ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Majestic 12 โครงการลับอันอื้อฉาวของรัฐบาลสหรัฐฯ

    ลำดับตอนที่ #2 : UFO นั้นสำคัญไฉน?

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 54










    คุยกันก่อน


    เดี๋ยวนี้สิ่งบินแปลกปลอมที่เรียกกันว่า ยู.เอฟ.โอ. กำลังเป็นที่สนอกสนใจกันทั่วโลก นอกจากมีผู้พบเห็นสิ่งแปลกปลอมบนท้องฟ้านับเป็นหมื่นๆคน แล้วก็มีผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพรรคนี้อีกมากมายหลายร้อยเล่ม มีการค้นคว้ากันเป็นองค์กร มีการจัดทำสารคดี ภาพยนต์กันอย่างเอิกเกริก จนคนทั่วไปชักจะเชื่อๆแล้วว่า UFOs มีอยู่จริงๆ สำหรับท่านที่เห็นว่าเรื่องของ UFOs และมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องเหลวไหลนั้น คิดว่ายังเร็วไปที่จะด่วนสรุป

    เอาเป็นว่าลองทำใจให้เป็นกลางและศึกษาดูสักนิดเถิดว่า เหตุใดจึงยังมีคนเชื่อเรื่องนี้ และพวกเขามีเหตุผลอย่างไรจึงได้เชื่อ จริงๆแล้วเรื่องลึกลับในโลกนี้ยังมีอีกมากมายหรอก เรื่องที่เล่นเอาจนนักวิชาการคิดกันแตกอธิบายไม่ได้ก็มี เช่นว่า ลายเส้นแบบเรขาคณิตอันมหึมาบนที่ราบนาซก้าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการจะสร้างลายเส้นให้มองมาจากทางอากาศแบบนั้นได้ ต้องมีเครื่องบินหรืออากาศยานมาบินสำรวจอย่างละเอียดก่อน แต่ใครจะทำแบบนั้นได้เล่า ในเมื่อลวดลายเรขาคณิตเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีก่อนมาแล้ว ในดินแดนซึ่งผู้คนยังไม่รู้จักจะใช้เกวียนเลยด้วยซ้ำ ชนเผ่ามายาในทวีปอเมริกากลางก็เหมือนกัน ทำไมจู่ๆชนเผ่าที่เจริญรุ่งเรื่องในด้านคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์อย่างชาวมายา จึงหายสาบสูญไปพร้อมกันอย่างนั้น แถมยังทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คนรุ่นหลังขบคิดอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมที่ก้าวหน้าจนเกืนความเป็นอยู่ของพวกเขา หรือแม้กระทั่งตำนานโบราณอันเก่าแก่ชาวมายาเชื่อกันว่า พระเจ้าของพวกเขามีเครายาว และเดินทางโดยยานล่องฟ้ามาจากดวงดาวอันไกลโพ้น(ดวงดาวนะ ไม่ใช่สรวงสวรรค์) พระเจ้าได้เสด็จมาสอนศิลปและวิทยาการให้แก่ชาวมายา ก่อนที่จะเดินทางกลับไป เรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าที่เสด็จมาโดยยานหรือเรือจากฟากฟ้านี้ ชนชาติที่เจริญสูงสุดในอดีตอย่างเช่น อียิปต์ แอซเท็ค และชาวเมโสโปเตเมียโบราณล้วนแต่มีตำนานคล้ายๆ กันอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะอียิปต์ที่นับถืองูเป็นเทพ พวกเขาเชื่อกันว่างูสามารถบินบนฟ้าได้ โดยเวลาบินงูจะขดตัวเป็นวงลักษณะคล้ายโดนัท แล้วก็หมุนไปบนฟ้า แหม ลักษณะนี้มันเหมือนจานบินเลยนะ แปลกจริงๆ 

    ร่องรอยต่างๆอันไม่มีใครรู้สาเหตุเช่นรอยไหม้เป็นวงกลมขนาดมหึมาเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 ฟุตกลางไร่ถั่วอันเขียวชะอุ่มของรัฐไอโอวา มีคนเค้าสัณนิษฐานกันว่าเกิดจากจาน บินลงจอด เพราะนอกจากรอยไหม้แล้วผิวดินยังแห้งผากปราศจากน้ำ คล้ายๆโดนความร้อนสูงมาเผาไหม้เสียอย่างนั้นแหละ เอาอีกซักตัวอย่างหนึ่งก็เช่นมีการขุดพบโครงกระดูก ของมนุษย์อายุ 2ล้านกว่าปี ไอ้เฉพาะแค่โครงกระดูกมันก็ไม่แปลกหรอก ที่แปลกก็คือโครงกระดูกนั้นเป็นกระดูกของมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเรา ไม่ใช่มนุษย์ลิงหรือมนุษย์ถ้า อย่าลืมนะว่ามนุษย์เพิ่งลืมตามาดูโลกเพียงไม่กี่หมื่นปีนี้เอง สมัยนั้นมนุษย์เรามีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากลิงด้วยซ้ำ แล้วอายุ 2 ล้านกว่าปีนี่มันมนุษย์จากไหนกันล่ะ? 

    นักวิชาการตลอดจนนักคิดนักเขียนชาวฝรั่งทั้งหลายจึงพากันสงสัยว่า ทั้งหมดทั้งเพที่ว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรกับ UFOs(ย่อแบบนี้คงไม่ว่ากันนะ พิมพ์ง่ายดี) และมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า สำหรับท่านที่สนใจแล้วก็เชิญคลิกอ่านกันตามสะดวกนะไม่ว่ากัน ส่วนท่านที่กำลังหัวเราะเยาะเรื่องทำนองนี้ ก็แนะนำว่าอ่านเสียหน่อยก็ดี เผื่อจะได้รู้ว่าควรจะหัวเราะเยาะอีท่าไหนจึงจะหนำใจท่าน 

    ข้อเขียนทั้งหลายแหล่ในที่นี้เกิดจากการรวบรวมข้อมูลเป็นจำนวนค่อนข้างมาก คงให้เครดิตไม่หมดหรอกว่าควรจะขอบคุณใครดี เอาเป็นว่าขอขอบคุณแหล่งข้อมูลทุกแหล่งไว้ ณ ที่นี้ เพราะอย่างน้อยข้อมูลของทุกแหล่ง ก็นับเป็นวิทยาทานแก่ผู้สนใจด้วยกันทั้งสิ้น ขอคารวะด้วยใจจริง
        



    About UFO : เรื่องราวที่เป็น Basic เกี่ยวกับ UFO สำหรับมือใหม่

    [ UFO คืออะไร? ] 


    ยูเอฟโอ หรือบางทีภาษาอังกฤษก็อ่านกันว่า ยูโฟ (มีพหูพจน์เป็น UFO's หรือ UFOs) เป็นคำย่อ มาจากคำเต็มคือ " An Unidentifies Flying Object " ที่ถอดความหมายออกมาได้เป็น "วัตถุบินลึกลับ" 

    - แล้วจานผี จานบินที่ว่า มันคืออะไร?  
     

    คำว่าจานบินที่เราใช้เรียก UFO บ่อยๆนั้น เป็นคำแบบไม่เป็นทางการนะ ฝรั่งก็มีเรียกเหมือนกันว่า Flying saucers ก็คงเจ้าคำนี้นั่นแหละ ที่เป็นที่มาของคำว่า จานผี จานบิน เพราะเดิมที ผู้คนมักจะมองว่า จานบินที่พวกเขาพบนั้น มีลักษณะคล้ายกับจานหรือชามสองใบคว่ำประกบกัน และบินไปในท้องฟ้า ก็เลยพาลเรียกว่าจานบินเอาเสียเลย 

    คำว่าจานบินนี่ก็มีที่ไปที่มาเหมือนกันนะครับ เพราะว่าผู้ที่เรียกมันว่าจานบิน(Flying saucers) เป็นคนแรกนั้น แกเป็นนักบินที่ชื่อ เคนเนธ อาร์โนลด์ นักธุรกิจและนักบินชาวอเมริกัน อาร์โนลด์เป็นเสืออากาศเก่า หลงไหลในการบินและเครื่องบินเอามากๆ วันหนึ่ง ขณะที่เขาขับเครื่องบินส่วนตัวอยู่เหนือเทือกเขาเรนเนียร์ ( Mount Rainnier) ในรัฐวอชิงตัน เวลาในตอนนั้นคือบ่ายสองโมง (เดือน มิ.ย. พ.ศ. 2490) ระดับความสูงของเครื่องอยู่ที่ 9500 ฟุต สภาพอากาศในวันนั้น เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ทัศนวิสัยเรียกได้ว่า"ดีเลิศ" ไม่เป็นอุปสรรคใดๆต่อการบิน



     


    ขณะที่อาร์โนลด์กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศบนฟ้า ฉับพลัน เขาก็มองเห็นสิ่งบินลึกลับ อยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือหุบเขาสูงๆต่ำๆ ซึ่งทอดแนวยาวต่ำกว่าเพดานบินของเขาลงไป อาร์โนลด์รู้สึกพิศวงกับสิ่งที่เห็น เนื่องด้วยประสบการณ์เสืออากาศของเขา ยังไม่สามารถบอกได้ว่า เจ้าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร มันบินด้วยลักษณะอาการที่แตกต่างไปจากสิ่งบินหรืออากาศยานในสมัยนั้นโดยสิ้นเชิง ด้วยลักษณะที่เหมือนกับจานสองใบประกบกัน อาร์โนลด์เรียกมันว่าจานบิน ลักษณะการบินของมันก็แปลกใช่ย่อย มันร่อนไปในลักษณะที่แฉลบไปมา "เหมือนกับเวลาเราร่อนหินหรือจานแบนๆ ให้แฉลบไปบนผิวน้ำ" อาร์โนลด์กล่าว จานบินที่เขาเห็นมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 9 ลำ บินเกาะหมู่กันมาอย่างไม่เป็นระเบียบ คล้ายลูกปัดที่ร้อยกันห่างๆด้วยด้ายหรือโซ่ "จะว่าไปมันก็เหมือนห่านที่บินเรียงแถวกัน" เขาย้ำ ขนาดของจานบินเหล่านั้น มีขนาดประมาณ 2/3 ของเครื่อง DC-4 บินด้วยความเร็วประมาณ 1,700 ไมล์ต่อชั่วโมง มากกว่าเครื่องเชสน่าลำโปรดของเขาหลายเท่านัก



     

    เนื่องจากเคนเนธ อาร์โนลด์ เป็นคนมีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือของคนทั่วไป อีกทั้งเป็นนักบินผู้มีประสบการณ์ เชียวชาญในเรื่องเครื่องบินเกือบทุกชนิด ดังนั้นการที่เขาเห็นยานลึกลับเก้าลำ และไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเครื่องบินชนิดใด จึงทำให้คนทั่วไปเชื่อกันว่า เคนเนธ อาร์โนลด์ คงได้เห็นสิ่งบินที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์บนโลกเป็นแน่แท้ 

    อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศสหรัฐ ได้ออกมาแถลงข่าวว่า สิ่งที่อาร์โนลด์เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา ซึ่งนักบินเก่าผู้นี้ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ไปเช่นกันว่า "ผมรายงานข่าวนี้ออกไป เนื่องเพราะว่าผมเป็นนักบิน ควรต้องรายงานสิ่งไม่ชอบมาพากลที่เห็นออกไป ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือเงินทองแต่อย่างใดทั้งสิ้น" อืมห์... ก็แหงล่ะ แกทั้งรวยทั้งดังเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่นา 

    นั่นคือที่ไปที่มาโดยย่อๆของปรากฏการณ์ประหลาด ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับคำยืนยันใดๆทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งนับเป็นการแถลงอย่างเป็นทางการครั้งแรก เกี่ยวกับเจ้าสิ่งบินลึกลับที่ชะแว้บไปมา พาให้มนุษย์โลกฉงนฉงายกันจนทุกวันนี้ ณ เบื้องต้น นายโซนิคจะขออธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับลักษณะ ประเภท ของ UFO โดยสังเขป ขอย้ำว่าโดยสังเขปนะ ถ้าต้องการรายละเอียดจริงๆชนิดเอาไปเป็นหนังสืออ้างอิงล่ะก็ เชิญตามห้องสมุดหรือตามร้านหนังสือใหญ่ๆดีกว่า ละเอียดและดีกว่ากันเยอะเลย ส่วนของนายโซนิคเนี่ย เอาเป็นว่าเล่ากันพอหอมปากหอมคอสำหรับผู้สนใจก็แล้วกันนะ






    [ ลักษณะและชนิดของ UFO ] 


    จากรายงานการพบเห็นเห็นสิ่งบินลึกลับ ที่ทางการสหรัฐรวบรวมไว้ และไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไรนั้น สามารถจะแบ่งลักษณะของยานลึกลับออกได้เป็น 12 แบบ ดังนี้ 

    1. ลักษณะคล้ายพยัญชนะ Z ในภาษาอังกฤษ หรืออาจจะมองได้อีกแบบว่า มีลักษณะเหมือนใบพัด เป็นโลหะยาว ความยาวประมาณ 8-9 ฟุต กว้าง 2 ฟุต (อืม.. แล้วอะไรจะนั่งได้ล่ะเนี่ย?) รายงานแรกที่พบเห็นมีเมื่อวันที่ 29 ก.ค. พ.ศ. 2490 เวลา 9.55 น ซึ่งขณะนั้นบินอยู่สูงประมาณ 30 ฟุต 

    2. ลักษณะคล้ายเครื่องบินแบบธรรมดาแต่ข้อพิเศษของมันคือมีออร่า เอ๊ย.. มีรังสีเป็นสีแดงล้อมรอบ นักเรียนนายเรือ ภรรยาและเพื่อนๆได้เห็นยานประหลาดชนิดนี้ในคืนวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2494 เวลาประมาณสามทุ่ม ซึ่งวัตถุเหล่านี้บินมาเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-9 ลำ วัตถุเหล่านี้บินเป็นเส้นตรง

    3. ลักษณะคล้ายเครื่องบิน ผู้บังคับหอการบินได้เห็นยานชนิดนี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2493 เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ขณะบินมีแสงสว่างจ้า แต่จะกระพริบเป็นบางครั้ง มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินแบบ u-29 ที่ปีกไม่มีเครื่องยนต์หรือใบพัด 

    4. ลักษณะแบบซิการ์ ชาวนาและลูกมือกำลังตัดและรักษาต้นยาสูบอยู่ในตอนเที่ยงคืน ของวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ได้เห็นยานลักษณะนี้สองลำ ลำหนึ่งลอยนิ่งขณะที่ลำหนึ่งบินไปทางขวา และย้อนกลับมาทางเดิม ทั้งสองลำพ่นประกายออกจากส่วนท้าย ยานเหล่านี้มีลักษณะเป็นมันวาว มีแสงสะท้อน และมีแสงสวางอยู่ภายในด้วย


    5. ลักษณะคล้ายจรวด ได้มีนักบินผู้หนึ่งพบเห็นยานบินชนิดนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2491 ขณะกำลังขับเครื่อง CD-3 ในเวลา 03.40 ยานลำนี้ได้บินเข้าหาเครื่องของนักบินและบินผ่านไปทางขวา ยานลำนี้อาจขับเคลื่อนด้วยจรวดหรือเครื่องบินแบบเจ็ท เพราะส่งประกายออกทางตอนท้าย ไม่มีปีก แต่มีหน้าต่างสองแถว สามารถมองเห็นแสงไฟแว่บออกมานิดหน่อย 

    6. จานบินแบบที่ 1 ช่างเครื่องยนต์คนหนึ่งได้เห็นจานบินชนิดนี้ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เวลา 19.30 น. ยานชนิดนี้สามารถบินเปลี่ยนทิศทางได้ฉับไว และขับเคลื่อนได้รวดเร็วมากด้วย มีแสงสีขาวซึ่งบางครั้งเปลี่ยนเป็นสีแดง บางทีแสงก็ดับไปนานๆในลักษณะที่ใช่การกระพริบ 

    7. จานบินแบบที่ 2 มีลักษณะแบนและมีทรงกลม พบโดยนักบินในกองทัพสหรัฐประจำเกาหลี เมื่อดือนมิถุนายน 2495 เวลา 08.42 น. ยานดังกล่าวบินในลักษณะแปลกคือ มีอาการสั่น ทิศทางในการบินนั้น บางครั้งก็บินเป็นเส้นตรง บางครั้งก็หยุดอยู่กับที่ ขณะหนึ่งก็มีบินดิ่งขึ้น แล้วก็สั่นอีก เป็นต้น 

    8. จานบินแบบที่ 3 ได้มีผู้พบเห็นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2491 เวลา 08.25 น. โดยช่างไฟฟ้าผู้หนึ่ง จานบินชนิดนี้บินเป็นเส้นตรง

    9. ลักษณะทรงหมวกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 ฟุต หนา 10 ฟุต ชาวนากับลูกชาย 2 คน ได้เห็นยานชนิดนี้เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2490 เวลาบ่ายโมง ขณะที่เห็นนั้นยานบินอยู่ห่างออกไปประมาณ 300 ฟุต และอยู่เหนือพื้นดิน 75 ฟุต มีร่องยาวข้างๆยาน ซึ่งมีเปลวไฟแลบออกมาและมีเสียงคล้ายลมพัด ต้นไม้ต้นไร่เอนลู่เมื่อยานบินลำนี้บินผ่านไป 

    10. ลักษณะคล้ายตอร์ปิโด วัตถุนี้สะท้อนแสงเมื่อมองด้วยตาเปล่า เป็นโลหะสีดำคล้ำ บินในแนวราบ มีความเร็วพอๆกับเครื่องบินเจ็ท ไม่มีใบพัด ผู้ที่เห็นยานชนิดนี้เป็นคนงานในโรงงานผลิตเครื่องบิน ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2492 เมื่อเขาเห็นนั้น เขารีบเอากล้องส่องทางไกลขนาดกำลังขยาย 8 เท่าส่องดู ปรากฏว่า ด้วยภาพจากกล้อง ยานลำนี้ไม่มีแสลสะท้อนใดๆเลย

    11. ลักษณะเป็นแผ่นทรงกลมแบนมีผู้พบเห็นยานชนิดนี้เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2493 เวลา 21.06 น. โดยนายทหารในกองทัพอากาศและกัปตันเครื่องบิน ขณะที่กำลังขับเครื่องบินพาณิชย์อยู่ ยานบินนี้ขับเคลื่อนได้เร็วมาก มีลักษณะทรงกลม เว้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 ฟุต และมีความสูงของยานประมาณ 50 ฟุต จึงทำให้มองดูคล้ายจานด้านบนของยาน มีแสงกระพริบทุกๆวินาที แสงนี้จ้ามากจนไม่อาจจ้องได้นานๆ บินเป็นเส้นตรง ความเร็วขณะที่เห็น กัปตันเครื่องบินประมาณเอาว่าคงจะราวๆ พันไมล์ต่อชั่วโมงหรือมากกว่า 

    12. ลักษณะจานคว่ำเข้าหากัน เป็นสุดยอดป็อปปูล่า ที่มีผู้พบเห็นกันมากที่สุด ความยาวประมาณ 75 ฟุต กว้าง 45 ฟุต หนา 15 ฟุต มีสีคล้ายอลูมิเนียมคล้ำๆ ผิวเรียบ บางรายระบุว่า ขอบกลางของยานเป็นหน้าต่าง สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวได้รางๆ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเครื่องจักรหรือ"คน" ขอบบนและล่างของยานมองไม่เห็นประตูหน้าต่างใดๆ ขณะร่อนขึ้นลงจะเกิมลมหมุนความเร็วสูงทำเอาพืชต่างๆถูกพัดกระเจิดกระเจิง

    จะเห็นได้ว่า มีการพบเห็นยานเหล่านี้มากมายหลายประเภท ส่วนที่เอามาลงนี้เป็นการพบเห็นโดยพยานซึ่งเชื่อถือได้ เพราะถ้าทุกท่านสังเกตดีๆแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นนักบินหรือนายทหาร ซึ่งคุ้นเคยกับอากาศยานประเภทต่างๆค่อนข้างดี จากปี 2490 เป็นต้นมา รายงานการพบเห็น UFO มีขึ้นกระจัดกระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะบนแผ่นดินของลุงแซม ดูจะหนาหูหนาตาเป็นพิเศษ บุคคลที่เห็นก็มีมากประเภท ไล่ตั้งแต่เด็กตาดำๆ ชาวนา วิศวกร ทหาร แม่บ้าน ไปจนถึงนักบินอวกาศ อย่างไรก็ตามนะ มีการจัดประเภทการพบเห็นจานบินออกเป็น case ซึ่งบางคนคงพอทราบมาบ้าง เพราะแม้แต่พ่อมดมายาอย่าง สตีเฟน สปีลเบิร์ก ก็ยังเอามาสร้างเป็นหนังมาแล้ว รายงานการพบเห็น แบ่งออกเป็นประเภทได้ดังนี้



    ลักษณะรายงานการพบเห็น UFO  
     

    1. เห็นบินหรือลอยลำอยู่บนท้องฟ้า รายงานชนิดนี้ เป็นรายงานการพบเห็นวัตถุบินต่างๆบนท้องฟ้า ไม่ว่ากลางวัน กลางคืน ฝนตก ฟ้าร้อง และวัตถุที่เห็นก็มีลักษณะแตกต่างกันไป นักวิชาการด้านยานลึกลับ (UFOlogist) เรียกรายงานการเห็นชนิดนี้ว่า Close Encounter of the First Kind ซึ่งนับว่ามีมากที่สุด ในบรรดารายงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ 

    2. เห็นลงจอด (อาจมีรายงานการเห็น "คน" ในยานแถมมาด้วย) และมีร่องรอยหรือหลักฐานการลงจอด รายงานชนิดนี้น่าสนใจกว่ารายงานชนิดแรก เนื่องจากมีหลักฐานของผู้พบเห็นหลงเหลืออยู่ หลักฐานเหล่านี้อาจเป็นรอยที่จานบินลงจอด หรือเป็นรอยหญ้าที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งถูกไฟไหม้เกรียม หรือ รอยของต้นไม้ที่ถูกตัดเนื่องจากการบิน รอยรองเท้า(?) และบางรายยังเด็ดกว่านั้นครับ คือพบหลักฐานที่"มนุษย์"ต่างดาวอาจจะทิ้งเอาไว้ เช่นโลหะที่ไม่ทราบประเภท อุปกรณ์ที่ไม่ทราบหน้าที่ของมัน ภาษาอังกฤษเรียกการเห็นแบบนี้ว่า Close Encounter of the Second Kindซึ่งมีจำนวนรองลงไปจากแบบแรก 

    3. เห็นลงจอดหรือมีการเผชิญหน้ากับผู้มาจากยานโดยตรง การเห็นชนิดนี้นับว่าน่าสนใจที่สุด เพราะประหลาดแทบไม่น่าเชื่อ บางรายนับว่ามหัศจรรย์จนเอาไปสร้างเป็นหนังหรือเขียนเป็นนวนิยายด้วยซ้ำ รายงานเหล่านี้มีตั้งแต่ เห็นรูปร่างมนุษย์ต่างดาวในยาน บางรายโดนฉุดกระชากให้ขึ้นยาน มีถูกลักพา หรือสะกดจิต นักวิชาการเรียกการพบเห็นชนิดนี้ว่า Close Encounter of The Third Kind 

    รายงานการเห็นในแต่ละกลุ่มดังกล่าวนี้ บางครั้งมักถูกกลั่นกรองมาก่อนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย บางรายมีรูปถ่ายเป็นหลักฐาน ซึ่งได้รับการพิศูจน์จากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า ไม่ได้ผ่านการแต่งเติมใดๆ นอกจากนี้นะ พยานหลายคน โดนการทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา เป็นต้นว่าสะกดจิต ผลการทดสอบบอกเราว่า เรื่องที่พวกเขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง แม้ว่าออกจะเหลือเชื่อไปหน่อยก็ตาม













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×