ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Majestic 12 โครงการลับอันอื้อฉาวของรัฐบาลสหรัฐฯ

    ลำดับตอนที่ #4 : Planet X ปริศนาดาวดวงที่ 12

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      1
      7 มิ.ย. 54

     The Search for Planet X : การค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบ ตามตำนานของชาวสุเมเรี่ยน 

    Where do human come from? 


    เรื่องนี้เก็บตกมาจากหนังสือของนักภาษาศาสตร์ Zecharia Sitchin เขาเขียนหนังสือดังๆไว้หลายเล่มด้วยกันในที่นี้จะเก็บรายละเอียดย่อๆมาเล่าให้ฟังพอหอมปากหอมคอ

    อีตา Sitchin เนี่ยเค้ามีความเชื่อว่ามนุษย์เรานี้เป็นทายาทของมนุษย์ต่างดาว บางท่านก็คงจะนึกว่ามันจะแปลกอาไร๊… เพราะนักเขียนฝรั่งที่เชื่อแบบเดียวกันและเขียนหนังสืออกมาก็มีกันตั้งหลายคน อันนั้นมันก็ใช่อยู่หรอก เพียงแต่ตา Sitchin เนี่ยค่อนข้างจะเชี่ยวชาญเรื่องอักขระโบราณ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามรอยอารยธรรมที่มีคนเชื่อกันว่าเป็นอารยธรรมที่มาจากนอกพิภพ งานเขียนของเขาครอบคลุมอย่างกว้างขวางไล่ไปตั้งแต่เรื่องของสโตนเฮนจ์ โบราณสถานเทียฮัวนาโค รวมไปถึงอายธรรมโบราณของสุเมเรียนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาว Nibiruans ในคำจารึกของชาวสุเมเรียนเรียกพวกเขาว่า อานันนาคิ (Anunnaki) ซึ่ง Anunnaki นี่แหละครับที่ตา Sitchin เชื่อว่าไม่เพียงแต่สร้างอารยธรรมในดินแดนเมโสโปเตเมียเท่านั้น แต่ยังสร้างอารยธรรมของทั้งโลกอีกด้วย พวกเขามาจากดาวเคราะห์ดวงที่ชื่อว่า นิบิรุ

     

    จากการถอดรหัสอักษรคูนิฟอร์มมากกว่าสองพันชุดที่จารึกเรื่องราวในดินแดนแถบอ่าวเปอร์เซียเอาไว้ บางจารึกมีอายุถึงหกพันปี บางจารึกก็แตกหักไม่สมบูรณ์แถมยังกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก มีจารึกคูนิฟอร์มชิ้นนึงที่ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในประเทศเยอรมณีกล่าวถึงรายละเอียดทางดาราศาสตร์บางประการ โดยเฉพาะที่ชี้ว่าโลกถือเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ดหากนับจากดาวพลูโตนี่แหละครับ ฟังแล้วน่าทึ่งจริงๆ เพราะอายุของจารึกคูนิฟอร์มนี้มันปาเข้าไปตั้งสี่พันกว่าปีแล้ว ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งค้นพบดาวพลูโตและนับมันเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะเมื่อเร็วๆนี้เอง ชาวสุเมเรียนโบราณเค้ารู้จักดาวพลูโตกันได้อย่างไร น่าทึ่งนะ ยังมีสิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีก ในจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณบอกไว้อย่างชัดแจ้งว่าพวกเขามาจากห้วงท้องฟ้าที่เรียกกันว่านิบิรุ 

    พระเจ้าหรือพระผู้สร้างจากนิบิรุพาพวกเขาล่องเรือลงมายังโลก แล้วก็ปล่อยให้ชาวสุเมเรียนโบราณเหล่านี้ ใช้ชีวิตเริ่มต้นอารยธรรมกันบนดินแดนเมโสโปเตเมีย ชาวสุเมเรียนเหล่านี้ หาได้มีความสามารถสร้างอากาศยาน เพื่อท่องไปทั่วอวกาศอย่างพระผู้สร้างไม่ แต่ความรู้ที่พระผู้สร้างจากนิบิรุทิ้งไว้ให้นี้ ก็เล่นเอานักวิทยศาสตร์ปัจจุบันงงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกันแหละ สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดแบบลึกๆของเรื่องนี้ คงต้องหาหนังสือมาอ่านกันเองล่ะ เพราะรายละเอียดค่อนข้างแยะ 

    เอาเป็นว่าสรุปรวมๆให้ว่า เนื้อหาของหนังสือเขาครอบคลุมไปถึงเรื่องของ Nefilim ด้วย อันว่า Nefilim นี้เป็นกลุ่มชนที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่า อันเจ้าคำว่า Nefilim นี้เป็นภาษาฮีบรูโบราณแปลว่า "ผู้ลงมาจากเบื้องบน" การตีความจารึกของ Sitchin นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ถึงกระนั้นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก Sitchin ออกเดินทางไปทั่วโลก ตระเวณไปตามแหล่งอารยธรรมต่างๆเพื่อหาห่วงโซ่ที่จะโยงปริศนาทั้งหลายเข้าด้วยกัน 

     

    Sitchin ให้ทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ซึ่งคนทั่วไปเรียกมันว่า "ใบหน้าบนดาวอังคาร" หรือ Face On Mars อันว่า Face On Mars นี้เป็นที่กังขากันมานานแล้วว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงการเล่นตลกของแสงกับมุมกล้อง สำหรับท่านที่ตกข่าวอยู่ จะท้าวความให้ก็ได้ว่าเจ้า Face On Mars ที่ว่านี้เป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายใบหน้าสฟิงก์และหมู่ปิระมิด ซึ่งยานอวกาศขององค์การนาสาถ่ายได้โดยบังเอิญ ในบริเวณที่ราบที่เรียกกันว่า Cydonia บนดาวอังคาร ตอนนี้ยังไม่มีใครตีความออกว่าลักษณะของสฟิงก์ที่รายล้อมด้วยหมู่ปิระมิดนั้นหมายถึงอะไร แต่คาดกันว่า น่าจะใช้เป็นจุดสังเกตทางอากาศเมื่อจะนำยานลงจอดมากกว่าอย่างอื่น เพราะสิ่งก่อสร้างลักษณะนี้จะดูสะดุดตามากหากมองจากทางอากาศ หากเป็นจริงแล้ว สฟิงก์แห่งกิซาและมหาปิระมิดอาจเป็นจุด Landing ของยานจากดาวนิบิรุก็ได้ 

    ปริศนาอย่างหนึ่งของสฟิงซ์และมหาปิระมิดก็คือมันถูกสร้างด้วยฝีมือของชาวอียิปต์จริงๆหรือไม่ เพราะอายุอานามของปิระมิดและสฟิงซ์นั้น จากการตรวจสอบทางโบราณคดีอายุมันมากกว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ตั้งสองพันกว่าปี หากเป็นอย่างนั้นจริง ฟาโรห์คีออปส์ก็หาใช่ผู้สร้างปิระมิดเลย พระองค์เพียงแต่บูรณะมหาปิระมิดขึ้นมาแล้วก็อ้างชื่อในฐานะผู้สร้างเท่านั้น แน่ล่ะเป็นถึงเหนือหัวเจ้าแผ่นดินนี่นา จะทรงสั่งให้อาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์ยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละ 

    จงเตรียมพร้อม!!!  
     

    การศึกษาเรื่องของพระเจ้าโดยอาศัยเงื่อนงำจากตำนานสุเมเรียนโบราณยังคงดำเนินต่อไป หากเรื่องนี้เป็นเพียงตำนานเหลวไหลแล้วองค์การเบิ้มๆอย่างนาสา คงไม่บ้าจี้ค้นหานิบิรุตามตำนานหรอก ปัจจุบัน ณ อาร์เจนตินาและชิลี นาสาได้ขอความร่วมมือตั้งกล้องโทรทัศน์ขนาดมหึมา เพื่อสอดส่องหาอะไรบางอย่างอยู่อย่างเงียบเชียบ นาสาปิดบังสิ่งใดไว้หรือ? อเมริกาและมหาอำนาจอื่นๆกำลังทำอะไรกันอยู่ …เตรียมพร้อมรับการมาถึงของ Anunnaki? 

    หลักฐานอีกชิ้นที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าจากอวกาศ ก็คือแผนที่ เป็นแผนที่โลกจารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวอายุอานามกว่าหกพันปี มีเส้นรุ้งเส้นแวงครบถ้วนตามกระบวนการทำแผนที่ยุคปัจจุบันเด๊ะ เพียงแต่ลักษณะของทวีปต่างๆไม่เหมือนกับปัจจุบันเลยซักนิดเดียว มันคืออะไร? แผนที่โลกนี้เมื่อนมนานมาแล้วหรือว่าเป็นแผนที่ของดวงดาวอันไกลโพ้น ดวงดาวที่ Anunaki นำบรรพชนของเราลงมายังโลก มีงานเขียนบางชิ้นกล่าวถึงการสร้างมนุษย์จากหลอดทดลอง มนุษย์ที่ว่าก็คือบรรพชนของเรานี่แหละ งานเขียนเหล่านั้นจะอ้างอิงคัมภีร์พันธสัญญาเก่าเป็นหลัก อาศัยการตีความจากไบเบิลเท่านั้น แต่บันทึกของสุเมเรี่ยนเจ๋งกว่า เพราะมีทั้งเรื่องราวและภาพโครงสร้างของ DNA อยู่อย่างเสร็จสรรพ ชาวสุเมเรียนโบราณรู้เรื่อง DNA ตลอดจนวาดภาพโครงสร้างของมันออกมาได้อย่างไรหากเขาไม่เคยเห็นมาก่อน? 

      

    คำถามสุดท้ายสำหรับช่วงนี้คืออนาคตของมนุษย์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศกำลังมีน้ำหนักและอิทธิพลต่อความเชื่อของคนยุคปัจจุบันมากขึ้นทุกที หลายคนเริ่มคล้อยตามในขณะที่บางคน บางกลุ่ม โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจยอมรับมันมานานแล้ว เราอาจถูกสร้างโดยพระผู้สร้างผู้เดินทางมาจากอวกาศ สักวันเราจะมีโอกาสเจริญรอยตามพระผู้สร้างได้หรือไม่ เพราะอย่างน้อยตอนนี้มนุษย์เราได้เติบโตขึ้นกว่าเดิมมากมาย เรียกได้ว่าก้าวหน้าทั้งศาสตร์และศิลป์จนทำให้บัลลังก์ของพระเจ้าจากอวกาศเริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว ที่สำคัญคือสันดานก้าวร้าวในตัวมนุษย์รวมถึงนิสัยชอบก่อสงครามนี่แหละจะทำให้มีปัญหาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดปีกกล้าขาแข็งและคิดจะวัดรอยเท้าพระเจ้าขึ้นมา?




    Planet - X 



    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่า) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาวเคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่? 

    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบสุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวงจันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า 

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรงดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน 

    เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?



    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก 

    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริโซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930) 

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโต เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย 

     

    Planet - X 


    นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมากก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา 

    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดินเหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไปตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่างหาก 

    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบสุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น 

    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆกัน 

    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่" 

    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย 

      


    จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงถึงได้ 12 ดวง 

    จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลย โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถของชาวสุเมเรียนโบราณ 

    ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?

    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?  
     

    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไง จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่ 

    คิดดูนะ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้ จะค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ



    อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาวเคราะห์นี่แหละ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวกเราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย 

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊กซอเลย ถึงงั้นก็เถอะแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา 

    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวง!!!!  
     

    ....ครึ่งดวงจริงๆ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน 

    แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก 

     
    ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย 

    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอา ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองนั้น ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)

    Planet X และพระผู้สร้าง 


    เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหาง เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ถึงวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar


    ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัม และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย 

    ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนาอยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเราถึงหกพันกว่าปี จะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบพิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง 

      

    มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า 

    หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนของเทพ Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไง นึกอะไรออกบ้างหรือยัง? 

    ใช่แล้ว ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้างไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น? 

     

    ภาพนี้ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามา แล้วคุณล่ะ ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริง? ถ้ามีเวลาจะแกะหนังสือของนักเขียนคนนี้มาให้ดูกันเล่นๆอีก รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากแต่หลักฐานก็หนักแน่นน่าเชื่อถือดี หาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆน่าจะพอมี



    แถมท้าย วงโคจรของ Planet X ที่แหกคอกจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×