ตอนที่ 37 : SEA YOU SOON 02
SEA YOU SOON
KANG DONGHO X LAI KUANLIN
พวกเราเดินเลียบชาดหาดมาไกลพอสมควร ผ่านกลุ่มคนมากมายที่บ้างก็ขึ้นจากน้ำ บ้างก็แต่งตัวมาถ่ายรูปกับทะเลยามพระอาทิตย์ตก คณินเดินเงียบมาตลอดทางทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอึดอัดของทั้งตัวเองและน้อง เด็กคนนั้นชอบเดินกอดอกก้มมองดูเท้าที่ก้าวเดินไปเรื่อยๆ บางทีก็เตะทรายเล่น หรือเดินหมุนตัวเล่นเหมือนลูกหมาวิ่งงับเงา
ในใจตอนนี้อยากคุยด้วยจะตาย ติดที่ไม่รู้ว่าควรเปิดบทสนทนาด้วยคำไหนดี เพราะที่เคยทำมามันก็ควรทำให้เราหายเกร็งปละประหม่าต่อกันแล้ว แต่ดูเหมือนน้องมันจะไม่ได้อยากสนิทกับผมเลยซักนิด
“พี่โด้”
“ห้ะ ว่า ว่าไง ครับ” ในขณะที่กำลังใจลอยหายหายไปเลยหายไปในอากาศ เสียงนุ่มๆ ของคณินก็เอ่ยเรียกชื่อผมแผ่วเบา เบากว่าแรงคลื่นที่ม้วนตัวเข้ามากระทบหาดทรายซะอีก เบากว่านี้ผมได้วิ่งไปเอาเครื่องขยายเสียงมาจ่อปากน้องมันแน่ๆ
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่น้องเรียกชื่อผมจริงๆ ที่ไม่ใช่คำว่าพี่ หรือจ้องหน้าเฉยๆ คณินเม้มปากเบาๆ จนลักยิ้มบุ๋มออกมาให้เห็น น้องดูเหมือนมีเรื่องจะพูดแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยปากออกมาซักที จะให้รอจนน้ำขึ้นมาถึงคอก่อนเหรอครับ....
ผมก้มลงมองน้ำทะเลที่สูงขึ้นมาถึงเท้า จากตอนแรกที่อยู่ห่างออกไปกว่านี้ประมาณหนึ่ง แอบเห็นเท้าของคณินเขี่ยทรายเล่นเบาๆ ด้วยนะ
“พี่ไม่อึดอัดเหรอ” ในที่สุดคณินก็พูดออกมาซักที
“อึดอัดเหรอ ทำไมต้องอึด..อัด” ขนาดการบังคับเสียงให้ดูปกติและเฟรนลี่ที่สุดผมยังทำไม่ได้เลย เสียงที่เปล่งออกมามันดูไม่เป็นธรรมชาติให้ไอ้มอสป.4 ข้างบ้านมาฟังมันยังรู้เลยว่าเกร็ง ผมกระแอมไอออกมาเบาๆ น้องมองพร้อมขมวดคิ้วหรี่ตาเล็กน้อยอย่างคนรู้ทัน
“แค่เสียงยังไม่ปกติเลยพี่โด้” คณินพูดเปลี่ยนท่ายืนเป็นกอดอกหลวมๆ เอาไว้ ท่าทางของน้องไม่ใช่คนกำลังหาเรื่องแต่มันเหมือนเป็นท่าที่เอาไว้ป้องกันตัวเองเวลารู้สึกไม่ปลอดภัยมากกว่า ผมคิดว่างั้นนะ
“กะ ก็ ก็ไม่ไงอะ เสียงปกติก็แบบนี้อยู่แล้ว คนเรามันมีเสียงสองเสียงสามใช่เปล่านี่กำลังใช้เสียงสองอยู่”
“เสียงสองเอาไว้คุยกับเด็กกับสัตว์...” คณินพูดเบาๆ
“ก็น้องเป็นเด็ก... ที่เหมือนสัตว์ ไง ใช่ แมว” เผลอพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้รู้สึกเหมือนสมองประมวลรวนไปหมด สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของน้อง ทันทีที่คณินได้ยินสิ่งที่ผมพูดน้องก็เบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งไม่นานก็หันกลับมาขมวดคิ้วใส่ผมอีกครั้ง
ผมรู้นะว่าไม่มีผู้ชายคนไหนชอบให้คนอื่นมาบอกว่าตัวเองเป็นเด็กเป็นแมวแบบนี้หรอก ยิ่งเด็กผู้ชายที่กำลังโตเป็นวัยรุ่นในวัยเดียวกับคนตรงหน้าแล้ว เด็กจะเริ่มมั่นใจในความแมนของตัวเองกับร่างกายที่เริ่มโตเป็นหนุ่มมากขึ้น
ไม่มีใครวิจัยหรอกครับ ผมผ่านม.ปลายมา ช่วงนั้นโคตรเห่อฮอร์โมนเลย จากเด็กกระจ๊อกที่หน้าตาดีเฉยๆ กลายเป็นวัยรุ่นที่หล่อกว่าเดิม เหมือนการรวบรวมอินฟินิตี้สโตนทีละเม็ด แล้วก็ดีดนิ้ว เป๊าะ! กลายเป็นดีโด้สุดหล่อคนนี้
“เพี้ยน” น้องพูดสั้นๆ ก่อนจะเดินนำผมไปอีกทางซึ่งเป็นทางกลับบ้านพักไม่ใช่ทางข้างหน้าที่เราควรจะเดินต่อไป ผมขยี้ผมตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ ไม่รู้ว่าไปสะกิดให้น้องมันเคืองอะไรเข้าหรือเปล่าถึงได้เดินกลับแบบนั้น
กว่าจะเดินตามทันก็เล่นเอาจังหวะการหายใจเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผมหอบแฮ่กมองเด็กที่ขายาวเกินเกณฑ์มาตรฐานแล้วก็รู้สึกอิจฉา ขายาวเหมือนตอนเด็กแม่ป้อนแคลเซียมแทนกล้วยบดอะ
“ขาสั้นก็เหนื่อยหน่อยนะพี่”
โห... เจ็บกว่าด่ากูอ้วนอีก
“กวนตีนขนาดนี้ควรเลิกเกร็งใส่กันได้แล้วมั้งน้อง” ผมเอ่ยออกไปแอบเห็นไอ้เด็กนั่นลอบยิ้มบางๆ ออกมาด้วย หรือที่จริงแล้วไอ้น้องคณินนี่แค่อยากกวนประสาทผมด้วยการตีมึนดึงหน้าใส่ก่อนจะเริ่มกวนตีนแบบไอ้หม่าววะ ถ้าแบบนั้นคือเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ
“การกวนตีนไม่ได้ทำให้ใครสนิทกันซะหน่อย”
“แล้วที่พูดมาเมื่อกี้...” ไม่เข้าใจนิดหน่อยแค่ สับสนมากๆ คนไม่สนิทกันมีการแซวเรื่องช่วงขาด้วยเหรอวะ จบโรงเรียนไหนมา กูจะไปพบผอ.
“ผมพูดตามตาเห็น”
“น้องไอ้หม่าว ยังไงก็คือน้องไอ้หม่าว” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ตบหน้าผากแรงๆ ให้หายแค้น คณินเดินช้าลงแต่ความเกร็งบนใบหน้าก็ไม่ได้ผ่อนลงเลยซักนิด ถ้าหน้าน้องเป็นสายกีตาร์ป่านนี้คงดีดขาดบาดตาผมไปแล้ว
ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อแรงสั่นและเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ในกระเป่าก็ดังขึ้นทำให้ผมต้องชะงักเพื่อล้วงมันขึ้นมาดูว่าใครที่บังอาจขัดขวางการเดินเล่นกระชับมิตรระหว่างผมและน้องไอ้หม่าวได้
บนหน้าจอปรากฏชื่อญาติฝ่ายพี่ของเด็กคณิน ทันทีที่กดรับก็ได้ยินเสียงจากปลายสายที่ดังเกินกว่ามนุษย์ปกติคุยโทรศัพท์
“ไอ้โด้ เขาเอาของทะเลมาส่งแล้ว รีบกลับมาอ้ายอ้วนนนนน”
“เอามาส่งแล้วพวกมึงก็จัดการเองสิวะ โทรเรียกกูเพื่อ?” ผมเอาหูแนบกับโทรศัพท์อีกครั้ง กรอกเสียงลงไปพร้อมกับลอบมองครึ่งหน้าของเด็กคณินที่เดินอยู่ไม่ไกลตัว
“ไอ้มะมันแบ่งหน้าที่ให้ทุกคนแล้ว และหน้าที่ของมึงคือจุดเตา รีบกลับมาทำหน้าที่สำคัญมากๆ ของมึงซะ ก่อนที่จะไม่ได้แดก”
ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะขานรับแบบส่งๆ กดตัดสายพร้อมยัดเครื่องมือสื่อสารกลับลงไปในกระเป๋ากางเกง
“นี่ คณิน” ผมเรียกน้องไว้ก่อนที่เจ้าเด็กตัวสูงจะเดินทิ้งห่างไปมากกว่านี้ น้องไม่ได้ขานรับอะไรแต่หยุดเดินและหันมามองผม
“เอางี้มั้ย พี่ว่าเวลาเราอยู่ด้วยกันมันเหมือนบรรยากาศมันอึดอัดๆ ยังไงก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะพาลทำให้คนอื่นไม่สนุกไปด้วย...”
“ผมก็ไม่เห็นว่าพี่คนอื่นจะว่าอะไรนี่”
เถียง เถียงเหมือนสนิทกัน บางทีก็เชื่อฟังพี่บ้าง อะไรๆมันจะได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของเราและบรรยากาศโดยรวมของวกเราทั้งหมด ผมถอนหายใจมองหน้าน้องนิ่งจิ๊ปากอย่างขัดใจอย่างที่ชอบทำ ยกมือขึ้นมาลูบหน้าแรงๆ และคิดว่าตอนนี้หน้าผมคงขึ้นสีแดงนิดๆ แล้วแหละ
“ไม่ ที่พี่ต้องการจะบอกคือ ถ้าเกิดเราไม่โอเคที่จะทำตัวสนิทสนมกับพี่แต่เพื่อเป็นการไม่ทำลายความสนุกของเพื่อนคนอื่นเราควรจะไม่ปล่อยไอทะมึนใส่กัน โอเคมั้ย คณินเข้าใจที่พี่พูดรึเปล่า?”
“เข้าใจ จะพยายามทำแล้วกัน”
น้องรับปาก ผมพยักหน้ารับก่อนเราจะเดินคู่กันแบบห่างๆ เพื่อกลับมายังที่พักและจัดการเตรียมของในส่วนขอตัวเองที่มะม่วงจัดแจงไว้ให้เสร็จสรรพ ผมเดินมาจัดการเตาย่างบาร์บีคิวจัดการหอบถุงถ่านที่พี่คนดูแลนำมาให้เทใส่เข้าไปแล้วแสดงศักยภาพบุตรแห่งไฟ ดีดนิ้วครั้งเดียวก็เผาบ้านไอ้หม่าวได้ทั้งหลัง ที่ผมพูดไปคือเรื่องเพ้อเจ้อครับ ความจริงมนุษย์เรามีสิ่งที่เรียกว่าไฟแช็คและเชื้อเพลิงของมัน ไม่ต้องมานั่งถูไม้ให้เกิดไฟแล้ว
อยากจะให้ทุกคนได้รู้จักผมมากขึ้น งั้นผมจะเล่าเรื่องราวของผู้ชายที่ชื่อดีโด้ ธนดล คนหน้าตาดี มีรถขับ แต่ไม่ขับเพราะเปลืองน้ำมัน เขาคนนี้เป็นคนดีมากนะครับเครื่องดื่มมึนเมาไม่เคยแตะ สูบบุหรี่ก็ไม่สูบแต่พกไฟแช็คเผื่อเหตุฉุกเฉินเช่นวันนี้ที่ต้องก่อไฟให้เพื่อนทั้งกลุ่ม ถ้าไม่มีเขาทุกคนคงไม่ได้กิน ได้บุญเยอะกว่าการกู้ชาติเสียอีก
“ไอ้โด้ มึงเสร็จยัง”
เสียงไอ้เจ้อดังขึ้นพร้อมกับตัวมันที่ถือถาดใส่กุ้งที่โคตรเยอะเหมือนชาตินี้จะกินแต่กุ้ง ซื้อมาถมบ้านซื้อมาอาบกะจะกินเสร็จแล้วเอาเปลือกมาทำศิลปะสร้างเป็นกุ้งยักษ์ส่งเข้าพิพิธภัณฑ์นานาชาติต่อ ผมเลิกคิ้วกระพริบตาช้าๆ ใส่มันด้วยท่าทางกวนตีนเบอร์แปดก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ตอบสิ่งที่เพื่อนถาม
“เหมือนมึงกำลังรวบรวมพลังในการจุดไฟอะโด้ ชาติไหนจะได้กิน” พี่ลอยเสริมขึ้นมา
“มาจุดเองมั้ย จะได้เร็ว”
“หน้าที่มึงโด้ กูทำน้ำจิ้มเตรียมของอย่างอื่นแล้ว กูไม่จ้า” พี่ลอยยักไหล่สั่นกระดุ๊กกระดิ๊กไปมาก่อนจะเดินถือข้าวของพะรุงพะรังผ่านผมไปยังโต๊ะพับที่กำลังถูกกางออกด้วยฝีมือน้องคณิณ ผมมองถามพี่มันก่อนจะยิ้มตาหยีส่งไปให้พร้อมพูดว่า “แดกวันนี้แหละครับพี่ ถ้ากินพรุ่งนี้เดี๋ยวของเสียหมด เนอะๆ”
เหมือนเดิมเลย สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำว่า กวนตีน แบบไร้เสียง ด่าแบบไม่ออกเสียงเก่ง อีกหน่อยคงได้คุยภาษามือกันแล้ว
แอบเห็นน้องตัวขาวมันหัวเราะเบาๆ ยิ้มจนลักยิ้มบุ๋มๆ เด่นชัดออกมาเลย ทีอยู่กับผมหรือเวลาคุยกันไม่ค่อยจะได้เห็นหรอก นอกจากเวลาน้องมันเคี้ยวแก้มเล่น เหมือนเด็กที่บ้านเลยครับน้องไอ้มอสป.4 ชื่อแมงมุม เด็กผู้หญิงผมยาวที่แม่ชอบถักเปียให้ไปเรียน จับใส่ชุดกระโปรงหรือชุดเจ้าหญิงทุกวัน แต่แมงมุมชอบมาเล่นกับผมแล้วบอกว่าหนูไม่ชอบถักเปียเลยพี่โด้ เพื่อนผู้ชายชอบมาดึงแล้วล้อว่าหนวดแมลงสาบ หนูควรจะโกนหัวแล้วไปท้าต่อยมันดีมั้ย แต่ด้วยความเป็นพี่ชายข้างบ้านที่ดีผมเลยบอกน้องไปว่า เอาดิ ต่อยให้เขียวไปเลย แล้ววันต่อมาน้าแจ่มแม่ไอ้มอสก็โดนเรียกไปพบที่โรงเรียน
“ไหวป่าวนิน มาพี่ช่วย” ไอ้เจ้อที่วางของในมือลงกับพื้นอย่างถูกสุขลักษณะเดินเสนอหน้าเข้าไปช่วยน้องกางโต๊ะวางเก้าอี้ ตัวมึงก็แค่นั้นอะเจ้อทำไมต้องอาสาไปช่วยเด็กที่ตัวโตกว่ามึงตั้งครึ่งนึง
“เออ ไม่เห็นมึงคุยกันเลยวะ” อยู่ๆ มะม่วงก็พูดขึ้นมา ไม่มีการจั่วหัวข้อหรือเกริ่นห่าอะไรเลย เหมือนนึกขึ้นได้ก็พูด
“หมายถึงอะไร... เหมือนมึงละเมอพูดอะมะขิด” ผมถามมือก็วุ่นอยู่กับถ่านดำๆ กับกองไฟเอ้อร์ ตอนนี้ไฟติดแล้วเหลือแต่รอให้มันไหม้ถ่านให้พอดี ถือว่าหน้าที่ของผมเสร็จไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะ
“ก็มึงกับน้องไง ไอ้หม่าวเอาน้องมามึงเป้นเพื่อนมันก็ดูแลน้องหน่อยดิ อย่าให้นินมันเหงา”
“แล้วทำไมต้องกูอะเพื่อน มันก็ต้องดูแลแล้วสนุกไปด้วยกันทุกคนป่าววะ” ผมค้านขึ้นมา รู้สึกเหมือนมันจงใจดันเรื่องนี้เข้าตัวผมยังไงก็ไม่รู้ ผมพูดจบก็ลุกเดินผ่านหน้ามันไปที่ถังน้ำแข็งจัดการหยิบแก้มมาเทน้ำสไปร์ทกินให้หายอยาก เห็นลังเบียร์ที่มันเตรียมมาแล้วก็รู้เลยว่าคืนนี้ต้องมีศพ ถ้าเดาไม่ผิดไอ้หม่าวคือศพแรก ว่างสิบบาท!
“ที่กูพูดคือกูสังเกตว่ามึงกับน้องไม่ค่อยคุยกันไงโด้ ที่กูหมายถึงอะ”
“ไม่ มันก็ต้องทุกคนนั่นแหละ ไม่ใช่กูคนเดีย—”
“เถียง เถียงจัง กูบอกให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะไอ้อ้วน” มะม่วงที่ดูจะหงุดหงิดนั่งขมวดคิ้วจ้องผมเขม็ง ปากก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ เนี่ยไอ้ท่าทางวีนเหวี่ยงแบบนี้เลียนแบบผู้หญิงที่คณะมาชัดๆ บอกแล้วว่าอย่าไปนั่งในวงเม้าท์ของกลุ่มสาวสตรอเบอร์รี่คลับให้มาก คำพูดคำจาก็ไปหมดแล้วชาติไหนจะได้เมีย
ผมขยี้ผมจนฟู ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เพื่อนต้องการจะบอก แล้วทำไมต้องกูวะมาด้วยกันทุกคนก็ต้องสนุกไปด้วยกันทุกคนดิ ไอ่ท่าทางแบบนี้มันต้องมีอะไรที่ยังบอกผมไม่หมดแน่ๆ
.
.
.
.
“โอ้เมื่อมีไฟไฟฟายย ลุกขึ้นเจิดจ้าาาาา”
“ใครก็ได้เอามันไปนอนที” ไอ้เจ้อพูดขณะทำหน้าเหม็นเบื่อโดยที่ไอ้หม่าวที่นัวเนียอยู่ข้างตัว สองแขนกอดคอส่วนขาก็เกี่ยวเอว แถมยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้หวังจะหอมแก้มไอ้เจ้อให้ได้ ปากก็ร้องเพลงสลับกับชมเพื่อนตัวเล็กว่าน่ารักนักหนา ขอกอดบ้างแหละ ขอหอมบ้างแหละ ส่วนตัวคนที่ถูกกวนเองก็กลัวฟ้าจะผ่าลงกลางกระหม่อมแล้ว
ผมนั่งหัวเราะกับอาการของเพื่อน พอตั้งวงปั้บไม่ทันที่จะอิ่มท้องไอ้หม่าวก็ชิงเมาก่อนเพื่อนคนอื่นไปเลย สติที่หายไปภายในสิบนาทีของมันถือเป็นการสร้างสีสันและเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนยกเว้นเจ้อที่กลายเป็นตุ๊กตาเต่านั่งให้มันกอดอยู่แบบนั้น ถึงปากจะบอกว่ารำคาญแต่มือก็แกะกุ้งและปูป้อนเข้าปากเพื่อนอยู่ดี โดยให้เหตุผลว่า “กูกลัวได้ลุกไปโรงบาลกลางดึกหรอกนะ ถึงได้หาอะไรยัดท้องมึงน่ะหม่าว”
แต่คนเมาก็ไม่ได้รับรู้ห่าอะไรเลย ส่งยิ้มตาเยิ้มให้พร้อมกับขโมยหอมแก้มเพื่อนไปหนึ่งที ปกติแล้วไอ้หม่าวมันไม่แตะเครื่องดื่มของมึนเมาเลยซักครั้งแต่วันนี้มันลั่นไว้ก่อนจะขึ้นรถว่าจะลองเมาดู เผื่อค้นพบเส้นทางใหม่ของชีวิต และมันก็ไปคนแรกจริงๆ
เสียงเพลงที่เปิดจากลำโพงพกพาของพี่ลอยเป็นจังหวะแดนซ์สนุกๆ ที่ควรจะเป็น ถึงผมจะไม่ค่อยชอบดนตรีแนวนี้เสียเท่าไหร่แต่ถ้าเพื่อนว่าโอเคผมก็ว่าตามนั้น แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่ชอบเพลงที่ดีเจลอยลี่เปิดเสียเหลือเกิน คณินนั่งส่ายหัวโยกไปตามจังหวะ บางเพลงก็ขยับปากร้องตามไม่หยุด แอบเห็นแรปตามเพลงฮิปฮอปเพลงหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าชื่ออะไรด้วย เห็นน้องมันสนุกก็ดีครับ...
เรานั่งแบบหันหน้าเข้าหากัน ฝั่งผมมีผม มะม่วง พี่ลอย ส่วนฝั่งนู้นมีเจ้อ ไอ้หม่าว แล้วก็น้อง ซึ่งน้องมันนั่งตรงข้ามผมพอดีๆ เลย แต่เรายังไม่ได้คุยกันเลยซักคำ มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของไอ้มะม่วงที่กำชับให้ผมช่วยดูแลน้อง...
เอาซักหน่อยละกัน แต่ดูแลยังไงดีวะ
พลันสายตาก็เหลือบไปมองไอ้เจ้อที่หยิบเนื้อกุ้งมาจิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดก่อนจะยัดเข้าปากไอ้หม่าวจนแก้วตุ่ย น้องมันจะกินกุ้งมั้ยหว่า...
“หือ?” คณินวางแก้มตัวเองลงก่อนจะเงยหน้ามามองผมสลับกับกุ้งสองตัวในจานด้วยความประหลาดใจ อ้าปากค้างเลิกคิ้วพร้อมนัยน์ตาที่มีเครื่องหมายคำถาม “แกะให้ผมทำไมเนี่ย?”
“กินเยอะๆ ดิ มัวแต่ชงให้คนอื่นอยู่ได้ เกิดปีชงรึไง” ผมพูดแก้เขิน “อะไร ก็กินไปเห็นได้กินน้อยไง กลัวไม่อิ่ม”
ผมพูดอีกครั้งเพราะน้องมันมองผมด้วยสายตาหวาดระแวงเหมือนกำลังจะบอกว่าไอ้พี่โด้มึงโม้ป่าว จะมาห่วงอะไรมัน แต่จริงๆก็ยังยืนยันคำเดิมแหละว่าเราควรสนิทกันมากกว่านี้ มาเที่ยวด้วยกันทั้งทีก่อนกลับควรตะเดินกอดคอกันได้แล้ว ไม่ใช่มึนตึงเหมือนคนไม่รู้จักกันต่อไป
“ขอบคุณครับ” คณินพูด มือขาวหยิบกุ้งในจานเข้าปากโดยไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มรสเด็กของพี่ลอย
“ไม่กินน้ำจิ้มเหรอ?” ผมถามอย่างสงสัย จริงๆ ก็หาเรื่องคุยแหละ
“ไม่อะพี่ มันเผ็ดไป” น้องมันพูดปากก็เคี้ยวตุ่ยจนแก้มป่อง ดูเหมือนตาของผมจะพร่าเลือนและโฟกัสผิดจุดไปหน่อย แทนที่จะมองหน้าคนพูดแต่กลับองไปที่ปากกระจับสวยสีแดงวาวกำลังขยับพูดเบาๆ พึ่งรู้ว่าปากมันดูนุ่มนิ่มเหมือนขนมเยลลี่เลยแหะ ทำให้นึกถึงผู้หญิงที่ทาลิปสติกที่เรียกกันว่าลิปกลอส บ้างก็มีกลิ่นหอมสตรอเบอร์รี่ บ้างก็มีรสหวานหรือบางคนก็ไม่มีรสอะไร แต่ให้ความรู้สึกนุ่มลื่นเวลาสัมผัส ยิ่งถ้าได้แตะกับลิ้นมันยิ่งลื่นเข้าไปใหญ่ แต่ก็รู้สึกจั๊กจี้ดีนะ.... คณินมันทาลิปกลอสเหรอวะ
“พี่... ฟังอยู่ป่ะ?”
“ห้ะ เอ้อ อะไรนะ เผ็ดเหรอ” ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์รู้สึกเป็นคนไร้มารยาท ทั้งที่ชวนน้องมันคุยก่อนแต่กลับสติหลุดไประหว่างเด็กมันกำลังตอบ เหมือนภาพตัดหลังจากที่น้องมันบอกว่าเผ็ดเกินไป
คณินเม้มปากมองหน้าผมนิ่งๆ แอบเห็นมันถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยนะ
“เอางี้กินกุ้งอย่างเดียวมันจะอร่อยอะไร เดี่ยวพาไปทำน้ำจิ้มใหม่เอามั้ย?” ผมเสนอ ไหนๆก็จะดูแลน้องมันแล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งเพื่อการกระชับมิตรระหว่างผมและน้องก็แล้วกัน คณิตนิ่งคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าให้
ผมลุกออกจากเก้าอี้ กวักมือเรียกและเดินนำน้องมันเข้ามาในบ้าน ตรงไปยังเคาท์เตอร์ทำครัวที่มีเครื่องปรุงและถ้วยชามทุกอย่างวางไว้ ได้ยินเสียงไอ้มะม่วงตะโกนตามหลังมาอย่างดังเหมือนกลัวว่าผมจะพาน้องมันไปฆ่าหมกส้วมอย่างนั้นแหละ
“ไอ้โด้ มึงจะพาน้องไปไหน!”
“กูพาน้องมาทำน้ำจิ้มใหม่ อันนั้นมันเผ็ดไป”
“แหม พิเศษใส่ไข่ อย่าลืมใส่ใจให้น้องด้วยนะเพื่อน” ยัง ยังไม่จบเหมือนเปิดโอกาสให้โดนแซว เสียงโห่ร้องวิ้ดวิ้วเหมือนดังตามหลังมา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร หยิบถ้วยเล็กมาใส่เครื่องปรุงที่เหลือจากพี่ลอยทำมาใส่ๆ รวมกันแบบที่เคยเห็น สลับกับมองคณินที่ยืนทิ้งเอวพิงกับซิงค์ล้างจาน แขนยาวยันไว้เพื่อพยุงตัวเอง ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่ามันน้องมันหน้าแดงๆ หรือมันจะแอบปัดแก้มมา
พอคิดว่าน้ำจิ้มที่ทำน่าจะโอเคแล้ว ก็ใช้นิ้วจิ้มลงไปก่อนจะเอาเข้าปากเพื่อลิ้มรสว่ามันโอเคเหมือนที่สมองคิดหรือเปล่า รสเปรี้ยวหวานติดเผ็ดนิดๆ ที่ได้รับมันทำให้ผมพอใจอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าคนที่จะกินมันจริงๆ จะกินได้มั้ย
“มาชิมดูว่าเผ็ดมากมั้ย” ผมพูดพร้อมกับถอยตัวออกให้น้องมันเดินเข้ามาชิมได้ง่ายขึ้น
คณินมายืนมองถ้วยน้ำจิ้มสักพักแล้วเอียงคอมองผมด้วยสีหน้าสงสัย ทำปากมุมมิบเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมา ก่อนที่นิ้วเรียวจะจิ้มลงไปในถ้วยน้ำจิ้มแล้วส่งเข้าปากเลียนแบบผม
ผมมองเจ้าเด็กตัวสูงยืนอมนิ้วด้วยเองแล้วก็หลุดขำออกมา มันเหมือนเด็กพึ่งหัดดูดจุกนมปลอมเลย ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยความสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม ริมฝีปากขยับดูดนิ้วตัวเองอย่างสงสัย
“เป็นไง?” ถามออกไปด้วยความหวัง หวังว่ามันจะอร่อย...
“มันหวานไปง่ะ คณินเพิ่มน้ำมะนาวได้มั้ยดีโด้”
ผมหันขวับมามองหน้าน้องแทบไม่ทัน กับสรรถนามที่ใช้แทนตัวเองว่าคณินแถมยังเรียกผมด้วยชื่อเต็มอีก ไม่ค่อยมีใครเรียกผมว่าดีโด้เท่าไหร่นัก นอกจากแม่กับพ่อ เพื่อนคนอื่นก็เรียกว่าไอ้โด้หมด
“พะ เพิ่มเอาดิ” ผมตอบเสียงตะกุกตะกัก หยิบชิ้นมะนาวที่หั่นซีกเอาไว้ไปให้ พร้อมมันยิ้มหวานให้ก่อนจะจัดการบีบลงไปเพิ่มแล้วใช้มือคนให้เข้ากันแล้วจิ้มเข้าปากเพื่อชิมอีกรอบ ผมเหลือบมองช้อนสั้นที่วางแช่ไว้ในถ้วยน้ำจิ้มแล้วก็สงสัยว่าทำไมมันไม่ใช่ช้อนคนวะ....
แต่สงสัยได้ไม่นานก็ต้องตาเหลือกอีกครั้งเมื่อถูกนิ้วชี้ของน้องจ่อเข้าที่หน้า ไอ้เด็กตัวขาวมองผมพร้อมกับพูดว่า “ดีโด้ช่วยชิมหน่อย มันหายหวานยัง”
มึงบ้าป่ะเนี่ยน้อง นิ้วนี้น้องมันพึ่งใช้ปากดูดไปหมาดๆ จะให้ผมชิมน้ำจิ้มจากมือมันน่ะเหรอ
ผมเอียงหน้าหลบก่อนจะเอื้อมมือไปหมายจะคว้าถ้วยน้ำจิ้มมาไว้กับตัว แต่คณินที่เร็วกว่าก็เบี่ยงตัวหลบพร้อมกับมองผมด้วยสีหน้าขัดใจ
“ก็ให้ชิมแล้วไง นี่...” มันไม่ยอมว่ะ เด็กดื้อยืนยันที่จะให้ผมชิมน้ำจิ้มจากนิ้วตัวเองอย่างเดียวเลย มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้
“ช่วยชิมหน่อยดิ” คณินพูดขึ้นอีกครั้ง นิ้วชี้ขยับเข้ามาใกล้ปากของผมมากยิ่งขึ้นจนแตะลงเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างกลิ่นมะนาวลอยเข้าจมูกจนทำให้รู้สึกเปรี้ยวปาก และด้วยสัญชาติยานมนุษย์จึงทำให้ผมอ้าปากรับนิ้วของน้องเข้าปากใช้เรียวลิ้นสัมผัสเบาๆ ชิมรสชาติของน้ำจิ้มซีฟู๊ดที่ติดอยู่ปลายนิ้ว สิ่งแรกทั่มผัสได้คือความเย็นจากปลายนิ้วตามด้วยรสหวานของน้ำตาล เปรี้ยวมะนาว ความเผ็ดของพริกปั่น และจบท้ายด้วยความหวานของเครื่องปรุงพิเศษที่ผมมั่นใจว่าไม่ได้เป็นคนใส่มันลงไป
คณินดึงนิ้วออกจากปากของผมก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ รอยยิ้มหวานของน้องเหมือนการร่ายมนต์เพื่อสั่งให้ผมมองแค่มัน ภาพข้างหลังถูกเปลี่ยนเป็นโบเก้ทันทีเหมือนการถ่ายภาพด้วยเลนส์ฟิก
“หายหวานยังดีโด้?” เสียงนุ่มเอ่ยถาม พร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น
“ยัง มันยังหวานอยู่” พอได้ยินคำตอบของผมน้องมันก็หุบยิ้มแล้วขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าหวานงองุ้มลงอย่างเห็นได้ชัดแก้มขาวพองลมเข้าไปเหมือนเด็กงอแง
“ทำไมมันยังหวานอยู่อะ คณินบีบมะนาวลงไปแล้วนะ” ปากเล็กบ่นเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือก็ควานหาลูกมะนาวลูกใหม่ก่อนจะหยิบมีดเพื่อหวังจะมาหั่นเป็นซีก แต่ผมคว้าข้อมือเล็กของน้องเอาไว้ก่อนพร้อมเอ่ยถาม
“เมาปะเนี่ยน้อง ไอ้มะเอาไรให้กิน”
คณินยิ้มแฉ่งส่งมาให้ พร้อมกับส่านหน้าแรงๆ จนผมกระเจิง “ไม่เมา พี่มะม่วงบอกว่าแค่โค้กไม่เมาหรอก ไม่ได้กินเบียร์”
“แค่โค้กแล้วทำมตาเยิ้มแบบนี้อะ” ผมพูดพร้อมกับหยิบมีดมาไว้ในมือตัวเอง จัดการหั่นมะนาวเป็นซีกให้แล้วส่งให้น้อง คณินรับไปบีบใส่ถ้วยน้ำจิ้มแล้วก็ใช้นิ้วคนให้เข้ากันหมือนเดิม กูอยากว่าว่าโลกเรามีสิ่งที่เรียกว่าช้อนนะน้อง
“น้องไม่รู้อะ โค้กรสใหม่มั้ง มันแปลกๆอะดีโด้” ใบหน้าหวานยู่ ดวงตากลมโตตอนนี้เยิ้มเหมือนกักเก็บดาวไว้ในนั้นเป็นล้านๆ ดวง คณินเอานิ้วจิ้มน้ำจิ้มแล้วเอามาดูดอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารัวๆเมื่อคิดว่ารสที่ได้อร่อยแล้ว
“มันผสมเหล้าให้กินอะดิ โดนมอมแล้วมั้ง” ผมผลักหัวน้องเบาๆ แต่เด็กนี่เล่นเซไปตามแรงแบบไม่ขืนตัวเลยซักนิด คณินทำท่าเหมือนจะล้มให้ได้จนผมต้องถลาเข้าไปรับตัวเองไว้ ดีนะน้องมันไม่ถือถ้วยน้ำจิ้มอยู่ไม่งั้นเละ
“ผลักน้องทำไมอะดีโด้ จะล้มนะ” คณินบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดไม่พอใจที่ผมแกล้งผลักเบาๆ ผมเงียบไม่ตอบอะไรแต่มือก็จับข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้อยู่ คณิตสูดหายใจเขาปอดก่อนจะพูดว่า “นี่... คุยปกติก็คุยได้นี่ ไม่เห็นต้องทำตึงเลย”
“ใคร ใครทำตึงมีแต่ตัวเองแหละชอบทำหน้านิ่งแถมถามคำตอบคำ” อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้น้องดูจะพูดเก่งขึ้นมากกว่าปกติ แต่ก็ดีนะผมยังไม่รู้สึกอึดอัดเลยซักนิด ดีกว่าตอนปกติเยอะเลย แต่ตอนแรกผมไม่ได้สังเกตเลยว่าน้องมันน่าแดงขนาดนี้ อาจจะเพราะแสงข้างนอกที่ออกจะสลัวและเป้นสีส้มทำให้ไม่เห็นหน้าของคณินได้ชัดเท่าในบ้าน
“เรียกคณินว่าตัวเองเหรอ... คิดไรป่าวตัวเองอะ” อะ อันนี้กวนตีนละ
“หมายถึงคำแทนตัว อย่าบ้าหน่า” ผมเคาะหน้าผากเบาๆ ไปหนึ่งที น้องยิ้มหวานส่งมาให้อีกแล้ว เมาแล้วยิ้มเก่งขึ้นเหรอวะ
“ก็กลัวไม่คุยด้วย เลยตัดปัญหาโดยที่ไม่ต้องคุยเลยไง จะได้ไม่เสียใจ” เสียงของน้องเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ คณินแกะมือผมออกจากข้อมือของตัวเอง แล้วเปลี่ยนท่าเป็นพิงเคาท์เตอร์แทน ดูจากอาการแล้วเหมือนน้องคงไม่เคยดื่มมาก่อน ก็แน่ล่ะยังเด็กอยู่นี่นา แถมบ้านไอ้หม่าวนี่เลี้ยงลูกมาแบบ อย่าเดินไปทางนั้นนะลูก เดี๋ยวจะเหยียบมดตาย มันบาปนะคะคนดี
“แล้วทำไมถึงจะไม่คุยด้วยล่ะ ถ้าคุยกันแต่แรกไม่ดึงหน้าใส่กันก็สนิทไปแล้ว”ผมพูดวางมือบนกลุ่มผมสีดำนุ่มแล้วยีเบาๆ “น้องไอ้หม่าวก็เหมือนน้องพี่แหละ”
หัวกลมๆ เอียงหลบสัมผัสของผม น้องยืนก้มหน้านิ่ง เงียบไปจนผมใจหาย กูไปพูดอะไรให้น้องมันไม่พอใจอีกหรือเปล่าวะ....
“ไม่เป็นน้องได้มั้ย” เสียงนุ่มเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ด้วยความเงียบมันก็ทำให้ผมได้ยินอย่างชัดเจนแม้จะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่คณินอยากจะบอกซักเท่าไหร่
“.....เห้ย เป็นไรไป”
“ไม่ ไม่ได้เป็นไร แต่ไม่เป็นน้องได้มั้ย”
“ทำไมอะ?” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย คณินมันคิดการใหญ่อยากจะเป็นพ่อผมเหรอ....
“ถ้าอยู่กับดีโด้แล้วได้เป็นแค่น้อง ขอไม่อยู่ดีกว่า” น้องตอบโดยที่ไม่มองหน้าผมเลยซักนิด ผมพยายามก้มตัวลงเพื่อมองใบหน้าของน้องที่เอาแต่ก้มงุดไม่เงยขึ้นมาซักที แต่ก็เหมือนการเล่นวิ่งไล่จับยิ่งผมพยายามเท่าไหร่น้องก็หนีเก่งมากเท่านั้น
"เห้ยน้อง เป็นไรไปเนี่ย” ผมวางมือบนบ่าพร้อมกับเขย่าเบาๆ คนตัวสูงโยกไปตามแรงกระทำ ขนาดโดนก่อกวนขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมหันมามองหน้ากันดีๆ เลย
“ไม่ต้องมาจับ ถ้าไม่คิดอะไรอย่ามาแตะตัวนะ”คณินสะบัดตัวหนีผม ก่อนจะยกมือขึ้นห้ามบอกให้รู้ว่าเอาจริงแล้วนะ พูดจริงนะไม่ได้ล้อเล่น
“น้อง เป็นไรเนี่—”
“ย้ำอยู่ได้ รู้แล้วว่าเป็นน้อง”
อ่าว มึงจะเป็นพ่อกูเร๊อะคณิน?
“แล้วจะให้เรียกว่าไรอะ” ผมถาม เริ่มงงกับคำพูดคำจาของน้องมันแล้ว ตอนแรกก็แอบดีใจที่ได้คุยกันแบบปกติไม่ต้องดึกหน้าถามคำตอบคำ แต่ไหงมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะเนี่ย น้ำเปลี่ยนนิสัยจริงๆ
“ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องคุยแล้ว แยกย้าย”
คำพูดคำจารับรู้ได้ถึงพลังแห่งการงอน พูดจบก็เดินหนีออกไปทันที แต่ถูกผมคว้าข้อมือรั้งเอาไว้เสียก่อน น้องมันชะงักก่อนจะเอ่ยเสียงอู้อี้ในลำคอ
“ดีโด้ไม่ต้องมาง้อหรอก”
“ไม่ใช่แบบนั้น คือจ—”
“ดีโด้นี่เข้าใจยากจัง โง่จริงหรือโง่จริงๆอะ” คณินพยายามสะบัดมืออกจากการเกาะกุมขงผม แต่ด้วยแรงที่มีมากกว่าทำให้หลุดออกได้ยาก อย่าพยายามเลยเหนื่อยฟรี
“คือไม่ใช่แบบนั้นเว้ยน้อง”
“........”
“จะบอกว่าลืมถ้วยน้ำจิ้ม”
.
.
.
.
TBC
อย่าถามหาสาระเลยนะคะ เราหาไม่เจอจริงๆ
แต่งแก้เครียด แต่งรออีกเรื่อง แต่งรอโมเม้น
(ที่ไม่รู้ว่าการที่เรามีลูกกับโฮลินมีโมเม้นอันไหนจะเกิดก่อน)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิพี่โด้เอ้ยย ซื่อบื้อเหลือเกินอ่ะ