ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อำนาจมืดที่คอยบงการบุคคลระดับสูงทั่วโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : องค์กรลับและทฤษฏีสมรู้ร่วมคิดในอเมริกา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.38K
      1
      12 มิ.ย. 54

    มี คนกลุ่มหนึ่งที่มีความพยายามล้มเศรษกิจสหรัฐและเศรษกิจโลก ทำลายล้างเพื่อลดประชากรโลก และก่อสงครามเพื่อนำไปสู่การยึดครองแบบเบ็ดเสร็จ หรือ NWO - New World Order โดยใช้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เช่น สหประชาชาติ, IMF, WHO, ธนาคารโลก และศาลโลก (ที่มาโยนระเบิดไว้เรื่องพระวิหารย์ ทำให้เป็นปัญหามาจนทุกวันนี้) ผ่านสิ่งต่อไปนี้ครับ 

     

    1.ผ่านระบบการเงินการธนาคารที่เรียกว่าระบบธนาคารกลางหรือ Federal Reserve

    2.ผ่านทางทำลายล้างชีวิตมนุษย์ในโดยเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น "HAARP" เพื่อสร้างแผ่นดินไหว ซึนะมิ ความแห้งแล้ง น้ำท่วม โคลนถล่ม เฮอริเคน และอีกเครื่องมือนึงที่กำลังจะมาคือ การปล่อยอาวุธชีวภาพที่มาในรูปของไข้หวัด 2009 และการฉีดวัคซีน (เราโดนไปรอบนึงแล้ว)

    3.ผ่านทางความเชื่อของศาสนาหนึ่ง ซึ่งบิดเบือนคำสอนที่แท้จริง แล้วตรงนี้นี่แหละครับที่เป็นต้นตอของทั้งหมด ใช้ความเป็นผู้นำทางวิญญาณเป็นเครื่องมือ อิลูมินาติไม่ใช่ทั้งหมด แค่เป็นมือทำงานให้คนกลุ่มนี้ แต่ผมจะไม่อัดให้ทั้งหมดในทีเดียวเพราะมันจะแน่นเกินไป คุณจะไม่เชื่อหรอกครับ ถ้าไม่มีการพิสูจน์ ต้องใช้เวลาครับ คนกลุ่มนี้สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พระและประชาชนชาวโครเอเชียไปที่เป็นคริสต์ นิกายออโธดอกซ์็ไป 800,000 คน ก่อนที่จะหนุนให้ฮิตเล่อร์ค่ายิวไปอีก 6,000,000 กว่า และในทุกสงครามที่ผ่านมาทั้งหมดของมนุษย์ 

    4.ผ่าน ทางการทำให้เงินดอลล่าท่วมโลก แล้วดันให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนทองคำ ที่หนักกว่านั้นก็คือเอามาหนุนการพิมพ์ธนบัตรของแต่ละชาติ อันนี้สาหัสมาก "ซึ่งผิด" แต่ก็ทำจนสำเร็จ....... จึงเอาตลาดค้าทองคำโลกทั้งลอนดอนและนิวยอร์คมาเป็นเครื่องมีอ" ที่สำคัญมากตัวนึง ถ้าคุณจะเล่นกับทอง คุณต้องรู้ตรงนี้ครับ เพราะคุณหลุดเข้ามาแล้วโดยไม่รู้ตัว เค้าพูดถูก "ถ้าคุณหาแต่ทองคุณจะเสียชีวิตครับ" เพราะคุณอาจจะไปรับวัคซีนในข้อ 2 หรือไม่ก็หมดตัวเมื่อเงินดอลล่าลดค่าหรือล่มสลาย เพราะมันจะฉุดเงินบาทเราไปด้วยครับ แต่ถ้าคุณอยากรู้แค่ส่วนนี้เราก็ไม่ว่ากันครับ

    สรุปก็คือเค้าใช้

    1.อำนาจทางศาสนาคืออำนาจสูงสุด มีผู้นำ 2 คนแยกกันทำงาน ให้ตัวขาวนำทางจิตวิญญาณให้ดู Holy หรือศักสิทธิ์เข้าไว้ ส่วนตัวดำทำหน้าที่ที่เหลือจากตัวขาวทั้งหมดหนักๆ เลยคือการทหารครับ แและองค์กรนี้มีปัญญาเรื่องรักร่วมเพศสูงมาก มีคดีความฟ้องกันตลอด คือเป็นเกย์ซะเป็นส่วนใหญ่ครับ เพราะในลัทธิความเชื่อนี้เป็นชายทั้งหมดและห้ามแต่งงาน

    2.อำนาจการเงิน การธนาคาร ศูนย์กลางอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีคนที่รวยที่สุดในโลกเป็นคนควบคุมทั้งหมด รวมทั้งตลาดทองคำ***

    3.อำนาจการทหาร อยู่ที่วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา มีกลุ่มทำงานแยกกันตามหน้าที่ เช่น

    " CFR "ควบคุมนโยบายต่างประเทศ เป็นรัฐบาลเงา จัดรัฐบาล 

    http://www.youtube.com/watch?v=3sGs8eFld1U&feature=player_embedded#at=32

    " Bilderberg Group " เป็นที่ปรึกษาและการวางแผนระดับสูง และควบคุมนโยบายหลักๆ ของรัฐบาลในทุกด้าน
    " illuminati " ควบคุมการทหาร และการสงครามทั้งหมด
    " Committee 300 " (หรือเครือข่าย 300 บริษัทขนาดใหญ่ที่แตกลูกออกไปเป็นหมื่นๆ บริษัทแผ่ขยายไปทั่วโลก) ทำหน้าที่เชื่อมโยงธุรกิจการค้าทั้งหมด
    " Mason " หรือ " Free Mason " เป็นผู้นำระดับสูงมี 33 ระดับการปกครอง และประธานาธบดีเกือบทั้งหมดมาจากตรงนี้ครับ Free Mason มีสำนักงานอยู่เป็นหลักแหล่งชัดเจนได้ตั้งขึ้นเป็นสมาคมลับโดยอ้างว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อความสงบสุขบนโลก โดยมีสมาชิกเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเกือบทุกคน สัญลักษณ์ของ Free Mason เห็นได้แม้แต่จากอิฐในตัวอาคารของทำเนียบขาวหรือหินศิลาฤกษ์ของตัวทำเนียบจากภาพวาดในขณะที่ทำการฝังหิน 
    (ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่ม YT,GG หรือ WIKI ชื่อแต่ละชื่อ จะออกมาเป็นชุดเลยครับ มีรูปเยอะ ดูกันเอาเองว่าใครเป็นใคร) 

     


    มีเพื่อนเราถามมาว่ามีอะไรในอัฟกานิสถาน และทำไมทหารอเมริกันเข้าไปทำอะไรที่นั่นมาหลายทศวรรษไม่ยอมกลับบ้านซะที

    คำตอบคือ มีครับมีมานานมากแล้วครับ " ไร่ฝิ่น " กับ "บิน ลาเด็น" ครับ ผมไม่แน่ใจว่าใหญ่ที่สุดในโลกหรือเปล่า และเคยเป็นของอังกฤษครับ จำสงครามฝิ่นของจีนกับอังกฤษได้หรือเปล่าครับ อังกฤษ(แขนซ้าย)ปลูก แล้วใช้บริษัท East India ขนมาขายและมอมเมาคนจีนครับ หลังจากที่เมาไปครึ่งประเทศแล้ว รัฐบาลจีนก็เริ่มสกัด อังกฤษไม่ยอมครับเอาปืนใหญ่ใส่เรือรบมาประชิดจีน แล้วจีนต้องยอมสงบศึกแทบจะยกฮ่องกงให้เค้าไป เลยทำเป็นให้เช่าไปไงครับ

    ต่อมาให้เอมริกา(แขนขวา)ดูแลต่อ มีฐานทัพใหญ่อยู่ที่นั่นครับ ให้ CIA ที่ชื่อ "บิน ลาเด็น" เป็นคนดูแลให้ครับ ครอบครัว"ลาเด็น" ใช้เครื่องบินส่วนตัวเข้าออกน่านฟ้าอเมริกาเป็นว่าเล่น ไม่ต้องมีวีซ่าครับ เพราะเป็นคู่หูค้าน้ำมันกับ "บุชผู้พ่อ" ในนาม "คาไลน์กรุ๊ป" ครับ ลองเซิร์ชหาเรื่องนี้ใน Google Video หรือ Youtube ครับใช้ Key words " Bin Laden CIA, Bin Laden Bush connection" อะไรประมาณนี้ ดูหลายๆ อันครับ

    ครับ บิน ลาเด็น เป็นเพียงตัวละครในเรื่อง 911 ไม่ได้ทำครับ ทำกันเอง ฆ่าคนของตัวเองไป 4,000 เพื่อพาอเมริกาเข้าสงครามอีรัคแค่นั้นเอง ผมถามคุณว่า คุณเชื่อเหรอครับว่า แสนยานุภาพระดับนั้น รบอยู่ 7 ปี ทหารตายไป 50,000 หมดไปหลายพันล้านเหรียญ จับแขกคนเดียวที่ซ่อนอยู่ในถ้ำตามหุบเขาไม่ได้ แต่ Suddam Hussein เป็น ปธน.มีทหาร กองทัพ กองกำลังป้องกันชาติ National Guard จรวดมิซไซล์ แต่ไปลากคอเค้าออกมาจากหลุมแล้วฆ่าได้ เรื่องนี้ "Stupid" ครับ

    จุดนี้เป็นจุดตัดสินใจอีกจุดที่ผมกลับครับ เค้าฆ่าคนของตัวเองไป 4,000 เพื่อเรื่องนี้ เอาไว้จะเล่าและเอาหลักฐานจะจะให้ดูครับ เชื่อไปก่อนเลยครับ ไม่ต้องสงสัย หรือลังเลใจ จะโพสต์เร็วๆนี้ครับ ใกล้ๆ 9/11 ครับ

    ก่อนที่เค้าจะใช้ระบบเงินกระดาษไปมอมเมาชาวโลก เค้าใช้ฝิ่นครับ และแปรสภาพไปเป็นสารเสพติดอื่นๆ เพื่อทำลายและยึดครองครับ พวกประเทศในแถบอเมริกากลาง และใต้ โดนไปเยอะ ใช้ยาเสพติดมอมเมา ทำให้สั่นคลอน (destabilize) ทำทีเข้าไปร่วมตามล่าพ่อค้ายาข้ามชาติ ร่วมมือกับรัฐบาลประเทศนั้นแล้วแทรกซึมเข้าไปในระดับต่างๆ ของรัฐบาลครับ สุดท้ายยึดผ่านระบบเลือกตั้งแล้วตั้งรัฐบาลท้องถิ่นที่มาจากพวกเค้า เองบริหารครับแล้วลำเลียงเหมือนเดิมครับ ทรัพยากรและทาสครับ


    คงรู้จักประโยค In GOD we trust ที่อยู่บนธนบัตรของเค้านะครับ คำว่า "GOD" หรือพระเจ้าของเค้าตอนนี้ไม่ใช่.."พระยาเว"..พระเจ้าที่เค้าเคยเชื่อ เค้าทิ้งพระเจ้าของเค้า พระเจ้าที่ทรงสร้างเค้าเละประทานความยิ่งใหญ่ให้กับเค้าครับ คำว่า "GOD" ของเค้าตอนนี้คือ



    G = Gold 

    O = Oil 

    D = Drug


    ภาพโดยรวมของอเมริกา ณ เวลานี้คือ

    1.อัตราการว่างงาน U6 = 20.50% พุ่งสูงถึงระดับ The Great Depression หรือเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1932 แล้ว และยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


    2.หนี้สาธารณะสูงถึง 11.50 Trillion ($11,500,000,000,000)


    3.Federal Budget Deficit งบประมาณประจำปีขาดดุล อยู่ถึง 2 Trillion($2,000,000,000,000)จนถึงปลายปีอาจจะพุ่งขึ้นสูงถึง 4 Trillion ($4,000,000,000,000)และไม่มีแนวโน้มว่าจะตัด หรือ จัดสรรให้ลงตัวได้ อีก 11-12 มลรัฐทีมีปัญหาเช่นเดียวกัน และยากที่จะทำงบให้สมดุลย์ได้


    4.จาก ผลของการทำ Quantitative Easing หรือการให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมาใช้ในโครงการต่างๆ จากอากาศ โดยไม่มีสินทรัพย์หนุน ทำให้เกิดฟองสบู่่ลูกใหม่ และทำให้ค่าเงินดอลล่าอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง แล้วเกิดเป็นภาวะเงินเฟื้ออย่างรุนเแรง หรือ Hyper-Inflation คือเงินเดือนในแต่ละเดือนอาจจะซื้อขนมปังได้ 1 ปอนด์ เพราะดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI จะพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และเกิดการลดค่าเงินในที่สุด แต่ระบบเงินของอเมริกา เป็นเพียงกระดาษไม่ใช่ระบบที่มีทองหนุนหลังเหมือนประเทศอื่นในโลก จะนำไปสู่การล่มสลายของดอลล่าในที่สุด


    5.สภาพความเป็นจริงของระบบการเงิน การธนาคารโดยรวมไปไม่ไหวแล้ว มีธนาคารอีกอย่างน้อย 1,000 แห่งที่พร้อมจะปิดตัวลงได้ทุกเมื่อ


    6.หลาย สิบปีที่ผ่านมา 70% ของภาคเศรษฐกิจอยู่ได้ด้วยการกู้ยืมเงิน และการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่การล่มสลายของระบบการเงิน และระบบเครดิต ทำให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อลำบาก ยังมีระเบิดเวลาอีกหลายลูกทำพร้อมที่จะเบิดทันที เช่น หนี้บัตรเครดิตทั้งระบบ เงินกู้เพื่่อการศึกษาและสวัสดิการต่างๆ การฟ้องยึดอสังหาริมทรัพย์ทั้งภาคครัวเรือน Residential และภาคการค้า Commercial 

    7.ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ส่อเค้าว่าจะระบาดอย่างรุนแรงในช่่วง Fall ซึ่งจะเป็นตัวจุดชนวนให้เบิดพร้อมกันได้ทั้งหมด


    8.การ แก้ปัญหา Bail out ของรัฐพุ่งเป้าไปที่ภาคการเงินเพื่ออุ้มกลุ่มนายทุนของตัวเอง ซึ่งไม่ต่างจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยเมื่อปี 1997 ผลที่ออกมาก็คงไม่ต่างกัน แต่จากปัญหาต่างๆ ข้างต้นจะทำให้อเมริกา ต้องถึงการล้มครึน และแปรสภาพไปเป็นประเทศในโลกที่ 3

    พูดอย่างตรงไป ตรงมาก็คือ ในทางเทคนิคอเมริกาประสบภาวะ "ล้มละลาย" แล้ว การฟิ้นตัวของตลาดหุ้นเป็นเพียงการบิดเบือนกลไกตลาดของภาครัฐผ่านทางกลุ่ม ทุนขนาดใหญ่ ต่างๆ ใน Wallstreet ซึ่งเอาไว้ตบตาคนที่มองแต่เพียงผิวเผิน แล้วเชื่อว่าฟื้้นตัวแล้ว

    ภาพที่จะออกมาในขณะนี้คือไม่มีอะไรเหลือแล้วในอเมริกานอกจาก "หนี้" และ "แสนยานุภาพทางทหาร" แต่รัฐบาลใช้กลไกของ Wallstreet ในการสร้างภาพ เพื่อให้ดูว่าเริ่มฟื้นตัว ไปจนถึงจุดนึงที่ไข้หวัดใหญ่หลายสายพันธุ์ จะระบาดอย่างรุนแรง แล้วทำให้ความเป็นจริงเศรษฐกิจที่ล้มละลายอยู่แล้วระเบิดออกมา แล้วทุกอย่างที่ซุกไว้ จะออกมาพร้อมกันทั้งหมด แต่รัฐบาลจะอ้างความชอบธรรมว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาสำเร็จแล้ว แต่เกิดปัจจัยใหม่ที่ทำให้ถึงการล่มสลาย จึงมีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไปเพื่อแก้ปัญหาต่อไป 


     
    "Novus Ordo Seclorum" ตราสัญลักษณ์ที่ถูกใส่ไว้ด้านธนบัตร 1 เหรียญ เมื่อปี 1938 มีความหมายอย่างไร ก่อนอ่านต้องเข้าใจก่อนว่า นี่ไม่ใช่ Conspiracy หรือทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด แต่เป็นเรื่องจริงที่อาจจะเหนือความเข้าใจของคนทั่วไป ที่กำลังเผาผลาญโลก ชีวิตคน และเศรษฐกิจ
    อย่าง แรกเราต้องรู้จัก “Numerology” ครับ เป็นศาสตร์ทางตัวเลขซึ่งเป็นองค์ความรู้เก่าแก่จากคัมภีร์ของพวกฮิบรูหรือ ยิว เป็นการ Code ตัวหนังสือให้เป็นตัวเลขครับ ก็คือการเอาตัวหนังสือซ่อนไว้ในตัวเลขนั่นเอง โดยมีความหมายดังนี้ครับ 

    6 Man คือ มนุษย์ 
    7 God คือ พระเจ้า 
    8 New Beginning คือ การเริ่มต้นใหม่ 
    9 Complete or Finish คือ การเสร็จสิ้น หรือ ความสำเร็จ 
    12 Government and Perfection คือรัฐบาลและความสมบูรณ์แบบ 
    13 Rebellion คือการปฏิวัติ หรือ การก่อกบฏ 
    18 Bondage หรือ ความเป็นทาส 
    28 Eternity คือความเป็นนิรันดร์ 

    เรามาดูกันครับว่าเค้าซ่อนอะไรไว้ในตราดวงนี้บ้าง 

    1. ดาว 13 ดวง คือการก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า) 
    2. อยู่ในวงกลมที่มี 28 ขีดหรือ Guide Line คือความเป็นนิรันดร์ 
    3. ป้ายผ้า 13 ขยัก คือการก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า) 
    4. ตัวหนังสือ E PLURIBUS UNUM หรือ “One out of Many” หรือ “หนึ่งจากหลายๆ สิ่ง” 
    5. ปีกข้างซ้าย มี 32 เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดินอีกกลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason)หรือ ฟรีเมสัน (Free Mason)ในยุโรป มี 32 ระดับ 
    6. ปีกข้างขวา มี 33 เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดินอีกกลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason)หรือ ฟรีเมสัน (Free Mason)ในอเมริกา มี 33 ระดับ 
    7. เส้นแนวนอน 12 เส้นที่หน้าอก หมายถึงความเป็นรัฐบาล 
    8. เส้นแนวตั้ง 18 เส้นที่หน้าอก หมายถึงการเป็นนายทาส 
    9. ซึ่งแบ่งได้ 6 แถบใหญ่ หมายถึงมนุษย์ 
    10. แถบสีดำและขาวรวมกันได้ 13 แถบ แยกเป็น 
    11. แถบดำ 7 แถบ หมายถึงพระเจ้า 
    12. แถบขาว 6 แถบ หมายถึงมนุษย์ (วางทับแถบดำ คือ อยู่เหนือ) แถบดำ 7 แถบคือพระเจ้า 
    13. กรงเล็บ 2 ข้างๆ ละ 4 รวมเป็น 8 เล็บ คือการเริ่มต้น 
    14. ลูกธนู 13 ดอก การต่อต้านหรือปกป้องตัวเองของประชาชน 
    15. ช่อมะกอกที่มี 13 ใบ หมายถึงเสรีภาพ 
    16. ผลมะกอก 13 ผล หมายถึงผลของเสรีภาพ 
    17. ขนที่หาง 9 ขน หมายถึงความสำเร็จ หรือบรรลุผลแล้วนั่นเอง 


    สามารถตีความโดยรวมได้ว่า……. 
    “ การจัดระเบียบโลกใหม่นี้จะเป็นการปกครองชั่วนิจนิรันดร์ ด้วยการก่อกบฏ(ต่อพระเจ้า) กลุ่มนี้จะก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มหลายกลุ่ม เป็นการจุติ(การกลับมาเกิดใหม่) ของกลุ่มที่ปรากฏอยู่แล้ว (หมายถึงกลุ่มที่ Dr.Weishaupt เคยมีส่วนร่วม) โดยเป็นรัฐบาลที่สมบูรณ์ และ ปกครองด้วยระบบนายทาส รัฐบาลนี้จะวางมนุษย์ไว้อยู่เหนือพระเจ้า ยึดครองทั้งสันติภาพและผลของมัน รวมทั้งความสามารถในการต่อต้านของประชาชน และตอนนี้…….สิ่งนี้ได้บรรลุผลแล้ว(เมื่อปี คศ.1938) ” 


    การ ที่ต้องมีเลข 13 หลายชุด เพราะเค้าซ่อนอะไรไว้อีกอย่าง สิ่งนี้เป็นความลับหรือปริศนาที่รอการพิสูจน์มา 2,000 กว่าปีครับ คือรหัสของซาตาน .......“ 666 ”....... หรือลูซิเฟอร์ พระเจ้าของเค้าไว้ครับ เราลองกลับมาที่แบงค์ดอล แล้วดูตามนี้ครับ 

     

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 

     

    Hexagram หรือการวางสามเหลี่ยมกลับหัวซ้อนกันจะได้ 6 มุม คือเลข 6 ตัวแรกครับ ไม่เท่านั้น ตัวอักษรที่อยู่ในมุมของสามเหลี่ยมแต่ละมุมจะได้ตัวอักษร 5 ตัวสะกดได้ว่า “ MASON ” หรือองค์กรลับใต้ดินอีกองค์กรหนึ่งที่ Dr.Weishaupt เคยมีส่วนร่วมอยู่นั่นเอง (YT,WIKI : Free Mason, Masonic Order) 


     
    Hexagram ที่ 2 ที่ซ่อนอยู่ คือเลข 6 ตัวที่สองครับ 


     
    สุดท้าย Hexagram ที่ 3 ที่ซ่อนอยู่ คือเลข 6 ตัวที่สามครับ 


    สำเร็จและสมบูรณ์แล้วครับ “ 666 “ ใครที่รอแอนตี้ไครส์หรือปรปักษ์พระคริสต์หรือบุรุษผู้จะมาก่อสงครามโลกครั้ง ที่ 3 ที่จะทำลายล้างมนุษยชาติ เราได้ตัวมันแล้วครับ มันไม่ใช่ว่าจะต้องมีชื่ออยู่บนหน้าผากอย่างที่เราเชื่อกันตามตัวอักษร หรือของพระคัมภีร์ Rev.13 มา 2000 กว่าปีครับ หน้าผากในหนังสือเป็นเพียงสัญลักษณ์หมายถึงส่วนหน้าของสมองคือ “ความคิด” หรือ “ความเชื่อ” ไงครับ อย่างเช่นมีใครบอกให้เราคิดอะไรเค้าก็ชี้มาที่หน้าผากไงครับ เค้าคงชี้เข้าไปที่ความคิดหรือสมองของเราไม่ได้ แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เราตีความออกมาก็อยู่ใน “ความคิด” ของมันไงครับ มันบอกมาหมดแล้ว แล้วถ้าที่มือก็คือ “การกระทำ” ไม่ใช่ว่าต้องมีสัญลักษณ์อะไรที่มือครับ ลองคิดในมุมนี้ดูครับ ใครที่อยู่บนสุดขององค์กรนี้ก็ตัวนั้นแหละครับ 


    ใครที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ถ้ามีโอกาสกาสลองหาหนังสือพระคริสตธรรม หรือไบเบิล แล้วเปิดไปที่บทสุดท้ายของหนังสือที่ชื่อวิวรณ์ มันเป็นการทำนายเหตุการยุคสุดท้ายของมนุษยชาติก่อนจะเข้าสู่โลกยุคใหม่ แล้วเปิดไปบทที่ 13 แล้วลองอ่านดูครับ เค้าซ่อนโค๊ดและสัญลักษณ์ต่างๆ เหมือนที่เรากำลังอ่านกันอยู่นี่แหละครับ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมคิดว่า คุณน่าจะตีความหนังสือวิวรณ์ออกแล้ว ใครซึ่งไม่เคยอ่านโพสต์นี้จะเข้าไปไม่ถึงแน่นอน อ่านไปก็ไม่รู้เรื่องครับ (เมื่อก่อนผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) และมันเป็นไปตามนั้นจริงๆ มันตรงจนพูดไม่ออก เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก สิ่งนี้แหละครับที่ทำให้ผมเห็นภาพทั้งหมดในอนาคตอันใกล้ ทั้งภัยพิบัติต่างๆ โรคระบาด การกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก คุณเอามาผูกโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือสิ่งที่เราคุยกันในนี้ เป็นอีกส่วนนึงที่เราศึกษาเพิ่มเติมได้ 

    องค์ความรู้ที่เป็น “ความจริง” หรือ “แก่นของความจริง“ จะไม่มีการแบ่งแยกชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ครับ มนุษย์มีเผ่าพันธุ์เดียวก็คือมนุษย์อยู่ดีครับ บ้างครั้งสิ่งที่เราเชื่อ เราก็ไม่เคยหาหรือรู้ว่าทำไมต้องเชื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือเพราะเชื่อตามกันมา ถ้าคุณหาแล้วคุณจะพบครับ 


    บท ความนี้เป็นช่วงเวลาประมาณ 3 ศตวรรษที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ จะบอกถึงต้นกำเนิด การสร้างปัญหา ทิศทางที่ถูกวางไว้แล้วทั้งหมด การก่อกำเนิด จักรวรรดิ์นิยมอังกฤษ จักรวรรดิ์นิยมอเมริกา การปฎิวัติ กลุ่มคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง การวางรากฐานระบบการเงิน การธนาคารเพื่อยึดครองเศรษฐกิจโลก และ การจัดระเบียบโลก เพื่อไปสู่โลกยุคใหม่ New Age ที่มีการปกครองโดย

       1. New World Government รัฐบาลเดียวปกครองโลก (U.N. หรือองค์การสหประชาชาติ)
       2. New World Reserve Currency ทั่วโลกใช้เงินสกุลเดียว (เตรียมไว้แล้วกำลังมา หลังจากล้มเศรษฐกิจทั่วโลกได้แล้ว โดยการล้มเงินดอลล่าที่เป็นเงินสำรองสกุลหลักของโลก)
       3. New World Language ทั่วโลกใชัภาษาเดียวกัน
       4. New World Religion & Spiritual ศาสนา และ ศาสดาองค์ใหม่ (เตรียมไว้นานมากแล้ว เอาของเก่า ที่อยากเป็นมานานมาแล้ว แล้วมาบอกว่าเป็นของใหม่)

    "Novus Ordo Seclorum" หรือ "New World Order" นั่นเอง

    1.Global Power and Global Government: Evolution and Revolution of the Central Banking System
    http://www.silverbearcafe.com/private/07.09/power.html

    2.Origins of the American Empire: Revolution, World Wars and World Order: Global Power and Global Government: Part 2
    http://silverbearcafe.com/private/08.09/origins.html




    ด้วย เหตุผลดังกล่าวข้างต้นทำให้ในปี 2008 เพียงปีเดียว มี American Citizen ที่ไหวตัว และตื่นแล้ว อพยพออกจากอเมริกาประมาณ 2 ล้านคน และได้ถ่ายโอนทรัพย์สินในสกุลดอลล่าไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก จนโอบาม่า ต้องนำกฏหมาย Patriot Act ที่่ออกมาใช้หลังเหตุการณ์ 9/11 เพื่อควบคุมการไหลออกของเงินไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก เพราะฉะนั้นยิ่งเคลื่อนไหวช้า การถ่ายโอนทรัพย์สินก็ยิ่งทำได้ลำบาก

    http://www.goldandsilvernow.com/resources/saab-stories/98-foreign-exchange






    สิงคโปร์ ( Singapore ) 

    ผมดึงมาจาก Wiki ให้ครับ พวกเราจะได้ตาสว่างครับ ผมไม่ชื่นชมประเทศนี้ เพราะ

    "In 1819 the British East India Company established a trading post on the island, which was used thereafter as a strategic trading post along the spice route. Singapore would become one of the most important commercial and military centres of the British Empire, and the hub of British power in Southeast Asia".

    แปลครับ ในปี 1918 บริษัท อีส อินเดีย ของอังกฤษ ได้จัดตั้งศูนย์กลางการค้าขึ้นที่เกาะแห่งนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้า ของเครื่องเทศต่างๆ และสิงคโปร์ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางทางการค้า และการทหาร ที่สำคัญของสหราชอาณาจักร หรืออังกิด (เอางี้นะง่ายหน่อย ) ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

    แปลอีกทีครับเป็นภาษาคนที่พอจะรู้ประวัติศาสตร์บ้าง:

    อังกิดเข้ามาล่าอาณานิคม ยึดสิงคโปร์ ยึดช่องแคบไว้ เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าและการทหาร ตั้งฐานทัพและกองเรือ เพราะเรือต้องผ่าน ไม่ผ่านไม่ได้ถ้าจะส่งสินค้าออก เพราะการบินยังไม่ก้าวหน้ามาก ต้องเรือเท่านั้น อุดมันไว้ไม่ให้ออก จ่ายค่าผ่านทางมา โขกเข้าไว้ๆ หรือไม่ก็เอามาส่งแค่นี้ ราคานี้จะเอาไม๊ ไม่เอา ขนกลับไป สิงคโปร์ถึงได้เป็นคนกำหนดราคาสินค้าไงครับ และอีกทางนึงได้โควต้าจากจากหน่วยเหนือฝั่งเมกา อังกิด และยุโรปเกือบทั้งหมด ทั้ง Demand & Supply อยู่ในมือ

    แต่น่าสังเกตุอย่าง อังกิด ลอยเรือมาครึ่งโลก เพื่อมาขาย Spice หรือพริกไทยเหรอครับ อ๋อ บ้านผมเรียกว่า " ฝิ่น " ครับ ใส่มาในเรือลำเดียวกันกับที่ไปมอมจีนบริษัทเดียวกัน บ้านเราและอีกหลายประเทศก็อัพ พริกไทยชนิดนี้ไปเยอะ สรุปว่า "ผู้ชนะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์" จากฝิ่นเพี้ยนนิดนึงไปเป็นเครื่องเทศ งง

    แต่ไทยห้ามขุดคลองคอดกระเด็ดขาด เค้าจะตายทันที เพราะฉะนั้นต้องซื้อรัฐบาลไทย หรือยึดประเทศไทย ซึ่งอยากได้มานานนนนน ถ้ากางแผนที่ดู เราอยู่ตรงกลาง เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และเดี๋ยวเผื่อมันจะขุด หมดอำนาจต่อรองทันที ........แต่ติด เล่นมันทุกไม้ มอมยาก็แล้ว แทรกซึมใน "หลาย" รัฐบาลก็แล้ว หว่านเงินก็แล้ว .......แต่ติด "พระอัจฉริยะภาพและพระบารมีของพระองค์ท่านทั้งสอง" ครับ พวกมันถึงไม่ชอบระบบกษัตริย์ไงครับ เพราะเข้าไม่ถึง ซื้อไม่ได้ เอาคนเสียบไม่ได้ งั้นหาทางใหม่วีธีเพื่อล้มดีกว่า ทำอะไรก็ได้เพื่อ "ตีสถาบัน" เพราะทำสำเร็จมาแล้ว ที่ฝรั่งเศษ รัซเซีย และจีน จับตัดคอและฆ่าหมด แล้ว"ยัดเยียด" สิ่งนึงให้คือ ประชาธิปไตย เย้ๆๆๆ มันดีน๊า อย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวแถมยาให้อีกหน่อย อืมมมมม...อาจจะไม่แนบเนียนเพิ่มตรงนี้หน่อย ต้องเลือกตั้ง โอ้โห เนียนเลยยยยยยย

    "ประชาธิปไตยที่มีคนของฉันเป็นประมุข" เช่นอิสราเอล และ อีรัค 

    เพราะฉะนั้น มันแทรกซึม ยึดครอง ซื้อรัฐบาล (เอ้า เอาไป 73,000) แล้วทำงานตามนี้ 1.ไปทำสนามบินให้เสร็จ เดี๋ยวจะมีสงครามแล้ว ต้องใช้ เอาใหญ่หน่อย Run Way ต้องแข็งๆ นะ เพราะเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ต้องไปลงมันหนัก 2.เรื่องกฏหมายติดหนวด เหมือนที่ผมจากมาเลยครับหลักคิดเดียวกันเป๊ะ เรื่อง 3 จังหวัดภาคใต้คือ 911 ของเมืองไทยหรือเปล่าครับ ผมชื่นชมท่านครับ งานดีที่สุดเท่าที่่เราเคยมีมา ท่านช่วยลดหนี้ให้บ้านผม ผมติดค้างท่าน แต่ถ้าภาพตรงนี้ไม่เคลีย ผมอยู่ข้างท่านไม่ได้ ผมเลือกประเทศชาติครับ (ถ้าใครที่ต้องใช้ชีวิตในต่างแดนนานๆ ท่านจะเข้าใจว่าทำไม คนเหล่านี้จะรักชาติมากกว่ากว่าคนที่อยู่ในบ้านตัวเองเสียอีก ผมศรัทธาคำว่า "Patriot" ครับ เค้าพร้อมสละเพื่อชาติได้)

    " Coup เลยครับถ้าต้องทำ" ผมไม่ได้ต้องการครับ แต่ต้องมีเหตุผลแบบถึงที่สุดแล้ว และอธิบายกับประชาชนได้ หาทางอธิบายให้เค้าเข้าใจ แต่ทุกอย่างต้องดีขึ้น "ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน" คณะที่มาใหม่ต้องสุดยอดดด ไม่ใช่ถูกจับมานั่งแบบมึนๆ งงๆ โปรดเกล้าแล้วยังงง นึกว่าฝันไป ถ้ามันต่อยใต้เข็มขัด เราเอาไม้ตีหัวมันให้สลบน่าจะ Make sense

    โอ๊ยไม่ได้หรอก พวกนักวิชากินไปชวนนักวิชาเกินที่จบจากสถาบัน Top ten ของโลกที่เป็นของตัวดำกับตัวขาวซะส่วนใหญ่ (มันสอนมาว่ายูก็จ่ายตังค์มาตั้งเยอะแล้ว "ยูเป็นดอกเตอร์แล้วนะ ยูต้องเชื่ออย่างนี้ เอ้าเราคีย์ใส่หัวให้แล้วนะ อย่าไปล้มหัวกระแทก เดี๋ยวลืมแล้วจะเห็น"Truth" หรือ "ความจริง" นะ ต้องมาจ่ายตังค์เพิ่มอีกนะ) 2 คนนี้มาโวย โอ๊ยไม่ได้ ต่างชาติไม่ยอมรับ ใครล่ะต่างชาติ อ๋อ สิงคโปร์ เมกา อังกิด และพวกเค้า ตอบเค้าไปว่า เทียนอันเหมิน จีนต้องทำไปเท่าไหร่ แล้ววันนี้ทั้งโลกทำไมซื้อของจากจีนล่ะ ใครไม่ซื้อ ใครไม่ค้าขาย เค้ากำลังจะเป็นมหาอำนาจโลกแล้ว อยู่ที่เรามีอะไรให้เค้ามากกว่า ทั้งกินและเกินตื่นแล้วคิดครับ

    กับสิงคโปร์ เราต้องอ่านเค้าให้ลึกๆ เลยครับ ประเทศนี้คล้ายๆ กับอิสราเอล คือเป็นตัวแทนให้ทั้งแขนซ้าย(อังกฤษ) และแขนขวา(อเมริกา) ซึ่งเป็นมือทำงานให้ทั้งตัวดำและตัวขาว (ที่นั่งอยู่บนหัวของกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ EU และสหประชาชาติ ซึ่งก็ของเค้าตั้งมากับมือ ไปหาดูมีรูปการลงนามในรัฐธรรมนุญของกลุ่ม EU รูปในเวบเป็นตัวดำครับ )


    ถ้า ใครที่ติดตามเศรษฐกิจโลกอยู่ตอนนี้จะเห็นภาพการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมๆ กัน ในอัตรา 40-60% โดยเฉพาะตลาดในเอเซีย ไม่แปลกครับที่การฟื้นตัวครั้งนี้นำโดยเอเซียเป็นหลัก เพราะ

    1.เอเซียได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ลดลง แต่ไม่ได้เป็นต้นตอปัญหาที่แท้จริง
    2.เกิดจากการเคลื่่อนย้ายทุนออกจากอเมริกา และยุโรป เพื่อหนีภาวะซบเซาของตลาดทุนในซีกโลกตะวันตก

    เพราะฉะนั้นการฟื้นตัวในเอเซียไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ยังไม่ได้เปลี่ยนไปมาก นอกจากด้านการผลิตและการส่งออกของแต่ละประเทศ

    แต่การฟื้นตัวของอเมริกา จะต้องระวังเพราะ ปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่แค่เปลี่ยน แต่ไม่เหลืออะไรมากไปกว่าหนี้ หนี้จำนวนมหาศาลจากภาครัฐบาล ที่ไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุด คือหนี้และการใช้จ่าย แต่กลับขุดหลุมฝังตัวเองให้ใหญ่ขึ้น โดยการสร้างหนี้เพิ่ม พิมพ์และอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินการธนาคารเพียงอย่างเดียว (แต่ไม่มีการปล่อยกู้เพิ่ม เหมือนที่ไหนก็ไม่รู้ คุ้นๆ) ซึ่งแฝงไปด้วยเบื้องหลังที่น่าเคลือบแคลง คือการสร้างและใช้วิกฤติ เพื่อดูดเงินภาษีของประชาชน เข้ากระเป๋ากลุ่มทุนของตัวเองโดยผ่านภาพของการเข้าไปแก้ปัญหา เช่น Goldman Sachs, JP Morgan, AIG และอีกหลายราย โดยที่กลุ่มทุนเหล่านี้มีการเชื่อมโยงกันทั้งหมด และผู้บริหารระดับสูงก็ร่วมอยู่ในรัฐบาลของโอบามา เช่น
    Timmothy Geithner (ทิมโมที ไกเนอร์) รัฐมนตรีคลัง เคยเป็น CEO ของ Goldman Sachs, สมาชิก CFR และเค้ายังเป็นประธาน Fed ของ New York กล่าวคือเป็นทั้งผู้ก่อปัญหา แก้ปัญหา และเป็นผู้ควบคุมการแก้ปัญหาของรัฐบาล

    Hank Paulson (แฮงค์ พอลซัน)อดีตรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลบุช เคยเป็น CEO ของ Goldman Sachs, สมาชิก CFR (Council of Foreign Relation) ผู้เชิดหุ่นหรือรัฐบาลตัวจริง มีหน้าที่วางแผน กำหนดนโยบาย สั่งการต่างๆ ให้รัฐบาลเงา(โอบาม่าเป็นหุ่นเชิด)ในวอชิงตันทำตาม แล้วยังเป็นตัววางต่ำแหน่งบริหารต่างๆ ในทำเนียบขาว และสภาคองเกรส กล่าวคือ เป็นทั้งผู้ก่อปัญหา แก้ปัญหา และเป็นผู้ควบคุมการแก้ปัญหาของรัฐบาล เหมือนเดิม

    และมีอีกมากกระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ในระดับบริหารของรัฐบาลโอบาม่า ซึ่งครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้ก็มาจาก CFR และที่เหลือเป็นบริษัทที่รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ที่สำคัญยังเป็นผู้ชงกฏหมายต่างๆ ที่เกียวข้องทั้งหมด และรู้ข้อมูลภายในของบริษัทเหล่านี้ทั้งหมด อย่างเช่นการ "ปล่อย" ให้ล้มของ Lehman Brother เพราะ Lehman Brother เป็นทั้งคู่แข่ง และเป็นเจ้าหนี้ของ Goldman Sach และ การที่ Lehman กระจายการลงทุนไปในยุโรป จึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอเมริกา อังกฤษ และยุโรป 

    การ ปล่อยให้ Lehman ล้มจึงเป็นการจุดชนวนระเบิดอีกลูกนึงให้ทางฝั่งอังกฤษและกลุ่มยุโรป ได้รับผลกระทบไปด้วยเต็มๆ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า รัฐบาลโอบาม่า ก็่มีการแฝงตัวของกลุ่มทุน Goldman Sachs อยู่ข้างในนั่นเอง มันเลยฟันกำไรเละเลย Record High อีกต่างหาก ในอเมริกาเรียกสิ่งนี้ว่า "Ponzi Scheme" (หาหนังสืออ่าน ดีมากครับ) และคนอเมริกัน จะถูกรูดทรัพย์ไปเรื่อยๆ โครงการรูดทรัพย์ต่อไปก็คือ Climate Change Bill หรือ Carbon Tax คือคนอเมริกันทุกคนที่ใช้รถจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มคิดตามไมล์ที่ขับในแต่ละปี ครับเพื่อเอาไปช่วยหมี เอ้ยไม่ใช่ แก้ปัญหาเรื่องโลกร้อนครับ เห็นโฆษณาจะไปช่วยหมีที่ขั้วโลกเหนือกันใหญ่ ในขณะที่ทั้งอังกฤษและเอมริกากำลังจะล้มละลายอยู่แล้วครับ Prince Philip
    CFR (Council of Foreign Relation) ผู้เชิดหุ่นหรือรัฐบาลตัวจริง มีหน้าที่วางแผน กำหนดนโยบาย สั่งการต่างๆ ให้รัฐบาลเงา(โอบาม่าเป็นหุ่นเชิด)ในวอชิงตันทำตาม แล้วยังเป็นตัววางต่ำแหน่งบริหารต่างๆ ในทำเนียบขาว และสภาคองเกรส อีกทั้งยังเป็นตัวการระดมสมองและวางแผนการล้มเศรษฐกิจขอสหรัฐและของโลกใน ครั้งนี้ครับ

    Note: เรื่องภาวะโลกร้อน หรือ Climate Change ใช้เวทีออสกาหลอกต้มคนทั่วโลกอีกแล้วครับ ไม่เป็นความจริง โลกร้อนขึ้นจริงครับแต่ไม่ใช่เพราะน้ำมือมนุษย์ เป็นวัฐจักรของธรรมชาติ แล้วจะเอากราฟมาอธิบายให้ฟังครับ วงการวิทยาศาสตร์ เค้าเรียกว่า Pseudo Science คือเอาวิทยาศาสตร์มาหลอกต้มหาเงินครับ เล่นกันเป็นขบวนการเหมือนเดิม

    จาก การที่รัฐบาลโอบาม่า พยายามผลักดันกฏหมายต่างๆ ซี่งซ่อนความฉ้อฉลไว้ และเพื่อลิดรอนสิทธิพลเมืองอเมริกัน และปูทางไปสู่ระบบเผด็จการ ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาประชาชนที่เดือดร้อนจากการผลักดันกฏหมายเผด็จการต่างๆ เช่น

       1. Health Care Reform Bill
       2. Cap & Trade หรือ Carbon Tax Bill
       3. Stilmulus & Bailout Packages ต่างๆ
       4. การปรับขึ้นภาษีของรัฐต่างๆ
       5. Gun Confisticate Bill

    การ รวมตัวกันนี้เรียกว่า Tea Party และการประท้วงอย่างเงียบๆ นี้เริ่มส่งเสียงดังขึ้นทุกขณะ และกระจายไปสู่รัฐต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ ในอดีตที่ผ่านมา Tea Party ที่เกิดขึ้นที่ Boston รัฐแมสซาชูเซท นี่เองที่นำไปสู่ American Civil War หรือการปฏิวัติในอเมริกา และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่จะช้าเร็วเท่านั้นเอง เราจะเห็นความรุนเแรงในอเมริกาเพิ่มขึ้นทุกวัน และ Civil Unrest หรือ Riot ครั้งใหม่คงอีกนานแล้ว



    ต่อจากตอนที่ แล้วว่าอเมริกาฟื้นหรือยัง ขอให้ดูกราฟนี้ประกอบ กราฟนี้เป็นภาวะตลาดหุ้นเมื่อครั้งเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกครั้งใหญ่เมื่่อปี 1929-1930 ถ้าเรากลับไปดูประวัติศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะเห็นว่าเป็นภาพเดียวกันหมด เพราะกลุ่มคนที่ทำและล้มเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน วิธีการเดียวกัน มีจุดประสงค์เดียวกัน จำไว้นะครับว่า เมื่อเศรษฐกิจพัง ไม่ใช่ทุกคนจะต้องจนลงกันหมด แต่.... จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หรือมองออกจะต้องไปดักตรงไหน เพราะหลักเศรษฐศาสตร์ก็เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีกฏเกณฑ์ตายตัวเสมอ และจะทำเงินได้มหาศาล มากกว่าเศรษฐกิจดีเสียอีก

    กลับ มาที่กราฟ จุดสูงสุดก่อนที่จะล่วงลงสู่จุด A ก็คือ DJI (dowjone index)ก่อนที่ตลาดจะถล่ม เมื่อเดือน Nov 08 แต่หลังจากนั้น หุ้นก็ดิ่งลงอย่างรุนแรง ลงมาที่จุด A ก็คือเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ประมาณ 6,500 หลังจากนั้น DJI ก็เริ่มฟื้นตัวจากการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ของรัฐบาล หรือ Green Shoot และพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีปัจจัยรองรับ เพราะตัวเลขต่างๆ ติดลบหมด ที่บวกขึ้นคือหนี้เท่านั้น กลับไปที่ปี 1930 จากจุด A หุ้นก็ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและรุนแรง เป็นเวลาติดต่อกันถึง 7 เดือน ไปจนแตะที่จุด B ทำให้เกิดภาพว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว หรือถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่......

    ใน ปี 1930 จากจุด B หุ้นดิ่งลงอีกครั้งและลงอย่างถล่มทลายต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึง 3 ปี จาก 290 จุดหลือเพียง 40 จุด ลดลงไปถึง 86% ในที่สุดก็ต้องปิดธนาคารและลื้อระบบกันใหม่ทั้งหมด หากเป็นไปตามนี้ จากเดือนมีนาคม DJI จะพุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง อาจจะขึ้นไปถึง 11,000-12,000 จุด แล้วก็จะถล่มลงอีก หลายกระแสวิเคราะห์ว่าอาจจะประมาณ Oct-Nov 2009 แต่ในภาวะหนี้และสภาพแวดล้อม ณ ขณะนี้ ถ้า DJI ถล่มลงอีกครั้ง ครั้งนี้ จะไม่ใช่ 6,500 แล้ว อาจจะลงลึกไปถึง 3,500 หรือ 1,500 จุด อย่างเลี่ยงไม่ได้

    การฟื้นตัวที่เกิดขึ้นในปี 1930 เป็นเพียงการ "ล่อเข้าไปเชือด" ของกลุ่มทุนใน Wallstreet หรือเค้ารู้อยู่แล้วว่าสภาพความเป็นจริงคืออะไร จึงมีการปั่น และบิดเบือนตลาดของกลุ่มทุนของรัฐบาล เพื่อสร้างภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ล่อให้คนที่ไม่ทันเกม เข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาต่ำเพื่อหวังกำไรจากการฟื้นตัว แต่กลายเป็นการเข้าไปถูกเชือดซ้ำ บริษัทเหล่านี้เทขายออกมาอย่างบ้าคลั่งและต่อเนื่อง และได้กำไรมหาศาลจากราคาหุ้นที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อเทขายจนหมด หุ้นก็หมดแรงขึ้นต่อ แล้วก็หักหัวลงไป 86% ต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ปี ระวังประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกแล้วครับ

    ที่มา 
    http://jimmysiri.blogspot.com

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×