ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิ่งที่ถูกลืม โดยThomas Wood

    ลำดับตอนที่ #1 : ณ คืนหนึ่ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 32
      0
      30 ธ.ค. 55

     

    มันเป็นคืนที่หนาวเย็น และเปียกแชะกลางเดือนกันยายน ใบไม้ร่วงโปรยปรายอย่างรกหรุ่นหรั่ง ไปทั่วท้องถนนแสงจากเสาไฟข้างถนนเป็นสิ่งเดี่ยวี่ทำให้ถนนแห่งนี้ปลอดภัยจากพวกมิจฉาชีพแห่งลอนดอน แม้ว่าที่นี้จะเป็นย่านที่อยู่ของพวกที่ร่ำรวยซักแค่ใหนก็ตาม ความมืดแห่งมหานครก็ยังคงรออยู่ในทุกซอกทุก ตรอกพร้อมที่จะตะขรุบเหยื่อที่ไร้เดียงสาอย่างไร้ความปราณี

    แม้ว่านี้ดูไม่เหมือนลอนดอนในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเลยก็ตาม เพราะมันเก็ดขึ้นในปี 1889 หลังจาก ปีที่ชาวลอนดอนต้องสยดสยองไปกับการฆาตกรรมของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ แต่เรื่องๆนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขา (เธอ)แม้แต่น้อย แต่นี้ทำไห้ไม่มีผู้หญิงคนใดในลอนดอนกล้าออกมาเดินกลางดึกอย่างนี้เลย ซึ่งเป็น โอกาสอันดีที่จะเริ่ม การนัดพบอย่างลับๆ โดยไม่มีสายตามาสอดแส สำหรับบุรุษทั้งหลาย

    "จะห้าทุ่มแล้ว ทำไมยังมาไม่ถึงล่ะ" แอนดรูว์ ซิลเวอร์ รำพึงอย่างเหนื่อยใจ

    นี้มันดึกมาก แล้วน่ะ ทำไมหัวหน้าต้องมาตามตัวดึกดื่นปานนี้เล่า แม้ว่าจะเป็นถึงผู้อำนวยการ พิพิธภัณฑ์อังกฤษก็ตาม ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องตามตัวมาดึกขนาดนี้ ก็ตามแต่เพราะเขาเองก็เพิ่งได้เข้ามา ทำงานให้กับทางพิพิธภัณฑ์ ไม่กี่เดือนคุณโจนขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่เคร่งครัดในวินัยมาก คนก่อนหน้าที่โดนไล่ ออกก็เพราะทำงานอยู่เกิน เวลาที่กำหนด แอนดรูว์แทบรู้สึกสันหลังวาบมาทันที เมื่อคิดว่าเขาอาจเป็นคนต่อไป

    แอนดรูว์เป็นชายชาวอังกฤษเชื้อสายเวลล์ ด้วยผมแดงราวกับเปลวไฟ และดวงตาสีฟ้าอ่อน มักทำให้ผู้คนอนุมานว่าเขาเป็นคนไอริช ซึ่งค่อนข้างห่างไกลไปมาก แม้ครอบครัวของเขาจะเป็นแค่เกษตกร ปลูกหัวมัน ด้วยความสนใจของเขาในประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างมาก เขาจึงสอบได้ทุนไปเรียนต่อวิชา มนุษยวิทยา สาขาโบราณคดี ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ขณะที่เข้าเรียนอยู่นั้น เขามักโดนล้อโดยเพื่อนร่วมชั้น อยู่เสมอว่าบ้านนอกสุดๆจนอดที่จะหัวเราะไม่ได้

    แม้กระนั้นเขาก็ลบคำสบประมาท "เกือบทั้งหมด" เขาได้จบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้เขา เป็นที่หมายตาของศาสราจารย์ทั้งหลาย เป็นเรื่องที่แปลกมากที่เด็กที่มีการศึกษาที่ถือว่าต่ำกว่าคนอื่นๆ สามารถยกระดับตนเองขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ นี้แลคือที่มาของสาเหตุว่าทำไมเขาถึงได้รับหน้าที่ความรับผิดชอบ สูงมากในพิพิธภัณฑ์

    หน้าที่ของเขาคือควบคุมการจัดการดูแลโบราณวัตถุอันล้ำค่า ไปจนถึงการคัดตรวจสอบ ทั้งที่จัดแสดง และในคลังสมบัติเอง ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงเวลานั้นถือได้ว่าที่นี้เป็นแหล่งรวบ รวมวัตถุโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้นๆ เป็นงานที่ไม่ค่อยเครียดมากนัก แต่ก็ไม่สนุกอย่างที่คาดไว้เลย เขาเคยคิดไว้หวังอย่างสูงที่จะได้ออกเดินทางไปทั่วโลก ไปศึกษาโบราณสถานต่างๆ มีงานวิจัยเป็นของตนเอง ไม่ใช่มาคลุกอยู่ในห้องทำงานเก่าคร่ำครึอย่างที่เป็นอยู่

    อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้มายืนอยู่ที่นี้ ที่หน้าพิพิธภัณฑ์อังกฤษ กลางดึกในฤดูใบไม้ร่วงเพื่อรอคอย เจ้านายที่แก่ และน่าเบื่อที่สุดอย่างคุณโจน “เกิดเรื่องบ้าๆอะไรขึ้นมาอีกล่ะ” แอนดรูว์คิดอย่างใจจดใจจ่อ ของบนโต๊ะหาย หรือว่าเรื่องงานเอกสาร เป็นที่ประจักษ์กันดีในหมู่พนักงานว่า ผู้อำนวยการท่านเป็นคนที่   ’แก่มากแล้ว’ยังคงมีหัวที่โบราณอยู่มากนัก

    แต่อย่างไรก็ตามเขามักจะอุปการะ (ปราณี) แอนดรูว์เป็นอย่างดี คุณโจนมักปรึกษาเรื่องการบริหาร งานกับเขาเสมอ ทั้งในเรื่องการนำเข้าโบราณวัตถุ และการจัดนิทรรศการ คุณโจนเชื่อมั่นในความสามารถของ เขามาก จนเขาเองรู้สึกประหม่าใจ ว่ากันว่าเขาได้เป็นถึงว่าที่ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์คนต่อไป ซึ่งเอาเข้าจริงก็ ไม่มีใครอยากเป็นเพราะมันเท่ากับการผูกมัดตนเอง กับที่แห่งนี้ไปตลอดชีวิตซึ่งไม่ดีสำหรับเขาผู้ซึ่งอยากออก ไปผจญภัยในโลกอันกว้างใหญ่

    ขณะที่เขาคิดไม่ตกเสียทีคนที่เขารอคอยก็ออกมาในที่สุด”สวัสดีอย่างค่ำ แอนดรูว์ ผมหวังว่าผมไม่นัดคุณดึกไปหน่อย” มิสเตอร์โจนทักทาย“ด้วยความยินดีครับ แล้วคุณมีอะไรให้ผมช่วยครับ” แอนดรูว์ตอบ“ใจเย็นๆก่อนเถอะ เข้าไปพักข้างในก่อน” มิสเตอร์โจนกล่าว เดินนำไปสู่ที่ทำงานของเขา ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ด้านหน้าของตึกมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมหาวิหาร Pentagon ในกรุงโรม ที่นี้เป็นสถานที่ๆเขาอยากเข้าไปที่สุดท้าย ระหว่างทางเข้าไปในตึกอันมืดหม่นแห่งนี้

    แอนดรูว์ไม่ได้สนทนากับมิสเตอร์โจนเลย เขาสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดวิสัยของเจ้านายเขา โดยปรกติแล้วนั้น แม้โจนเป็นคนแก่ที่ติดการทำงานตลอดเวลา เขาก็ยังเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีอย่างมาก ยามกลางวันเขาจะอยู่ในออฟฟิศของเขา ทำธุระบริหารไปต่างๆนานา จะออกมาก็ต่อเมื่อยามรับประทาน อาหาร(ขาดไม่ได้) แต่ยามราตรีทุกอย่างกลับตาลปัตร หลังจากที่เจ้าหน้าที่ที่เหลือกลับบ้านไปหมดแล้ว เขาชอบออกมาทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยามค่ำ แล้วก็ออกมาเดินในพิพิธภัณฑ์ ไปจนเกือบเที่ยงคืนแล้วจึงจะกลับบ้านพักของเขา

    นี้เป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่งที่มิสเตอร์โจนทำในคืนนี้  ตามเจ้าหน้าที่กลับมาโดยไม่มีการบอกว่า เกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายแอนดรูว์ก็ทิ้งความคิดนี้ไว้ เมื่อทั้งสองมาถึงออฟฟิศของมิสเตอร์โจน ขณะที่เขามาถึงก็พบยามรักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง ไม่เคยเห็นมาก่อน

    “คุณซิลเวอร์ ผมขอแนะนำคุณให้รู้จักกับ โรเบิร์ต วิลสัน เขาเป็นยามกะแรกของคืนนี้” โจนพูด

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณวิลสัน” แอนดรูว์กล่าวตามมารยาท “เช่นเดียวกันครับ คุณซิลเวอร์”   คุณวิลสันตอบ

    “เรียกผมว่าแอนดรูว์ก็ได้ครับ ผมไม่ถือ” แอนดรูว์ตอบ

    ”ครับคุณแอนดรูว์” คุณวิลสันตอบ และคืนนี้จะเป็นหนึ่งในคืนที่แอนดรูว์จะไม่มีวันลืม

    “เรื่องราวของ Robert Willson”

    “ผมว่าพวกคุณควรหยุดนั่งลงแล้วฟังผมก่อนจะเป็นการดีกว่าน่ะครับ” นายโจนพูดกับทั้งสองอย่างใจเย็น” ทุกคนได้นั่งลงบนเก้าอี้โดย โจนเองนั่งที่นั่งขาประจำของเขา และที่เหลือก็นั่งหันหน้าเข้าหาเขา โดยบนโต๊ะนั้นมีชาร้อนๆ 3 แก้ววางอยู่สำหรับจิบ แล้วนายโจนก็พูดว่า “ คุณแอนดรูว์? คุณสงสัยหรือเปล่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมถึงมี รปภ. มานั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก่อนอื่นเลยจากที่ผมทราบ เรามีคลังเก็บโบราณวัตถุไว้อยู่ ซึ่งเราไม่ได้นำมาออกนิทรรศการแก่คนภายนอก และนี้คือปัญหาของเรา เมื่อค่ำที่ผ่านมานี้ เราเชื่อว่ามีสิ่งๆหนึ่งหายไป จากคลังของเรา”

    แล้วนายแอนดรูว์ถึงกับทำน้ำชาหกเลอะเสื้อนอกของเขา นั้นเป็นความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดของเขา จวบจนวันตาย

    ”ทำไมถึงใช้คำว่า ‘เชื่อว่า’ ล่ะครับ แล้วคุณรู้ไหมว่าชิ้นไหนโดนขโมยไปครับ”

    “โชคร้ายที่ว่ามันคือ โบราณวัตถุที่ล้ำค่ามากๆ (จนห้ามคนนอกรับรู้เป็นอันขาด) มันถูกห้ามไม่ให้นำออกมาศึกษา ผมยังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมมันต้องมาเก็บไว้ที่นี้ ผมให้รายละเอียดมากไม่ได้นัก แต่ที่ผมรู้ว่า มันอาจจะหายไปก็ ได้จาก  รปภ. คนนี้ เล่ามาสิ” แล้วโรเบิร์ตก็เริ่มเล่าเรื่องอันแปลกประหลาดมาก อันเป็นดังต่อไปนี้

    “ผมเป็น  รปภ. อยู่ตรงชั้นล่างของส่วนกลางครับ โดยผมมีหน้าที่ตรวจตราบริเวณนี้ ระหว่าง หกโมงเย็น จนกระทั่งเที่ยงคืน ทุกอย่างปรกติดี ผมได้เข้าเวรตามปรกติเหมือนยามปรกติ เมื่อเวลา สามทุ่มสิบเอ็ดนาที ผมอยู่หน้าบันไดสู่ห้องใต้ดินนั้น เนื่องจากตะเกียงของผมน้ำมันหมด ผมจึงไปเติม แล้วผมก็เมื่อผมจุดตะเกียงขึ้นมาใหม่ ผมก็เห็น คนๆหนึ่ง ย่องลงบันไดชึ่งอยู่ปลายทางเดิน ห่างออกไปประมาณ 20 เมตร คะเนว่า สูงประมาณ 5”7’ ฟุต ไม่อาจระบุเพศได้ แต่มีผมยาวสีบลอนด์ ผมจึงวิ่งไล่ตามเขาไป แต่ขโมยคนนี้ไว้ตัวทัน จึงรีบเข้าไปในห้องใต้ดิน ในไม่กี่วินาที

    ในโกดังนั้นค่อนข้างสว่างเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของพิพิธภัณฑ์ ผมเลยมั่นใจว่าจะจับได้คาหนัง คาเขาแล้ว แต่ว่าเมื่อเข้าไปกลับไม่พบร่องรอยใดๆเลย มันเป็นห้องใต้ดินที่อับทึบ และเข้าออกได้ทางเดียว เท่านั้น ผมยืนอยู่ตรงนั้นเกือบประมาณสิบนาทีในความเงียบก่อนที่จะเดินออกไปในความมืด คุณแอนดรูว์ คงรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไง หากเป็นคนนอกคงต้องนึกว่าเป็นสุสานใต้ดินแน่ๆ

    มันเป็นทางเดินที่กว้างแต่ก็ไม่ใกล้มาก แต่ละข้างเป็นที่เก็บของล้ำค่า อันเป็นที่หมายตาของ พวกหัวขโมย จะมีลูกกรงเหล็กเรียงยาวไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ขโมยหลบซ่อนได้ แต่จะมีการดูแลรักษาอยู่เสมอ เพื่อป้องการเสื่อมสภาพจากความชื้น อย่างไรก็ดี ที่นี้แถบไม่ได้จุดไฟเลย เพื่อลดการเผาก๊าซออกซิเจน ในอากาศ มิฉะนั้นเราก็จะขาดอากาศหายใจตาย

    กลับไปที่ผมค่อยเดินตรวจอย่างระมัดระวัง ใช้ตาสอดส่อง ใช้หูฟังทุกเสียงที่มีอยู่ จนผมแทบจะไม่หายใจ จนสุดทางแล้วผมก็ไม่ได้ยินอะไร แต่ห้องสุดท้ายนั้นผมพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่สำคัญเกิดขึ้น นั้นคือ โลงหินขนาดใหญ่ที่อยู่มุมห้อง หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผมสาบานได้ว่า ผมไม่ได้พลาดสายตาไปอย่าง แน่นอน หากเจ้าขโมยคนนี้ ไม่ใช่ผีแล้ว คงต้องอภิมหาโจรอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ผมรีบมาหา ผอ. ให้แจ้งตำรวจ แล้วเขาก็เรียกคุณมาน่ะครับ”

    เมื่อโรเบิร์ตว่าเสร็จแล้ว ความเงียบได้แผ่ขยายครอบคลุมไปในทุกซอกของห้อง ไม่เคยมีเหตุการณ์ ใดน่ากลัว และน่าอับอายที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์อังกฤษ การถูกโจรกรรม วัตถุชิ้นหนึ่งก็ทำลายชื่อ เสียงไปได้มากอยู่แล้ว ถ้าหากหายไปเกินห้าชิ้น พิพิธภัณฑ์ก่อไม่เหลือหน้าไว้เป็นแน่

    “แล้วคุณคิดว่าผมทำอะไรได้บ้าง ผมไม่ใช้ตำรวจน่ะครับท่านจะให้ผมไปจับเจ้าขโมยคนนี้ย่อมเป็น ไปไม่ได้ หัวหน้าจะสั่งให้ผมทำอะไรกันแน่”

    แม้โรเบิร์ตผู้เข้าใจเหตุการณ์อันอัปยศนี้เพียงเล็กน้อย ก็รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดมากกว่าปกติของ หัวหน้า ราวกับดวงตาเขาจะทะล้นออกมาได้ แอนดรูว์เองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา แต่เขาก็รู้มากพอๆกับ โรเบิร์ต แต่ทำไมเขากลับต้องโดนเพ่งเล็งมากกว่าเล่า ไม่มีใครในตอนนั้นลืมนาทีที่หัวหน้าเดินไปเปิดประตูห้อง แล้ว เชิญให้โรเบิร์ตออกไปจากห้อง พร้อมกับทำหน้าเหมือนหมีที่โดนฝูงผึ้งต่อย

    โรเบิร์ตได้จากไปแล้ว ประตูได้ปิดลงตอนนี้มีมีแค่เขากับหมีที่เผชิญหน้ากัน โจนก็เดินไปล็อคประตู ห้องซ้ำ กลับมานั่งเข้าไปนั่งที่เดิม กลับเผชิญหน้ากับแอนดรูว์ อย่างเกรียวกราด “คุณอธิบายมาสิว่าคุณรู้ไหม ว่าอะไรอยู่ข้างในนั้น ผมจำได้ดีน่ะว่าผมอธิบายมาไว้ดีแล้วน่ะครับ” โจนค่อยๆพูด แม้ว่ามือของเขาเองกำลัง สั่น

    “ผมบอกได้แค่ว่า มันเป็นสิ่งที่ใช้เก็บสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั้น ใช้เพื่อหลอกพวกมิจฉาชีพไม่ให้คิดขโมยไป” แอนดรูว์ตอบ

    “นี้แสดงว่าคุณคงเข้าใจแล้วว่าการที่มันถูกขโมยไปชิ้นเดียว คือโจรมันก็รู้ความลับนี้ และมันก็ได้ข้อมูลมาจากที่ๆเดี่ยวได้เท่านั้น คือที่นี้ พิพิธภัณฑ์นี้ มีคนในทรยศเรา” โจนตะคอกใส่แอนดรูว์

    “ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมไม่ไปแจ้งสก็อตแลนด์ยาร์ดล่ะครับ พวกตำรวจคงจับเจ้าโจรนี้ไม่ยากหรอก” แอนดรูว์ตอบไปอย่างหงุดหงิด

    “ก็เพราะมันไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อไง” โจนตอบ ซึ่งนั้นสร้างความประหลาดใจกับแอนดรูว์มาก ทำไมมันถึงไม่ถูกบันทึกไว้ ทำไมโจนถึงจำได้แม้มันไม่อยู่ในรายชื่อ ทำไมถึงให้ความสนใจขนาดนั้น โจนเป็นคนที่แก่มาก ไม่น่าจะจดจำสิ่งของได้ทุกอย่างแน่นอน นี้อาจเป็นความลับที่มีแค่พนักงานระดับสูง เท่านั้นที่รู้ เขาเป็นหนึ่งในนั้นเอง

    “คุณกำลังจะให้ผมไปสอดแนมหรือ” แอนดรูว์ถาม “ในตำแหน่งที่คุณดำรงอยู่ คุณมีหน้าที่ รับผิดชอบในการดูแลรักษา รวมถึงการค้นหาด้วย ดังนั้นผมขอจัดตั้งให้คุณเป็นหัวหน้าการสืบสวนการ โจรกรรมครั้งนี้” พร้อมกับที่โจนพูด เขาก็ยื่นเอกสารและปากกา

    แอนดรูว์อ่านมันอย่างเร่งรีบ มันเป็นเอกสารแต่งตั้งเขาอย่างที่โจนบอก ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น เหลือไว้เพียงแต่ช่องเว้นไว้ ให้เขาเซ็นไปเท่านั้น “ผมว่านี้มันไม่ถูกต้องตามกฎหมายครับ มันควรจะส่งเป็นไป ตามราชการไม่ใช่หรือ” แอนดรูว์ถาม “เรื่องนี้มันใหญ่ว่ากว่าที่เจ้าคิดมาก ผมได้ปรึกษกับทางเบื้องบนแล้ว ท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้” โจนตอบ

    “ถ้าผมเป็นหัวหน้า แล้วคนในและนอกเชื่อใจไม่ได้ ทีมของผมคงหาไม่ได้อย่างแน่นอน” แอนดรูว์พูดด้วยความแปลกใจ “คุณไม่ต้องไปลำบากหา เบื้องบนจะส่งทีมมาที่นี้ให้คุณนำทีมสืบสวน ภายในตอนเช้า ขอให้คุณเตรียมพร้อมเท่านั้น” โจนตอบ

    ตอนนี้แอนดรูว์รู้สึกสงสัยอย่างมากว่าทำไม ทำไม และทำไมต้องเป็นเขาที่ต้องโดนใช้งานหนักที่สุด ในบรรดาพนักงานทั้งหมด

    “ทีมปริศนา”

    ท่ามกลางแสงอรุณของวันใหม่ ทุกๆอย่างเป็นไปอย่างปกติในลอนดอน ที่ๆทุกคนต้องออกไปทำงาน ตั้งแต่ยามเช้า ยังค่ำไม่ว่าคุณจะรวยหรือจนไม่ด้วยความหนาแน่นของประชากรอันแทบล้นทะลักออกมา จาก ตึกแถวอันแสนคับแคบสุดทน ตอนนี้เวลาเจ็ดโมงเช้า ท้องถนนเต็มไปด้วยฝูงชนเดินขวักไปมาทั่งท้องถนนหิน ขณะที่แอนดรูว์เองก็กำลังจะออกไปทำงานเมื่อทุกๆวัน ต้องนั่งรถม้าเพื่อเดินทางไปที่ทำงานของเขาอีกครั้ง ดังราตรีที่ผ่านมาไม่นาน

    ด้วยเหตุผลอันมากมายเกินกว่าจะบรรยายได้ หลังจากที่แอนดรูว์กลับมาการพบคุณโจน เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ทำให้เขาแทบนอนตาไม่หลับ ปัญหาใหญ่นี้เป็นเหมือนคลื่นลูกที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยพบ และหากเขาฝ่าไปไม่ได้ เขาก็ไม่อาจรอดได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาถึงบ้านแถวที่เขาเช่าอาศัยอยู่ เขาจึงรีบขึ้นไปที่ห้องของเขาในชั้น ๓ และที่นี้เองท่านทั้งหลายที่นี้คือสถานที่เก็บเอกสารสำรองเกี่ยวกั บงานของเขาเอาไว้

    แม้จะมีกฎด้านการรักษาความลับอยู่บ้างที่ขัดกับการกระทำนี้ แต่เนื่องด้วยเขาเองก็สนิทสนมกับคุณโจน ผู้อำนวยการ เขาจึงได้รับอนุญาตให้ทำได้เมื่อไม่ถึงสองปีที่ผ่านมา ถึงกระนั้นตอนนี้มันก็มีมากมายจนต้องเก็บไว้ในหีบถึง ๓ ใบใหญ่ หากกระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะจำได้หมดทุกเรื่องเหมือนที่โจนคาดหวัง เขาแทบไม่ทำอะไรกับมัน นอกจากใส่มันลงในซองดีๆ แล้วโยนมันเข้าไปในหีบ แทบไม่เคยหยิบมาอ่านซ้ำจนกระทั่งคืนอันแสนเลวร้ายนี้

    แต่ปรากฏว่าเอกสารทั้งหมดที่มี มีอายุไม่ถึง ๒ ปี แต่โลงหินนี้เข้ามาอยู่ในคลังของพิพิธภัณฑ์นาน มากกว่า ๓๐ ปีแล้ว หลังจากที่เขารื้อหีบมาได้ไม่ถึงครึ่งหีบ เขาถึงได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้จึงได้หยุดทำงาน แล้ว หันกลับมาที่โต๊ะของเขา ที่นั้นมีสมุดบันทึกประจำวันของเขาอยู่เขาจึงหยิบปากกาแล้วเขียนข้อความลงไป

    วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1889

    นี้เป็นหนึ่งในคืนที่เลวร้ายที่สุด ตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ในลอนดอน ตอนกลางวันก็พอไม่ทุกข์ ไม่สุขเหมือนกับทุกๆวัน แต่ดูคืนนี้สิ! ผมต้องกลับออกไปข้างนอก เกือบสอง ยามอันเป็นช่วงที่แย่ที่สุด ต่อการออกจากบ้าน นอกจากนี้ยังโดนหัวหน้าโจนต่อว่าในเรื่องที่ผมไม่มีส่วนผิดอีก! หากจะว่าไปแล้วหน้าที่ การดูแลรักษาความปลอดภัย ต้องตกเป็นหัวหน้ายามรักษาความปลอดภัยมิใช่หรือ

    แม้วันนี้จะเป็นที่เหนื่อยที่สุด แล้วผมเชื่อว่าพรุ่งนี้เช้า ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายได้ในที่สุด

    แอนดรูว์ ซิลเวอร์


    ในที่สุด แอนดรูว์เองก็ต้องนอนหลับไปตอนตี ๒ แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเขียนไว้เลย

    เกือบ แปดโมงเช้าแล้ว เขาก็มาถึงที่พิพิธภัณฑ์ในที่สุด

    เขาเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขาอย่างปกติ แต่สิ่งที่เหนือความคาดคิดของเขาคือ มีมนุษย์ ๓ คน มานั่งอยู่หน้าโต๊ะของเขาโดยมีโจนนั่งบนเก้าอี้ขาประจำของเขา

    อีก ๒ คนที่เหลือ เป็นชายและหญิงคู่หนึ่ง มีความสูงพอๆกับตัวของแอนดรูว์ ทั้งคู่มีผมสีดำน้ำตาล ดวงตาสีเขียว ฝ่ายชายนั้นไว้ผมสั้น รองทรง สวมเสื้อผ้าราคาสูงลิ่ว มีหน้าตาที่หล่อ

    เหลาพอสมควรคาดว่ามีอายุไม่เกิน ๓๐ ปี  ส่วนผู้หญิงนั้น มีหน้าตาที่สวย คิ้วเข้ม มีหน้าอกที่ไม่ใหญ่มาก ไว้ผมยาวถึงไหล่ ใส่กระโปงและเสื้อผ้าคล้ายคนมีสกุล ผู้หญิงนั้นดูมีอายุน้อยกว่าผู้ชาย ๒ ถึง ๓ ปี

    “อรุณสวัสดิ์แอนดรูว์ ผมหวังว่าคุณจะได้พักผ่อนมาพอน่ะ” โจนทักทายเขา ด้วยน้ำเสียงอันเรียบๆแบบปกติของเขา

    “ขอโทษน่ะโจน แต่...” แอนดรูว์พูดพร้อมกับแอบชำเลืองมองคนแปลกหน้า

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณซิลเวอร์ ผมชื่อ โจเซฟ ไทเลอร์ และนี้น้องสาวที่รักของผม มิรันด้า ไทเลอร์” ชายแปลกหน้าได้เอ่ยกับเขา

    “แอนดรูว์ นายจำเรื่องที่เราคุยค้างไว้เมื่อคืนก่อนได้หรือไม่ ผมบอกคุณว่าจะมีเจ้าหน้าที่ที่เชื่อใจ ได้มาร่วมสืบสวนเหตุการณ์นี้ด้วย แล้วพวกเขาก็อยู่ที่นี้แล้ว” โจนพูดกับเขาพร้อมกับมองไปที่สองพี่น้อง ไทเลอร์

    สำหรับแอนดรูว์นี้เป็นการประสานงานที่รวดเร็วที่สุดที่เขาเคยเห็นมาเลยก็ว่าได้ การโจรกรรมเพิ่ง เกิดเมื่อคืนก่อนหน้าเอง แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าได้ตำรวจมาประสานงานด้วย แต่ถึงกระนั้นมันก็ดูแปลกที่การสืบ สวนกลับมีสมาชิกแค่สามคนเองจริงหรือ

    แต่ไม่มีความสงสัยใดมาบั่นถอนเวลาที่วิ่งอยู่ได้

    “ก่อนที่เราจะเริ่ม ผมขอคลายความสงสัยอยู่เพียงข้อเดียวก่อน คือ คุณมากันแค่สองคน หากรวม ผมแล้วก็เป็นสี่คน งานนี้จะไม่หนักเกินไปหรือ” แอนดรูว์ถามทุกคนในห้องนี้

    “คุณเคยอ่านเรื่องการสืบสวนอะไรบ้างไหม ทีมิสเตอร์โฮล์ม กับมิสเตอร์วัตสันยังสามารถไขคดีได้ อย่างง่ายดาย เรามีตั้งสี่หัว เราก็คงไม่แพ้เขาไปได้หรอก”

    “แต่โลกนี้ก็ไม่เหมือนในนิยายอยู่ดี”

    “อย่างน้อยก็คล้ายกันพอควร”

    “เอาล่ะทั้งคู่! ได้โปรดหุบปากแล้วพิจารณาว่า สิ่งที่เราต้องทำมีอะไรบ้าง”

    โจนตะโกนใส่หน้า คู่หูสองคน ขณะที่มิรันด้าเองก็จดบันทึกย่อการสนทนา ด้วยความเหนื่อยใจกับ การทะเลาะอันไร้สาระ เกี่ยวกับคนที่ไม่มีอยู่จริง แต่อย่างน้อยสองพี่น้องก็ยังได้ทำงานเป็นตัวเป็นตนบ้าง แทบทุกวันของสองพี่น้องไทเลอร์ ก็เป็นการทำงานที่ไม่มี “งาน” จริงๆ

    “มิรันด้าชี้แจงคุณซิลเวอร์ถึงภารกิจของเราหน่อยสิ” โจเซฟพูดกับมิรันด้า

    มิรันด้าพยักหน้ารับคำ พร้อมกับหยิบซองขาว ออกมาอ่าน


                 วันที่ 29 พฤสจิกายน ค.ศ. 1889

    ถึงโจเซฟ ไทเลอร์

    เนื่องจากการทำงานขององกรณ์เรานั้นมีความยุ่งเหยิงมากเกินจะเขียนออกมาได้ เราจึงจำเป็นต้อง ขอสั่งให้คุณโจเซฟ ไทเลอร์ ฝ่ายสืบสวนและตามหาวัตถุ ให้ไปรายงานตัวที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยให้รายงานตัวกับท่านผู้อำนวยการทอมป์สัน โจน ในเวลาแปดนาฬิกาตรง ของวันนี้

    คุณสามารถนำคนที่ไว้วางใจได้มาร่วมปฏิบัติการนี้เพราะเราจะไม่สามารถหาเจ้าหน้าที่คนอื่นมา ให้ได้ แต่ต้องรายงานชื่อของบุคคลดังกล่าวกับผู้อำนวยการ และขอย้ำว่าปฏิบัติการนี้เป็นความรับผิดชอบ ของคุณ หากคุณทำพลาดไป จงเตรียมพร้อมกับการเกษียณก่อนกำหนดได้เลย

    ส่วนในด้านรายละเอียดใดๆ โปรดสอบถามผู้อำนวยการ

    ขอให้พระนางวิคตอเรีย ทรงพระเจริญ

    จากศูนย์อำนวยการใหญ่ ด                               ส    


    หลังจากที่มิรันด้าอ่านจบ แอนดรูว์ก็เริ่มพูดก่อน

    “เอาจริงๆน่ะ โจน ผมว่านี้มันไร้สาระมากเหลือเกิน จะไปแจ้งศูนย์อำนวยการใหญ่ด้วย แท่นที่จะไป แจ้งความกับสก็อตแลนด์ ยาร์ดก็จบเรื่อง!”

    “มันมีปัญหาไง แอนดรูว์! หลังจากเหตุการณ์ที่มีแจ็ค เดอะริปเปอร์ออกมาอาลาวาด ทุกสำนักพิมพ์ ให้ความสนใจในสก็อตแลนด์ยาร์ดมากเกินไป เรารู้ดีว่าเวลามันผ่านไปนานเกินไปแล้ว แต่นี้มันไม่ใช้แค่การ เสียชื่อเสียงอีกแล้ว นี้มันเป็นการรักษาความลับ!” โจนตอบ

    "สิ่งที่เราต้องการทำเป็นอย่างแรกคือ การไปตรวจสถานที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด" โจเซฟพูดใส่หน้าทั้งคู่ แล้วนำ้ลายก็กระเซ็นออกมาเล็กน้อย

    ทั้งโจนและแอนดรูว์ก็รู้สึกไม่พอใจโจเซฟ ที่มาพูดอย่างไม่ให้เกียรติ(หรืออนามัย)อย่างนี้ แต่โจเซฟก็ถูกต้อง ขณะนี้คนร้ายได้ห่างจากเขาไปทุกที ถ้าพวกเขาไม่รีบ ก็คงไม่มีโอกาสเจอมันอีก

    "ทางนี้ครับ" แล้วโจนจึงได้เดินนำหน้าไป ตามมาด้วยสองพี่น้องไทเลอร์ แล้วแอนดรูว์ปิดท้ายสุด


    ในรัชสมัยของวิคตอเรีย สถานที่ราชการจะไม่เปิดรับผู้คนจากภายนอกเข้าชมเหมือนพิพิธภัณฑ์ ในศตวรรษที่ 20 ที่นี้เป็นส่วนรวมของโบราณวัตถุสำหรับนักโบราณคดีที่เชื่อถือได้เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น นักศึกษา ไม่ก็คนจากราชสมาคมนักโบราณคดีแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งก็เทียบเท่ากับแพทยราชสมาคม หรือ ราชสมาคมวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ค่อยมีใครมาศึกษาด้านโบราณคดีมากนัก มันไม่ใข่งานที่สบายหรือเงินดีแม้แต่ เกียรติยศก็ตาม ไม่มีใครหันมาสนใจอดีตอีกแล้ว คนส่วนมากสนใจแค่เงิน และชื่อเสียง ความสุขและมั่นคงที่ ได้มาล้วนมาจากบรรพบุรุษทั้งนั้น แต่กลับไม่มีใครหันกลับไปมองวีรชนในอดีตเลย

    ทุกๆครั้งที่แอนดรูว์เดินผ่านห้องโถงใหญ่ในที่ทำงานของเขา มักจะมีพวกนักศึกษาไม่ก็ชนชั้นสูง เพี้ยนๆที่อยากเป็นนักโบราณคดี มายืนชม นิทรรศการอันจัดแสดงโบราณวัตถุวนซ้ำไปซำ้มา ทุกๆหนึ่งเดีอน ก็อาจจะเปลี่ยนหัวข้อไป มันเป็นงานของเขาโดยตรงที่ต้อง คัดเลือกของออกมา กันไม่ให้พวกผู้ชมรู้เบื่อหน่าย สิ่งเดียวที่เขาชอบเกี่ยวกับงานนี้คือ การมองปฎิกิริยาของฝูงชน เมื่อเห็นของที่นำมาแสดง แต่พวกนี้ก็ไม่ถาม อะไรเหนือไปกว่าราคา และอายุของวัตถุ

    แต่วันนี้เป็นหนึ่งในวันที่เงียบมากๆในห้องโถงใหญ่ มีเพียงพวกเขาสี่คนที่เดินลงบันไดหินอ่อน โค้งยาวเป็นรูปตัวซี ที่ปลายล่างสุดของรางบันไดมีรูปปั้นหินอ่อนแบบกรีก ราวกลับมันเฝ้าอารักขาบันไดไว้ บนเพดานนั้นเป็นโดมขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้จากภายนอกอาคารได้ พื้นหินอ่อนส่งเสียงเมื่อมีคน ก้าวเดิน แม้จะแอบย่องก็จะมีเสียงสะท้อนไปมา

    ที่ชั้นล่างสุดเป็นส่วนที่เป็นหัวใจหลักของพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่คุณควรจำไว้อย่างแรกเกี่ยวกับการเก็บวัตถุ ทางโบราณคดี คือ ทุกอย่างล้วนเปราะบาง การขนพวกมันไปมาบ่อยไม่ควรทำหากไร้ความจำเป็น แม้แต่หิน เองก็ตามก็อาจเสื่อมสภาพไป เมื่อเจอกับมลพิษในกรุงลอนดอน ฝนที่โปรยปร่ายตลอดปีทำให้ ไม่ว่าจะใน หรือ นอกอาคาร อากาศจะชื้นกว่าที่ใดๆในทวีปยุโรปเลยก็เป็นได้

    นี้คือสิ่งที่แอนดรูว์พูดกับ เพื่อนร่วมงานชั่วคราวของเขาขณะเดินไปที่ห้องเก็บของ

    “ไม่ว่านายจะทำอะไร อย่าจับ หรือกระแทกแรงๆเป็นอันขาด” แอนดรูว์พูด

    “ผมก็ไม่ใช่เด็กอีกแล้วน่ะ” โจเซฟบอก

    “แต่การสืบสวนที่เกิดเหตุคง ไปตรวจทุกซอกทุกมุม ผมกลัวแค่ว่าคุณจะทำลายมูลค่าของ สิ่งของไป”

    “สรุปนี้มันพิพิธภัณฑ์ หรือร้านขายอัญมณีกันแน่!”

    “คุณไทเลอร์ ทั้งหมดในนั้้นมันมีค่ามากกว่านั้นมาก”

    ในคำสุดท้ายที่แอนดรูว์พูดกับโจเซฟ ทุกคนก็มาถึงปากทางเข้าที่เกิดเหตุ แล้วทุกคนก็เดินเข้าไปในที่ เกิดเหตุร้าย แต่ที่นี้กลับเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า

    มีชายหนุ่มวัยกลางคนนอนอยู่บนพื้นเย็นของห้องเก็บของ ข้างตัวเขามีตะเกียงเจ้าพายุ อยู่ชิดกาง เกงของเขา โชคดีที่ตะเกียงไฟดับไปแล้ว แต่ว่าบนเสื้อของเขานั้นเป็นรูปร่างที่ดูเหมือนกับว่า แอนดรูว์เคยเห็น มาก่อนไม่นาน ไม่ถึงเมื่อคืน

    โรเบิร์ต วิลสันทอดร่างไร้สติอยู่บนพื้นห้อง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×