมันยังไม่จบ”
คำพูดในตอนแรกถูกตัดบทไปและมาพร้อมกับคำตอบที่เหมือนกับจะเป็นคำสั่งกลายๆ คนฟังก้พยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่าเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่าย มือขาวรับดึงแก้วชาร้อนมาไว้ด้านหน้าของตัวเองทันทีเมื่อชาสีน้ำตาใสถูกรินจนค่อนแก้ว
“ผมทราบดีครับ... ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาผมจะอยู่ที่นิวยอร์ก แต่ข่าวคราวจากที่นี่ผมเองก็พอที่จะรับรู้มาบ้างจากคนของคุณอูฮยอนนั่นล่ะครับ”
“ก็เท่าที่ฉันบอกไปนั่นล่ะ.... มันยังไม่จบ...”
“......................”
“ตอนนี้ แผนของฉัน สำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้ว.... ฉันสามารถแทรกแซงกิจการจนกลายเป็นหุ้นส่วนย่อยๆของบริษัท Enjoy group ซึ่งนายคงจะรู้ว่าบริษัทนี้เคยเป็นของฉัน..”
“ข้อนี้ผมทราบดีครับ...แต่ตอนนี้...”
“ใช่... ตอนนี้มันไม่ใช่ของฉัน... บริษัทนี้เป็นของ อี โฮวอน...” อูฮยอนเงียบไปเล็กน้อยหลังจากพูดถึงชื่อของใครอีกคนที่น้อยครั้งนักที่มันจะเอ่ยออกมาจากปากของเขา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มทักทายกันในช่วงแรกถูกลบหายวับไปทันทีหลังจากพูดชื่อนี้ออกมา
“........................”
“โฮวอนมันแย่งทุกอย่างไปจากฉัน... และที่สำคัญ... มันฆ่าพ่อฉัน” พูดออกมาทั้งๆที่ในใจแทบอยากจะกำแก้วกระเบื้องที่อยู่ใกล้มือให้แตกละเอียด ดวงตาคมกริบมองมาที่อีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“........................”
“นายคงรู้ใช่ไหม.....ว่าสิ่งที่มันรัก จะต้องหายไปให้หมด และแน่นอนตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่มันเหลือ... เพราะฉะนั้นนายควรกำจัดมัน กำจัดทิ้งซะ... “
“คุณอูฮยอนหมายถึง...”
“ตอนนี้โฮวอนมันเหลือแค่ตัวมันเอง กับ น้องชายของมันเท่านั้น”
“........................”
“และนี่คือสิ่งที่ฉันจะบอก.... หลังจากนี้ ฉันขอฝากไว้ให้เป็นหน้าที่นายจัดการนะ... ซองยอล”
TBC
ความคิดเห็น