ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : แต่ละชิ้นส่วนรวมเป็นความจริง
ลองดูจิ๊กซอตัวเหล่านี้ครับ:
9.11.1991 จอร์จ บุ๊ชผู้พ่อ ประกาศเรื่อง New World Order หรือการจัดระเบียบโลกใหม่
ไม่ค่อยมีใครเข้าใจครับว่ามันคืออะไร แต่ฟังแล้วน่าจะดีครับ
9.11.2001 จอร์จ บุ๊ชตัวลูก และทีมงาน ก่อวินาศกรรมประเทศตัวเอง เอาเครืองบินชนตึกเวิลเทรดเซ็นเตอร์
แล้วพาประเทศเข้าสู่ส่งคราม ระดมเงินมหาศาลเพื่อไปลงการทหารหรือที่เรียกว่า Military Complex
2001 CFR ซึ่งเป็นหน่วยงานมันสมองคอยวางแผน เทียบได้กับอีลูมินาติที่ทำเรื่องการทหาร
วางแผนเพื่อล้มเศรษฐกิจของอเมริกาและเศรษกิจโลกครับ คือเอกสารที่เมลล์ให้ไปนนั่นแหละครับ
2001 เป็นต้นมาราคาทองพุ่งสูงขึ้นไม่หยุดมาตลอดต่อเนื่องจนถึงวันนี้ครับ
2002 จากเหตุการณ์เวิลด์เทรดเซนเตอร์ เศรษฐกิจสหรัฐใกล้ล้มเต็มที่ เนื่องจากฟองสบู่แนสแด๊กหรือตลาดหุ้นไฮเทค
หรือด๊อตคอมต่างๆ ที่แตกไปก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าตอนนั้นเค้ายอมล้มวันนี้เค้าฟื้นไปแล้วครับ แต่
2002 อลัน กรีนสแปน เลือกวิธีที่จะลากไปต่อ ด้วยการลดดอกเบี้ยลงต่ำติดดิน ทำให้เกิดฟองสบู่ลูกใหม่ที่ใหญ่มหึมา
คือฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และการเก็งกำไรราคาบ้านและที่ดิน แล้วเรียกว่าเป็น "American Dream"
หรือการมีบ้านของตัวเองให้คือความฝันของคนอเมริกันนั่นเอง ทำอย่างเฟื่องฟูเพราะดอกเบี้ย 0% เต็มตลาดการเงินไปหมด
ให้กู้แม้กระทั้งคนที่ให้ไม่ได้ เพราะเงินมันล้นระบบครับ หรือที่เรียกว่า Sub-Prime Loan นั่นเอง "ไม่มีเครดิต
เครดิตเสีย เครดิตไม่ดี ไม่มีปัญหา เราซ่อมได้ ซื้อบ้านได้แม้แต่ไม่ใช่คนอเมริกัน" เละเลยครับทีนี้
2007 ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกครับ กลุ่มแรกคือ Sub-Prime Loan นั่นแหละครับ เพราะอะไรถึงมาได้ตั้งหลายปี
เพราะตอนซื้อทั้งลดทั้งแถมแบบยัดเยียดบ้านให้ ล๊อคดอกเบี้ยต่ำ 5 ปีบ้าง 7 ปีบ้าง
สารพัดการตลาดใส่ลงไปในระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ครับ แล้วหลังจาก 5 ปี 7 ปีล่ะ แตกไงครับ
จาก "American Dream" กลายมาเป็น "American Nightmare" หรือฝันร้ายของชาวอเมริกันครับ
เพราะอะไร หลังจากที่ขายบ้านได้แล้ว ก็ขึ้นโครงการใหม่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครับ ( เอ คุ้นๆ นะอันนี้ )
ส่วนธนาคารปล่อยกู้ได้แล้วเอาสัญญานั่นไปขายต่อกันเป็นทอดๆครับ แต่ก่อนขายมีการแยกระดับชั้นของหนี้
แล้วมีการจัดขั้นหนี้แล้วประทับรับรองโดยสถาบันจัดอันดับต่างๆ เช่นมูดี้ เป็นต้น
ยังไม่พอคนซื้อถ้าไม่แน่ใจสามารถซื้อประกันค้ำไว้อีกได้ครับทุกกลุ่มชั้น หนี้เลย เรียกว่า CDS และ CDO
แล้วเอาเอกสารนี่ไปขายกันเป็นทอดๆอีกทีนึงครับ
2008 Bearstern, Fanni Mae, Freddie Mac, Lehman Brother และอีกหลายบริษัทระดับโลกอายุเป็น 100 ปี ล้มครับ
เพราะทนรับหนี้เสียไม่ไหว แล้วล้มเพิ่มจากการเข้าไปค้ำประกันหนี้เหล่านั้นครับ
2008 ปลายปีจอร์จ บูชตัวลูก บอกว่าต้องอุ้มครับ บริษัทเหล่านี้ ไม่อุ้มไม่ได้ประชาชนจะเสียหาย
เศรษฐกิจจะล้มละลายกันทั้งหมด ยังไงก็ต้องอุ้มครับ เลยผ่านกฏหมายอัดฉีดเงินเข้าระบบเป็นมูลค่า 700 Billion ครับ
เงินตรงนี้มาจากไหน "อากาศครับ" ปั๊มใส่เข้าไปก่อนแล้วค่อยทยอยเอาเงินภาษีขอประชาชน
ในอีก 3-4 ชั่วอายุคนข้างหน้าไปทยอยจ่าย จึงเกิดคำว่า " Too Big Too Fail " หรือใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้มได้
2009 โอบาม่าเข้ารับตำแหน่งก็บอกว่า เอ้า ธนาคารและบริษัทประกัน (ของพวกเรากันเอง)
ที่มีส่วนในการปล่อยกู้และค้ำประกันก็จะล้มด้วย ไม่ได้ต้องอุ้มเหมือนกัน ผ่านกฏหมายใส่ไปอีกกว่า 700 Billion ครับ
เข้าไปอุ้ม แบงค์ใหญ่ๆ บริษัทประกัน และบริษัทการเงิน ( ที่เป็นผู้ให้เงินสนับสนุนรัฐบาลในการเลือกต้ังและยังเป็นผู้ถือหุ้น FED อีกต่างหาก )
2010 มกราคม มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะนี้โดยการปั๊มและอัดเงิน
จำนวนมหาศาลเข้าไปอุ้มบริษัทต่างๆที่เป็นของพวกเค้าเอง เป็นรอบที่ 2 หรือที่เรียกว่า Stimilus II ครับ แต่ครั้งนี้คงไม่ง่ายแล้วครับ
9.11.1991 จอร์จ บุ๊ชผู้พ่อ ประกาศเรื่อง New World Order หรือการจัดระเบียบโลกใหม่
ไม่ค่อยมีใครเข้าใจครับว่ามันคืออะไร แต่ฟังแล้วน่าจะดีครับ
9.11.2001 จอร์จ บุ๊ชตัวลูก และทีมงาน ก่อวินาศกรรมประเทศตัวเอง เอาเครืองบินชนตึกเวิลเทรดเซ็นเตอร์
แล้วพาประเทศเข้าสู่ส่งคราม ระดมเงินมหาศาลเพื่อไปลงการทหารหรือที่เรียกว่า Military Complex
2001 CFR ซึ่งเป็นหน่วยงานมันสมองคอยวางแผน เทียบได้กับอีลูมินาติที่ทำเรื่องการทหาร
วางแผนเพื่อล้มเศรษฐกิจของอเมริกาและเศรษกิจโลกครับ คือเอกสารที่เมลล์ให้ไปนนั่นแหละครับ
2001 เป็นต้นมาราคาทองพุ่งสูงขึ้นไม่หยุดมาตลอดต่อเนื่องจนถึงวันนี้ครับ
2002 จากเหตุการณ์เวิลด์เทรดเซนเตอร์ เศรษฐกิจสหรัฐใกล้ล้มเต็มที่ เนื่องจากฟองสบู่แนสแด๊กหรือตลาดหุ้นไฮเทค
หรือด๊อตคอมต่างๆ ที่แตกไปก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าตอนนั้นเค้ายอมล้มวันนี้เค้าฟื้นไปแล้วครับ แต่
2002 อลัน กรีนสแปน เลือกวิธีที่จะลากไปต่อ ด้วยการลดดอกเบี้ยลงต่ำติดดิน ทำให้เกิดฟองสบู่ลูกใหม่ที่ใหญ่มหึมา
คือฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และการเก็งกำไรราคาบ้านและที่ดิน แล้วเรียกว่าเป็น "American Dream"
หรือการมีบ้านของตัวเองให้คือความฝันของคนอเมริกันนั่นเอง ทำอย่างเฟื่องฟูเพราะดอกเบี้ย 0% เต็มตลาดการเงินไปหมด
ให้กู้แม้กระทั้งคนที่ให้ไม่ได้ เพราะเงินมันล้นระบบครับ หรือที่เรียกว่า Sub-Prime Loan นั่นเอง "ไม่มีเครดิต
เครดิตเสีย เครดิตไม่ดี ไม่มีปัญหา เราซ่อมได้ ซื้อบ้านได้แม้แต่ไม่ใช่คนอเมริกัน" เละเลยครับทีนี้
2007 ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกครับ กลุ่มแรกคือ Sub-Prime Loan นั่นแหละครับ เพราะอะไรถึงมาได้ตั้งหลายปี
เพราะตอนซื้อทั้งลดทั้งแถมแบบยัดเยียดบ้านให้ ล๊อคดอกเบี้ยต่ำ 5 ปีบ้าง 7 ปีบ้าง
สารพัดการตลาดใส่ลงไปในระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ครับ แล้วหลังจาก 5 ปี 7 ปีล่ะ แตกไงครับ
จาก "American Dream" กลายมาเป็น "American Nightmare" หรือฝันร้ายของชาวอเมริกันครับ
เพราะอะไร หลังจากที่ขายบ้านได้แล้ว ก็ขึ้นโครงการใหม่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครับ ( เอ คุ้นๆ นะอันนี้ )
ส่วนธนาคารปล่อยกู้ได้แล้วเอาสัญญานั่นไปขายต่อกันเป็นทอดๆครับ แต่ก่อนขายมีการแยกระดับชั้นของหนี้
แล้วมีการจัดขั้นหนี้แล้วประทับรับรองโดยสถาบันจัดอันดับต่างๆ เช่นมูดี้ เป็นต้น
ยังไม่พอคนซื้อถ้าไม่แน่ใจสามารถซื้อประกันค้ำไว้อีกได้ครับทุกกลุ่มชั้น หนี้เลย เรียกว่า CDS และ CDO
แล้วเอาเอกสารนี่ไปขายกันเป็นทอดๆอีกทีนึงครับ
2008 Bearstern, Fanni Mae, Freddie Mac, Lehman Brother และอีกหลายบริษัทระดับโลกอายุเป็น 100 ปี ล้มครับ
เพราะทนรับหนี้เสียไม่ไหว แล้วล้มเพิ่มจากการเข้าไปค้ำประกันหนี้เหล่านั้นครับ
2008 ปลายปีจอร์จ บูชตัวลูก บอกว่าต้องอุ้มครับ บริษัทเหล่านี้ ไม่อุ้มไม่ได้ประชาชนจะเสียหาย
เศรษฐกิจจะล้มละลายกันทั้งหมด ยังไงก็ต้องอุ้มครับ เลยผ่านกฏหมายอัดฉีดเงินเข้าระบบเป็นมูลค่า 700 Billion ครับ
เงินตรงนี้มาจากไหน "อากาศครับ" ปั๊มใส่เข้าไปก่อนแล้วค่อยทยอยเอาเงินภาษีขอประชาชน
ในอีก 3-4 ชั่วอายุคนข้างหน้าไปทยอยจ่าย จึงเกิดคำว่า " Too Big Too Fail " หรือใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้มได้
2009 โอบาม่าเข้ารับตำแหน่งก็บอกว่า เอ้า ธนาคารและบริษัทประกัน (ของพวกเรากันเอง)
ที่มีส่วนในการปล่อยกู้และค้ำประกันก็จะล้มด้วย ไม่ได้ต้องอุ้มเหมือนกัน ผ่านกฏหมายใส่ไปอีกกว่า 700 Billion ครับ
เข้าไปอุ้ม แบงค์ใหญ่ๆ บริษัทประกัน และบริษัทการเงิน ( ที่เป็นผู้ให้เงินสนับสนุนรัฐบาลในการเลือกต้ังและยังเป็นผู้ถือหุ้น FED อีกต่างหาก )
2010 มกราคม มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะนี้โดยการปั๊มและอัดเงิน
จำนวนมหาศาลเข้าไปอุ้มบริษัทต่างๆที่เป็นของพวกเค้าเอง เป็นรอบที่ 2 หรือที่เรียกว่า Stimilus II ครับ แต่ครั้งนี้คงไม่ง่ายแล้วครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น