คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : CHAPTER 01
อคิลลิส ; หนึ่งในวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในเทพนิยายกรีก ตามตำนานเล่าว่าเขามีพละกำลังและความกล้าหาญเหนือมนุษย์ แถมยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่มีความพยาบาทและโกรธเร็ว เขายังเป็นคนที่มีความภักดีมากพร้อมจะเสียสละทุกอย่างเพื่อเพื่อนและครอบครัวของเขา
“อคิลลิส — อ้าว อ่านหนังสืออยู่เหรอ” เสียงทักจากหน้าประตูห้องนอนโดยเวโรนิก้า ลี เรียกความสนใจให้ชายหนุ่มที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ละใบหน้าหันไปมองผู้ให้กำเนิด
ใบหน้าค่าตาของคุณแม่ลูกหนึ่งยังคงความละอ่อนไว้ แม้จะเริ่มมีอายุอานามแต่ทว่าใบหน้าจิ้มลิ้มบวกกับปากนิดจมูกหน่อยของเวโรนิก้าราวกับเป็นลูกครึ่งวีล่าที่ไม่แก่ลงไปตามวัย
และแน่นอนว่าอคิลลิส ลี คนนี้กำลังอวยแม่ตัวเองที่อยู่ในชุดเดรสกระโปรงยาว ถูกสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ คงกำลังอบขนมปังอยู่เป็นแน่
“ครับ? มีอะไรเหรอ” เจ้าของชื่อตอบกลับ ในเมื่อเวลานี้เป็นยามเย็นใกล้อาทิตย์ตกดิน และเป็นวันหยุดของร้าน เขาเลยคิดว่าในวันนี้คงไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาต้องไปช่วยงาน
บ้านตระกูลลีเปิดกิจการขายขนมปังอยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน โดยมีเวโรนิก้าที่เป็นผู้ดูแลร้านรวมทั้งเป็นคนทำขนมปังหลากหลายชนิดและมีเอลฟ์ประจำบ้านสองตนที่มีชื่อว่า สเตซี่ กับ จินนี่ เป็นผู้ช่วยอยู่ในครัว เปิดบริการทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ให้ลูกค้าตั้งแต่มักเกิ้ลไปจนถึงผู้วิเศษเข้ามาใช้ลองลิ้มชิมรสขนมปังฝีมือแม่เขา
“คุณโซเฟียสั่งขนมปังอีกแล้วน่ะจ้ะ แต่แม่ต้องอบขนมปังเพิ่ม ลูกช่วยเอาไปส่งให้หน่อยได้มั้ย?” คุณโซเฟียที่แม่พูดถึงเป็นมักเกิ้ลคนนึงที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แถมเป็นเจ้าประจำของแม่อีก มีหรือที่อคิลลิสจะปฏิเสธได้น่ะ?
หากลองนับครั้งที่เขาต้องรับบทเป็นคนส่งขนมปัง นี่ก็เป็นครั้งที่สิบสี่ได้
“ครับ เดี๋ยวผมเอาไปให้”
“ขอบใจนะลูกชาย~” เวโรนิก้ากล่าวด้วยสีหน้าปลื้มปิติ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
☽
ระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังจากที่นำขนมปังไปส่งให้ป้าโซเฟียลูกค้าคนโปรดของแม่ สองข้างทางของถนนแมกโนเลียเครสเซนต์เริ่มเปียกแฉะเนื่องจากฝนตกลงมาปรอยๆ แถมไม่มีใครเดินอยู่เลยสักคนเพราะเป็นเวลากลางคืน แสงไฟตามถนนช่างริบหรี่ อคิลลิสอาศัยแสงจันทร์ในการมองแล้วย่ำเท้าผ่านรองเท้าผ้าใบคู่โปรดเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอพร้อมสวมฮู้ดคลุมหัว
ทว่าความรู้สึกที่มีมาตลอดทางหลังจากเดินกลับบ้านคุณโซเฟียคือ มีคนกำลังเดินตามเขาอยู่
มันไม่ใช่ความคิดไปเอง อคิลลิสทำทีมองไปด้านข้างแล้วใช้หางตาเหลือบมองไปทางด้านหลังหลายครั้งก็พบทุกครั้งว่าบุคคลปริศนาคนนั้นเดินตามมาจริงๆ โชคดีที่เขานำไม้กายสิทธิ์พกติดตัวมาในกระเป๋าด้วย เขาทำทีเดินซอกแซกอ้อมไปอีกทาง เพื่อหาที่ดีๆ ในการถามคนที่กำลังเดินตามเขาอยู่ข้างหลังว่าต้องการอะไร
สองเท้าค่อยๆ เดินชะลอและหยุดลงที่ซอยมืดไร้แสงไฟ มือเรียวล้วงไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบไม้กายสิทธิ์ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าการใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียนมันผิดกฎ แต่ถ้าหากคนที่ตามเขาเป็นพวกผู้ประสงค์ร้ายที่เดลี่พรอเฟ็ตลงข่าวอยู่ล่ะ?
ทว่าเมื่ออคิลลิสหันหลังกลับพร้อมตั้งท่าจะเอ่ยคาถาออกมา ด้านหลังของเขากลับไม่พบใครเลย มีเพียงความว่างเปล่ากับสายฝนที่ตกลงมาปรอยๆ บ้าน่า! เขาเห็นจริงๆ นะว่ามีคนเดินตามมา
อคิลลิสยืนเงียบแต่ในใจเต็มไปด้วยความประหม่า จนกระทั่งมีความรู้สึกบ่งบอกให้เขาหันหลังกลับไป
“อิมเปดิเมนต้า!*” เขาเสกคาถาไปด้านหลัง ทว่าผลของคาถากลับไม่ได้ผล อคิลลิสอึ้ง ไม่ใช่เพราะคาถาถูกสะกัดออก แต่เพราะคนตรงหน้าต่างหาก
“ทักษะการป้องกันตัวเป็นเลิศ หากอยู่ในโรงเรียนฉันคงให้เธอยี่สิบคะแนน”
“ศาสตราจารย์ออกัสติน?” เบื้องหน้าของอคิลลิส คือบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ และพ่อมดที่เก่งกาจที่สุดในโลกคนนึงในวัยผู้ใหญ่ สวมทับด้วยเสื้อโค้ทตัวยาวสีกรมท่า พร้อมสวมหมวกปีกกว้างสีดำ— อาร์มันโด ไคลริก ออกัสติน
“สวัสดีอคิลลิส เป็นการทักทายที่น่าแปลกดีนะว่ามั้ย” ออกัสตินกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แม้ว่าเขาเพิ่งจะโดนเด็กหนุ่มเสกคาถาโจมตีใส่เขาก็ตาม
“คือผม—นึกว่าคุณเป็นคนที่เดลี่พรอเฟ็ตลงข่าว ขอโทษครับ” อคิลลิสสำนึกผิดเต็มประดา
“ไม่เป็นไร ฉันผิดเองแหละที่ทำให้เธอตกใจ เป็นฉันก็คงจะเลือกป้องกันตัวเองเหมือนกัน”
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่” อคิลลิสเก็บไม้กายสิทธิ์ไว้ในกระเป๋าเช่นเดิม พร้อมตั้งคำถามกลับพร้อมความคิดที่ว่า อะไรดลใจให้อาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์มาเดินที่ถนนแมกโนเลียเครสเซนต์ กรุงลอนดอนในโลกมักเกิ้ลเวลาดึกดื่นแบบนี้
“พอดีว่าฉันมาทำธุระแถวนี้น่ะ ก็เลยจะแวะมาหาแม่เธอ แต่ดันเจอเธอก็เลยเดินตามมา”
“เรารีบไปที่บ้านเธอกันดีมั้ย ฝนตกแบบนี้อาจทำให้ไม่สบายได้นะแม้จะเป็นผู้วิเศษ” ออกัสตินกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
"ขอบคุณมากเวโรนิก้า และต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนในเวลานี้"
"ไม่เป็นไรค่ะศาสตราจารย์ โชคดีจังนะคะที่บังเอิญเจออคิลลิส" เวโรนิก้าตอบกลับ หลังจากที่เสิร์ฟชาร้อนๆ ให้ออกัสตินที่ชั้นล่างของตัวบ้าน เธอคว้าผ้าผืนใหญ่มาห่มร่างกายของเด็กชายที่สูงกว่าเธอเพื่อให้ความอบอุ่น
“อคิลลิส ขึ้นห้องไปอาบน้ำดีกว่านะ อย่าลืมเสกคาถาให้ตัวแห้งล่ะ วันนี้ขอบใจมากจ้ะ” เวโรนิก้าบอกกับลูกชายของตนที่อยู่ในสภาพเปียกแฉะไปทั้งตัว เป็นผลพวงมาจากที่เขาเดินตากฝนระหว่างทางกลับบ้าน แม้ออกัสตินจะเสกคาถากางร่มกันฝนให้แล้วในภายหลังก็ตาม
เอาล่ะ แม่ของเขากับออกัสตินคงมีธุระคุยกันเป็นแน่ และอคิลลิสจะไม่นั่งหัวโด่ขัดบทสนทนาของผู้ใหญ่แน่นอน
“ราตรีสวัสดิ์ครับแม่ แล้วก็ราตรีสวัสดิ์ครับศาสตราจารย์” อคิลลิสหันไปบอกกับออกัสตินที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้สำหรับลูกค้าตัวหนึ่ง เขายกยิ้มพร้อมตอบกลับอคิลลิสด้วยคำว่าราตรีสวัสดิ์เช่นเดียวกัน
…
"การที่คุณมาที่นี่ยามราตรี ฉันคิดว่าคุณคงมีอะไรที่มากกว่าการมานั่งดื่มชาร้อน ๆ สักถ้วยแบบนี่นะคะศาสตราจารย์"
ออกัสตินส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
"รู้ทันเสมอ ลูกศิษย์คนโปรดของฉัน—งั้นจะไม่เสียเวลาแล้วกัน เธอคงได้ยินข่าวลือหนาหูมามากเลยใช่มั้ย เกี่ยวกับเขาคนนั้น”
“ค่ะ เดลี่พรอเฟ็ตลงข่าวเกี่ยวกับคนๆ นั้นแทบทุกวัน”
“เขากำลังเคลื่อนไหว คงรู้ใช่มั้ยว่าฉันหมายถึงอะไร”
เวโรนิก้าเงียบลง สีหน้าแสดงถึงความเป็นกังวล
“พวกคลั่งเลือดบริสุทธิ์...เขากำลังรวบรวมพรรคพวกที่หลบหนีหายไปตามที่ต่างๆ เพื่อมาตามหาของของเขา—”
“ศาสตราจารย์” เวโรนิก้าพูดขัดออกัสติน “เราสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก และลูกชายฉันยังอยู่ข้างบน แถมยังมีเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันแบบนี้ คุณไม่กลัวพวกเขาจะได้ยินหรือ”
“ฉันไม่ลืมที่จะเสกคาถาเก็บเสียงเอาไว้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาแล้วล่ะ”
‘สมแล้วที่เป็นออกัสติน’ เวโรนิก้าคิด
“ฉันอยากจะบอกเธอไว้ ในปีนี้จะมีการแข่งประลองเวทไตรภาคี”
"สิ่งที่ฉันกังวลก็คือ พวกนั้นอาจแฝงตัวมาในการแข่งขันนี้” ออกัสตินว่าต่อ
"ประลองเวท? จริงเหรอคะศาสตราจารย์"
"ใช่"
“เมอร์ลิน..." เวโรนิก้ายกมือปิดปากของตน "มันจะดีมั้ยถ้าฉันจะไม่ส่งอคิลลิสไปเรียนในปีหก”
“ทำไมล่ะเวโรนิก้า”
สายตาที่เธอมองออกัสตินมีแต่ความสงสัยกับการตั้งคำถามของเขา
“ฮอกวอตส์อาจเป็นอันตราย ฉันไม่อยากเอาลูกไปเสี่ยง คุณก็รู้ทั้งชีวิตฉันมีแค่ลูก—แค่อคิลลิส”
“…ฉันไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะทำให้เธอเสียศูนย์ได้ขนาดนี้ เวนดี้”
เวนดี้ คือชื่อกลางของเวโรนิก้า น้อยครั้งนักที่ออกัสตินจะเอ่ยชื่อกลางของเธอ
“มันเป็นเรื่องผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ครั้งเดียวในชีวิตของฉัน ถ้าตอนนั้นฉันยังไม่เป็นแบบนี้ทุกอย่างคงจะดีขึ้น”
เหตุการณ์แย่ ๆ ที่ทำให้เธอต้องเสียพลังเวทมนต์ไปหมด
จนทำให้ต้องกลายเป็นสควิบ บุคคลที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้
“ไม่มีใครโทษเธอที่เธอเป็นแบบนี้ อย่าเสียใจไปเลยนะ" ออกัสตินปลอบ "ฟังนะเวนดี้ หากเธอไม่ส่งอคิลลิสไปเรียนเขาคงจะต้องเคลือบแคลงแน่”
มันก็จริงอย่างที่ออกัสตินพูด อคิลลิสคงต้องเค้นถามตัวเธอแน่ๆ หากไม่ส่งเขาไปเรียนตามปกติ
“ถ้าเธอส่งเขาไปเรียน เขาจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในฮอกวอตส์ ฉันจะคอยดูแลเขาให้ไม่ต้องกังวล”
“แต่ศาสตราจารย์—”
“เรื่องนั้น ความลับของเขา มันก็จะยังคงเป็นความลับ”
“...ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะเชื่อใจคุณ”
“ขอบใจ” ออกัสตินกล่าว“แล้วเรื่องแผลเป็นนั่นล่ะ”
"เขายังเจ็บ ฉันคิดว่ายาสมุนไพรที่ศาสตราจารย์ให้มาอาจจะทำให้อาการบรรเทาลงเพียงแค่เล็กน้อย" เวโรนิก้ากล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล "เมื่อคราวก่อนเขายังกรีดร้องอย่างทรมาณ—ศาสตราจารย์คะ ฉันสงสารลูก"
ออกัสตินพยักหน้าเข้าใจ พลางยกแก้วชาร้อน(ที่เริ่มจะเย็นแล้ว)จิบเล็กน้อย
"บางทีเมื่อเขาไปที่ฮอกวอตส์ ฉันจะลองให้ไอรีนตรวจดูอีกที”
"ขอบคุณศาสตราจารย์มากค่ะ"
"คงหมดเวลาปาร์ตี้ชาร้อนยามค่ำคืน ฉันขอตัวกลับก่อนล่ะ" ออกัสตินกล่าวขณะที่ยืนอยู่หลังประตูบ้าน ในมือถือเสื้อสูทโค้ทตัวนอกพร้อมกับหมวก
"เดินทางปลอดภัยค่ะศาสตราจารย์"
"ขอให้เมอร์ลินคุ้มครอง" ออกัสตินตอบกลับพร้อมยกยิ้มให้เวโรนิก้าเล็กน้อย ก่อนจะหายตัวไปในทันที
☽
1 สัปดาห์ผ่านไป วันที่ 1 กันยายน ณ ชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่
การมาที่สถานีรถไฟคิงส์ครอสของการเริ่มต้นการศึกษาใหม่ครั้งนี้ของอคิลลิส ลี ในวัย 16 ปี ค่อนข้างแปลกประหลาดไปสักหน่อยนึง ตั้งแต่เขาก้าวผ่านแผงกั้นระหว่างชานชาลาที่เก้ากับสิบมีผู้คนพลุกพล่านมากกว่าครั้งก่อน ๆ อาจเป็นเพราะมีมือปราบมารยืนอยู่รอบตัวเต็มไปหมด คงเป็นเหตุมาจากใครสักคนที่กำลังเคลื่อนไหวจากที่ได้ยินคนรอบข้างเอ่ยกันสนุกปาก
อคิลลิสไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เวโรนิก้าเดินจูงมือลูกชายมุ่งไปที่รถไฟสายด่วนฮอกวอตส์ ผ่านเสียงผู้คนพูดจอกแจกที่อคิลลิสคิดว่ามันน่ารำคาญหู ในมือถือกรงที่บรรจุนกฮุกพันธุ์อิสต์เทิร์น สครีช เพศผู้สีน้ำตาลที่เขาตั้งชื่อว่าโอลีฟ เมื่อพบกันคราแรกที่ร้านนกฮูกอายล็อปส์
"มือปราบมารมาทำไมกันเยอะแยะนะ" เสียงบ่นอุบอิบจากปากของคนเป็นแม่อย่างเวโรนิก้าเอ่ยขึ้นก่อนจะหยุดเดินเมื่อถึงที่หมาย "ให้โอลีฟไปคุยกับเพื่อน ๆ นะจ๊ะ" ก่อนจะยกกรงไปเก็บที่ชั้นวางสัตว์เลี้ยงอย่างเสร็จสรรพ
"เอาล่ะ ขอกอดให้ชื่นใจสักที" เวโรนิก้าโน้มตัวคว้าตัวของอคิลลิสมากอดไว้ ขณะที่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร "ลูกชายของแม่ สูงขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย"
"แม่ควรรู้ได้ตั้งแต่สามปีที่แล้วแล้วนะว่าผมสูงขึ้น" อคิลลิสตอบกลับพร้อมยกยิ้มที่มุมปากเบาๆ ขณะที่ทั้งสองกำลังกอดกันกลมเกลียว
“ปล่อยได้แล้วมั้งครับ” อคิลลิสกระซิบ เพราะเริ่มรู้สึกเมื่อยคอ แต่เจ้าตัวก็หาได้สนใจไม่ จนอคิลลิสต้องเอ่ยซ้ำ "แม่…"
"ก็ได้ๆ รักลูกนะ เดินทางปลอดภัยจ้ะ"
"ดูแลตัวเองดีๆ ครับ คริสต์มาสจะกลับมาหา" อคิลลิสตอบกลับ ก่อนจะหันหลังเพื่อจะขึ้นรถไฟ แต่โดนเวโรนิก้าเรียกเอาไว้ก่อน
"อคิลลิส"
"ครับ ?"
"ระวังตัวด้วยนะ..." เวโรนิก้าจับมือของเขาแน่น จ้องมองนัยน์ตาสีดำ "เรื่องแผลอย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด เข้าใจใช่มั้ย" เวโรนิก้าย้ำเรื่องนี้กับอคิลลิสทุกรอบก่อนเขาจะไปใช้ชีวิตในฮอกวอตส์
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินขึ้นรถไฟไปในทันที เป้าหมายก็คือโบกี้ที่รวมเหล่านักเรียนบ้านสลิธีริน
จะกล่าวคือ อคิลลิสเป็นนักเรียนปีหกประจำบ้านสลิธีริน มีอาจารย์ประจำบ้านชื่อว่า เบลินดา ไอรีน
เขาเดินผ่านเด็กนักเรียนที่ไม่คุ้นหน้าตามากมาย คงจะเป็นนักเรียนปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าใหม่ในปีนี้ ที่ดูๆ แล้วค่อนข้างจะตื่นเต้นไปกับการขึ้นรถไฟครั้งแรก เมื่อเดินเบียดกับนักเรียนมาเรื่อยๆ ก็ถูกคว้าที่หัวไหล่
"อคิลลิส! ฉันตามหานายสะทั่ว ทำไมมาช้าจังล่ะ" เป็นโจนาธาน แคร์โรว เพื่อนตัวสูงลูกครึ่งเอเชียชั้นปีเดียวกันที่อคิลลิสสนิทมากที่สุดคนนึง "ช่างเหอะ ฉันจองตู้ไว้แล้ว มาเร็ว!"
หลังจากที่รถไฟออกตัวมาได้สักพัก โจนาธานก็ยังไม่หยุดฝีปากที่คุยโวว่าปิดเทอมที่ผ่านมาเขาไปทำอะไรที่ไหนกับครอบครัวมาบ้าง ซึ่ง ณ ตอนนี้ภายในตู้มีกันอยู่สามคน—โจนาธาน อคิลลิส และเฮนเดอรี่ น็อตต์ เพื่อนสนิทอีกคน ทั้งสามเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ปีหนึ่ง เจอกันที่ตู้รถไฟ
“ซัมเมอร์ที่ผ่านมา แม่ฉันพาไปเที่ยวที่อเมริกาเจอมักเกิ้ลเยอะแยะเลย! แถมยังได้เข้าไปที่มาคูซาอีก เจ๋งโคตรๆ" โจนาธานพูดอย่างตื่นเต้น ในมือก็ถือกล่องกบช็อคโกแลตขนมยอดนิยม
สายตาคมของอคิลลิสสังเกตเห็นเพื่อนชายอีกคนในชุดสูทสีดำกับผมที่เซ็ตเป็นทรงจนดูดีฉบับนายน้อยตระกูลน็อตต์ ที่นั่งกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับตั้งแต่เข้ามาในตู้รถไฟ
"แต่ฉันว่าเฮนเดอรี่มีเรื่องที่ดูเจ๋งกว่าอยากจะเล่าให้ฟังนะ—ไหนเฮน รีวิวชีวิตปิดเทอมกับคู่หมั้นของนายให้พวกเราฟังหน่อยสิ” อคิลลิสเปิดประเด็นถาม
“โคตรแย่” สองคำสั้นๆ ที่เฮนเดอรี่ตอบกลับมา
“อะไร? นายจะพูดว่ามัลฟอยห่วย?” โจนาธานตั้งคำถามราวกับไม่เชื่อว่ามาร์กาเร็ต มัลฟอย คู่หมั้นของเพื่อนชายตรงหน้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีเสน่ห์มากที่สุดในบ้านงูจะได้รับคำว่าโคตรแย่จากเพื่อนเขา
“ยัยนั่นชอบทำตัวน่ารำคาญ เกาะติดเหมือนปลิง”
“เพราะเธอชอบนายไง” อคิลลิสให้เหตุผล
“แต่ฉันไม่ได้ชอบยัยนั่น” เฮนเดอรี่ตวัดสายตาตอบกลับด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
เฮอะ! พวกผู้ใหญ่เอาแต่ใจ จับหมั้นโดยไม่ถามความสมัครใจจากเขาเลยสักคำ!
ก่อนจะทำทีนึกเรื่องอะไรขึ้นได้จากนั้นนายน้อยตระกูลน็อตต์ปรับเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นจริงจัง
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ มีเรื่องสำคัญที่ฉันอยากเล่าให้พวกนายฟัง" เฮนเดอรี่เปิดประเด็นขึ้นมา
"เรื่องอะไร ถ้านิทานสามพี่น้องไม่เอาแล้วนะ" โจนาธานถามกลับอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะยัดช็อกโกแลตเข้าปาก
“โอ้—แน่นอนว่าเรื่องที่ฉันจะเล่ามันสำคัญกว่านั้นมาก” เฮนเดอรี่พูดพร้อมยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทีกอดอกแล้วพูดต่อ
"ฉันได้ยินมาจากพ่อ เขาคุยกับใครสักคนนึงที่เป็นคนในกระทรวงว่าปีนี้ทางกระทรวงต้องการจะจัดการประลองเวทไตรภาคี"
“อะไรนะ?” อคิลลิสอุทาน
"มันเป็นไปไม่ได้ การประลองเวทนี่ไม่ได้มีมาเกือบร้อยปีแล้วนะ" โจนาธานพูดเชิงตกใจ รวมถึงอคิลลิสด้วย
"ก็นั่นสิ ฉันถึงมาเล่าให้พวกนายฟังไง" เฮนเดอรี่ตอบกลับ "มันแปลก"
"แล้วได้ลองถามคุณน็อตต์บ้างรึเปล่า?" อคิลลิสถามเฮนเดอรี่กลับ
“เคยหลอกถามแล้ว แต่พ่อก็บ่ายเบี่ยงตลอด”
“ได้กลิ่นอายของความไม่ชอบมาพากลเลยแหะ” โจนาธานพูดเบาๆ กับตัวเอง
ครั้งล่าสุดที่มีการจัดแข่งขันประลองเวทนี้ขึ้นคือเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น มีคนตายในการประลอง ทางกระทรวงเลยยกเลิกการแข่งนี้ไป
แต่ปีนี้ดันจะกลับมาจัดขึ้นใหม่ซะงั้น
"เอาล่ะๆ เราอย่าเครียดไปเลย ฉันคนนึงล่ะที่ไม่ขอใส่ชื่อลงในถ้วยอัคนีแน่” เป็นโจนาธานที่พูดทำลายบรรยากาศตึงเครียด
“เกียรติยศชั่วนิรันด์กับรางวัลหนึ่งพันแกลเลียนนะ ไม่สนเหรอ?” เฮนเดอรี่ถาม
“ฉันไม่สนหรอก แล้วไม่สนใจจะรับบทเป็นผู้กล้าอะไรขนาดนั้น”
“ถ้าหากฉันคิดสั้นจะลงชื่อใส่ไปก็คงเป็นโอกาสหนึ่งในร้อยเท่านั้นล่ะที่ชื่อฉันจะถูกเลือกจากถ้วยอัคนี—ก็ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ฉันคิดว่าพวกเราสามคนคงไม่ได้มีวาสนามากขนาดนั้น” โจนาธานยักไหล่พูดอย่างไม่ยีหระ
“ก็ว่าไปนั่น” อคิลลิสหลุดขำออกมานิดๆ
“แค่ความรู้สึกที่ว่าเราผ่านการสอบ ว.พ.ร.ส. มาแล้ว ฉันเกือบจะเป็นบ้า” โจนาธานพูดพลางทำหน้าจะร้องไห้
“ยังไงนายก็ต้องเจอ ส.พ.บ.ส. อีกในปีหน้า” อคิลลิสพูดตอบกลับ
"เมอร์ลิน...ฉันคิดว่าปีนี้ในตารางเรียนจะไม่มีวิชาปรุงยานะ" โจนาธานพูดอย่างเป็นกังวล "ยังดีที่วิชาเลือกเสรีฉันได้ดีเยี่ยมหมดเลย"
ในช่วงปีสามเราสามารถเพิ่มวิชาเสรีได้ จะสองหรือมากกว่าก็ได้ และยังสามารถเพิกถอนวิชาที่เราเลือกได้ในปีสามขึ้นไป
ส่วนตัวอคิลลิส ตอนปีสามเขาเลือกสามจากห้าวิชาทั้งหมด นั่นก็คือ อักษรรูนโบราณ, ตัวเลขมหัศจรรย์, ดูแลสัตว์วิเศษ ส่วนพยากรณ์ศาสตร์เขาคิดว่ามันค่อนข้างจะไร้สาระและเสียเวลาเปล่า กับมักเกิ้ลศึกษาที่เขาไม่เลือกเรียนเป็นเพราะเขาก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในลอนดอนที่เต็มไปด้วยมักเกิ้ลอยู่แล้ว
"อย่างน้อยฉันก็ได้เกินความคาดหมายวิชาคาถาทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ" เฮนเดอรี่พูด
“สอบภาคทฤษฎีวิชานี้แหละตัวดีเลย! คาถาทำให้ขนนกลอยได้ฉันดันลืมซะงั้น มันต้องเขียนว่า‘วิงการ์เดี้ยม เลวีโอซ่า’ แต่ฉันดันไปเขียน‘เลวีอองซ่า’ บัดซบ!”
ระหว่างที่โจนาธานกำลังหัวเสียเรื่องคาถาที่ออกสอบ ภายนอกในตู้รถไฟที่ทั้งสามนั่งอยู่พบว่ามีใครสักคนเดินผ่านและหยุดลงที่หน้าประตู ทำให้ทั้งสามหันไปมองพร้อมกันก็พบว่าเป็นสาวมัลฟอยที่ยืนส่งยิ้มหวานให้(เฮนเดอรี่)พร้อมโบกมือทักทาย
“เคราเมอร์ลิน—ฉันอยากจะบ้าตายรายวัน” เฮนเดอรี่หลบหน้าหันออกไปทางหน้าต่างพร้อมสบถ
“อย่าเปิดให้ยัยนั่นเข้ามาเชียว ไม่งั้นจะเสกให้พวกนายกินทากกันทั้งคู่!” ก่อนจะหันไปขู่โจนาธานและอคิลลิสด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่ให้ปลดล็อคประตู
“จ้าพ่อ ไม่เปิดให้โดนด่าหรอกจ้า” โจนาธานตอบกลับก่อนจะโบกมือตอบกับมาร์กาเร็ตเป็นมารยาท
“เหมือนว่ามาร์กาเร็ตจะซื้อพายฟักทองมาให้นายนะเฮน” อคิลลิสรับบทสื่อสารระหว่างเฮนเดอรี่เพื่อนเขากับมาร์กาเร็ต
“เก็บเอาไว้กินเองเถอะ” เป็นเช่นเดิม ดูเหมือนว่าเฮนเดอรี่จะไม่แยแสเธอเลยสักนิด—หากอคิลลิสเป็นมาร์กาเร็ตคงเสียใจจนไม่กล้ามายุ่งแล้ว
“เอ่อ เธอเดินออกไปแล้วล่ะ”
“จริง? ถ้างั้นก็ดี” เฮนเดอรี่พูดราวกับยกภูเขาออกจากอก “นี่ว่าก็หลบอย่างดีแล้ว ยังอุตส่าห์ตามหาฉันเจออีก”
“ฮ่าๆ รำคาญหล่อนขนาดนั้นเลยรึไง” โจนาธานขำ
“ลองมาเป็นฉันมั้ยโจนาธาน”
“ถ้าได้ก็ดีครับ ทั้งรวย หล่อ มีคู่หมั้นสวยเป็นใครจะไม่อยากล่ะ”
“หุบปาก” เฮนเดอรี่ตอบพลางโยนกระเป๋าของตนใส่หน้าโจนาธาน ยังดีที่เขาสามารถรับได้
“โว้ ใจเย็นๆ” อคิลลิสห้ามศึกเล็กๆ พลางทำสถานการ์ณสงบลงกลับมาเป็นปกติ แม้ทั้งสองจะมีเขม่นกันบ้างก็เถอะ แต่เขาไม่สนใจแล้ว
อคิลลิสเริ่มรู้สึกเพลียขึ้นมาจึงขอตัวนอนพักสักครู่ก่อนจะเดินทางถึงโรงเรียน หันหน้าออกไปทางหน้าต่างที่มีบรรยากาศธรรมชาติล้อมรอบ
☽
ภายในป่าต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง สองร่างของบุรุษหนุ่มและเด็กชายวัยเพียง 8 ปี ในมือของเด็กชายถือไม้กายสิทธิ์ ชี้ไปที่เหยื่อเบื้องหน้า ขณะที่มันนั้นอยู่นิ่งเฉยราวกับถูกสะกดนิ่ง
'ลูกเห็นมั้ย สายตาที่ดูน่าสงสาร เรียกร้องขอความเมตตาให้ไว้ชีวิต'
เด็กชายทำได้เพียงแค่เงียบและถือไม้กายสิทธิ์ค้างไว้อยู่อย่างนั้น เนื้อตัวเขาสั่นระริก พร้อมปิดเปลือกตาแน่น เพราะมันที่ว่านั้น
คือบาซิลิสก์
เด็กชายไม่รู้ว่าเจ้างูยักษ์นี้มันส่งสายตาแบบไหน เขาไม่รู้ว่ามันจะเรียกร้องขอให้ไว้ชีวิตทำไม ในเมื่อตัวบาซิลิสก์เองคือเจ้าสัตว์ดุร้ายที่เพียงแค่ได้สบตามันนั้นก็ทำให้ตายได้ จากข้อมูลที่เขาอ่านหนังสือที่ห้องใต้หลังคา
'อยู่ต่อหน้าสิ่งอันตรายที่สุด อย่าแสดงความกลัวออกมา ลูกต้องสู้และอย่าปล่อยให้เหยื่อหลุดมือเป็นอันขาด'
ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของเด็กชายวางสองมือลงที่ไหล่ของเด็กชายก่อนจะเอ่ยคำออกมา
'ฆ่ามันสะ อคิลลิส'
'ตะ..แต่ผมลืมตาไม่ได้ นั่น...นั่นมันบาซิลิสก์! ผมฆ่ามันไม่ได้...'
'มันจะไม่—'
หลังจากที่เด็กชายพูดเสียงสั่นระริก ระหว่างที่พ่อตัวเองเอ่ยคำพูดออกมา เขาก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว สติเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้ยินเพียงแค่ว่า
'ลืมตา...พ่ออยู่ข้าง ๆ ลูก มันจะไม่เป็นไร เมื่อลูกลืมตาก็เอ่ยคาถานั้นออกมาสะ'
เด็กชายไม่รู้ว่าคำพูดของพ่อตัวเองนั้นเชื่อได้มากแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ยอมจำใจ ค่อย ๆ คลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา และเปิดเปลือกตาขึ้น ช้า ๆ ช้า ๆ
เบื้องหน้าของเขาคือเจ้าบาซิลิสก์ ตัวเป็นๆ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่จากตำราที่เขาศึกษามาว่าผู้ที่สบตาบาซิลิสก์ทางตรงหรือผ่านกระจกจะต้องตาย แต่ไม่...
เขาไม่ตาย
'เอาล่ะ ทีนี้ เอ่ยคาถาสิ อคิลลิส’
'...'
'จำที่พ่อบอกได้มั้ย ถ้าเราไม่ฆ่ามันก่อน มันจะฆ่าเราแทน'
'มะ..ไม่'
'พูดออกมาสิ คำสาปพิฆาต พูดออกมา'
...
'อคิลลิส!! ฉันบอกให้พูด!! พูดออกมา!!'
...
'อะ..อะวาดา เคดาฟรา!!!'
"เฮือก!!!"
ชายหนุ่มสะดุ้งขึ้นมาจากที่นั่งในตู้รถไฟ หายใจหอบถี่แรง พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอกข้างซ้าย ใบหน้าถูกชะโลมไปด้วยเหงื่อ จากที่เขาเพิ่งฝันร้ายมาเมื่อครู่ เป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขาจนมาถึงทุกวันนี้ มันช่างน่ากลัวและหดหู่
"อคิลลิส—เฮ้ เป็นไรมั้ย" โจนาธานเอ่ยถามขณะนั่งอยู่ข้าง ๆ "ฉันเห็นนายหลับแล้วก็หายใจแรงมาก ไม่สบายรึเปล่า?"
"เหงื่อไหลเหมือนเขื่อนแตกเลย" เฮนเดอรี่พูดขึ้นพร้อมยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้
"ข ขอบใจ" อคิลลิสรับมาไว้ในมือ ก่อนจะละเลงเช็ดเหงื่อบนใบหน้า
จู่ๆความเจ็บแสบบนหน้าอกข้างขวาก็แผลงฤทธิ์ มือข้างซ้ายของอคิลลิสเลื่อนไปกุมที่แผลเป็น
"นายเจ็บแผลเหรอ" โจนาธานถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
"นิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย.." เขาโกหก ความเจ็บมันไม่ได้น้อยถึงจะเป็นแค่ระยะสั้นๆ แต่ความรุนแรงนั้นก็แทบจะเผาเนื้อเขาให้หายไปได้
ผลพวงจากในอดีตที่เขาเอ่ยคำสาปโทษผิดสถานเดียว ที่สะท้อนมาที่ตัวเขาจึงเกิดเป็นแผลเป็นนี้ขึ้น
ไม่มีใครรู้นอกจากคนสนิท ศาสตราจารย์ไอรีน ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ และเขาคนนั้น...พ่อที่กดดันให้เขาต้องพูดคำสาปออกมา
อคิลลิสกัดฟันแน่นจนกรามแทบแตก พยายามปิดเปลือกตาลง นิ้วจิกลงที่ฝ่ามือจนเลือดแทบซึมออกมา อากัปกิริยานี้อยู่ในสายตาของเพื่อนทั้งสองตลอด
“คงไม่นิดแล้วมั้ง ยาที่ออกัสตินให้มาอยู่ไหน” โจนาธานถาม ลุกขึ้นพลางหยิบกระเป๋าเป้ของอคิลลิสที่วางบนชั้นมาค้นดู
“ใน..กระเป๋า..ซ้า..ย” ตอนนี้อคิลลิสแทบจะพูดเป็นเสียงกระซิบ มือไม้เขาสั่นเทาและยังคงกุมที่แผลเป็นอยู่จนนั่งตัวงอ
“กระเป๋าซ้ายโจนาช อย่าล่กดิ!” เฮนเดอรี่พูดเตือนสติโจนาธานที่เปิดกระเป๋ามั่วซั่วไปหมด พร้อมกับย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ อคิลลิสส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดกับเหงื่อเริ่มไหลมาอีกระรอก
“เจอแล้ว!!!” โจนาธานหยิบขวดยาเล็กๆ ที่บรรจุเม็ดยาเอาไว้ เปิดฝาออกแล้วหยิบออกมาหนึ่งเม็ด
“นี่—เฮ้เพื่อน อ้าปากหน่อย” เฮนเดอรี่พูดพร้อมประคองตัวเพื่อน จับใบหน้าให้เงยขึ้น
อคิลลิสค่อยๆ อ้าปาก โจนาธานไม่รอช้ายัดเม็ดยานั่นเข้าไปทันที พร้อมกับน้ำฟักทองที่ซื้อมาจากป้ารถเข็น กรอกใส่ปากอคิลลิส
รอเกือบนาทีสองนาที อาการของเขาค่อยๆ ทุเลาลง ทำให้ทั้งโจนาธานและเฮนเดอรี่ต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"ไม่เป็นไรแล้วนะ" โจนาธานถามขึ้นอีกครั้ง
"ไม่ ไม่แล้วล่ะ ขอบใจมาก" อคิลลิสตอบกลับ จากนั้นก็หันไปพิงที่หน้าต่าง มองออกไปที่ภายนอกรถไฟ พลางนึกถึงฝันเมื่อครู่ พร้อมความรู้สึกร้อนรุ่มที่แผลก่อนหน้าเริ่มหายไป
☽
ก้าวแรกที่อคิลลิสเดินเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ เทียนไขถูกจุดแล้วเป็นพันๆ เล่มลอยอยู่บนเพดานห้องโถง มีโต๊ะยาวสี่ตัวที่แยกตามทั้งสี่บ้าน ด้านหน้าเป็นโต๊ะกับที่นั่งของเหล่าศาตราจารย์ทั้งหลายท่าน และมีเก้าอี้วางไว้หนึ่งตัวพร้อมกับหมวกใบเก่าที่ถูกวางไว้บนแป้น เป็นเช่นเดิมทุกการเริ่มต้นการศึกษาใหม่ หมวกคัดสรรจะทำหน้าที่คัดสรรเด็กปีหนึ่งด้วยสัญชาตญาณของมันเองว่าจะให้ไปที่บ้านไหน
อคิลลิส โจนาธาน และเฮนเดอรี่เดินไปนั่งที่โต๊ะประจำบ้าน หลังจากที่ทั้งสามเปลี่ยนจากชุดลำลองเป็นชุดนักเรียนบ้านสลิธีริน อคิลลิสนั่งท้าวคางมองไปรอบๆ ตัว เสียงพูดคุยจอกแจกยังไม่ทุเลาลง อาจจะเป็นเพราะวันเปิดเรียนวันแรกแต่ละคนก็คงมีเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลากหลาย
"เคราเมอร์ลิน! ดูนู่นสิ" โจนาธานอุทาน ชี้ไปที่เบื้องหน้า นั่นทำให้ทั้งสามหันไปดู "นั่นใช่แจสเปอร์ เคราซ์มั้ยนั่น"
แจสเปอร์ เคราซ์ นักเรียนปีหกบ้านกริฟฟินดอร์ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเอเดน เคราซ์ ซึ่งเป็นหัวหน้ากองควบคุมกฎหมายเวทมนต์ที่กระทรวง แถมหน้าตาเขาก็ค่อนข้างดูดี(ในความคิดอคิลลิส) ผู้หญิงหลายคนจากทุกชั้นปีมักจะหลงใหลในเสน่ห์ของเขา แน่นอนว่ารวมบ้านสลิธีรินด้วย
"ย้อมผมสีชมพูพีชแบบนั้นคุณเคราซ์ไม่อกแตกตายรึไงนั่น" เฮนเดอรี่ถาม พลางหันหน้ากลับมาที่เดิม
"ลูกชายคนเดียวของเขาอยากทำอะไรก็สนับสนุนเต็มที่ล่ะมั้ง" อคิลลิสแสดงความเห็น สายตาคมจดจ้องไปที่แจสเปอร์จนกระทั่งนั่งลงที่โต๊ะบ้านสิงห์
"แต่ฉันก็ลูกชายคนเดียวนะ ตอนฉันขอไปเดทกับสาวแม่ฉันแทบจะทุบหัวฉันไปให้โบว์ทรัคเกิลกิน"
“เผื่อนายไม่รู้นะโจนาธาน โบว์ทรัคเกิลไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ พวกมันกินแต่แมลง” เป็นดีแลน โอลิเวอร์ เด็กหนุ่มสวมแว่นตาบ้านสลิธีรินพูดขึ้น ดีแลนเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับสัตว์วิเศษมาก ในหัวของเขาเหมือนพจนานุกรมเล่มใหญ่ที่บรรจุข้อมูลของสัตว์วิเศษชนิดต่างๆ เอาไว้
“ทั้งชีวิตนายรู้จักคำว่าพูดเล่นบ้างมั้ยโอลิเวอร์” โจนาธานตอบกลับด้วยความเอือมระอากับดีแลนอคนที่จริงจังไปซะทุกเรื่อง
“อ๋อเหรอ ก็นึกว่านายไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ใส่สมองซะอีก”
"นี่มันหลอกด่าว่าฉันโง่รึเปล่า" โจนาธานพูดพลางกระซิบกับเพื่อนของเขาทั้งสอง สายตาเคียดแค้นจดจ้องไปที่หนุ่มแว่นที่ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เถอะน่า จะเอาอะไรมากกับดีแลนกันล่ะ” อคิลลิสตอบกลับ ก่อนจะมีบุคคลหนึ่งโผล่เข้ามาในหัวข้อบทสนทนาของพวกเขาทั้งสาม
“สวัสดีหนุ่มๆ บรรยากาศวันเปิดเทอมวันแรกเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงใสเอ่ยถามพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ผมสีบลอนด์ทองเป็นเอกลกษณ์ถูกปล่อยสยายกลางแผ่นหลังซึ่งเด็กสลิธีรินทุกคนรู้ว่าเป็นใคร
“พับผ่าสิเมอร์ลิน” และคนที่ดูหัวเสียที่สุดก็คงจะเป็น
เฮนเดอรี่ น็อตต์
“เธอมาทำไมเนี่ย” เฮนเดอรี่ถามกลับมาร์กาเร็ต ขณะที่หล่อนหย่อนก้นตัวเองนั่งลงที่ว่างข้างๆ แล้วควงแขนเขาราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ
“เอ้า ก็ฉันอยู่สลิธีรินจะให้ฉันไปนั่งที่บ้านเรเวนคลอรึไง” ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามาร์กาเร็ตก็พูดถูกจริงแหละ และดูท่าว่าคำตอบนั้นทำเอาเฮนเดอรี่ไปต่อไม่ถูกเลย
“ก็—ก็ใช่ แต่ฉันหมายถึงว่าเธอไม่มีเพื่อนให้ไปนั่งด้วยรึไง จะมานั่งข้างฉันทำไม”
“ก็อยากมานั่งข้างคู่หมั้นสุดหล่อของฉันยังไงล่ะ ทำไม? ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้! ลุกไปนั่งกับเพื่อนเธอเลยไป”
“ทำไมใจร้ายจัง แต่เธอต้องทนสักหน่อยนะเพราะศาสตราจารย์มาเดลินจะคัดเด็กปีหนึ่งแล้ว คงลุกไปที่อื่นไม่ได้แล้วล่ะ” มาร์กาเร็ตกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าเช่นเดียวกับสีหน้า พร้อมกับที่รองศาสตราจารย์มาเดลินที่เริ่มขานชื่อเด็กนักเรียนปีหนึ่งเพื่อมานั่งที่เก้าอี้เพื่อถูกคัดสรรเข้าบ้านต่างๆ
ให้ตายสิ เฮนเดอรี่อยากจะทึ้งหัวตัวเองลงกลางโต๊ะอาหารตรงนี้!
เขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือกับเพื่อนทั้งสองที่นั่งตรงข้าม พลางขยับปากเป็นคำว่า ‘ช่วยด้วย’
แต่จะให้พวกเขาทั้งสองช่วยยังไงล่ะ? ให้ลุกไปกระชากแขนสุภาพสตรีมันก็จะดูโหดร้ายและรุนแรงไปหน่อย จะให้พูดไปตรงๆ ก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘บุคคลที่สอดแทรกความสัมพันธ์ของชาวบ้าน' น่ะสิ
งั้นก็โดนควงแขนอย่างนี้ต่อไปครับเพื่อน โชคดี
“สวัสดีจ้ะอคิลลิส โจนาธาน มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” มาร์กาเร็ตหันหน้ามาทักทายทั้งสองคนที่นั่งตรงข้าม
“เธอเพิ่งเห็นหัวเราเหรอ” โจนาธานกระซิบข้างหูของอคิลลิส
จะว่าไป หล่อนคงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยสินะว่านั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้วน่ะ
“ไงมาร์กาเร็ต” อคิลลิสทักทายกลับเป็นมารยาท
“สวัสดีมัลฟอย และฉันกับอคิลลิสก็นั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้วล่ะนะ” เป็นโจนาธานที่พูดติดตลก
“อุ๊ยตายจริง ขอโทษทีนะ” เธอกล่าวขอโทษขอโพยอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะละความสนใจไปที่เด็กนักเรียนคนแรกที่ถูกคัดสรรมาที่บ้านสลิธีริน เธอแสดงความยินดีอย่างหน้าระรื่นแต่หนุ่มคนข้างๆ เธอนี่สิกลับทำหน้าทุกข์ใจราวกับสอบตกวิชาโปรดของตนเอง
☽
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเด็กคนสุดท้ายถูกคัดสรรไปที่บ้านเรเวนคลอ ก่อนที่หมวกจะถูกหยิบออกไปโดยรองอาจารย์ใหญ่มาเดลิน ตามด้วยอาจารย์ใหญ่ออกัสตินที่สวมชุดสูททันสมัย กล่าวพูดกับนักเรียนเฉกเช่นทุกปีก่อนถึงเวลาอาหารค่ำด้วยคำว่า
“ขอให้อร่อย!”
และนักเรียนฮอกวอตส์ก็ต่างไม่รอช้า สองมือคว้าช้อนส้อมพร้อมสวาปามอาหารหลากหลายเมนูที่ปรากฏขึ้นจากจานเปล่าด้วยมนตร์วิเศษตรงหน้าเข้ากระเพาะดับความกระหายกันเต็มที่
…
เมื่ออาหารและของหวานถูกฟาดเรียบโดยเหล่านักเรียนจนเหลือจานที่สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนตอนแรก ออกัสตินลุกขึ้นยืน เสียงพูดคุยเริ่มลดลง เขาออกมากล่าวคำพูดพอเป็นพิธี ซึ่งในทุกปีจะมีคำเหล่านี้ที่เขาพูดอยู่เป็นประจำคือ ‘ห้ามเข้าไปในเขตป่าต้องห้าม อย่าเสกคาถาบริเวณทางเดิน และห้ามนำของแปลกๆ เข้ามาในโรงเรียน’
ของแปลกที่ว่าคงเป็นของเล่นประหลาดๆ ที่ประดิษฐ์เองโดยฝีมือคู่หูของเด็กปีห้าบ้านกริฟฟินดอร์
อคิลลิสจำชื่อของสองคนนั้นไม่ได้ แต่เคยเห็นเจ้าพวกนั้นเอามาขายนักเรียนใหม่ตามโถงทางเดินเมื่อปีที่แล้ว สภาพของแต่ละชิ้นค่อนข้างจะแปลกประหลาด และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่หาทำซื้อของพวกนี้เป็นแน่
“เอาล่ะ ฉันต้องบอกเรื่องที่น่าเศร้าอยู่หนึ่งเรื่องให้พวกเธอได้รับทราบกันว่า ในปีการศึกษานี้จะไม่มีการแข่งขันควิดดิชชิงถ้วยประจำปี” เสียงประกาศจากอาจารย์ใหญ่ทำให้บังเกิดเสียงฮือฮาราวกับรังนกแตก รวมถึงโจนาธาน ซีกเกอร์ประจำทีมสลิธีรินก็ตกใจพร้อมบ่นออกมา
“อะไร?! ฉันอุตส่าห์บอกกับพวกกริฟฟินดอร์ไว้ว่าจะมาล้างแค้นปีนี้อ่ะ!”
โจนาธานจะแจ้ง โจนาธานจะแจ้ง!!!!
“แน่นอนว่าการที่เรายกเลิกควิดดิชไป เพราะมีเรื่องพิเศษอยู่หนึ่งอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น" นักเรียนเกือบทั้งหมดให้ความสนใจจนลุ้นตัวโก่ง
รวมถึงทั้งสามคนกับการรอคอยเรื่องที่คุยกันบนรถไฟว่าจะเป็นจริงตามที่เฮนเดอรี่ว่าหรือปล่าว
"ปราสาทฮอกวอตส์เราได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการแข่งขันหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่ไม่ได้จัดขึ้นมานานหลายร้อยปีแล้ว นั่นก็คือการประลองเวทไตรภาคี—” หลังจากคียเวิร์ดสำคัญถูกเอ่ยออกมา นักเรียนทุกคนต่างก็ฮือฮาเสียงดัง
"เป็นตามที่นายพูดจริงๆ ด้วย" อคิลลิสเอ่ยเสียงกระซิบกับเฮนเดอรี่
"บอกแล้ว แหล่งข่าวน่าเชื่อถือ" เฮนเดอรี่พูดขึ้น
"หมายถึงเรื่องอะไรกันอย่างนั้นเหรอ?" โอ้ให้ตาย พวกเขาคงลืมไปว่ามาร์กาเร็ตยังนั่งอยู่ตรงนี้ และถ้าหากลูกสาวของคนในกระทรวงรู้เข้าว่าข่าววงในถูกแพร่งพรายออกไปคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ แม้ว่าจะเป็นในฐานะเพื่อนร่วมบ้านกันก็ตาม
ทั้งสามคนเลิ่กลั่ก เมื่อสัมผัสได้ว่าความอยากรู้อยากเห็นของมาร์กาเร็ตเริ่มกดดันพวกเขา
"อะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย ตั้งใจฟังที่เขาพูดเถอะ" เป็นเฮนเดอรี่ที่ออกรับหน้าให้ พลางคว้าที่ไหล่ของหญิงสาวหันกลับไปด้านหน้าเช่นเดิม แม้ว่าหล่อนจะมีความสงสัยอยู่นิดนึงก็เถอะ แต่ก็ปล่อยผ่านไป
“ในการประลองนี้จะนำผู้คนจากทั้งสามโรงเรียนมารวมกัน ทางโบซ์บาตงและเดิร์มสแตรงก์จะมาถึงที่นี่ในเดือนตุลาคมพร้อมเหล่านักเรียนที่มีสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนการแข่งขันนี้ การคัดเลือกจะเริ่มในวันฮัลโลวีน”
“ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่งพันแกลเลียน ถ้วยไตรภาคี และเกียรติยศชั่วนิรันดร์”
"และแน่นอนว่าหลังจากที่ฉันพูดออกไปก็จะมีนักเรียนที่หวังดีพร้อมเป็นตัวแทนนำถ้วยรางวัลมาสู่ฮอกวอตส์ ทั้งๆ ที่ตัวเองยังอายุไม่ถึง 15 ปีกันเลยด้วยซ้ำ—เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายสำหรับนักเรียน ทางอาจารย์ใหญ่ทั้งสามโรงเรียนมีความเห็นชอบว่าผู้ที่ยังศึกษาไม่ถึงชั้นปีที่เจ็ดหรืออายุไม่ถึง 17 ปี จะไม่อนุญาตให้เข้าร่วมการประลอง" เมื่อออกัสตินกล่าวถึงตรงนี้ หลายๆ คนก็ไม่พอใจ และบางคนมีท่าทีฉุนโกรธโดยเฉพาะพวกบ้าดีเดือด
อคิลลิสไม่เข้าใจว่าไอ้พวกที่โห่ร้องนี่มันต้องการอะไร ไม่รักตัวกลัวตายกันเหรอ
"รู้อะไรมั้ย ฉันว่าออกจะดีเสียด้วยซ้ำ ยอดการตายการประลองครั้งก่อนๆ นี่พุ่งกระฉูดจนตกใจ" โจนาธานพูดขึ้นบ้าง
"แต่ก็นะ ฉันรอไม่ไหวที่จะเจอกับโบซ์บาตงแล้วอ่ะ" โจนาธานพูดต่อ แววตาส่องประกายด้วยความตื่นเต้น "นางฟ้าแห่งดินแดนน้ำหอม นี่มันสวรรค์ชัดๆ"
ส่วนเขาก็ได้แต่ทำสีหน้าเอือมเต็มทน
“ทางคณะโบซ์บาตงและเดิร์มสแตรงก์จะมาถึงที่นี่ในเดือนตุลาคม และอยู่กับเราจนตลอดทั้งปี ฉันมั่นใจว่านักเรียนของเราจะให้เกียรติกับแขกต่างโรงเรียนได้เป็นอย่างดี แต่ว่าตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเธอทุกคนควรจะได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และจะรู้สึกสดชื่นเมื่อได้เข้าเรียนในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น"
"ขอให้ราตรีนี้บังเกิดฝันดีแก่เธอทุกคน ราตรีสวัสดิ์”
TBC.
—————————————————————————
* อิมเปดิเมนต้า = คาถาสกัดภัย ทำให้ผู้ที่โดนคาถานี้หยุดนิ่งหรือทำให้ช้าลง
ขอบคุณข้อมูลจาก muggle-v ด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลอคิลลิสในต้นเรื่องด้วยค่ะ https://intrend.trueid.net/post/250619
Hendery Nott Jonathan Carrow
Margaret Malfoy
#อคล
ความคิดเห็น