คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ผู้ชายคนนั้น
4
ผู้ชายคนนั้น
มีมี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธอกระพริบตาเพื่อปรับแสง และมองไปรอบๆ ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงสีเหลืองอ่อนที่ตั้งเข้ามุมอยู่ในห้องสีขาว มีโต๊ะคอมพิวเตอร์วางอยู่ปลายเตียง และมีตู้หนังสือตั้งอยู่ริมประตู แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือชายชุดดำคู่หมั้นของเธอกำลังนอนฟุบอยู่ข้างเตียง
“เคนตะซัง”
เธอเรียกชื่อเขาเบาๆ เพื่อปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากนิทรา เขาลุกขึ้นไปเปิดไฟก่อนจะส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้เธอ
ขอโทษที่ทิ้งเธอไว้ที่สนามบิน ฉันแค่คิดว่าเธอคงจะกลับไปแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าเธอจะยังอยู่ เธอคงลำบากมากสินะกับการตามหาฉัน ขอโทษนะ
“ทำไมต้องเขียนใส่กระดาษให้ฉันล่ะ ทำไมไม่พูดเอง”
มีมี่ถามเสียงใส แต่เคนตะฟังไม่ออกเลยสักคำ ข้อความในกระดาษแผ่นนั้น เขาก็ขอร้องไคโตะให้เขียนให้แทบตายกว่าจะยอมเขียน
“ป๋ม...พูด...ภาษา...ไทย...ไม่ได้”
“ก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ป๋ม...ไม่....เก่ง...ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ป๋มพูด...ไม่ได้เลย”
แม้จะฟังดูทะแม่งๆ แปลกๆ แต่มีมี่ก็เข้าใจในสิ่งที่เคนตะพยายามจะสื่อ แต่ในเมื่อเคนตะพูดภาษาไทยไม่คล่อง แถมภาษาอังกฤษก็ไม่เอาอ่าว แล้วเธอกับเขาจะสื่อสารกันอย่างไร
“แล้วเราจะคุยกันยังไงล่ะ ฉันต้องเคลียร์กับนายเรื่องการหมั้นด้วยนะ ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ก็ตายน่ะสิ”
“ขอโทษครับ”
“เลิกขอโทษฉันได้แล้ว”
“ขอโทษครับ ป๋ม...ไม่...เข้าใจ...มีจังพูด...อะไร”
“งั้น...ให้ฉันสอนภาษาไทยนายมั้ย จะได้พูดเก่งๆ”
“ครับ”
มีมี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเล่นเอาเหนื่อยไปตามๆ กัน เธอกวาดสายตาดูทั่วห้องอีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาของเธอก็เจอเข้ากับหนังสือการ์ตูนวันพีชเล่มล่าสุดที่ยังไม่เข้าไทยบนชั้นหนังสือของเขา ฉับพลันดวงตาสีน้ำตาลไหม้ก็ส่องประกายวิ้งวั้งใส่ชายหนุ่มร่างสูง
“เคนตะซัง ฉันอ่านหนังสือเล่มนั้นได้มั้ย”
“ฮ่าๆ ฟังไม่ออก”
“แป่ว! ฉันถือว่าขอแล้วนะ จะว่ากันไม่ได้นะ”
พูดจบมีมี่ก็พุ่งพรวดไปคว้าการ์ตูนมานั่งอ่าน แต่จะเรียกว่าอ่านก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเธออ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลยสักตัว ได้แต่เปิดดูภาพไปอย่างงงๆ
ก๊อกๆ
เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับชายร่างสูงที่ดูมีอายุ เซจิโร่ส่งยิ้มให้มีมี่ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง เธอมองเขาด้วยสายตางงงวยที่เกิดจากการ์ตูนในมือและรอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมายของเซจิโร่
“ฉันจะเปิดแถลงข่าวเรื่องแกกับหนูมีมี่ การแต่งงานจะมีขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ห้ามปฏิเสธอะไรทั้งนั้น นี่แหละโทษฐานที่แกทิ้งเธอ”
พูดจบเซจิโร่ก็เดินออกไปทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ความเครียดค่อยๆ เข้ามาแทนที่ในไม่ช้าเมื่อสมองรับรู้ถึงข่าวร้ายของเขา เขายกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง...
เขาจะทำอย่างไรดี...แม่ของเขาที่อยู่ที่จีนยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แถมท่านเองก็ต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน ที่อยู่ๆ ผู้หญิงที่ท่านไม่รู้จักมาก่อนอย่างมีมี่จะมาแต่งงานกับเขา แล้วเฮยล่ะ ผู้หญิงแสนดีที่คอยดูแลแม่เขามาตลอด เฮยจะคิดยังไง เฮยจะรู้สึกอย่างไร...ไม่ได้! เฮยเป็นคนรักที่แสนดีของเขา เขาจะทำให้เฮยเสียใจไม่ได้ เขาต้องยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้!
“อะไรเหรอ มีอะไรเล่าให้ฉันฟังได้นะ ฉันฟังไม่ออกหรอก”
มีมี่พูด เธอวางหนังสือลงอย่างเบามือก่อนจะคลานเข้ามาหาเคนตะช้าๆ เคนตะเพียงแค่ปรายตามามองเธอ ใจนั้นคิดถึงวิถีทางที่จะสลัดมีมี่ออกไปจากชีวิต แต่ความคิดทั้งหมดก็สูญสลายหายไปกับอากาศ เมื่อเขาถูกดวงตาสีน้ำตาลไหม้จ้องมองด้วยความสงสัย เหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ไม่มีพิษภัย
“ป๋ม ไม่อยาก...”
เขาพยายามนึกคำว่า “แต่งงาน” ที่เป็นภาษาไทย แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาจึงหยุดพูดแต่เพียงเท่านั้น
“เคนตะซัง ผม ไม่ใช่ ป๋ม”
“ครับป๋ม”
ตอบรับแต่ก็ไม่วายพูดผิด มีมี่ชักจะหมดความอดทนกับเคนตะเสียแล้ว สาบานกับอะไรก็ได้ว่าเธอไม่ได้อภัยให้เคนตะจริงๆ หรอก ที่ทำไปทุกอย่างก็เพื่อสร้างภาพพจน์กุลสตรีไทยผู้แสนดีให้เทปเปเห็นเท่านั้นเอง อาจจะมีใครในโลกที่อภัยให้เคนตะง่ายๆ กับการถูกทิ้งไว้เป็นวันๆ คืนๆ และปล่อยให้หลงทางอยู่ในต่างถิ่น แต่เธอไม่ให้อภัย ถ้าไม่มีเทปเปอยู่ ไม่มีทางที่ผู้ชายตรงหน้าจะได้หายใจร่วมกับเธอแน่นอน
รอยยิ้มแสนหวานระบายอยู่บนใบหน้า ได้เวลาเริ่มเกมมันๆ ระหว่างเราแล้วนะ เคนตะซัง~
เช้าวันต่อมากับอากาศที่แสนแจ่มใส มือเรียวบางของมีมี่ยังคงถือหนังสือการ์ตูนที่อ่านไม่ออกอยู่เหมือนเดิม ในหัวสมองพยายามครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะแก้เผ็ดเคนตะ แต่ไม่ว่าจะคิดสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีวิธีไหนสาสมกับที่เขาทำเธอเลยสักวิธี
“นี่ยัยมารต่างถิ่น! ตื่นได้แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองกินประเทศญี่ปุ่นเลยรึไง กลับไทยไปนอนกินประเทศตัวเองนู่น”
เสียงทุ้มๆ ของชายหนุ่มดังโวยวายขึ้นหน้าประตู พูดไทยชัดแจ๋วเจื้อยแจ้วอย่างนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายมนุษย์หิมะไคโตะ มีมี่จำใจวางหนังสือลงและเดินไปเปิดประตูให้เขา
“มีอะไรไม่ทราบ”
“พวกฉันจะไปถ่ายแบบ เฝ้าบ้านให้ดีล่ะ”
“จะบ้าเหรอ! หมาก็มีมาใช้ฉันทำไมเล่า ไม่รู้แหละ ฉันไปด้วย! ”
มีมี่โวยวายลั่น โดยไม่ได้สะกิดใจถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ระบายอยู่บนใบหน้าของไคโตะเลยแม้แต่น้อย
“อยากไปก็ไป”
สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่เคลือบไปด้วยยาพิษชั้นดีที่แม้แต่จอมวางแผนอย่างเธอก็ดูไม่ออก
“กรี๊ด! ฉันจะได้เจอเทปเปอีกแล้ว ว๊ายๆ ตื่นเต้นที่สุดเลย”
มีมี่ดี๊ด๊าอย่างลืมตัว คิดถึงเทปเปทีไรก็เป็นอันลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด แต่ไม่ทันจะได้ดี๊ด๊าต่อ มือหนาของไคโตะก็ลากข้อมือเธอออกมาจากบ้านแล้วเรียบร้อย
ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งคันรถ แล้วในที่สุด มีมี่ก็ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยการเปิดประเด็นที่แสนมาคุ
“นายวางแผนอะไรไว้กำจัดฉันใช่มั้ย”
“หึๆ ก็รู้ดีนี่ เพราะฉะนั้นเธอก็รีบกลับไทยไปซะดีกว่า”
“ไม่กลับ ฉันมาที่นี่เพื่อเขา และถ้าฉันทำให้เขาแต่งงานกับฉันไม่ได้ ฉันไม่กลับไทยหรอก”
“ก็ตามใจ แต่ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน”
คนที่มีมี่พูดถึงนั้นคือเทปเป แต่ไคโตะกลับเข้าใจว่าเป็นเคนตะที่เขาสุดหวง ยิ่งมาพูดเช่นนี้ ความเข้าใจผิดที่ทั้งคู่มีต่อกัน ยิ่งลุกลามไปกันใหญ่
ไม่นานไคโตะก็พามีมี่มาจนถึงสถานที่ที่พวกเขามาถ่ายแบบ มีมี่เดินตามชายร่างสูงไปอย่างรวดเร็ว แต่ขายาวๆ ของเธอก็ก้าวไม่ทันเขา ไคโตะเดินไวมากเสียจนมีมี่แทบตามไม่ทัน เธอต้องวิ่งตามเขาไปติดๆ
ฝ่ายเทปเปและเคนตะที่มัวแต่สาละวนอยู่กับทรงผมของตัวเองก็กำลังวุ่น ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเซตผมเป็นทรงไหนดี ช่างทำผมที่มีหน้าที่ก็ว่างงานไปอย่างง่ายดาย เมื่อพวกเขาต่างประกาศที่จะจัดการด้วยตัวเอง
“จะให้มันฟูๆ กว่านี้หน่อยดีมั้ยเนี่ย รึจะให้มันเป๋ไปข้างนี้ดี ว่ายังไงล่ะเทตจัง”
เคนตะหันไปถามความเห็นของชายร่างเล็ก แต่แล้วสายตาก็ต้องหยุด ราวกับถูกสะกดเมื่อเงาของร่างบางสะท้อนเข้ามาในกระจก
“ก็ดีนะ แต่ฉันว่าปัดไปข้างนั้นดีกว่า”
“เฮ่ยๆ! นั่นใช่มิสเทอรี่รึเปล่าน่ะ”
เทปเปหันไปมองเจ้าของชื่อ “มิสเทอรี่” ผู้ซึ่งดูเหมือนชายร่างบางที่แสนจะน่าทะนุถนอม เรือนผมสีดำสนิทที่เงางามดุจแพรไหมนั้นยิ่งทำให้เขาดูลึกลับสมชื่อ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่ยิ่งมองก็ยิ่งน่าค้นหา จมูกโด่งได้รูป ใบหน้าขาวเนียนอมชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ ริมฝีปากอวบอิ่มนั้นก็เป็นสีแดงราวกับจะเชิญชวนให้ผู้พบเห็นมอบจุมพิตแห่งรัก ทั้งหมดนั่นทำให้เขากลายเป็นไอดอลชื่อดังที่สามารถสะกดผู้คนได้ทั้งทุกเพศ ไม่ว่าจะผู้หญิงใจชาย หรือผู้ชายใจหญิง
“รู้สึกจะใช่นะ”
“โห ผู้ชายอะไรน่ารักชะมัดเลย นี่ถ้าเป็นผู้หญิงฉันจะจีบเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ”
“เคนจังน่ากลัวอ่ะ ฮ่าๆ แต่ถ้ามิสคุงเป็นผู้หญิงเห็นทีว่าเราคงต้องทำสงครามกันแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะคิกคักของทั้งสองคนทำให้คนที่ถูกเอ่ยถึงต้องหันหน้ามามอง ราวกับมีอะไรมาปิดกั้นเสียงหัวเราะของพวกเขาทำให้ทั้งคู่ต้องค่อยๆ กลืนเสียงหัวเราะลงคอไป เมื่อมิสเทอรี่หันหลังกลับไปแต่งตัวต่อ พวกเขาก็มองหน้ากันโดยอัตโนมัติและระเบิดเสียงหัวเราะใส่กันพร้อมกันผสานเสียงว่า
“คาวาอิ!~”
มิสเทอรี่ที่ได้ยินคำชมจากสองหนุ่มก็อดปลื้มไม่ได้ แต่เพราะความเป็นไอดอลชื่อดัง เขาจึงต้องแอบซ่อนรอยยิ้มบางๆ ไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย เมื่อเสียงของสองหนุ่มเงียบไป เขาก็ก้มหน้าลงต่ำและแอบยิ้มอย่างมีความสุข
ประตูถูกเปิดออกอย่างแรงจากฝีมือของชายร่างสูงผู้ซึ่งถูกขนานนามว่า “ปีศาจหิมะ” เขามีสีหน้าบึ้งตึงผิดกับทุกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลนั้นกวาดสายตามองรอบห้อง เขาหยุดมองมิสเทอรี่ที่ค่อยๆ ยกมือเรียวบางขึ้นมาจับผมหน้าของตัวเองก่อนจะหันหน้ามามองเขา เคนตะและเทปเปต่างนั่งไม่ติด เพราะรู้ดีว่าเพื่อนของเขากำลังโมโหอะไรสักอย่าง และพวกเขาเองก็ไม่อยากเจอกับพายุหิมะ
“มาช้าจังเลยนะไคคุง” เทปเปทักเสียงใส
มีมี่ที่ได้ยินเสียงเทปเปก็โวยวายขึ้นมาทันที
“อีตาบ้า! จะมายืนขวางประตูไว้ทำไมล่ะยะ”
เธอผลักร่างหนาของไคโตะออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้อง เคนตะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ไม่ต้องมีเข็มแทงก้นก็เหมือนมีนั่นแหละ เขารีบเดินเข้าไปหามีมี่ด้วยความกระวนกระวาย
มันต้องไม่ใช่เวลานี้สิ จะให้ใครรู้ว่าเราเป็นคู่หมั้นกันก่อนไม่ได้นะ...ถ้าข่าวไปถึงจีนเมื่อไหร่ เฮยจะเป็นยังไง
“ตายล่ะ! ไคคุงพามีจังมาทำไมน่ะ ที่นี่ไม่ได้มีแค่เรานะ”
เทปเปกระซิบถามไคโตะเพื่อไม่ให้มิสเทอรี่ได้ยิน แต่กระนั้นเรื่องนี้ก็ได้ยินชัดไปถึงเขาอยู่ดี
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย จะกังวลไปทำไม คนที่นั่งอยู่เขาเป็นถึงเจ้าชายแห่งความลับเชียวนะ เรื่องที่จะเอาไปบอกใครคงไม่มีหรอก ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงรู้ชื่อของเขากันแล้ว”
มิสเทอรี่เพียงแต่ก้มหน้านิ่งปล่อยให้ไคโตะแขวะ มันก็จริงอย่างที่ไคโตะว่า เขาเป็นไอดอลที่ดังขึ้นมาด้วยความลึกลับ ไม่มีใครรู้ข้อมูลของเขา ประวัติก็ถูกเก็บเป็นความลับ ใช้ความลึกลับเป็นจุดขาย ผู้คนมากมายจึงยกให้เขาเป็น “เจ้าชายแห่งความลับ” มิสเทอรี่ได้แต่กล้ำกลืนอยู่ในใจ ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาดีใจกับชื่อเรียกนี้ เจ้าชายน่ะเหรอ...ไม่ได้อยากเป็นเลย
“อ่า...ไคคุงทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ มิสคุงก็มีเหตุผลของเขานั่นแหละ”
เคนตะที่ฟังอยู่นานจึงพูดค้านไคโตะ เขาไม่ชอบใจนิสัยชอบแขวะชาวบ้านของไคโตะสักนิด แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ไคโตะก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาและเทปเปไม่สบายใจอีก อาจเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกันมานาน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จึงค่อนข้างชิน แต่สำหรับมิสเทอรี่ที่เพิ่งได้เจอกับไคโตะเป็นครั้งแรกนั้นก็ย่อมมีความรู้สึกติดลบอยู่แล้ว แน่นอน...เป็นใครก็รู้สึกเหมือนกันแหละ
“ฉันไม่เอาเรื่องของพวกคุณไปบอกใครหรอก เพราะฉันเชื่อว่า ระหว่างความลับของคุณกับความลับของฉัน คนย่อมอยากรู้เรื่องของเจ้าชายแห่งความลับมากกว่าวงKKT ที่เปิดเผยเรื่องทุกเรื่องกับแฟนคลับอยู่แล้ว”
มิสเทอรี่เพียงแค่ลุกขึ้นมาพูดสิ่งที่เขาคิดด้วยเสียงที่พยายามกดให้ทุ้มต่ำเต็มที่ ก่อนจะหันหลังกลับไปแต่งตัวต่อเช่นเดิมโดยไม่สนใจฟังเรื่องราวอะไรของพวกเขาอีก
ไคโตะที่โดนชายร่างบางตอกหน้าจนหน้าเสียนั้นก็หันมาลงกับมีมี่ แม้มีมี่จะอยู่ในเหตุการณ์แต่เธอก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยกันเรื่องอะไรอยู่ดี รู้แต่เพียงว่า ผู้ชายผมดำตัวเล็กๆ หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรคนนั้น ดูคุ้นหน้าเธออย่างไรชอบกล แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลายเป็นคนรู้จักของเธอ อย่างหนึ่งคือเธอเรียนอยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาตั้งแต่ชั้นประถมจนมัธยมปลาย แล้วเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยก็มีแต่ผู้หญิงกับตัวการ์ตูน เพื่อนผู้ชายที่รู้จักก็มีแต่พวกโอตาคุพุงห้อยๆ แว่นหนาๆ ไม่มีใครสักคนที่หล่อเฟี้ยวละลายใจได้ขนาดเขาคนนี้
“ยืนนิ่งอยู่ทำไมอ่ะ มาช่วยกันทำมาหากินเลยนะ ร้องตามมาด้วยแล้วก็อย่าทำตัวเกะกะ”
“ก็แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะ พวกนายก็หล่อกันอยู่แล้วจะให้ช่วยทำอะไรยะ”
“นี่กุญแจรถ จำทางได้ใช่มั้ย เอาเสื้อผ้าข้าวของพวกนี้ไปเก็บ”
ไคโตะโยนกุญแจใส่หน้าเธอพร้อมกับชี้มือไปที่เสื้อผ้ามากมายที่แขวนอยู่บนราว และลังขนาดใหญ่ 3 ลังที่วางซ้อนกันอยู่ใกล้ๆ
“ประสาทรึไง ฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ นะยะ” มีมี่โวยวาย
“ทำแค่นี้ไม่ได้ ก็แต่งงานไม่ได้หรอก เจอแค่นี่ยังไม่สู้ก็ไม่มีใครเขาเอาเธอไปเป็นภรรยาหรอกนะ ทำไม่ได้ก็กลับไปเลย อยู่ไปก็เกะกะ”
“ชิ” เธอสะบัดหน้าใส่เขา ก่อนจะกวาดเสื้อผ้าบนราวใส่ในอ้อมแขน
“เฮ่ย! ไคคุงเล่นอะไรเนี่ย มีจังให้ฉันช่วยมั้ย” เทปเปอาสาช่วย แต่คงเพราะลืมตัวจึงพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น
“อ๋า...ฟังไม่ออกอ่ะ ทำไงดี”
เดือดร้อนมิสเทอรี่อีกครั้ง เพราะเสียงเอะอะโวยวายทำให้เขาต้องหันไปมอง ตอนแรกก็จะแค่ดูหน้าคนทำเสียงดังเฉยๆ แต่คราวนี้เห็นทีจะต้องช่วยเสียแล้ว เมื่อคนที่กำลังถูกปีศาจหิมะเล่นงานนั้นคือเพื่อนของเขาสมัยมัธยมต้น! แต่จะทำอย่างไรดี ลึกๆ แล้วก็ดีใจมากมายที่ได้เจอเพื่อนเก่า ดีใจจนเกือบพลั้งปากเรียกชื่อมีมี่ออกไป แต่ถ้าประกาศตัวไปว่าเป็นเพื่อนของมีมี่ ความลับของเขาจะต้องแตกแน่ๆ
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น มิสเทอรี่เดินเข้ามาคว้าเสื้อผ้าที่อยู่ในอ้อมแขนของมีมี่มาไว้ที่อ้อมแขนของตัวเองแทน
“เธอชื่อมีมี่เหรอ”
มิสเทอรี่เลือกถามเป็นภาษาจีน แทนที่จะถามเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษ เขาเคยอ่านประวัติของวงนี้มาครั้งหนึ่ง และจำได้เป็นอย่างดีว่าไม่มีใครสามารถพูดภาษาจีนได้นอกจากเคนตะแต่เคนตะก็ไม่ใช่ตัวอันตรายเสียหน่อย เขามั่นใจว่ามีมี่สามารถฟังออก เพราะประโยคง่ายๆ อย่างนี้ เขาเคยเรียนมาพร้อมกับมีมี่ตั้งแต่อยู่ม.ต้น แต่ไม่รู้ว่ามีมี่จะจำได้หรือเปล่า
“ใช่...ทำไมคุณถึงรู้จักฉัน”
โอ๊ยตายแล้ว! ไม่เจอกัน 7 ปี ยัยนี่เก่งขึ้นเยอะเลยแหะ มิสเทอรี่ได้แต่คิดในใจ พร้อมกับนึกภาพวันที่เคยเรียนภาษาจีนด้วยกัน ตอนนั้นมีมี่ยังลอกการบ้านภาษาจีนของเธออยู่เลย แถมยังบอกด้วยว่าเกลียดภาษาจีนเข้ากระดูกดำ ชาตินี้จะไม่ขอเรียนภาษาจีน แต่ทำไปทำมามีมี่กลับพูดภาษาจีนโต้ตอบกับเขาได้ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ
“ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอเยอะแยะเลย รวมถึงเรื่องที่อยากจะขอให้เธอช่วยด้วย”
“อ๋า...เรารู้จักกันเหรอ ฉันไม่เคยรู้จักผู้ชายที่หล่ออย่างนายนะ”
“ไปข้างนอกเถอะน่า” พูดจบ มือที่ว่างอยู่ข้างหนึ่งของมิสเทอรี่ก็หนีบลังใส่ของขึ้นมาไว้ข้างตัวลังหนึ่งก่อนจะเปิดประตูเดินนำหน้ามีมี่ไป
“เธอรู้จักไอ้หมอนั่นเหรอ” ไคโตะถาม
“ไม่รู้สิ จำไม่ได้อ่ะ แต่พอคุยแล้วก็คงจะนึกออกอ่ะ” พูดแค่นั้นเธอก็เดินตามเขาออกมา
“มีมี่จังสุโค่ย! เก่งสุดยอดเลย พูดได้ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ” เทปเปหลุดปากชม
“จำได้ว่ายัยนั่นมันพูดญี่ปุ่นไม่ได้นะ แต่มิสคุงเนี่ยสิ สุโค่ยของจริง คนอะไรน่ารักเป็นบ้า ขนาดโกรธก็ยังน่ารัก แอร๊ย!” เคนตะพูดพลางบิดไปบิดมา เขาชื่นชมมิสเทอรี่จากใจจริงและนั่นก็ยิ่งทำให้ปีศาจหิมะหงุดหงิด
“อยากรู้ชะมัด ยัยบ้านั่นคุยอะไรกัน”
ความคิดเห็น